วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

สัมภาษณ์ Vogue Korea ฉบับเดือน กรกฏาคม 2017

 สัมภาษณ์ Vogue Korea ฉบับเดือน กรกฏาคม 2017

Q: คุณเป็นแฟนเวอร์ชั่นดั่งเดิมของซีรีส์ Criminal Minds หรือเปล่า
A: ผมไม่คิดว่าผมจะเรียกตัวเองว่าแฟนนะครับ แต่เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ผมสนุกสนานกับการรับชมมาเป็นเวลานานมาก ถึงแม้ผมจะตื่นเต้นและรอคอยที่จะถ่ายซีรีส์เรื่องนี้มาก แต่ผมก็มีความรู้สึกกดดันเล็กน้อยนะครับ เพราะเวอร์ชั่นเดิมของเรื่องนี้มีแฟน ๆติดตามอยู่มากมาย ในเวอร์ชั่นเกาหลี ซีรีส์จะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆในแง่มุมที่ต่างกัน อย่างเช่น ในเวอร์ชั่นอเมริกา ซีรีส์จะเน้นหนักไปที่การสืบสวนสอบสวน ในเวอร์ชั่นเกาหลี เราจะรวมเอาเรื่องราวต่าง ๆของตัวละครและเรื่องราวในชีวิตเข้าไปด้วย อันนี้เราจะต้องระมัดระวังมากเลยครับเพราะอาจทำให้เราหลุดออกนอกเรื่องจากต้นฉบับมากไปแบบเราไม่ตั้งใจหรือผู้ชมอาจเห็นว่าออกนอกเรื่องเกินไป เราจึงต้องระวังกันมาก นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องใช้เวลากันอย่างมากในการนั่งคิดวางแผนว่าเราจะถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี่ออกมาอย่างไร
Q: ในซีรีส์เรื่องนี้ คุณแสดงเป็นตัวละครชื่อ คิมฮยอนจุน ซึ่งจากที่ผมได้อ่านคำแนะนำตัวของตัวละครตัวนี้แล้ว ผมไม่สามารถเอาตัวละครตัวนี้ไปเทียบกับตัวละครตัวไหนได้เลยในเวอร์ชั่นเดิม
A: ตัวละครตัวนี้ไม่มีอยู่ในเวอร์ชั่นเดิมนะครับ ตัวละครตัวนี้แตกต่างจากตัวละครอื่น ๆที่เป็นสมาชิกทีมสอบสวนพิเศษของ NCI ฮยอนจุนเป็น profiler ซึ่งเป็นตัวละครที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป เป็นตัวละครธรรมดาที่เห็นได้ในซีรีส์หลายๆเรื่อง ผู้ชมละครจะเข้าใจตัวละครในทีมสอบสวนทั้งหมดผ่านตัวละครฮยอนจุนครับ
Q: มีความรู้สึกเหมือนว่า ซีรีส์ Criminal Minds นี้จะทำให้คุณมีโอกาสได้แสดงออกถึงความชำนาญด้านการแสดงในทุก ๆด้านของคุณ
A: ทุกครั้งที่ผมถ่ายทำละครเรื่องใหม่นะครับ ผมมักจะได้ยินคนพูดกันแบบนี้ว่า “ดูเหมือนว่างานชิ้นนี้มีทุกบทบาทที่อีจุนกิจะแสดงได้ดี” (หัวเราะ) ผมเดาเอาว่านั่นคงหมายถึงว่าผมได้ทำทุกอย่างแล้วมั้งครับ
Q: ครั้งหนึ่งคุณเคยเลือก ซนฮยอนจู ว่าเป็นนักแสดงที่คุณให้ความเคารพ รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อเจอคุณฮยอนจูในครั้งแรก
A: ครั้งแรกที่เราพบกัน เป็นการพบกันเพื่อดื่มครับ ผมบอกเขาว่าผมตัดสินใจที่จะเข้าร่วมซีรีส์นี้เพราะเขาครับ และเขาบอกผมว่าอย่าพูดอะไรไร้สาระแบบนั้น (หัวเราะ) แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องจริงนะครับที่เขาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเข้าร่วมในซีรีส์เรื่องนี้ ผมมักจะรอคอยและอยากเรียนรู้เสมอกับการทำงานร่วมกันกับนักแสดงต่าง ๆ ผมรุ้สึกว่า เหตุผลที่ผลงานส่วนใหญ่ของผมมีผลงานออกมาดีเป็นเพราะมีการทำงานร่วมกันที่ดีกับรุ่นพี่ๆ ครับ รุ่นพี่ซนฮยอนจู บอกกับผมเสมอครับว่า เขาจะช่วยเหลือผมทุกทางที่เขาทำได้ และเขาบอกนักแสดงใหม่ ๆทุกคนว่า “ทำงานในแบบของคุณไป ทำไมคุณจะต้องคอยฟังคนรอบข้างตัวคุณพูดและทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ตัวละครที่คุณคิดขึ้นเองในแบบของคุณเองคือสิ่งเดียวที่สำคัญ” ผมรู้สึกได้ว่า เขามั่นใจในนักแสดงทุกคนที่แสดงด้วย และแน่นอนครับเขาเชิญนักแสดงทุกคนไปสนุกกันและดื่มกันตลอดเวลา ผมคิดว่าเราเข้ากันได้ยอดเยี่ยมเมื่อตอนทีเราดื่มด้วยกัน รุ่นพี่จะใช้โอกาสในช่วงดื่มกันนี่แหละครับที่จะคุยกันถึงเรื่องที่กังวลใจอยู่ถึงเรื่องอนาคต เขาไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดว่า “อย่าคิดเรื่องอะไรซีเรียสกันเลย ดริ๊งกันอย่างเดียวพอ” ซึ่งโชคดีครับที่ผมก็เป็นคนเช่นนั้นเหมือนกัน (หัวเราะ) เราไม่ใช่คนประเภทที่ดื่มเสร็จมีไปต่อกันอีกอะไรประเภทนั้น แต่เราจะกินและดริ๊งกันไปเลยทีเดียวจนถึงสี่ทุ่ม ปกติเราดื่มโซจูกัน เมื่อสองสามคืนก่อนนะครับ พวกเราทุกคนในทีม Criminal Minds ทานอาหารเย็นกัน และเราสองคนก็เมาก่อนคนอื่น ๆครับ เพราะขณะที่คนอื่น ๆในทีมจิบโซจูกันไปเรื่อย ๆ เราสองคนกระดกหมดแก้วกันตลอดเวลาครับ เราสองคนเลยจะหมดสติด้วยกันเสมอๆ (หัวเราะ)
Q: มีนักแสดงหลายคนในเวอร์ชั่นเดิมของ Criminal Minds ที่ออกจากซีรีส์เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนถูกครอบงำโดยตัวละครที่แสดง ณ จุด ๆนี้ คุณรู้สึกเช่นนั้นหรือยัง
A: เมื่อผมมาคิดตอนนี้นะครับ ตอนที่ผมแสดงเรื่อง Two Weeks ผมก็รู้สึกเช่นนั้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ และผมก็เป็นเช่นนั้นตอนที่แสดงเรื่อง Time Between Dog and Wolf ผมกลายเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว เซนซิทีฟ แม้ว่าตามปกติแล้วผมจะเป็นคนที่สนุกสนานและชอบเล่นตลก ๆในกองถ่าย แต่ตอนที่ถ่ายทำสองเรื่องนั้น มันยากมากครับสำหรับผมที่จะเล่นตลกหรือสนุกสนานแบบที่เคยเป็น แต่ในซีรีส์เรื่องนี้นะครับ ผมไม่ใช่คนๆเดียวที่จะต้องเป็นตัวนำละคร ผมเลยรุ้สึกว่า ความกดดันอาจจะไม่มากเท่าไหร่ครับ นอกจากนั้นผมยังรุ้สึกตื่นเต้นและรอคอยที่จะถ่ายทำมากครับ ผมรักการแสดงในประเภทนี้ครับ โดยส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าทางเดียวที่ผมจะรู้สึกว่าผมกำลังแสดงอยู่คือเมื่อผมสามารถเข้าไปอยู่ในตัวละคร เป็นตัวละครตัวนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ (หัวเราะ) นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้แสดงตัวละครที่มีชีวิตลำบากยากเย็น
Q: ดูเหมือนว่าคุณจะให้ความสนใจตัวละครที่มีชีวิตยากลำบากหรือที่อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเกือบตลอดเวลานะ
A: ผมคิดว่านักแสดงส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้นะครับ แต่ความรักของผมต่อตัวละครประเภทนี้อยู่ในระดับที่เรียกว่าน่ากลัวครับ ผมมีความรุ้สึกว่าผมสามารถปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกไปโดยผ่านประสบการณ์ของตัวละครเพื่อที่จะช่วยให้คนดูละครเกิดความหวังครับ ถึงแม้ว่าอาชีพผมคือนักแสดง แต่ผมไม่คิดว่า ผมเกิดมาพร้อมกับมียีนส์ศิลปะอยุ่ในตัวนะ สิ่งที่ผมกำลังจะพูดคือ ผมไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์หรือทักษะเพื่อเป็นเซเลปหรืออาร์ติสต์ ดังนั้นถ้าผมจะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นความจริง ผมต้องทำงานหนักมากกว่าปกติ แน่นอนครับ ผมต้องก้าวข้ามผ่านสถานการณ์เลวร้ายไปให้ได้ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ผมมีความรู้สึกว่า เมื่อใดที่ผมสามารถเอาชนะความยากลำบากได้ ผมจะดีขึ้น นี่จึงกลายเป็นหลักในใจประจำตัวผมครับ
Q: ทำไมคุณจึงคิดว่า คุณไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะและฝีมือ
A: ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเกิดมาพร้อมทักษะและฝีมือในด้านการแสดง เมื่อผมพบเจอความยากลำบากต่าง ๆหรือต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะนำเสนอตัวละครตัวใดตัวหนึ่งให้ออกมาดี ผมควรที่จะใช้เวลาไม่นานแค่วันหรือสองวันเท่านั้นในการแก้ปัญหา แต่ในความเป็นจริง คือผมต้องใช้เวลาถึงหนึ่งอาทิตย์หรือครึ่งเดือนกว่าที่จะแก้ปัญหานี้ได้ และเมื่อนั้นผมถึงจะรู้สึกได้ว่า ผมคงจะสามารถทำให้คนดูละครพอใจได้ ซึ่งเหตุผลและความรู้สึกนี้แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมจำเป็นต้องทำงานอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
Q: คุณหมายถึงอะไรเมื่อพูดถึงทำงานหนัก
A: สิ่งที่ผมหมายถึง คือ “การเรียนรู้” ผมต้องเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาฝีมือการแสดงของผม ถ้าผมทำเช่นนั้นผมรุ้สึกว่า ผมจะสามารถเข้าไปสู่ตัวละครได้ทันทีทันใด ก็เหมือนกับตอนที่ผมอยู่ในกองถ่าย ผมไม่ควรที่จะโฟกัสที่ตัวผมคนเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นจะต้องเดินไปด้วยกัน ผมก็เลยรุ้สึกว่า ผมควรที่จะทำให้กองถ่ายสนุกสนานเพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการแสดง
Q: เปรียบเทียบทักษะการแสดงแบบใช้เทคนิคกับทักษะการแสดงแบบสัญชาติญาณ
A: สำหรับผมนะครับ ทักษะการแสดงแบบใช้เทคนิคเป็นความจำเป็นที่ต้องมี หลังจากนั้น คุณต้องแสดงมันออกมาจากสุดขั้วของหัวใจ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตื่นเต้นกังวลใจเสมอ ๆและผมต้องทำงานหนักมากกว่าปกติเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นตัวละคร วิธีนี้เมื่อมีคนชื่นชมยกย่องยอมรับทักษะทางการแสดงของผม ผมจะรู้สึกร่าเริงเบิกบานมากและบอกกับตัวเองว่า “เห็นไหม ผมก็ทำได้”
Q: คุณได้รับการยอมรับด้านการแสดงแอคชั่น คุณเกิดมาพร้อมทักษะด้านนี้หรือ
A: ไม่ครับ นั่นเป็นผลจากการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาการเป็นนักแสดงของผมครับ เมื่อผมตัดสินใจว่าผมจะเป็นนักแสดง ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลย ผมวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรบ้าง และในตอนนั้นผมเริ่มฝึกทักษะด้านแอดชั่น และก็ได้รับผมสำเร็จบ้างครับ แม้คนรอบข้างตัวผม มักจะพูดว่า ผมเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ ทุก ๆครั้งที่ผมเริ่มงานใหม่ ในวันแรกของการเริ่มถ่ายทำ ผมมักจะรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกของผมในการถ่ายทำละคร แม้ว่าผมจะสามารถเข้าสู่ตัวละครนั้นได้ทันทีจากประสบการณ์ที่มีอยู่แล้ว แต่ในคืนก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำวันแรกมักจะเป็นคืนที่นอนไม่หลับเสมอครับ ผมจะแสร้งทำว่าไม่ตื่นเต้น
Q: ดูเหมือนว่าคุณจะให้ความสนใจกับเรื่องเรตติ้ง ข่าวสาร ปฏิกิริยาในโลกออนไลน์ทั้งหลาย นี่เป็นส่วนหนึ่งที่คุณทำงานอย่างหนักหรือเปล่า
A: รุ่นพี่ของผมทุกคนบอกผมว่าให้ผมเป็นตัวของตัวเอง อย่าใช้ชีวิตแบกความกังวลไว้มากไป ผมก็บอกพวกเขาว่า ผมจะไม่ทำครับ อย่างไรก็ตาม เมื่อละครออกฉาย ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้สนใจดูเรตติ้งและปฏิกิริยาสนองตอบของคนดูที่มีต่อละครได้ครับ และผมก็จะมานั่งคิดทบทวนกับตัวเองว่าผมควรจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไรเพื่อให้ผลที่ออกมาดีขึ้น ถ้าผมไม่สนุกสนานและมีความสุขกับการแสดง มันก็จะไม่มีแรงจุงใจให้ผมพยายามทำงานให้ดีขึ้น โชคดีนะครับที่ผมยังสนุกสนานและมีความสุขกับตัวผมเองด้านการแสดง ในอีกด้านหนึ่งนะครับ เมื่อผมกลับมาเป็นนายอีจุนกิธรรมดา ๆที่ไม่ได้แสดง ผมจะรู้สึกเบื่อและเกลียดการไม่ได้ทำอะไร ดังนั้นเมื่อไม่มีการถ่ายทำละครหรือหนัง ผมต้องการที่จะจัดแฟนมีตติ้ง ออกอัลบัมและลองทำสิ่งที่แตกต่างบ้าง แทนที่จะมีเวลาว่าง ๆผมอยากที่จะเป็นนักแสดงอีจุนกิและใช้เวลาของผมหาประสบการณ์ในสิ่งใหม่ ๆอย่างเต็มที่และสร้างไอเดียใหม่ ๆจากการทำสิ่งที่แตกต่างออกไป
Q: คุณอ่านหนังสือประเภทไหนบ้าง
A: ผมอ่านแต่สคริปท์ครับ ผมไม่ทราบว่ามันเริ่มต้นเมื่อใดนะครับ แต่ผมหยุดอ่านหนังสือไปแล้ว ผมใช้โทรศัพท์มือถือของผมเพื่ออ่านข่าว เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น อ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกที่วุ่นวายนี้ แทนที่จะอ่านหนังสือ ผมต้องการที่จะได้รับรู้ข่าวสารและความรุ้สึกที่ผมต้องการได้อย่างรวดเร็วขึ้นครับ
Q: คุณเป็นแบบนี้ตั้งแต่เริ่มเดบิวท์ หรือค่อย ๆเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ
A: ผมค่อย ๆเปลี่ยนมาเรื่อย ๆนะครับและตอนนี้เหมือนว่าผมก็จะเข้าที่เข้าทางไม่มากก็น้อยนะครับ มีช่วงเวลานะครับที่ผมรู้สึกว่าอะไร ๆประเดประดังมาครอบงำผมแต่ผมตระหนักว่าเหล่านี้คือสิ่งจำเป็นสำหรับผมที่จะทำให้ผมกลายเป็นคนที่ดีขึ้น มีคนถามว่าทำไมพวกนักแสดงถึงมีชีวิตอยู่กับอารมณ์และความรู้สึก คุณจะเติมเต็มหัวใจและจิตใจของคุณได้ต่อเมื่อคุณทำให้หัวใจและจิตใจของคุณว่างเสียก่อนและสนุกสนานกับชีวิต ผมทราบดีที่พวกเขาพูดกันครับ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ผมใช้ชีวิตของผมครับ บางทีอาจจะถึงวันทีผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายผมอาจจะเปลี่ยนนะครับ จากการที่ผมได้รับความรักมากมายจากผู้คน ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าที่เข้าทางมั่นคง ผมได้ผ่านช่วงเวลายากลำบากมากในการปรับตัวและเมื่อมองย้อนไป ผมผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้ เพราะผมมีความฝันที่จะเป็นนักแสดง ผมไม่ต้องการที่จะเป็นไอดอลซึ่งชีวิตมีขึ้นมีลงมากมาย ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะรุ้สึกว่างเปล่ามาก จากนั้นมา ผมได้พยายามอย่างมากที่จะสร้างทางเดินของผมเอง ในตอนแรก ๆผมเกลียดการพ่ายแพ้อย่างมาก และนั่นทำให้ผมกังวลอย่างมากในการที่จะต้องมีความมุ่งมั่นในแบบอย่างที่ถูกต้องที่ควรเป็นให้ได้ ทั้งๆที่รุ้ว่าผมจะต้องแบกรับความรับผิดชอบใดบ้างที่จะมีความมุ่งมั่นเช่นนั้นและผมจะปกป้องความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผู้คนมีต่อผมได้อย่างไร แม้ว่าผมจะทำตัวเหมือนเด็ก ๆในตอนเริ่มต้น ในช่วงที่กำลังมองหาคำตอบที่ถูกต้องของชีวิต ผมก็รุ้สึกได้ถึงการยกย่องและความพอใจที่ผุ้คนมีต่อผม ทำให้ผมตระหนักว่าผมสามารถสร้างคุณค่าของผมเองด้วยตัวผมเองโดยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน และจากประสบการณ์เหล่านี้ ผมจึงกลายเป็นผมในวันนี้ครับ
Q: ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่คุณจะแสดงแต่ละครที่เป็นพีเรียดหรือละครที่มีธีมเฉพาะ จนคุณกำลังกลายเป็นผู้นำในละครประเภทนี้ไปแล้ว
A: “เหมาะสมที่สุดสำหรับละครแฟนตาซี” “เหมาะสมที่สุดสำหรับละครที่มีธีมเฉพาะ” “เหมาะสมที่สุดกับละครประเภทยากลำบาก” คำพูดเหล่านี้ครับ เป็นคำพูดที่ผมชอบที่จะได้ยินมาก คำพูดเหล่านี้บอกได้ว่าผมเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือครับ แฟน ๆของผมเรียกร้องให้ผมแสดงละครที่ผ่อนคลายมากกว่านี้บ้าง อย่าเลือกเล่นละครที่จะทำให้ผมอาจบาดเจ็บทางกาย เล่นละครรอมคอมบ้าง ในโลกนี้ไม่มีนะครับการแสดงแบบผ่อนคลาย และก็ไม่มีนะครับในโลกนี้ที่ผมจะใส่สูทเท่ๆแล้วผู้หญิงจะมาให้ความสนใจในตัวผมแบบอัตโนมัติ (หัวเราะ) บทความสัมภาษณ์ผมมากมายที่ลงท้ายว่า “ต้องการที่จะเห็นอีจุนกิในละครโรแมนซ์” ผมสาบานได้นะครับว่าผมระทมทุกข์กับความคิดเรื่องนี้ทุก ๆปีเลยครับไม่เว้น ผมรุ้สึกหมดหนทางและทำอะไรไม่ถูกจริงๆครับที่ผมไม่มีงานแบบนั้น แต่อย่างว่านะครับ ผมรุ้สึกว่าถ้าผมจะเลือกละครโรแมนซ์ จะต้องเป็นละครโรแมนซ์ที่มีเนื้อเรื่องการดำเนินเรื่องที่ดี ๆสตรองนะครับ ผมต้องต่อสู้กับความคิดเสมอ ๆนะว่า ผมจำเป็นไหมที่จะต้องเลือกเล่นละครรอมคอมแต่อาจทำให้ทุกๆคนรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ และในขณะที่ผมมัวแต่ต่อสู้กับความคิดเหล่านี้กับตัวเอง ทำให้ผมต้องเสียโอกาสไปบ่อยครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงก็มีงานละครรอมคอมที่เสนอมาให้ผมพอสมควรนะครับ และผมดีใจที่ DOTS และ Goblin ไม่ใช่ละครที่ผมปฏิเสธไปครับ (หัวเราะ)
Q: ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้คือผลจากการเลือกของคุณ
A: ถ้าคุณขุดลงไปลึกๆนะครับ คุณจะเห็นว่า ละครพีเรียดที่ผมเล่นทุกเรื่อง จะแตกต่างกันไปหมดทุกเรื่อง สองเรื่องล่าสุดของละครพีเรียดเป็นละครแฟนตาซี ตอนที่ผมดูบททั้งหลายที่ส่งมาให้ผมพิจารณาในช่วงเวลานั้นๆ ผมจะเลือกบทที่ดูแล้วแตกต่างและใหม่สำหรับผมที่จะแสดง ถ้าผมเลือกแสดงละครพีเรียดอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งแสดงละครพีเรียดมาหยก ๆ พวกสต๊าฟทั้งหลายจะมารวมตัวกันในสำนักงานและกังวลเกี่ยวกับตัวผม พวกสต๊าฟจะมีคอมเม้นท์ประเภท “หยุดเล่นละครพีเรียดเถอะ” หรือไม่ก็พูดว่า “แต่เรื่องนี้ดูแตกต่างไปบ้างนะ” เมื่อตอนผมเลือกเล่นมือปืนโชซอน ความคิดตอนนั้นคือ “มีมือปืนสมัยโชซอนด้วยหรือ ช่างเป็นโปรเจคที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใครมาก่อนเลย” ส่วนตอนช่วง ท่านบัณฑิต Scholar Who Walks the Night ความคิดของผมก็คือ “แวมไพร์สมัยโชซอนหรือ อันนี้ช่างเป็นงานที่แตกต่างจริง ๆ” และพอมาถึง Moon Lovers Scarlet Heart Ryeo ความคิดก็คือ “ผู้หญิงข้ามภพกลับไปและมีการเดินทางที่น่าสนใจอย่างยิ่งกับบรรดาหนุ่มดอกไม้ ช่างสร้างสรรค์จริง ๆ” ความคิดเป็นแบบนี้ทุกครั้งครับ (หัวเราะ) ส่วนละครที่มีธีมฉพาะก็เหมือนกันครับ ในช่วง Two Weeks ความคิดก็คือ “เป็นครั้งแรกที่จะเล่นบทคุณพ่อในช่วงที่ยังหนุ่มมาก?” (หัวเราะ)
Q: แม้คุณจะเข้าร่วมในหนังเรื่อง Resident Evil-The Final Chapter และ Never Said Goodbye ซึ่งเรื่องแรกเป็นแค่ดารารับเชิญและเรื่องที่สองเป็นหนังที่สร้างโดยผู้สร้างชาวจีน อะไรคือเหตุผลที่คุณไม่ค่อยเข้ามามีส่วนร่วมในหนังเกาหลีแล้ว
A: เพราะผมใช้เวลามากมายไปกับการแสดงซีรีส์ทางทีวี ทำให้ผมสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้คนในวงการหนังใหญ่ไป ผมต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการหนังใหญ่อีกครั้งหนึ่งจริง ๆครับและอยากเข้าไปทำงานในโปรเจคที่ผมสนใจ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผมจึงกระตือรือล้นและไปพบปะผู้คนในวงการหนังใหญ่ครับและบอกกล่าวให้พวกเขาทราบกันว่าผมยินดีที่จะเข้าร่วมงานและหวังว่าจะได้รับโอกาสครับ ผมไม่แคร์ว่าตัวละครที่เล่นจะเป็นตัวนำหรือไม่ ถ้าผมสามารถจะช่วยโปรเจคไหนได้ ผมเล่นเป็นตัวอะไรก็ได้ครับ
Q: ผมได้ค้นพบว่าผู้คนที่กลายมาเป็นแฟน ๆอีจุนกิ มักจะเดินรอยตามแนวทางเดียวกัน คือครั้งแรก แฟน ๆอาจจะรู้สึกว่า คุณไม่ใช่นักแสดงประเภทที่พวกเขาจะชอบกัน แต่หลังจากดูละครของคุณสักหนึ่งเรื่อง พวกเขาก็จะพูดว่า “อ๋อ เขาเป็นแบบนี้เอง” และหลังจากที่พวกเขาหลงรักคุณแล้ว ก็จะกลับไปดูละครเรื่องเก่า ๆของคุณทั้งหมด เหมือนว่าคุณเป็นนักแสดงที่ทำให้ผู้คนต้องกลับไปดูงานเก่า ๆเพื่อจะได้เห็นคุณแสดงมากขึ้น
A: ผมไม่ทราบนะครับว่าเป็นเพราะผมถูกตราหน้าว่าเป็นนักแสดงที่แสดงแต่ละครพีเรียดหรือเปล่า ในความเป็นจริงก็คือ ถ้าคุณดูละครแต่ละเรื่องนะครับ ความรุ้สึกจะแตกต่างกันออกไป แฟน ๆที่ตกหลุมรักหลังจากดูเรื่อง Moon Lovers มักจะเป็นคนอายุน้อย ๆส่วนใหญ่และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รุ้จักว่าผมคือใครก่อนที่จะมาดูเรื่องนี้ พอหลังจากดูเรื่องนี้ พวกเขาก็อาจจะคิดว่า “อีจุนกิหล่อหรือ แต่เขาดูหล่อในละครเรื่องมูนนะ” (หัวเราะ) ถ้าผมมีแฟนๆเพิ่มขึ้น และมีคนรักผมมากขึ้นจากละครเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกมีความสุขจริง ๆครับ
Q: ได้พบเจอตัวคุณต่อหน้าแบบนี้ มีความรุ้สึกว่าคุณเป็นคนแมนๆจริง ๆ ตอนที่คุณเดบิวท์คุณถูกมองว่าเป็นหนุ่มดอกไม้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
A: ถ้าจะให้ผมใช้ศัพท์สมัยใหม่ที่กำลังใช้กันอธิบายเรื่องนี้ต้องบอกว่า ผมรู้สึกขนลุกทั้งตัวเลยครับ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น ในฐานะนักแสดงหน้าใหม่และได้รับการชื่นชม ตอบรับและดังขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าผมต้องทำให้จำนวนคนมารักกงกิลเพิ่มมาก ๆขึ้นครับ ผกก ในตอนนั้นบอกผมว่า อย่าแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ดังนั้นผมจึงต้องบังคับไม่ให้ตัวตนที่แท้จริงออกมาให้คนเห็น เป็นเวลาประมาณสองปีครับที่ภาพลักษณ์นั้นเป็นภาพที่ผมต้องรักษาไว้ ผมไม่ได้รับการยอมรับในภาพลักษณ์อื่น ๆ ผมรู้สึกกดดันอย่างมาก ๆครับในการแบกภาพลักษณ์ของกงกิล ผู้คนเพิ่งจะเริ่มยอมรับในตัวตนผมในฐานะนักแสดงก็ต่อเมื่อ 7 ปีผ่านไป คนจะคิดว่า นักแสดงชายที่มองดูมีความเป็นผู้หญิงมากจะมีผลด้านลบต่องานหรือไม่ และการเป็นนักแสดงชายที่ดูมีความเป็นผู้หญิงทำให้ศักยภาพในการมีบทมาให้เลือกน้อยลง และผมต้องต่อสู้อย่างมากจริง ๆกว่าจะผ่านมาได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องถือว่าเป็นพรที่ผมได้รับอย่างหนึ่งครับ มันเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม อาจจะเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ผมมุ่งมั่นและโฟกัสไปที่บทแอคชั่นอย่างมากเพื่อที่จะได้แสดงให้ผู้ชมได้เห็นด้านที่เป็นผู้ชายแมน ๆของผม
Q: ประสบการณ์ที่คุณสั่งสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาประเมิณค่ามิได้ต่อหน้าที่การงานของคุณในฐานะนักแสดง ได้ข่าวว่าคุณมีรอยแผลเป็นตลอดทั่วทั้งร่างกายจากฉากแอคชั่นที่คุณแสดง
A: จริง ๆไม่ใช่สิ่งที่ดีมากนะครับที่นักแสดงจะเล่นบทแอคชั่นสตันท์ ทุกฉากด้วยตัวของเขาเอง เหตุผลที่ต้องมีสตันท์มืออาชีพสำหรับฉากแอคชั่นก็เพราะเราต้องการที่จะป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นในกองถ่าย ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาครับที่ผมจะต้องมีรอยแผลจากการบาดเจ็บบ้างเพราะผมเล่นฉากสตันท์ด้วยตัวผมเองทุกฉาก แม้ผมจะทราบดีถึงความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บแต่ผมคิดว่าการจะแสดงบทตัวละครที่ผมได้รับมาให้ดีขึ้นนั้น ผมจะต้องแสดงทุกฉากเอง ช่วงหลัง ๆนี้ ผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยจะคล่องตัวและหยืดหยุ่นเท่าเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนนี้ ผมสามารถเตะสูงได้ตลอดทั้งคืนแต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายกำลังไม่ไหวหลังจากเล่นแบบนั้นสองชั่วโมงผ่านไป ผมสนิทสนมกับทีม martial art มากครับ และตอนนี้พอพวกเขาเห็นผมเป็นแบบนี้ พวกเขาก็พูดกันว่า “จุนกิกำลังแก่ขึ้นนะ เรามาถ่ายทำกันแบบเอาแต่ท่อนบนช่วงเอวขึ้นไปพอ” ผมรู้สึกเศร้ามากเมื่อได้ยินแบบนั้นและผมก็จะพูดว่า “ทำไมจะถ่ายจากท่อนเอวขึ้นมา พวกคุณบ้าหรือ อย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
Q: เหมือนกับว่ามีสิ่งเดียวที่คุณอยากทำให้ดีขึ้น นั่นคือทักษะการแสดงของคุณ
A: สิ่งเดียวที่ผมรู้จัก คือการแสดง ผมไม่มีประโยชน์ใช้ไม่ได้จริง ๆนะครับ ครอบครัวของผมทุกคนบอกผมว่าผมต้องเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตผมในฐานะนักแสดงไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ผมเป็นคนที่คู่ควรและเหมาะสมกับความรักที่ได้รับจากผู้คน
Q: คุณต้องการที่จะแสดงไปตลอดชีวิตหรือไม่
A: ใช่ครับ จุดประสงค์เดียวสุงสุดของผมคือเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ มีงานแสดง ได้รับการยอมรับจากผู้คนในฐานะนักแสดง จะเป็นการดีนะครับถ้าผมจะสามารถก้าวเข้าสู่วงการหนัง Hollywood ได้ แต่นั่นหมายความว่าผมจำเป็นจะต้องเป็นนักแสดงที่มีความสามารถก่อนสิ่งอื่นใด (หัวเราะ)
Eng translation by Amy C, Jemma W @Lee Joon Gi International Fan Club based on LJG Taiwan Fan Club
Thai translation by Patoi@JGThai Family