วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) ชนวนความชั่วร้าย

 

ชนวนความชั่วร้าย

แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้าแจ่มใส แต่เอี้ยเทียนไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์อีกแล้ว

เอี้ยเทียนย่อมไม่รู้สึก

มันตายไปพร้อมกับเสียงหัวร่อ คนเราตอนใกล้ตายยังสามารถหัวร่อได้ นั่นมิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย

และมันความจริง ไม่มีเหตุผลมาหัวร่อเลย

หากความลับของคนใดถูกเปิดเผย มิว่ามันจะตายหรือเป็นต่างต้องหัวร่อไม่ออก

มันไฉนต้องหัวร่อ? ไฉนมันยังสามารถหัวร่อ?

มือเท้าเอี๊ยบไคเย็นเฉียบ แต่หน้าผากมีเหงื่อหลั่งไหลเป็นเส้นสาย... เหงื่อเย็นเฉียบ

เอี๊ยบไคฟังออก ในเสียงหัวร่อของเอี้ยเทียน คล้ายดั่งมีความหมายเย้ยหยันจนพิกลยิ่ง

แต่เอี๊ยบไคกลับเดาไม่ออก เป็นความหมายใดกันแน่? !

มิว่าเป็นความหมายใด ตอนนี้ก็กลายเป็นไม่มีความหมายแล้ว หลังจากคนตายไป ทุกประการที่มันมีต่างสูญสลายพร้อมกับชีวิตของมัน

หนึ่งเดียวที่คนตายสามารถนำพาไป มีอยู่ประการเดียว

...ความลับ!

เอี้ยเทียนได้พาความลับ ติดตามมันไปในปรภพหรือไม่?

...คนตายบางครั้งก็สามารถกล่าววาจาได้ เพียงแต่ว่าวิธีกล่าวผิดกันเท่านั้น

มันใช่ยังจะสามารถ บอกความลับใดออกมาอีก?

คนเป็นใช้ปากกล่าววาจา คนตายใช้กระไรกล่าว?

ใช้บาดแผลของมัน!

ปากแผลเน่าแล้ว โลหิตที่ไหลออกมาเป็นสีดำ แต่ปากแผลไม่ใหญ่นัก

หากเอี๊ยบไคมิใช่เห็นกับตา ยากยิ่งจะยอมเชื่อ บาดแผลที่เป็นจุดราวปลายเข็ม จะสามารถปลิดชีวิตปวยฮู้เอี้ยเทียนได้

ลมเหน็บหนาวราวคมมีด แต่ไม่มีเสียง

มีดที่ฆ่าคน ไยมิใช่มักไม่มีเสียงเช่นกัน!

เสียงที่เอี๊ยบไคได้ยิน เป็นเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง เอี๊ยบไคมิได้เหลียวมอง เนื่องเพราะทราบผู้มาเป็นใครแล้ว

ผู้มาคือหญิงชรา ที่เมื่อครู่หนีไปในอีกทิศทางหนึ่ง

ตอนนี้ที่นางสวมใส่อยู่ ย่อมมิใช่เสื้อกระโปรงดำ มีเสื้อกั๊กนวมทับอีกชั้น

ใบหน้ารูปไข่ที่ขาวเกลี้ยง ตาหยาดเยิ้มของนาง ตอนนี้ย่อมเปลี่ยนแปรไปแล้ว

ที่เปลี่ยนไม่ได้คือรูปดวงตานาง ตาที่เล็กๆ งอนๆ ยามแย้มยิ้มเป็นวงโค้งดั่งเดือนดวงใหม่

เอี้ยเทียนอยู่ที่เบื้องหน้านางนี่เอง แต่นางกระทั่งหางตายังมิเหลือบแล

นางจ้องมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง คล้ายดั่งจะจ้องมองเข้าไปล้วงวิญญาณของเอี๊ยบไคออกมาก็ปาน

เอี๊ยบไคปิดอกเสื้อของผู้ตายให้อยู่สภาพเดิมแล้วทรงกายขึ้นยืน เนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวเพียงสามคำ

“มันตายแล้ว”

“ข้าพเจ้าดูออก”

“มันเป็นบุรุษของท่าน?”

“ตอนมันมีชีวิตนั้นใช่”

เอี๊ยบไคเพ่งมองนางพลางกล่าวช้าๆ

“บุรุษของตัวตายไปแล้ว มิว่าเป็นสตรีเยี่ยงไร ต่างต้องมีความเสียใจสักเล็กน้อย แต่ทว่าข้าพเจ้ากลับดูไม่ออก ท่านมีความเสียใจแม้สักน้อยนิด?”

“ข้าพเจ้าความจริงเป็นหญิงม่ายอยู่แล้ว มันก็มิใช่บุรุษคนแรกของข้าพเจ้า คนตายที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา มิเพียงมันคนเดียว.... มิว่าเรื่องราวใด ขอเพียงชาชินเป็นนิสัย ก็ไม่ต้องเศร้าเสียใจได้เลย”

นางแม้กำลังถอนใจ แต่มิว่าผู้ใดต่างฟังออก ในเสียงถอนใจของนาง มิได้มีความหมายเศร้ารันทดใดๆ อยู่เลย

เอี๊ยบไคไม่มีวาจาว่ากล่าว

อย่างน้อยที่นางบอกก็เป็นวาจาสัตย์จริง วาจาสัตย์จริงมักบันดาลให้ผู้คนไม่มีปัญญาโต้แย้งได้

เฮ้งกัวหูพลันถามอีก

“เป็นท่านสังหารมัน?”

“ท่านสมควรทราบ มันบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว”

“แต่มันเมื่อครู่ยังเป็นคนมีชีวิตที่คึกคัก ไฉนบัดนี้พลันตายไปได้?”

“เนื่องเพราะบาดเจ็บของมันไม่สาหัส แต่พิษที่ถูกกลับร้ายแรงอย่างยิ่ง”

“อ้อ?”

“มันมาตรแม้นใช้ยาสรรพคุณสูง พยายามข่มบังคับพิษร้ายไว้ได้ แต่เมื่อใช้กำลังวิ่งสุดแรง พิษในร่างก็กำเริบขึ้นเอง”

เฮ้งกัวหูแค่นหัวร่อกล่าว

“ท่านทราบหรือไม่ว่ามันเป็นผู้ใด?”

เอี๊ยบไคย่อมทราบ เฮ้งกัวหูกล่าวต่อ

“ท่านทราบหรือไม่ ปวยฮู้เอี้ยเทียนมิเพียงมีวิชาตัวเบาสูงเยี่ยมเท่านั้น ยังมีความสามารถอื่นๆ อีกมากหลายด้วย”

“รักษาบาดแผลขจัดพิษ ก็เป็นหนึ่งในความชำนาญของมัน”

“แต่ท่านตอนนี้ กลับยังว่ามันถูกพิษกำเริบปลิดชีวิตตาย?”

“ในโลกขอเพียงมีพิษชนิดเดียว ที่มันไม่สามารถขจัดได้ มันก็ต้องถูกพิษนั้นกำเริบปลิดชีวิต”

“มิใช่เป็นท่านฆ่ามันจริงๆ?”

“ข้าพเจ้ามิเคยฆ่าสหายมาเลย”

“มันเป็นสหายของท่านจริงๆ?”

เอี๊ยบไคถอนใจยาว กล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ขอเพียงมันเคยเป็นสหายของข้าพเจ้ามาสักวัน ก็ต้องเป็นสหายของข้าพเจ้าไปชั่วกาลนาน”

เฮ้งกัวหูกลอกตาไปมา พลันแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินว่า ท่านเป็นสหายของมัน”

“อ้อ?”

“ข้าพเจ้ายังเคยได้ยินวาจาประโยคหนึ่ง”

“วาจาใด?”

“ภรรยาของสหาย ไม่อาจกล้ำกราย จะกล้ำกรายภรรยาของสหาย ต้องรอให้สหายตายเสียก่อน”

นางแย้มยิ้มจนตาหยีราวเดือนดวงใหม่ กล่าวสืบไป

“วาจานี้ข้าพเจ้าคล้ายได้ยินท่านเป็นผู้กล่าว”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม เฮ้งกัวหูกล่าวต่อ

“ตอนนี้มันตายไปแล้ว ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่าน...”

นางมิได้กล่าวสืบไป เอี๊ยบไคย่อมทราบความหมายในวาจานาง ขอเพียงเป็นบุรุษ ต่างสมควรเข้าใจได้

เอี๊ยบไคเพ่งมองนางแน่วนิ่ง พลันถามขึ้น

“ท่านเคยพบฮั่นเจ็งหรือไม่?”

เฮ้งกัวหูย่อมเคยพบมานาน นางจึงแย้มยิ้มตอบ

“เจ้าเด็กน้อยตัวนั้น ความจริงก็มีเจตนามาแทะโลมข้าพเจ้า แต่เสียดายข้าพเจ้าพอเห็นมัน ก็สะอิดสะเอียนแทบอาเจียน”

“เพราะกระไร?”

“เพราะจมูกของมัน”

เอี๊ยบไคหัวเราะแล้ว เฮ้งกัวหูกล่าวต่อ

“จมูกของมัน ดูไปคล้ายเป็นลูกพลับเน่าไม่ผิดเพี้ยน”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มถาม

“ท่านทราบหรือไม่ จมูกของมันไฉนจึงกลายเป็นสารรูปนั้น?”

“ถูกคนต่อยมากระมัง?”

“ใช่แล้ว”

“ท่านทราบเป็นผู้ใดต่อยมัน?”

“ข้าพเจ้ามิเพียงทราบเท่านั้น ยังทราบกระจ่างกว่าทุกผู้คนเสียอีก”

เฮ้งกัวหูก็ทราบแล้ว นางจึงแย้มยิ้มกล่าว

“ต้องเป็นถูกท่านต่อย ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว”

เอี๊ยบไคกล่าวช้าๆ สืบไป

“ดังนั้น ท่านตอนนี้ยังคงรีบไปจะประเสริฐสุด พาบุรุษของท่านไป จัดการฝังมันให้ดีที่สุดด้วย”

เฮ้งกัวหูผิดคาดหมายจนร้องโพล่งขึ้น

“ท่านต้องการใช้ข้าพเจ้าไป? เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะมือข้าพเจ้าตอนนี้คันอย่างยิ่ง หากท่านไม่ไป ข้าพเจ้าประกัน จมูกของท่านจะต้องกลายเป็นคล้ายฮั่นเจ็งโดยเร็วยิ่ง”

เฮ้งกัวหูมิกล่าวกระไรอีก ไม่อาจส่งเสียงแม้สักครึ่งคำแล้ว

อย่างน้อยนางยังนับว่า มีความสำนึกที่ดียิ่ง

รอจนเมื่อนางอุ้มซากศพเอี้ยเทียนขึ้นรถเทียมล่อ เอี๊ยบไคจึงได้เดินย้อนกลับในเส้นทางเดิม

เอี๊ยบไคเดินช้าอย่างยิ่ง

ในตอนใช้สมอง เอี๊ยบไคมักจะเดินช้ายิ่ง

เดินออกจากตรอกขวาง เดินเข้าไปในถนนใหญ่ เบื้องหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่รอบตัวรถม้าที่แตกกระจาย

ซ่งเล่าปั้งตายอยู่บนรถม้า ในร่างมีเพียงบาดแผลที่โตประมาณปลายเข็มเท่านั้น

บาดแผลอยู่หว่างคิ้วมัน

เอี๊ยบไคเบียดผู้คนเข้าไป กวาดตาดูแล้วเบียดออกมาอีก ใบหน้าถึงกับไม่มีแววแตกตื่นแม้สักน้อยนิด

คล้ายดั่งถึงกับคำนวณเรื่องนี้ไว้ได้แต่แรกแล้วก็ปาน

เอี๊ยบไคกลับไปที่ประตูเมืองเอี้ยงเพ้งอีกครา มนุษย์มหึมาผู้นั้นก็ตายแล้ว มีบาดแผลเล็กๆ เช่นเดียวกัน

บาดแผลที่ยังโตกว่าปลายเข็มไม่เท่าใด แต่สามารถปลิดชีวิตมนุษย์ที่ใหญ่มหึมาปานหอเหล็กได้

คนที่ล้อมดูมันยิ่งมากกว่า

ขณะที่เอี๊ยบไคคิดจะลอบหลบหน้าไป ทันใดมีคนผู้หนึ่งคว้าอกเสื้อไว้แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านหนีไม่รอดดอก!

มิว่าคนเคยกระทำความผิดหรือไม่ หากพลันถูกพนักงานกรมเมือง (ตำรวจ) คว้าอกเสื้อไว้ ต่างอดมิได้ต้องตระหนกจนสะดุ้งเฮือกใหญ่

คนที่คว้าอกเสื้อเอี๊ยบไค เป็นพนักงานกรมเมืองสวมหมวกสีแดงมือถือกระบองสั้น

ที่ด้านข้างมีเสียบคนร้องขึ้น

“ผู้ต่อยตีกับซ่งเล่าปั้งเมื่อครู่ก็คือมัน...”

“ข้าพเจ้ารู้จักมัน...”

พนักงานกรมเมืองผู้นั้น คว้าข้อมือเอี๊ยบไคไว้อีกข้างหนึ่ง ที่ใช้ถึงกับเป็นวิชาคว้าจับ

มันแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

“ท่านทำอันตรายไปถึงสองชีวิต ถึงกับยังกล้าเผยอหน้ามาอวดโอ่ ขวัญของท่านกลับกล้าแข็งไม่น้อย”

เอี๊ยบไคย่อมสามารถสลัดข้อมือข้างนั้นหลุดได้โดยง่ายดาย กับวิชาคว้าจับเจ็ดสิบสองกระบวนท่าเยี่ยงนี้ เอี๊ยบไคอย่างน้อยมีวิธีทำลายไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบวิธี

แต่เอี๊ยบไคมิได้ทำดั่งนั้น

เอี๊ยบไคมิใช่กลับพนักงานกรมเมืองผู้นี้ แต่เป็นเคารพ

มิว่าพนักงานกรมเมืองจะเป็นคนเช่นไร เอี๊ยบไคต่างให้ความเคารพเช่นกัน

เนื่องเพราะที่เอี๊ยบไคเคารพมิใช่คน แต่เป็นกฎหมายที่มันเป็นผู้แทนอยู่

เอี๊ยบไคกระทั่งยังมิได้โต้เถียงอธิบาย

ความจริงเรื่องเช่นนี้ มิใช่อธิบายให้แก่พนักงานกรมเมืองเข้าใจได้ เอี๊ยบไคจึงไม่มีปัญญาที่จะอธิบายอยู่เลย

และที่นี้ก็มิใช่เป็นสถานมที่กล่าววาจาด้วย

พนักงานกรมเมืองผู้นั้น คุมตัวเอี๊ยบไคขึ้นรถม้าพลางตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

“ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้า กฎหมายประเทศคล้ายเตาหลอม แม้นับว่าท่านมีขวัญโอหังบังอาจเพียงไร เราก็ไม่กลัวท่านจะมิสารภาพ”

เอี๊ยบไคจึงติดตามมันขึ้นรถม้า รอจนรถม้าห้อออกจากบริเวณนั้น จึงอดมิได้ต้องถาม

“ท่านคิดจะทำอย่างไรกับข้าพเจ้าแน่?”

พนักงานกรมเมืองกล่าว

“มิว่าอย่างไร ขังท่านไว้ก่อนค่อยว่ากล่าว”

“จากนั้นเล่า?”

“จากนั้น ใช้โสมดีที่สุดตุ๋นกับไก่ตัวหนึ่ง ปรุงกับแกล้มโอชะอีกสี่ห้าจาน อุ่นสุราใบไผ่เขียวที่เก็บนานปีสักหลายป้าน เชิญท่านดื่มกินสุราอาหารทั้งมวลลงไปให้หมดสิ้น”

ดวงตามันพลันมีประกายยิ้มแย้ม น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลดั่งลมชุนเทียน

เอี๊ยบไคถอนหายใจยาว ฝืนยิ้มกล่าว

“ตอนนี้นับว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ท่านคิดจะให้ข้าพเจ้าอืดตาย?”

-------------------------------

ไก่ที่ต้มด้วยโสม ยังร้อนมีควันกรุ่น

กับแกล้มทั้งหกจาน ล้วนแล้วเลิศด้วยสีกลิ่นรส กระตุ้นคนให้กระหายยิ่ง ทั้งยังมีถั่วยี่สงอีกห่อใหญ่ด้วย

สุราใบไผ่เขียวก็อุ่นได้พอดี มิร้อนมิเย็นเกินไป

คนภาคเหนือ ดื่มสุราใดๆ ต่างพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง ล้วนแล้วต้องผ่านการอุ่นจนได้ระดับพอดี จึงยอมดื่มลงคอ

เอี๊ยบไคดื่มไปสามจอกแล้ว การต่อสู้ที่ดุดันอำมหิตในยามค่ำคืน เลือดนองที่ไหลออกจากปากแผล คล้ายดั่งห่างออกจากห้วงสมองไปไกลอย่างยิ่งแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกำลังเพ่งมอง เม้มปากกลั้นหัวร่อแล้วกล่าว

“คิดจะให้ท่านอืดตายคล้ายไม่ง่ายนัก”

เอี๊ยบไคมิได้เอ่ยปาก เพราะปากไม่ว่าง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“มาตรว่าท่านรับทานกับรวดเร็วยิ่ง แต่สุรากลับดื่มน้อยเกินไป”

เอี๊ยบไคชายตามองนางแวบหนึ่งพลางตอบ

“ท่านคิดจะให้ข้าพเจ้าอืดตาย? หรือคิดจะกรอกให้ข้าพเจ้าเมามายกันแน่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าความจริง คิดจะขู่ขวัญให้ท่านฝ่อตาย”

“อ้อ?”

“ท่านทั้งที่รู้แน่ คนในละแวกใกล้เคียงนั้น ต่างเห็นท่านต่อสู้กับซ่งเล่าปั้งมากับตา ท่านถึงกับกล้าไปเตร็ดเตร่ในที่นั้น ขวัญของท่านออกจะกล้าแข็งเกินไปแล้ว”

“ท่านกลัวข้าพเจ้าถูกคนจำได้ จับไปมอบแก่กรมเมือง?”

“มิว่าอย่างไร มากอีกเรื่องหนึ่ง มิสู้น้อยอีกเรื่องหนึ่ง ท่านไยต้องไปตอแยเรื่องยุ่งยากเยี่ยงนั้นด้วย”

“ดังนั้น ท่านจึงปลอมตัวเป็นพนักงานกรมเมือง มาจับกุมข้าพเจ้าก่อน?”

“ความจริงข้าพเจ้าก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย”

“ท่านกลัวกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจตอบ

“กลัวพบพนักงานกรมเมืองตัวจริง”

“ฮา... นึกมิถึง... ในโลกถึงกับยังมีเรื่องที่สามาถให้เซี่ยงกัวปังจู๊หวาดกลัวอยู่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“เรื่องที่ข้าพเจ้าหวาดกลัว ไหนเลยมีเพียงหนึ่งเดียว”

“ท่านยังกลัวกระไร?”

“กลัวเอี๊ยบปังจู๊ (ประมุขพรรคแซ่เอี๊ยบ)”

“เอี๊ยบปังจู๊?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มพลางกล่าว

“เอี๊ยบปังจู๊พรรคฮวยแซปัง (ถั่วยี่สง) เป็นผู้ใด หรือกระทั่งตัวท่านก็ลืมไปแล้ว?”

เอี๊ยบไคหัวร่อเสียงก้อง หัวร่อพลางยกจอกกรอกแห้ง จากนั้นถามขึ้น

“ในความเห็นของท่าน เป็นถั่วยี่สงประเสริฐ? หรือเงินทองประเสริฐ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าเพียงทราบ อีแปะเดียวพอจะซื้อถั่วยี่สงได้กองใหญ่มหึมา”

“แต่ถั่วยี่สง อย่างน้อยยังมีที่เหนือกว่าเงินทองอยู่บ้าง”

“เหนือในที่ใด?”

“ถั่วยี่สงรับทานได้”

เอี๊ยบไคตอบแล้วแกะถั่วออกมาเม็ดหนึ่ง โยนขึ้นอากาศอ้าปากรับไว้ เคี้ยวช้าๆ กรอกสุราอีกอึกหนึ่ง จึงกล่าวเสียงอ้อยอิ่ง

“หากท่านใช้เงินทองของท่านมาแกล้มสุราได้ ข้าพเจ้าจึงยอมรับว่า ท่านมีความสามารถสุดสูง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“วาจาที่ท่านกล่าวมา คล้ายดั่งมีเหตุผลอย่างยิ่งเสมอ”

“แน่นอน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงแย้มยิ้มกล่าว

“เสียดายที่ท่านลืมไปประการหนึ่ง”

“อ้อ?”

“ไม่มีเงิน สุราไม่มี ถั่วยี่สงก็ไม่มี”

เอี๊ยบไคครุ่นคิด ในที่สุดจำต้องยอมรับ

“วาจาที่ท่านกล่าว ก็คล้ายมิใช่ไม่มีเหตุผล”

“แน่นอน”

“แต่เสียดายที่ท่านก็ลืมไปประการหนึ่ง”

“อ้อ?”

“มีเพียงเงินทองยังไม่พอ เงินทองมิใช่สามารถบันดาลให้คนมีความสุขอย่างแท้จริง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยอมรับ โดยมิต้องครุ่นคิดสักน้อยนิด

“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกำลังแสวงหาอยู่ตลอดมา”

“หากระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเพ่งมองแน่วนิ่ง ในดวงตาคู่งาม มีประกายนุ่มนวลดั่งสายน้ำ กล่าวเสียงนุ่มนวล

“หาของที่สามารถบันดาล ให้ข้าพเจ้ามีความสุขโดยแท้จริง”

เอี๊ยบไคส่งเสียงเย็นชา

“นอกจากเงินทองแล้ว ในโลกยังมีกระไร สามารถบันดาลให้ท่านมีความสุข?”

“มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว”

“ของใด?”

“ถั่วยี่สง”

เอี๊ยบไคหัวร่ออีกแล้ว แกะถั่วยี่สงออกอีกเม็ดหนึ่ง กล่าวต่อไป

“ท่านลืมอีกเรื่องหนึ่งแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนร้องอ้อเป็นทีถาม เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“เงินทองกับถั่วยี่สง มิใช่เป็นคู่ที่เหมาะสม”

“ตะปูกับค้อน ก็มิใช่เป็นคู่ที่เหมาะสม”

เอี๊ยบไคเห็นพ้อง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“แต่นตอนที่มันได้อยู่ด้วยกัน จึงต่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย”

“มีความสุขทั้งสองฝ่าย?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะอธิบาย

“เนื่องเพราะไม่มีค้อน ตะปูก็ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่มีตะปู ค้อนก็ไม่อาจแสดงปมเด่นของมันออกมา”

นางหยุดแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“หากคนเรา ไม่สามารถแสดงปมเด่นออกมา ก็เท่ากับเป็นเศษสวะ เศษสวะ ต้องไม่รู้สึกมีความสุขแน่”

เอี๊ยบไคก็เห็นพ้อง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ดังนั้น มีแต่ตอนพวกมันอยู่ด้วยกัน จึงสามารถได้รับความสุขที่แท้จริง”

นางเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง แต่เอี๊ยบไคกลับเบือนหลบสายตานาง

เอี๊ยบไคกำลังหลบหนี?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าทราบ ในใจท่านก็ต้องยอมรับ วาจาข้าพเจ้ามีเหตุผลถูกต้องที่สุด”

เอี๊ยบไคมิอาจโต้แย้งปฏิเสธ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“บัดนี้ ตอเออกา ปูตาลาและปันชาปานาต่างตายไปแล้ว สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ถูกกำจัดไปสาม มาตรว่าเศษสวะมิถูกกำจัดหมดสิ้น แต่ต้องไม่อาจอวดกล้าสามารถอีกแล้ว”

ดวงตาที่มีประกายหยาดเยิ้มนุ่มนวล กลายเป็นคมวาวราวตะปูอีกครั้ง

แต่นางมิใช่เป็นตะปู นางเป็นค้อน!

“พอม้อก้าล่มมลาย ทอดตาทั่วแผ่นดินยุคนี้ ยังมีค่ายใดสำนักไหน สามารถชิงดีชิงเด่นกับพวกเราได้?”

“พวกเรา?”

เอี๊ยบไคทวนคำโดยมิได้หัวร่อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็กล่าวต่อให้ด้วยสีหน้าสำรวม

“พวกเรา บัดนี้พรรคกิมจี๊ปังบวกกับฮวยแซปัง นับเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ที่มีเพียงความสุขเท่านั้น”

เอี๊ยบไคกำลังเคี้ยวถั่วยี่สงอยู่

ถั่วยี่สง เป็นต้องถูกปากเคี้ยว ตะปู เป็นต้องถูกค้อนตอก

แต่ทว่า หากไม่มีคนใช้ปากเคี้ยวถั่วยี่สง ถั่วยี่สงก็ต้องผุเน่าไปเอง หากไม่มีคนใช้ค้อนตอก ตะปูก็ต้องเกิดสนิมกร่อนหายไปเอง

คุณค่าที่แท้จริงของชีวิตคือกระไร?

ถั่วยี่สงมิใช่ต้องถูกคนเคี้ยว ตะปูไยมิใช่ต้องถูกค้อนตอก จากนั้น ชีวิตมันจึงได้มีคุณค่าที่แท้จริง?

เอี๊ยบไคคล้ายเริ่มหวั่นไหวคล้อยตามบ้างแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ข้าพเจ้าทราบ ในใจท่านต้องมีความเห็น ข้าพเจ้ากำลังต้องการให้ท่านเป็นตะปู”

“หรือท่านไม่คิด?”

“ท่านสมควรดูออก ข้าพเจ้ามิใช่เป็นค้อนที่น่ากลัวเลย”

นางยื่นมือไปกุมมือเอี๊ยบไคไว้

มือนางนุ่มนิ่มราวปุยฝ้าย

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ท่านมิใช่จริงๆ แต่เสียดาย..”

“เสียดายที่ในระหว่างถั่วยี่สงกับเงินทอง ยังมีเหล็งตัง (กระพรวน... ฉายาของเต็งฮุ้นลิ้ม) กางกั้นอยู่?”

เอี๊ยบไคฝืนหัวร่อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“เต็งฮุ้นลิ้มนับเป็นดรุณีที่น่าดูอย่างยิ่ง ประเสริฐอย่างยิ่งจริงๆ หากข้าพเจ้าเป็นบุรุษ ข้าพเจ้าก็ต้องพอใจนาง”

“ท่านมิใช่บุรุษ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

“แต่ข้าพเจ้าอย่างน้อย ไม่ชิงชังรังเกียจนาง”

“เป็นความจริง?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อแล้ว กล่าวเสียงราบเรียบ

“หากข้าพเจ้าชิงชังรังเกียจนาง ไฉนต้องพาท่านไปพบนาง?”

“เพราะกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจตอบ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าตอนนี้เข้าใจแล้ว บุรุษเช่นท่าน ต้องไม่มีสตรีนางใด ยึดครองไว้เป็นกรรมสิทธิ์คนเดียว ข้าพเจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน ไปมุ่งหวังเช่นนั้นแล้ว”

นางเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ประกายตายิ่งนุ่มนวลกว่าเดิม กล่าวสืบไป

“เงินทองพอจะตีเป็นกระพรวน กระพรวนก็พอจะหลอมเป็นเหล็ก ข้าพเจ้ากับนาง ไฉนไม่สามารถหลอมรวมเป็นคนเดียวกัน?”

เอี๊ยบไคหลบสายตานางอีก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“หากแม้นท่านก็ยินยอม เห็นข้าพเจ้าเป็นคนเดียวกันกับนาง ในระหว่างพวกเรา จะต้องมีความสุขอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น...”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“มิเช่นนั้นเป็นไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจตอบ

“มิเช่นนนั้น เงินทอง (เหรียญทอง) ถั่วยี่สง และกระพรวน ไม่แน่ต้องเจ็บช้ำรันทดไปชั่วชีวิต”

ในที่สุด เอี๊ยบไคเบือนหน้ากลับมาจ้องมองนาง

สนธยาอีกแล้ว!

แสงสนธยากำลังลูบไล้อยู่ที่ประตูหน้าต่าง สีสวยงามตระการปานอัสดงของชุนเทียน เตาไฟในห้องถูกก่อขึ้นแล้ว ให้ความอบอุ่นดั่งชุนเทียน (ฤดูใบไม้ผลิ) เช่นกัน

แต่ประกายตาของนาง ยิ่งสวยสะคราญกว่าแสงสีอัสดง ยิ่งนุ่มนวลกว่าชุนเทียน

อาจบางที ชุนเทียนเป็นนางพามาก็ได้

สตรีที่สามารถนำพาชุนเทียนมาได้ ไยมิใช่เป็นที่เพ้อฝันของบุรุษส่วนมาก?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขบริมฝีปากกล่าว

“ท่านคล้ายมิเคยมองข้าพเจ้าเช่นนี้มาเลย”

“ข้าพเจ้า...”

“ท่านมิใคร่มองข้าพเจ้า ดังนั้นท่านจึงไม่เคยดูออกว่าข้าพเจ้าเป็นสตรีเช่นไร? เนื่องเพราะท่านมิทราบเลยว่า ข้าพเจ้าเป็นสตรีเช่นไร ดังนั้นท่านจึงมิใคร่มองข้าพเจ้า”

เอี๊ยบไคยอมรับ

ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมีประกายตัดพ้อรันทด กล่าวเบาๆ

“ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องเข้าใจ ข้าพเจ้าเป็นสตรีที่ปล่อยตัวอย่างยิ่ง มีบุรุษมากอย่างยิ่ง แต่ความจริง... ความจริงภายหน้าท่านต้องทราบ...”

“ทราบกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก้มศีรษะต่ำ กล่าวเบาๆ

“ท่านภายหน้าต้องทราบ ท่านมิเพียงเป็นบุรุษคนแรกของข้าพเจ้าเท่านั้น ยังเป็นคนสุดท้ายของข้าพเจ้าด้วย๐

นี่ต้องมิใช่วาจามดเท็จเด็ดขาด

สตรีที่ชาญฉลาด ต้องไม่กล่าววาจามดเท็จที่พร้อมจะถูกเปิดเผยความจริงได้โดยง่ายดาย

นางย่อมเป็นสตรีชาญฉลาด

หัวใจเอี๊ยบไคคล้ายละลายไปแล้ว อดมิได้ต้องกุมมือนาง พลางกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ไม่ต้องรอถึงภายหน้า ข้าพเจ้าตอนนี้ก็เชื่อแล้ว”

ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเป็นประกาย พลันกระโดดขึ้นร้อง

“ไป! พวกเราไปหากระพรวนกัน”

“นาง..”

“ในเมื่อนางยังรู้จักมาซ่อนตัวที่นี้ สติของนางต้องยังไม่เสื่อมสูญโดยสิ้นเชิง ขอเพียงพวกเราดูแลนางโดยดี นางต้องทุเลาในเวลารวดเร็วยิ่ง”

ดวงตาเอี๊ยบไคมีประกายตื้นตัน ดูท่ามิได้เข้าใจนางกระจ่างอยู่เสมอมาจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“เมื่อครู่ตอนข้าพเจ้าออกไป นางหลับอีกแล้ว ข้าพเจ้าจึงสั่งให้ฮั่นเจ็งอยู่ดูแลนาง”

“จุยจื้อ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ขอเพียงท่านรู้จักใช้ จุยจื้อก็มีประโยชน์ใหญ่ยิ่ง”

“ท่านยินยอมเชื่อถือมันแล้ว?”

“มันมิใช่เป็นคนดี แต่ทว่าข้าพเจ้าดูออกแล้ว มันต้องไม่กล้ากระทำเรื่องทรยศต่อข้าพเจ้าเด็ดขาด”

--------------------

สถานที่ดื่มสุราของทั้งสอง ย่อมอยู่ในอุทยานแนเฮียงฮึ้ง

ผ่านประตูมุมกำแพง ก็เป็นตึกที่เต็งฮุ้นลิ้มอยู่อาศัย

อาทิตย์อัสดงลงไปแล้ว

ในลานตึกทั้งเงียบทั้งสงบ ประตูเพียงปิดแง้มไว้ ในห้องมิได้จุดโคมไฟ

ทั้งสองเดินผ่านลานตึกที่เล็กๆ ที่สงัดเงียบ มาถึงปากประตู เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็คลายมือที่ปล่อยเอี๊ยบไค

นางมิเพียงนุ่มนวลเท่านั้น ยังเอาใจอย่างยิ่ง

ความนุ่มนวลเอาใจของสตรี ย่อมสามารถบันดาลให้บุรุษหวั่นไหวตื้นตันได้

“นางต้องกำลังหลับอยู่”

“สามารถหลับได้ย่อมเป็นบุญวาสนา”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มพลางผลักประตูเบาๆ เอี๊ยบไคเดินตามหลังนางเข้าไป ยังมิทันผ่านพ้นธรณีประตู พลันเห็นร่างนางชาแข็งแล้ว...

ในห้องที่สงบเงียบ แสงนุ่มนวลของอาทิตย์อัสดง ยังคงหลงเหลืออยู่ที่มุมห้อง แต่ไม่เห็นผู้คนแล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มหายไปแล้ว ฮั่นเจ็งก็หายไปด้วย!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเหม่อมองดูเตียงเปล่าด้วยความตระหนก กระวนกระวายจนน้ำตาหลั่งไหล

เอี๊ยบไคกลับเยือกเย็นกว่า เดินไปจุดโคมขึ้นก่อนแล้วจึงถาม

“ท่านให้ฮั่นเจ็งอยู่ดูแลที่นี้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ เอี๊ยบไคถามอีก

“มันจะปลีกตัวไปหรือไม่?”

“ไม่เด็ดขาด ข้าพเจ้าสั่งมันไว้แล้ว ไม่มีคำสั่งข้าพเจ้า มันต้องไม่กล้าปลีกตัวไปสักครึ่งก้าว”

“ท่านมั่นใจได้?”

“มันต้องไม่กล้าฝ่าฝืนวาจาข้าพเจ้าเด็ดขาด มันยังไม่คิดจะตาย”

“แต่ตอนนี้ มันมิได้อยู่ที่ห้องแล้ว?”

ใบหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนซีดขาว ร้องเสียงสะท้าน

“ข้าพเจ้าคิดว่านี่ต้องมีสาเหตุ ต้องมี...”

“ท่านคิดว่ามันไปด้วยสาเหตุใด?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิได้ตอบ และไม่อาจตอบด้วย เอี๊ยบไคจึงกล่าว

“มันมิเพียงไปตามลำพังเท่านั้น ยังพาเต็งฮุ้นลิ้มไปด้วย มัน...”

“เต็งฮุ้นลิ้มต้องมิใช่ถูกมันพาไปเด็ดขาด”

“ท่านแน่ใจได้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ นางมิใช่เป็นคนระบุเรื่องราวหนักแน่นโดยง่ายดาย ข้อคิดสันนิษฐานและการตัดสินใจของนาง ปกติแม่นยำอย่างยิ่ง

“นางถูกเสียดแทงใจจนตระหนกเกินไป ดังนั้นจึงอยู่ในระหว่างตื่นเต้นขวัญเสียเป็นอย่างยิ่ง ต้องไม่อาจถูกกระทบกระเทือนใจแม้สักน้อยนิดอีก”

“ท่านเห็นว่า ที่นี้เกิดเรื่องราวใด นางถูกกระตุ้นให้ตระหนก ดังนั้น นางพลันหนีออกไป?”

“ต้องเช่นนี้แน่”

“นางหนีไปแล้ว ฮั่นเจ็งย่อมต้องไล่ตามนาง?”

“ดังนั้น พวกมันทั้งสองจึงมิได้อยู่ในห้อ”"

“ตอนมันไป ไฉนไม่ทิ้งรหัสไว้สักน้อยนิด เพื่อให้พวกเราทราบทิศทางไปของพวกมัน?”

“มันต้องไปไล่ตามโดยฉุกละหุกอย่างยิ่ง ในยามฉุกละหุก มันไม่ทันทิ้งรหัสใดๆ”

เอี๊ยบไคพลันถอนใจยาว มิได้กล่าวกระไรอีก

ปกติเอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนที่ว้าวุ่นสิ้นคิด เป็นคนที่หนักแน่นเยือกเย็นอยู่เสมอมา

ถูกพลังกดดันยิ่งคุกคามรุนแรง เอี๊ยบไคยิ่งหนักแน่นเยือกเย็นได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขบริมฝีปากแล้วกล่าว

“ในเมื่อมันไล่ตามไปแล้ว มิว่าทันหรือไม่ ต่างต้องมีข่าวกลับมาแน่”

“อืมม์”

“บัดนี้ แม้นับว่าพวกเราไปหาด้วย ก็ไม่มีทางจะหาพบ”

“อืมม์”

“ดังนั้น พวกเรามีแต่ต้องรอคอยข่าวมันในที่นี้อีกชั่วคราว”

“อืมม์”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหันมามอง อดมิได้ต้องถาม

“ท่านคล้ายมิใคร่กระวนกระวายนัก?”

“กระวนกระวายมีประโยขน์ใด?”

“ไม่มี”

“ในเมื่อไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าไยต้องกระวนกระวาย?”

มาตรว่ากล่าวอย่างปลอดโปร่ง แต่สีหน้ายังบิดเบี้ยวปั้นยากยิ่ง ทรุดกายช้าๆ ลงนั่งที่เตียง

“ในเมื่อมีสถานที่นั่ง ไฉนไม่นอนลงไป?”

เอี๊ยบไคจึงพาลเอนกายนอนลง

แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับกระวนกระวายจนไม่มีปัญญานั่งได้ ขมวดคิ้วกล่าว

“สถานที่นี้หนาวเหน็บเกินไป พวกเรามิสู้...”

วาจานางมิทันขาดคำ เอี๊ยบไคพลันกระโดดขึ้นจากเตียงดั่งถูกฟันเข้าดาบหนึ่งก็ปาน

แสงไฟสาดส่องบนใบหน้า

ใบหน้าเอี๊ยบไคคล้ายถูกคนฟันใส่ดาบหนึ่งเช่นกัน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่เคยเห็นเอี๊ยบไคมีความตระหนกถึงปานนี้มาก่อนเลย อดมิได้ต้องถาม

“เรื่องอันใด?”

เอี๊ยบไคมิได้เอ่ยปาก

เอี๊ยบไคถึงกับคล้ายแตกตื่นจนกล้ามเนื้อที่คอหอยชาแข็ง กระทั่งเสียงยังมิอาจเปล่งออกมาได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเดินเข้าไป

เมื่อถึงหัวเตียง ใบหน้าที่สวยสะคราญของนางต้องเปลี่ยนสีเช่นกัน

นางพลันได้กลิ่นที่พิกลอย่างยิ่ง กลิ่นที่บันดาลให้ผู้คนสะอิดสะเอียนจนต้องอาเจียน และก็เป็นกลิ่นที่บันดาลให้ผู้คนต้องขวัญเสียจนตัวสั่นสะท้าน

กลิ่นของคาวโลหิต!

ทั้งสองมิได้หลั่งโลหิต ความโลหิตนี้มาจากที่ใด?

มาจากใต้เตียง!

ใต้เตียงไฉนมีคาวโลหิต! หรือที่ใต้เตียงมีคนตาย? เป็นผู้ใดตาย?

เตียงไม่หนัก เพียงยื่นมือก็สามารถหิ้วขึ้นได้ ปัญหาเหล่านี้จะได้คำตอบมาโดยหมดสิ้นในทันที

แต่ทว่า เอี๊ยบไคมิได้ยื่นมือ

มือของเอี๊ยบไคแข็งไปแล้ว กระทั่งนิ้วยังแข็งด้วย ไม่มีความกล้าพอจะยกเตียงขึ้นแล้ว

...หากแม้นมีผู้ตายอยู่ใต้เตียงจริง ที่ตายมิใช่เต็งฮุ้นลิ้มจะเป็นผู้ใด?

แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับยื่นมือไป

ใต้เตียงมีคนตายอยู่จริงๆ เพิ่งตายไม่นานเท่าใด โลหิตในร่างยังมิได้แห้งกรัง

ที่ตายกลับมิใช่เต็งฮุ้นลิ้ม เป็นฮั่นเจ็ง! !

 

เอี๊ยบไคตะลึงลานไปแล้ว เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งตระหนกกว่า!

ผู้ตายไฉนเป็นฮั่นเจ็งได้?

เอี๊ยบไคคาดคิดไม่ถึง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งผิดคาดหมาย

ในเมื่อฮั่นเจ็งตายอยู่ที่นี้ เต็งฮุ้นลิ้มเล่า?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนวางเตียงลงเบาๆ หันกายช้าๆ เดินไปที่หน้าต่าง ผลักหน้าต่างออก

นอกหน้าต่างเป็นความมืดเลือนราง วิกาลที่ไร้น้ำใจกรายมาแล้ว

นางหันหน้าสู่ความมืดที่ไร้น้ำใจของวิกาล อึ้งเป็นเนิ่นนาน จึงระบายลมจากปากยาวๆ พลางกล่าว

“ที่แท้นางฆ่าฮั่นเจ็งก่อนจึงหนีไป”

“ท่านแน่ใจว่านางฆ่าฮั่นเจ็ง?”

“หรือท่านว่าไม่ใช่?”

“ต้องไม่ใช่เด็ดขาด?”

“ท่านสามารถแน่ใจ?”

“วิชาบู๊ก็มีมากมายหลายประเภท ที่น่ากลัวสุดมีประสิทธิภาพที่สุด มีอยู่เพียงประการเดียว”

“ประการใด?”

“ขอเพียงมีวิชาบู๊สามารถฆ่าคนได้ จึงเป็นวิชาบู๊ที่มีประสิทธิภาพโดยแท้จริง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเห็นพ้อง

นางก็ทราบ มีคนมากหลายที่พลังฝีมือแม้สูงส่ง แต่ไม่อาจฆ่าคน และไม่กล้าฆ่าคน

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“วิชาบู๊ที่ฆ่าคนได้ เต็งฮุ้นลิ้มต้องไม่มีทางทัดเทียมฮั่นเจ็งเด็ดขาด”

“ดังนั้นท่านแน่ใจ ฮั่นเจ็งต้องมิใช่ตายกับมือนาง?”

“ไม่ใช่เด็ดขาด”

“แต่บัดนี้ เต็งฮุ้นลิ้มหนีไปแล้ว ฮั่นเจ็งกลับตายอยู่ที่นี้?”

นี่เป็นความจริงที่ประจักษ์กับตา

ความจริงย่อมเป็นที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“หากมิใช่เต็งฮุ้นลิ้มฆ่ามัน เป็นผู้ใดฆ่ามัน?”

คนที่สามารถฆ่าฮั่นเจ็งมีอยู่ไม่มาก อย่าว่าแต่ในห้องนี้นอกจากมันกับเต็งฮุ้นลิ้มแล้ว ไม่มีบุคคลที่สามเลย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวอีก

“หากมันไม่ตาย ต้องไม่ยอมให้เต็งฮุ้นลิ้มหนีเด็ดขาด หรือมีคนฆ่ามันก่อน ค่อยคร่าตัวเต็งฮุ้นลิ้มไป?”

ปัญหานี้ มีผู้ใดสามารถตอบไ?

เอี๊ยบไคก็เดินเข้าไป ผลักหน้าต่างอีกบานหนึ่งออก

หน้าต่างแม้ผิดกัน แต่ม่านวิกาลทางภายนอกกลับเป็นเช่นกัน เหน็บหนาว อำมหิตไร้น้ำใจเช่นเดียวกัน

เอี๊ยบไคยืนซึมเซาในที่นั้น แน่วนิ่งมิเคลื่อนไฟว ดวงตามืดมิดลึกซึ้ง เช่นดั่งม่านวิกาลทางนอกหน้าต่าง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก้มศีรษะต่ำ ในที่สุดถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าเมื่อครู่ ไม่สมควรถามวาจาเหล่านั้น

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้ง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ตอนนี้เรื่องสำคัญคือ รีบเร่งหาวิธีไปหาเต็งฮุ้นลิ้มให้พบโดยด่วน นาง...”

เอี๊ยบไคพลันสอดคำอย่างไม่คาดหมาย

“ไม่ต้องหาแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผิดคาดหมายยิ่ง นางมิเคยคาดคิดเอี๊ยบไคจะกล่าววาจาเช่นนี้มาได้ จึงต้องเหลียวขวับไปมองด้วยความตระหนก พลางร้องโพล่ง

“ท่านว่ามิต้องไปหา?”

“อืมม์”

“เพราะเหตุใด?”

“ในเมื่อมีคนทราบร่องรอยของนาง ไยต้องไปหาอีก?”

“ผู้ใดทราบร่องรอยของนาง?”

“ท่าน!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งตระหนกกว่าเดิม ร้องโพล่งขึ้น

“ท่านว่าข้าพเจ้าทราบร่องรอยของนาง?”

“ข้าพเจ้ากล่าวกระจ่างอย่างยิ่ง ท่านก็ได้ยินชัดเจนยิ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามองมันแน่วนิ่งมิได้เคลื่อนไหว มิได้เอ่ยปาก คล้ายตะลึงลานแล้วจริงๆ

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบต่อ

“สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า ตายไปสามคนจริง แต่โกวฮงมิได้ตาย”

“เอี้ยเทียนยังมิได้ตาย?”

“เอี้ยเทียนมิใช่โกวฮง ลู่เต๊กก็ไม่ใช่”

“เอี้ยเทียนมิได้บาดเจ็บ?”

มันบาดเจ็บแล้ว บาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่ง แต่คนที่ได้รับบาดเจ็บ มิแน่ต้องเป็นโกวฮง

...บอลเป็นลูกกลม แต่ของที่มีทรงกลม กลับมิแน่ต้องเป็นลูกบอล

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“หากมันมิใช่โกวฮง ไฉนไม่กล้าให้ท่านทราบว่ามันบาดเจ็บ? ไฉนต้องอำพรางท่าน?”

“เนื่องเพราะมันเข้าใจ ข้าพเจ้าก็เป็นข้าทาสของท่าน เข้าใจว่า ข้าพเจ้าก็เป็นบริวารของกิมจี๊ปังแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันถอนใจกล่าว

“วาจาของท่าน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจแม้สักคำเดียว”

“ท่านสมควรเข้าใจ และมีแต่ท่านเท่านั้นจึงเข้าใจได้”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะผู้ลงมือทำอันตรายมันบาดเจ็บก็คือท่าน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฝืนยิ้มกล่าว

“หากข้าพเจ้ามิใช่เข้าใจท่านกระจ่าง ต้องคิดว่าท่านเมาจนเสียสติแล้ว”

“ข้าพเจ้ามิเคยมีความแจ่มใสดั่งตอนนี้มาเลย”

“เอี้ยเทียนเป็นบริวารของข้าพเจ้าชัดๆ ข้าพเจ้าไยต้องลงมือทำอันตรายมัน?”

“เนื่องเพราะมันจะฆ่าท่านก่อน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อแล้ว

สีหน้าหัวร่อของนาง เป็นเช่นเดียวกับที่ยามเอี๊ยบไคอับจนปัญญา ต้องหัวร่อออกมาปลอบใจ

แต่เอี๊ยบไคไม่ได้หัวร่อ

ความเป็นจริง ใบหน้าเอี๊ยบไคไม่เคยเคร่งเครียดถึงปานนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

เอี๊ยบไคปั้นหน้าเครียด กล่าวเสียงหนักๆ ต่อ

“มันคิดฆ่าท่านอยู่นานแล้ว แต่มิเคยมีโอกาสเลย จึงจำต้องเสี่ยงอันตรายลอบสังหาร?”

“ลอบสังหาร?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะกล่าว

“อาจบางที มันประเมินฝีมือท่านต่ำเกินไป อาจบางที มันบังเอิญพบเห็นท่านบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นตกลงใจฉวยโอกาสนั้น เสี่ยงอันตรายดูสักครา”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสงบฟังอยู่ นางไม่โต้เถียงอีกแล้ว คล้ายดั่งรู้สึก เรื่องราวนี้ไม่มีคุณค่าให้นางโต้เถียงอธิบายเลย

เอี๊ยบไคเน้นเสียงหนักๆ กล่าวต่อ

“ตอนมันตกลงใจลงมือ คิดว่าต้องเป็นค่ำคืนวันชิวอิ้ด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถึงกับแย้มยิ้มกล่าว

“หากมันจะลอบไปสังหารคนสักผู้หนึ่ง ในค่ำคืนของวันชิ้วอิด นับเป็นเวลาที่ประเสริฐยิ่งจริงๆ”

“ตอนมันไปลอบสังหาร ย่อมต้องคลุมหน้าอยู่”

“แน่นอน”

มิว่าผู้ใดจะเป็นมือสังหาร ต่างต้องไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงแก่ผู้อื่น

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“มันความจริงเข้าใจ การจู่โจมของมันครั้งนั้น ต้องมีผลสำเร็จถึงเก้าในสิบ มิคาด พลังฝีมือท่าน ถึงกับสูงกว่าที่มันคาดหมายไว้มากหลายนัก ดังนั้น มันมิเพียงไม่ประสบผลเท่านั้น กลับบาดเจ็บกับฝีมือท่านด้วย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มอีกครา พลางกล่าว

“จะฆ่าข้าพเจ้า มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายจริงๆ”

“แต่ท่านก็ประเมินมันต่ำไป”

“อ้อ?”

“วิชาตัวเบาของมันสูงอย่างยิ่ง มาตรว่าไม่ได้ผล แต่ยังสามารถหลบหนีพ้น”

“คิดจะจับสุนัขจิ้งจอกที่บินได้สักตัว ย่อมมิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

“ท่านเข้าใจ เมื่อมันถูกเข็มพิษของท่านแล้ว แม้นับว่าสามารถหนี ก็ต้องหนีไม่ไกล มิคาด มันยังมียาสรรพคุณสูงที่ขจัดพิษนานาได้อยู่ ถึงกับยังสามารถรักษาชีวิตมันอีกชั่วคราว”

“แต่ทว่า ข้าพเจ้าเพียงตรวจออกว่า ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ก็ทราบฆาตกรเป็นผู้ใดแล้ว”

“ดังนั้น มันจึงต้องอำพรางข้าพเจ้า ไม่กล้าให้ข้าพเจ้าเห็นบาดแผลของมัน”

“มันจะต้องเข้าใจ เป็นข้าพเจ้าใช้ท่านไปสืบเสาะหามือสังหาร?”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“มันย่อมคาดคิดไม่ถึง ท่านทราบอยู่ก่อนแล้วว่ามือสังหารคือตัวมัน”

“ข้าพเจ้าไฉนทราบได้?”

“มันเข้าใจ เฮ้งหัวหูยินยอมอยู่กับมันโดยสัตย์ซื่อภักดี เข้าใจว่าเฮ้งหัวหูต้องปกปิดความลับให้มัน นึกมิถึง...”

“นึกมิถึง เฮ้งหัวหูกลับบอกความลับนั้นแก่ข้าพเจ้า?”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“มิว่าบุรุษที่เปรื่องปราดหลักแหลมปานใด ต่างยากจะไม่ถูกสตรีขายไปได้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็ถอนใจกล่าว

“อาจบางที เนื่องเพราะบุรุษมักว่าสตรีเป็นผู้อ่อนแอ เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา”

เอี๊ยบไคเห็นพ้องกับวาจานี้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ในเมื่อข้าพเจ้าทราบมันคือมือสังหาร ไฉนไม่ฆ่ามันเสีย?”

“เนื่องเพราะยามท่านต้องการฆ่าคน มักชมชอบขอยืมมีดจากผู้อื่น”

“สามารถขอยืมมีดผู้อื่น ไปฆ่าคนที่ตัวเองต้องการฆ่า นับเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่งจริงๆ”

“ท่านมีความสุข ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสุขแล้ว”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะที่ท่านคิดจะขอยืมในตอนนี้ เป็นมีดของข้าพเจ้า”

“อ้อ?”

“โกวฮงบาดเจ็บแล้ว ข้าพเจ้ากำลังเสาะหาโกวฮง พอดีเอี้ยเทียนก็บาดเจ็บโดยบังเอิญ และยังมิกล้าบอกเรื่องบาดเจ็บมา.... เรื่องเช่นนี้ ย่อมคล้ายเป็นหนึ่งบวกหนึ่ง บวกอีกหนึ่งต้องเป็นสามแน่นอน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็น ขอเพียงท่านหาเอี้ยเทียนพบ ท่านก็ต้องเข้าใจมันคือโกวฮงแน่”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล้าว

“ข้าพเจ้าความจริงแทบจะเชื่อว่าเป็นมันอยู่แล้ว”

“คำอธิบายของท่านฟังแล้วสมเหตุสมผลยิ่ง แต่เสียดายที่ท่านลืมไปประการหนึ่ง”

“อ้อ?”

“ฆ่าคนต้องมีจุดมุ่งหมาย จะฆ่าข้าพเจ้า ยิ่งต้องมีเหตุผลที่ดียิ่งอยู่ เนื่องเพราะว่า ผู้ใดต่างสมควรทราบ นั่นต้องมิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“เอี้ยเทียนเข้าใจข้าพเจ้ากระจ่างอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าดีต่อมันไม่น้อย มันไฉนต้องเสี่ยงอันตรายมาฆ่าข้าพเจ้า?”

“ข้าพเจ้าก็เข้าใจมันกระจ่างยิ่ง มันเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงยิ่ง ดังนั้นจึงยอมเข้าในพรรคกิมจี๊ปัง”

ประการนี้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็เห็นพ้อง เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“มันยิ่งแทรกซึมลึก ยิ่งทราบอิทธิพลอำนาจและทรัพย์สินสมบัติของกิมจี๊ปังมหาศาลปานใด ความทะเยอทะยานของมันจึงยิ่งรุนแรง”

“แต่เสียดาย ขอเพียงข้าพเจ้ายังมีชีวิต มันต้องไม่มีวันนั้นไปตลอดกาล”

“ดังนั้น มันมิว่าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพียงใด ก็ต้องสังหารท่านให้ได้”

ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คล้ายเป็นน้ำป่า ยามเมื่อทะลักลงมา จะไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมบังคับได้ กระทั่งตัวเองก็ไม่อาจ

ดังนั้น มักใหญ่ใฝ่สูง มิเพียงทำลายผู้อื่นเท่านั้น ยังทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน และมักจะทำลายตัวเองก่อนที่ได้ทำลายผู้อื่นเสมอมา แต่ทว่า หากมนุษย์เราไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยสิ้นเชิง ชีวิตไยมิใช่ชืดชาไร้รสชาติยิ่ง?

นี่ไยมิใช่เป็นโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษย์เรา

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“บัดนี้ ข้อคิดสันนิษฐานของท่าน คล้ายเริ่มเป็นเค้าสมบูรณ์กว่าเดิมแล้ว”

“ยังไม่อาจนับว่าสมบูรณ์”

“ตัวท่านก็ทราบ?”

“เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบ อาจบางทียังมากกว่าที่ท่านคิดหมายไว้บ้าง”

“อ้อ?”

“ข้อคิดสันนิษฐานของข้าพเจ้าในตอนนี้ ยังมีจุดอ่อนอยู่หลายประการจริงๆ”

“ท่านบอกมา”

“ที่เอี้ยเทียนมิกล้าลงมือต่อท่านเสมอมา ไฉนพลันมีความกล้าเช่นนี้เกิดขึ้นโดยกะทันหัน?”

“นี่เป็นประการแรก”

“ที่ข้าพเจ้ารอคอยเป็นโกวฮงชัดๆ มันไฉนต้องไปเข้าเมืองในเวลาประจวบเหมาะปานนั้น?”

“นี่เป็นประการสอง”

“หากเอี้ยเทียนมิใช่โกวฮง ผู้ใดจึงเป็นโกวฮง?”

“นี่เป็นประการสาม”

“หากโกวฮงมิได้นัดหมายกับตอเออกา พบกันที่ประตูเมืองเอี้ยงเพ้งก่อน ในตัวตอเออกา ไหนเลยมีจดหมายโลหิตแผ่นนั้น?”

“นี่เป็นประการสี่”

“ความจริง บั๊กเก้าแช เป็นผู้ปลีกตัวออกจากโลกียวิสัยแล้ว ไฉนพอถึงเชี่ยงอัน ก็สามารถหาร่องรอยตอเออกาพบได้?”

“นี่เป็นประการที่ห้า”

“ในเมื่อบั๊กเก้าแชใช้อสรพิษเป็นอาหารชั่วนาตาปี ไฉนจึงถูกพิษกำเริบขึ้น ปลิดชีวิตง่ายดายปานนั้น?”

“นี่เป็นประการที่หก”

“ความจริงโค้วเต็กเป็นคนวงนอก ไฉนพลอยตายอย่างสยดสยองปานนั้น?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ตอนนี้ ข้อคิดสันนิษฐานของท่าน คล้ายมีจุดอ่อนอยู่เจ็ดประการแล้ว?”

“มีเพียงเจ็ดประการ”

“มิว่าข้อคิดสันนิษฐานของผู้ใด หากมีจุดอ่อนถึงเจ็ดประการ ข้อคิดสันนิษฐานนั้นต้องไม่อาจเป็นได้”

“แต่ทว่า ข้อคิดสันนิษฐานของข้าพเจ้า ต้องเป็นไปได้แน่!

“อ้อ?”

“เนื่องเพราะจุดอ่อนทั้งเจ็ดประการนี้ ข้าพเจ้าต่างอธิบายได้”

“ท่านบอกมา?”

“มาตรว่าจุดอ่อนมีถึงเจ็ดประการ แต่คำอธิบายมีเพียงหนึ่งเดียว และใช้วาจาเพียงสองคำก็บอกได้”

“ข้าพเจ้ากำลังฟัง”

“โกวฮงคือท่าน! บั๊กเก้าแชก็คือท่าน!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อแล้ว

...หากท่านพอใจคนผู้หนึ่งอย่างยิ่ง มักจะไปหาคนผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง ท่านย่อมพลอยถูกนิสัยเคยชินของมัน ระบาดใส่จนเป็นนิสัยตัวเอง

แสดงว่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ได้ติดนิสัยเคยชินของเอี๊ยบไคมาแล้ว ตอนถึงคราอับจนสิ้นปัญญา พบพานกับอันตรายที่ยุ่งยากลำเค็ญ นางก็ต้องหัวร่อ

เพียงแต่ว่า นางหัวร่อได้หยาดเยิ้มกว่าเอี๊ยบไคมากนัก

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะท่านคือโกวฮง ดังนั้นเอี้ยเทียนจึงกล้าลงมือต่อท่าน เนื่องเพราะมันพบเห็น ท่านบาดเจ็บแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“นี่เป็นคำอธิบายประการแรก คล้ายดั่งสมเหตุผลยิ่ง”

“เนื่องเพราะท่านคือโกวฮงนี่เอง ดังนั้นเอี้ยเทียนจึงต้องกลายเป็นแพะรับบาปแทนท่าน”

“นี่ก็มีเหตุผล”

“เนื่องเพราะมีแต่ท่าน จึงทราบลู่เต๊กคือตอเออกา และก็มีแต่ท่านจึงสามารถนัดให้มันไปพบที่วัดเต็กลิ้ม”

“ดังนั้น บั๊กเก้าแชก็คือข้าพเจ้า?”

“ท่านจงใจฝังดาวบนใบหน้าเก้าดวง ไม่ยินยอมถอดหมวกหญ้าปีกกว้างใบนั้นตลอดมา เนื่องเพราะฝีมือปลอมแปลงโฉม แม้ยอดเยี่ยมพิสดาร ท่านยังกลัวถูกข้าพเจ้าจำท่านได้”

“แต่ข้าพเจ้าไฉนต้องปลอมตัวเป็นบั๊กเก้าแชด้วย?”

“เนื่องเพราะท่านจะฆ่าตอเออกา”

“ข้าพเจ้าจะฆ่ามัน ไฉนต้องให้ท่านไปด้วย?”

“เนื่องเพราะท่านต้องการ ให้ข้าพเจ้าเห็นกับตา ว่าตอเออกาตายไปแล้ว ตายกับมือบั๊กเก้าแช”

หยุดเล็กน้อย เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“ตอเออกาก็อาจทราบอย่างยิ่งว่า บั๊กเก้าแชคือท่าน ดังนั้นไม่ตายสุดท้ายของมัน มิได้ใช้ออกมาจริงๆ คิดมิถึง ท่านกลับฉวยโอกาสนั้นสังหารมัน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสงบฟัง เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ตอนแรกเป็นเพียงละครตบตา ที่จงใจแสงให้ข้าพเจ้าดูเท่านั้น ตอเออกาก็ได้เห็นพ้อง ยอมร่วมมือแสดงด้วย กระทั่งวาจาที่พวกท่านตอบโต้กัน ยิ่งคล้ายเป็นการแสดงเท่านั้น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“มันไฉนยอมมาร่วมแสดงละครตบตา?”

“เนื่องเพราะเจตจำนงการร่วมแสดงของพวกท่าน ความจริงเพียงต้องการสังหารข้าพเจ้า ดังนั้นมันจึงย้ำกับข้าพเจ้าหลายครั้งครา ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าใช้มีดสั้นออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้ท่าน สังหารข้าพเจ้าได้โดยง่ายดาย”

“แต่ข้าพเจ้ามิได้สังหารท่าน”

“ท่านมิได้ เนื่องเพราะที่ต้องตายอย่างแท้จริง มิใช่ข้าพเจ้า เป็นตอเออกา มันกระทั่งตายยังนึกไม่ถึง ตอนจบของละครเรื่องนั้น จะพลันกลับกลายไปจากที่ตกลงกันไว้ก่อน”

นึกถึงประกายตา ที่แตกตื่นและเจ็บช้ำตอนก่อนตายของตอเออกา เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“มันตายอย่างคับแค้นเกินไปจริงๆ”

“ท่านเวทนามัน?”

“ข้าพเจ้าเพียงเวทนาการตายของมันเท่านั้น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ

“แต่ละคนต่างต้องตาย ที่มันตายคับแค้นไปบ้าง เนื่องเพราะมันความจริงเป็นคนโง่เขลาอยู่แล้ว”

“มันโง่เขลา?”

“โง่เขลาก็มีมากประเภทยิ่ง หยิ่งผยองจนลำพอง ไยมิใช่เป็นประเภทหนึ่ง?”

เอี๊ยบไคไม่มีปัญญาโต้แย้งได้

หยิ่งผยองจนลำพอง เป็นความโง่เขลาประเภทหนึ่งจริงๆ และยังอาจจะเป็นประเภทที่มีผลร้ายรุนแรงที่สุดอีกด้วย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“แต่ข้าพเจ้ามิได้โง่เขลา ตอนนี้ข้าพเจ้าย่อมเข้าใจความหมายของท่านแล้ว”

“ท่านสมควรเข้าใจ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านหมายความ ข้าพเจ้าปลอมตัวเป็นบั๊กเก้าแช ค่อยไปหาลู่เต๊ก วางแผนสังหารท่าน เมื่อตกลงกัน แต่ตอนสุดท้ายกลับสังหารมันไปแทน”

“ฟังแล้วนับเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง แต่ทว่าแผนนั้นกลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งจริงๆ”

“อาจบางทีเนื่องเพราะมันพิสดารจนไม่อาจหยั่งคำนวณ ดังนั้นจึงมีผลสำเร็จ”

“จดหมายโลหิตฉบับนั้น ก็ย่อมเป็นหนึ่งในส่วนของแผนการนี้”

“อ้อ?”

“เอี้ยเทียนเองก็ย่อมทราบ ความลับของมัน จะเร็วจะช้าต้องถูกท่านพบเห็นแน่ จึงตกลงใจหนีไปก่อน”

“อิทธิพลอำนาจของกิมจี๊ปัง ครอบคลุมทั่วทุกหัวระแหงในแดนดิน มันสามารถหนีไปที่ใดได้?”

“มันได้รับบทเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นมันเลือกไปเลือกมา จึงเลือกสถานที่ซึ่งท่านคาดคิดไม่ถึง”

“สถานที่ใด?”

“นครเชี่ยงอัน”

“ที่นี้ก็เป็นเชี่ยงอันแล้ว”

“มันคำนวณแน่ ท่านต้องเข้าใจ มันหนีไปในสถานที่สุดแสนไกล ดังนั้นมันจึงพาลเลือกสถานที่ใกล้ที่สุดแห่งนี้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยอมรับ สถานที่แห่งนี้เลือกได้ไม่เลวจริงๆ

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“แต่เสียดาย ที่มันได้บอกแผนของมันแก่เฮ้งกัวหูอีก”

“มันมิอาจไม่บอกนาง หากคนที่บาดเจ็บสาหัสยังคิดจะหนีเอาชีวิตรอด จำต้องมีคนคอยช่วยเหลือดูแล”

“มันบอกกับเฮ้งกัวหู ก็เท่ากับบอกแก่ท่าน”

“ข้าพเจ้าทราบแผนหนีเอาชีวิตรอดของมันแล้ว จึงได้เขียนจดหมายโลหิตปลอมขึ้น?”

“ท่านคำนวณแน่ เมื่อข้าพเจ้าเห็นจดหมายโลหิตฉบับนั้นแล้ว ต้องไปรอที่ประตูเมืองเอี้ยงเพ้ง”

“จดหมายโลหิตฉบับนั้น ไฉนไปถึงมือลู่เต๊กได้!

“จดหมายโลหิตมิใช่อยู่ในตัวลู่เต๊ก เป็นโค้วเต็กส่งไปให้โดยเฉพาะ”

“โค้วเต็กก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนการนี้?”

“ดังนั้น มันจึงถูกท่านฆ่าปิดปาก ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแผนการนั้น ต่างถูกท่านฆ่าปิดปากไปหมดสิ้น”

“ซ่งเล่าปั้งกับมนุษย์มหึมาเล่า?”

“พวกมันเป็นสหายเอี้ยเทียน เมื่อเห็นข้าพเจ้าไปที่ประตูเมืองเอี้ยงเพ้ง มันจึงแสร้งแสดงละครตบตาเพื่อเป็นม่านควันกำบังให้เอี้ยเทียนเข้าเมืองโดยง่ายดาย พวกมันก็ย่อมทราบ เอี้ยเทียนบาดเจ็บเพราะสาเหตุใด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะกล่าว

“ความลับนั้น ย่อมไม่อาจให้ท่านทราบได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพลอยต้องฆ่าพวกมันเพื่อปิดปาก?”

“ข้าพเจ้าคำนวณออกแต่แรกว่า ท่านต้องใช้ไม้นี้ ดังนั้นเมื่อพวกมันตายไป ข้าพเจ้าไม่รู้สึกแตกตื่นผิดคาดเลย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“เช่นนี้เป็นว่า ข้าพเจ้ากลับฆ่าคนมาไม่น้อยจริงๆ?”

“ไม่น้อยจริงๆ”

“ข้าพเจ้ากระทั่งยังอาจจะฆ่าตัวเองอีกด้วย”

นางหยุดถอนใจแล้วกล่าวต่อ

“หากข้าพเจ้าเป็นบั๊กเก้าแชจริง ไยมิใช่ฆ่าตัวเองไปแล้ว?”

“บั๊กเก้าแชที่ตาย ย่อมมิใช่เป็นตัวท่าน”

“มิใช่?”

“ท่านทราบอยู่ก่อนว่า ข้าพเจ้าต้องไม่มีความตะกรามอยู่เป็นเพื่อนรับทานอาหารเช่นนั้นกับท่าน ดังนั้น จึงได้เตรียมแพะรับบาป ที่ต้องตายแทนท่านไว้ก่อน รอจนเมื่อข้าพเจ้าจากมา ท่านก็ใช้พิษปลิดชีวิตมัน”

“เนื่องเพราะพอบั๊กเก้าแชตาย เรื่องนี้ก็ไม่มีประจักษ์พยานใดจะยืนยันได้?”

“นี่ความจริงเป็นแผนที่ซับซ้อนที่สุด แนบเนียนที่สุดอยู่แล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“และก็เป็นนิยายที่น่าฟังอย่างยิ่งด้วย”

“ข้าพเจ้าก็หวัง ให้เรื่องทั้งมวลเป็นเพียงนิยายเท่านั้น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคล้ายตระหนกอย่างยิ่ง ร้องโพล่งขึ้น

“หรือมิใช่เป็นนิยาย?”

“การบังเอิญจนประจวบเหมาะของเรื่องราวมีมากเกินไป ขอเพียงเป็นความจริง จึงจะมีการประจวบเหมาะมากมายปานนี้ได้”

“หรือเรื่องจริง ยังจะยอกย้อนพิสดารยิ่งกว่านิยาย?”

“ปกติมันเป็นเช่นนี้จริงๆ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ฟังท่านว่าดังนี้ กระทั่งข้าพเจ้าเอง ยังรู้สึกเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงบ้างแล้ว”

นางยังคงแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มดั่งเดิม กล่าวสืบไป

“แต่ทว่า ในเมื่อแผนของข้าพเจ้า ยอกย้อนแนบเนียนปานนี้ ท่านไฉนจึงสังเกตออกได้?”

“มิว่าแผนที่ยอกย้อนแนบเนียนปานใด ต่างยากจะไม่มีจุดอ่อนให้จับพิรุธได้”

“แผนนี้ก็มีจุดอ่อน?”

“จุดอ่อนในข้อคิดสันนิษฐานเมื่อครู่ของข้าพเจ้า ก็เป็นจุดอ่อนในแผนครานี้ของท่านพอดี”

“อ้อ?”

“เนื่องเพราะหากท่านมิใช่โกวฮง ท่านต้องไม่อาจสร้างเหตุการณ์บังเอิญจนประจวบเหมาะได้มากมายปานนี้”

“ตอนนี้ท่านแน่ใจได้สิ้นเชิงแล้ว?”

“จวบจนข้าพเจ้าเห็นบาดแผลของพวกมัน จึงแน่ใจโดยสิ้นเชิง”

“พวกมันเป็นเหล่าใดบ้าง?”

“เอี้ยเทียน ซ่งเล่าปั๊ง มนุษย์มหึมาและโค้วเต็ก พวกมันความจริงเป็นคนที่มิได้เกี่ยวข้องกันและกัน ความจริงไม่อาจตายกับมือคนผู้เดียว แต่ทว่าบาดแผลที่ปลิดชีวิตพวกมัน กลับเป็นเช่นเดียวกัน!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“นับเป็นประจวบเหมาะอย่างยิ่งจริงๆ”

“ประจวบเหมาะก็เป็นจุดอ่อน?”

“ดังนั้น ข้าพเจ้ามิเพียงเป็นประมุขพรรคกิมจี๊ปังเท่านั้น ยังเป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้าด้วย?”

“เป็นโกวฮง!

“อย่าลืมว่า กิมจี๊ปังกับม้อก้า เป็นศัตรูที่ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน”

“ข้าพเจ้ามิได้ลืม”

“อย่างยั้น ประมุขพรรคกิมจี๊ปัง ไฉนเข้าม้อก้าได้?”

เอี๊ยบไคเน้นเสียงหนักๆ

“เนื่องเพราะประมุขพรรคกิมจี๊ปังรุ่นนี้ เป็นคนชาญฉลาด มันทราบ ทำลายศัตรู มิใช่เป็นวิธีประเสริฐสุด”

“ต้องเยี่ยงไรจึงเป็นวิธีประเสริฐสุด?”

“สยบมันไว้ในอำนาจ ใช้มันเป็นเครื่องมือ กลับกลายกำลังของศัตรูให้มาเป็นอาวุธของตัวเอง!

“วิธีนี้ไม่เลวจริงๆ”

“แต่โครงงานของม้อก้าลี้ลับเกินไป ขุมกำลังยิ่งใหญ่เกินไป คิดจะสยบพิชิตมันไว้ในอำนาจ มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น”

“วิธีใด?”

“เป็นประมุขนิกายม้อก้า!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามสวนคำ

“คิดจะเป็นประมุขนิกายม้อก้า ต้องเข้าเป็นสาวกม้อก้าก่อน!

“ดังนั้น ท่านจึงเข้าม้อก้า?”

“หลังจากประมุขผู้เฒ่าของม้อก้าตายไปแล้ว อิทธิพลอำนาจ ก็ถูกจ้าวฟ้ายิ่งใหญ่แบ่งปันกันไป มิว่าผู้ใดต่างไม่ยินยอมเลือกประมุขขึ้นใหม่ ให้สูญเสียอำนาจที่พวกมันแบ่งกันมาอีกครา”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะกล่าว

“แต่หากสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ตายไปสามคนเล่า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

“อย่างนั้น ที่เหลืออยู่คนเดียว แม้ไม่คิดจะเป็นก้าจู๊ น่ากลัวยากอย่างยิ่งแล้ว”

“เสียดายที่คนเช่นพวกตอเออกา ต้องไม่ตายโดยเร็วนัก”

“ย่อมไม่อายุสั้นถึงปานนั้น”

“ท่านก็ย่อมไม่อาจเสนอหน้า ออกไปลงมือต่อพวกมันด้วยตนเอง”

“ข้าพเจ้ากระทำเรื่องราวใด ไม่ต้องการเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอมา”

“พวกมันอาจบางที กระทั่งตายยังมิทราบว่า ประมุขพรรคกิมจี๊ปังคือท่าน”

“พวกมันกระทั่งฝันก็ยังฝันไม่ถึง”

“ดังนั้น ท่านจำเป็นต้องใช้วิธีหนึ่ง จึงสามารถสังหารพวกมันได้”

“ท่านว่าใช้วิธีใดจึงประเสริฐสุด”

“ยืมดาบผู้อื่น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปรบมือชมเชยกล่าว

“ถูกแล้ว จะฆ่าคนเช่นพวกมัน ต้องขอยืมดาบผู้อื่น และยังต้องเป็นดาบที่เร็วเป็นพิเศษอีกด้วย”

“แต่ท่านก็ทราบ มีดของข้าพเจ้าแม้เร็ว กลับฆ่าคนมาน้อยอย่างยิ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเค้นสมองจนเปลืองเรื่องราวมากหลาย วกวนอ้อมค้อมให้เป็นลวดลายมากมาย?”

“ท่านจะต้องกระทั่งฝันก็ฝันไม่ถึง ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ดูความลับของท่านออกแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนประสานตามองแน่วนิ่ง อีกเนิ่นนานให้หลัง จึงถอนใจกล่าว

“ในเมื่อท่านต่างดูความลับใดๆ ออกโดยสิ้นเชิง ไฉนยังดูใจข้าพเจ้าไม่ออก?”

“ข้าพเจ้า...”

“ข้าพเจ้ามีใจจริงหรือหลอกลวงท่าน? ท่านดูไม่ออกสักน้อยนิดจริงๆ?”

ดวงตาคู่งามของนางมีประกายตัดพ้อรันทดจนบอกมิถูกอีกครา นั่นเป็นจริงหรือเท็จกันแน่?

เอี๊ยบไคเบือนหน้า หลบสายตานางอีกครั้ง

มิว่าเป็นจริงก็ดี เป็นเท็จก็ดี ตอนนี้ต่างไม่สำคัญแล้ว

เอี๊ยบไคก็อดมิได้ ต้องถอนใจยาวกล่าวขึ้น

“ตอนข้าพเจ้ามา ยังไม่คิดจะเปิดเผยความจริงของเรื่องนี้ออก”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะ....”

“ใช่เนื่องเพราะท่านไม่อาจหักใจ?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม มิอาจไม่ยอมรับ

เอี๊ยบไคก็มิใช่สังเกตความรักของนางมิออกโดยสิ้นเชิง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านมิเพียงไม่อาจหักใจเท่านั้น ยังไม่กล้าด้วย”

“ไม่กล้า?”

“เนื่องเพราะท่านไม่มีหลักฐานเลยสักน้อยนิด เพียงแต่อาศัยข้อคิดสันนิษฐาน ย่อมไม่อาจบันดาลให้คนยอมรับผิดได้”

เอี๊ยบไคมิอาจปฏิเสธ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แต่พอเต็งฮุ้นลิ้มประสบภัย ท่านจึงไม่คำนึงถึงเรื่องราวใดๆ ทันที?”

ประกายเจ็บช้ำรันทดในดวงตานาง พลันกลายเป็นชิงชังริษยา กล่าวสืบไป

“นางเคยกระทำเรื่องราวใดมากันแน่? จึงโน้มน้าวท่านจนดีต่อนางสุดสิ้นหัวใจ ข้าพเจ้ามีที่ใดเปรียบนางไม่ได้?”

เอี๊ยบไคสงบปากคำนิ่งอึ้ง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

“นางไปก่อกวนเภทภัยในที่ต่างๆ ไปรังควานหาเรื่องในทุกแห่งหน ทั้งยังแทบแทงท่านตายคามือ ท่านไม่อยู่ นางกระทั่งยังไม่อาจรอแม้สักวันสองวัน ก็ลนลานไปวิวาห์กับผู้อื่น วิวาห์ครั้งเดียวยังไม่พอ ชั่วคืนเดียว ถึงกับวิวาห์ให้บุรุษสองคน สตรีเยี่ยงนี้ มีที่ใดทรงคุณค่า ให้ท่านเสียสละต่อนางถึงปานนี้?”

“ข้าพเจ้าก็คิดไม่ออก”

“อย่างนั้นท่าน...”

“ข้าพเจ้าเพียงทราบ แม้นับว่านางฆ่าข้าพเจ้าอีกสิบครั้ง แต่งให้บุรุษอีกสิบคน ข้าพเจ้ายังคงมีจิตใจต่อนางเช่นนี้ตลอดไป”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าทราบ ที่นางมอบให้ข้าพเจ้า คือหัวใจที่บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเชื่อถือนาง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันผุดลุกขึ้น แต่แล้วทรุดนั่งลงช้าๆ อีกครา

ตอนนางนั่งลง มิได้คล้ายเป็นสตรีที่มีจิตใจพลุ่งพล่านอีกแล้ว ตอนนางผุดลุกขึ้นยืน จิตใจของนางคล้ายพังทลาย แต่ทว่ารอเมื่อนางนั่งลงอีกครา นางได้กลับกลายเป็นกิมจี๊ปังจู๊ที่กระด้างเย็นชาปานภูเขาน้ำแข็ง กราดเกรี้ยวคมกริบดั่งกระบี่วิเศษแล้ว

อาจบางทีสตรีเปลี่ยนแปรมากหลายอยู่ก่อนแล้ว นางเป็นเพียงเปลี่ยนรวดเร็วกว่าผู้อื่นบ้างเท่านั้น

อาจบางทีนางมิได้เปลี่ยนเลย ที่เปลี่ยนนั้นเป็นเพียงนางมารยาออกมา!

เอี๊ยบไคกล่าว

“ท่านตอนนี้ยังมีวาจาใดว่ากล่าว?”

“ไม่มีแล้ว”

“แต่ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย”

“เชิญบอกมา”

“ข้าพเจ้าไม่มีหลักฐานแม้สักน้อยนิดจริงๆ ท่านความจริงไม่จำเป็นต้องยอมรับเลย”

“ข้าพเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ”

“เพราะกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นเสียงเย็นชา

“เนื่องเพราะข้าพเจ้า มิเพียงเป็นประมุขพรรคกิมจี๊ปังเท่านั้น ยังเป็นประมุขนิกายม้อก้าอีกด้วย ข้าพเจ้ามิเพียงกุมอำนาจของหนึ่งพรรคหนึ่งนิกาย ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในแผ่นดินเท่านั้น ยังกุมชีวิตเต็งฮุ้นลิ้มอยู่กับมืออีกด้วย มิว่าข้าพเจ้ายอมรับก็ดี ปฏิเสธก็ดี ท่านมีแต่ต้องสงบฟังเท่านั้น”

เอี๊ยบไคตะลึงลานไปแล้ว พลันพบเห็น ตนไม่มีปัญญาทำอย่างไรต่อนางจริงๆ ไม่มีวิธีพอจะรับมือนางได้เลยจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อไป

“ท่านยังมีวาจาใดจะว่ากล่าว?”

เอี๊ยบไคไม่มีปัญญาว่ากล้าวแล้วจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ตอนนี้เต็งฮุ้นลิ้มยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องการให้นางมีชีวิตสืบไปหรือไม่?”

“ต้องการ”

“อย่างนั้น วาจาที่ข้าพเจ้ากล่าว ท่านก็ต้องรับฟังไว้ แต่ละคำต้องฟังให้ละเอียด ชัดเจน”

เอี๊ยบไคมิได้ฟัง

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคพลันได้ยินเสียงของคนอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

“วาจาที่นางกล่าว ท่านไม่จำเป็นต้องฟังสักครึ่งคำ เนื่องเพราะนางความจริงกำลังผายลม!

 

เสียงนี้ดังมาจากใต้เตียง!

ใต้เตียงมีคนอยู่เพียงผู้เดียวชัดๆ... เป็นคนตาย!

คนตายไฉนส่งเสียงได้? !

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนชาญฉลาดจนปราดเปรื่องสุดยอดอยู่แล้ว เอี๊ยบไคยิ่งมิได้โง่เขลากว่า แต่กระทั่งทั้งสองยังคิดไม่ออก เป็นเรื่องราวใดกันแน่?

หากเป็นเรื่องที่กระทั่งทั้งสองยังคิดไม่ออก ในแผ่นดินยังมีผู้ใดสามารถคิดออก?

ใต้เตียงมีคนตายอยู่เพียงผู้เดียวชัดๆ ทั้งสองเมื่อครู่ยังยกเตียงขึ้นดู ตอนนี้เตียงถูกยกขึ้นแล้ว... ถูกคนทางเบื้องล่างดันให้ลอยขึ้นมา

แต่หัวใจเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับวาบหวิวลง!

...ผู้ส่งเสียงเมื่อครู่ ถึงกับเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม นางย่อมจำเสียงเต็งฮุ้นลิ้มได้!

แต่ทว่า เต็งฮุ้นลิ้มไฉนไปอยู่ที่ใต้เตียง? ฮั่นเจ็งที่ตาย ไฉนกลายเป็นเต็งฮุ้นลิ้มที่มีชีวิต? !

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคิดไม่ออกเลยจริงๆ

เอี๊ยบไคก็คิดไม่ออก!

...หากเป็นเรื่องที่กระทั่งทั้งสองยังคิดไม่ออก ในโลกมีผู้ใดสามารถคิดออก?

มีเพียงคนเดียว

คนนั้นย่อมเป็นตัวเต็งฮุ้นลิ้มเอง!

เต็งฮุ้นลิ้มมิได้วิกลจริตจริงๆ! !

ในโลกนี้ ผู้สามารถมารยาเป็นวิกลจริตจนซึมเซา มิเพียงเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผู้เดียว เต็งฮุ้นลิ้มก็รู้จัก

“เรื่องที่ท่านเป็น ข้าพเจ้าต่างเป็น”

นางเดินออกมาจากใต้เตียง เพ่งมองเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนด้วยประกายตาที่เจิดจ้าสุกใส

“ท่านรู้จักหลอกลวงคน ข้าพเจ้าก็รู้จัก ท่านรู้จักฆ่าคน ข้าพเจ้าก็รู้จัก และต้องไม่ด้อยกว่าท่านเด็ดขาด...”

“ท่านต้องการให้ฮั่นเจ็งมาฆ่าข้าพเจ้า ค่อยคิดหาวิธีให้เอี๊ยบน้อยเข้าใจว่า ข้าพเจ้าตายเพราะวิกลจริต...”

“ท่านจะต้องคิดไม่ถึง ข้าพเจ้ากลับสามารถฆ่าฮั่นเจ็งได้...”

“ท่านรู้จักใส่ยาสลบอยู่ในหมี่ตุ๋นไก่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รู้จักใส่ยาสลบในน้ำชาที่ฮั่นเจ็งดื่ม...”

“มันย่อมมิได้ระวังต่อสตรีที่วิกลจริตแล้ว เฉกเช่นกับที่พวกเราก่อนๆ นี้มิได้ระวังท่านเลย...”

“ความจริงวิธีนี้ ข้าพเจ้าเรียนมาจากท่านนั่นเอง!

...ฮั่นเจ็งที่ตายยังคงอยู่ใต้เตียง ครั้งนี้มันตายอย่างแน่นอนมิต้องสงสัยแล้ว

“ตอนข้าพเจ้าซ่อนซากศพมันไว้ที่ใต้เตียง จึงพบเห็น ใต้เตียงยังมีห้องใต้ดินอีกชั้น นั่นเป็นห้องใต้ดินที่ซ่อนสุรา...”

“ความจริงสุราของแนเฮี้ยงฮึ้ง ต่างซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน ดังนั้น พวกเราจึงหาทางภายนอกไม่พบแม้แต่กระปุกเดียว...”

“ข้าพเจ้าทราบพวกท่านต้องมาแน่ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน แต่ได้วางซากศพไว้ทางเบื้องบน...”

“ข้าพเจ้าคำนวณแน่ เมื่อท่านเห็นฮั่นเจ็งตายไป ต้องตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ต้องมิได้ไปสนใจสังเกตเห็น ด้านล่างของซากศพ ยังมีปากทางเข้าห้องใต้ดิน ข้าพเจ้ายังได้ยิน พวกท่านกล่าวกระไรกันอยู่ทางด้านบน ดูว่าเอี๊ยบ น้อยจะถูกท่านหลอกลวงไปหรือไม่?”

เมื่อนางหันมองเอี๊ยบไค ดวงตาเป็นประกายความสุขจนเจิดจ้า กล่าวเสียงนุ่มนวลต่อ

“ความจริงข้าพเจ้าก็ทราบ ครั้งนี้ท่านต้องไม่หลงกลนางเด็ดขาด ท่านมิได้ให้ข้าพเจ้าต้องผิดหวังจริงๆ”

นางกล่าวรวบรัดอย่างยิ่ง

มิว่าเป็นเรื่องที่วกวนซับซ้อนปานใด เมื่อเปิดเผยออกมา ท่านต้องพบเห็น มันมิได้ยุ่งเหยิงวุ่นวายดั่งที่ท่านคิดหมายอยู่ก่อนเลย

ความจริงในโลก มีเรื่องราวเช่นนี้อยู่มากหลายอย่างยิ่งจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฟังอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าที่ซีดขาวของนาง ถึงกับไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด

จวบจนเมื่อเต็งฮุ้นลิ้มกล่าวจบความ นางจึงยกมือขึ้นช้าๆ วางไปบนโต๊ะ

มือเรียวงามขาวผ่องทั้งสองของนาง ถึงกับกลายเป็นแข็งแกร่งปานโลหะ... โคมก็อยู่บนโต๊ะ

มือของนางเป็นประกายในแสงโคม.. มิใช่มือนางมีประกาย แต่เป็นถุงมือที่ถักขึ้นจากโลหะ ทั้งคมกริบ ทั้งสุกใสราวแก้วผลึก

มือข้างที่เต็งฮุ้นลิ้มเห็นทางหลังกำแพงโรงเตี๊ยมฮ้งปินในค่ำคืนนั้น เป็นมือคู่นี้เอง!

ที่ชุยเง็กจินเห็นบนกำแพงก็เป็นมือคู่นี้!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“นี่คือมืออยู่ยงคงกระพัน หัตถ์เทพเจ้าความวิญญาณที่ได้ยินแต่ในคำเล่าลือ”

เอี๊ยบไคร้องอ้อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“นี่ความจริงเตรียมเพื่อใช้กับลู่เต๊กและก้วยเต๋ง”

“ข้าพเจ้าดูออก”

“เสียดายที่พวกมัน บันดาลให้ข้าพเจ้าต้องผิดหวัง”

พวกมันมิได้ให้โอกาสแก่นาง ได้ใช้อาวุธคู่นี้เลยจริงๆ

นางแบมืออก ในฝ่ามือมีเข็มสีดำที่เล็กละเอียดยิ่งกว่าเข็มปักอยู่เล่มหนึ่ง กล่าวต่อไป

“นี่คือเข็มควานวิญญาณของข้าพเจ้า ที่มีอานุภาพเลอเลิศสุดหล้าฟ้าดิน”

เอี๊ยบไคร้องอ้อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“พวกเอี้ยเทียนทั้งสี่ ต่างตายอยู่ในเข็มนี้ของข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าดูออกแล้ว”

บ้วยฮวยจำ (เข็มดอกเหมย) ของบ้วยฮวยเต๋า (โจรดอกเหมย) ในกาลกระโน้นได้บันดาลให้ชนชาวบู๊ลิ้ม หวาดหวั่นขวัญฝ่อมาแล้ว

(อยู่ในเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น)

เอี๊ยบไคผงกศีรษะรับคำ

“ข้าพเจ้าเคยได้ยิน”

“แต่ข้าพเจ้ากล้าประกัน เข็มนี้ของข้าพเจ้า ยังน่าสะพรึงกลัวกว่าบ้วยฮวยจำมากนัก”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“คิดว่า เข็มเยี่ยงนี้ของท่าน ต้องเตรียมมาใช้รับมือกับข้าพเจ้า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยอมรับ นางเพ่งมองเอี๊ยบไคเนิ่นนานจึงถาม

“มีดของท่านเล่า?”

“มีดอยู่”

“อยู่ที่ใด?”

เอี๊ยบไคมิได้ตอบ

สุดฟากฟ้าสิ้นพสุธา ยังไม่เคยมีผู้ใดทราบ มีดบินของเอี๊ยบไคอยู่ที่ใด และไม่มีผู้ใดทราบ มีดสั้นซัดออกไปเยี่ยงไร ก่อนมีดยังมิหลุดจากมือ มิว่าผู้ใดก็คาดคิดไม่ถึง พลังและความเร็วของมัน!...

ทั้งปวงเพียงรู้อยู่ประการเดียว...

มีดสั้นจะต้องอยู่ในสถานที่สมควรอยู่!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าก็ทราบ มีดสั้นของท่านอยู่ในทุกแห่งหน ไปได้ในทุกแห่งหน ทลายในทุกสรรพสิ่ง”

เอี๊ยบไคมิได้ถ่อมตัวปฏิเสธ

เนื่องเพราะมีดแม้เป็นของเอี๊ยบไค แม้อยู่ในตัวเอี๊ยบไค แต่วิญญาณและธาตุแท้ของมีดนี้ กลับเป็นของผู้อื่น

เป็นของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง!

สุดฟากฟ้าสิ้นพสุธา ท่านต้องไม่อาจหาผู้ใดสามารถเป็นตัวท่านได้เด็ดขาด หากไม่สามารถเข้าใจถึงวิญญาณและธาตุแท้ที่ยิ่งใหญ่ของท่านผู้นั้น ก็ต้องไม่อาจซัดมีดสั้น ที่มีฤทธิ์สะท้านฟ้าโยกคลอนแผ่นดิน ออกไปจากมือเด็ดขาด

มีดบิน!

มีดบินยังมิได้อยู่ในมือ แต่วิญญาณและธาตุแท้มีดสั้นได้ปรากฏขึ้นแล้ว

นั่นมิใช่รังสีอำมหิต แต่ขู่ขวัญผู้คนให้ฝ่อได้รุนแรงกว่ารังสีอำมหิตที่เปล่งจากดาบกระบี่ทั้งหลายในใต้หล้า

แก้วตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหดเล็กลงทุกขณะ ส่งเสียงขึ้น

“มีดสั้นของท่านอยู่ในทุกแห่งหน ถึงในทุกที่ทาง เข็มของข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน”

เอี๊ยบไคร้องอ้อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านก็ไม่มีทางคาดคิดได้ชั่วกาลนาน เข็มของข้าพเจ้าซัดออกไปในทิศทางใด ยิ่งไม่มีทางคาดคิด มันซัดออกไปด้วยวิธีใด?”

“ข้าพเจ้าต้องไม่ไปคิด และไม่จำเป็นต้องคิด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นหัวร่อกล่าว

“หากท่านแน่ใจว่า สามารถสยบมือของข้าพเจ้าได้ ท่านก็ผิดแล้ว”

เอี๊ยบไคสงบนิ่ง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“เข็มของข้าพเจ้า มากราวกรวดทราบในชายหาด แต่มีดของท่านจำกัดอย่างยิ่ง”

เอี๊ยบไคส่งเสียงหนักๆ

“ข้าพเจ้ามีเพียงเล่มเดียวก็เกินพอแล้ว!

หางตาของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกระตุกถี่เร็ว อีกเนิ่นนานให้หลัง ถอนใจกล่าว

“อาจบางที นี่จึงเป็นชะตาชีวิต”

“ชะตาชีวิต?”

“อาจบางที เป็นชะตาชีวิตของข้าพเจ้าที่ถูกลิขิตไว้ จะเร็วจะช้า ต้องพิสูจน์ผลแพ้ชนะกับท่านสักครั้ง”

ดวงตานางมีประกายรันทดหดหู่ขึ้นอีกครา กล่าวช้าๆ ต่อไป

“เฉกเช่นกับเซี่ยงกัวปังจู๊ (เซี่ยงกัวกิมฮ้ง... บิดานาง) ในอดีต ถูกชะตาชีวิตลิขิตให้ต้องพิสูจน์ผลแพ้ชนะกับเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยให้ได้”

เอี๊ยบไคก็อดมิได้ต้องถอนหายใจกล่าว

“เซี่ยงกัวปังจู๊ในกาลกระโน้น นับเป็นจอมเหี้ยมหาญอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ได้เต็มภาคภูมิจริงๆ แต่เสียดายปัจจุบัน...”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิยอมให้เอี๊ยบไคกล่าวต่อ สอดเสียงเย็นชาทันที

“มาตรว่าเซี่ยงกัวปังจู๊ในกาลกระโน้นไม่อยู่ แต่เซี่ยงกัวปังจู๊ในปัจจุบันยังอยู่!

“มีดบินก็อยู่!

“การต่อสู้ของพวกท่านเมื่อกาลกระโน้น มาตว่าเพียงพอจะสะท้านฟ้าดินให้หวั่นไหว ภูตผีปิศาจคร่ำครวญได้ แต่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมากับตา”

เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องส่งเสียงขึ้นบ้าง

“แต่การต่อสู้ของพวกท่านในวันนี้ กลับต้องมีคนเห็นกับตา”

“ไม่มี!

“มี!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหันขวับไปถลึงจ้องนาง แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านต้องการดู?”

เต็งฮุ้นลิ้มส่งเสียงเย็นชาสวนคำไป

“ข้าพเจ้าต้องสามารถได้เห็น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นเสียงเย็นยะเยียบ

“อย่างนั้น ท่านมีแต่ต้องเห็นเอี๊ยบไคตายไป”

เต็งฮุ้นลิ้มก็แค่นหัวร่อใส่หน้า

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“หากท่านอยู่ที่นี้ เมื่อเข็มของข้าพเจ้าหลุดจากมือ เป้าแรกที่จู่โจมคือตัวท่าน หากเอี๊ยบไคเสียสมาธิเพราะท่าน มันก็มีแต่ต้องตาย

เต็งฮุ้นลิ้มตะลึงลานทันที!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิกล่าวอีกสักคำเดียว และมิยอมเหลือบแลนางอีกด้วย แต่เต็งฮุ้นลิ้มจำต้องเดินออกไป

ตอนนางเดินออกจากห้อง ตลอดร่างเย็นเฉียบราวเพิ่งปีนขึ้นจากหล่มน้ำแข็ง

-------------------------

ประตูถูกปิดสนิท กันสิ่งมีชีวิตทั้งมวลออกนอกประตูหมดสิ้น

ในประตู เหลือแต่ความตายเท่านั้น เป็นผู้ใดตาย? !

เต็งฮุ้นลิ้มงอตัวลง แทบอดมิได้ต้องอาเจียนออกมา นางบังเกิดความรู้สึกที่อับจนปัญญาเช่นนั้นอีกแล้ว ความรู้สึกนี้ จึงสามารถเสียดแทงจิตใจนางให้คลุ้มคลั่งได้จริงๆ

แต่ทว่า คลุ้มคลั่งก็ไม่มีประโยชน์!

การต่อสู้ของครั้งกระโน้น มาตรว่านางมิได้เห็น แต่เคยได้ยินมา

กระทั่งเซียวลี้ถ้ำฮวยเองก็ยอมรับ เซี่ยงกัวกิมฮ้งมีโอกาสฆ่าท่านได้หลายครั้งจริงๆ กระทั่งยังพอบันดาลให้ท่านไม่มีปัญญารับมือ แต่ทว่า เซี่ยงกัวกิมฮ้งแสร้งปล่อยโอกาสเหล่านั้นผ่านไป เนื่องเพราะเซี่ยงกัวกิมฮ้ง ยังคงต้องการพนันอีกครั้งให้ได้

...พนันดูว่า ตัวมันสามารถหนีจากมีดสั้นของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย ที่ถูกแผ่นดินยอมรับว่าเป็นมีดที่มิเคยผิดเป้ามาเลยหรือไม่? !

แต่ครั้งนี้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต้องไม่ยอมซ้ำรอยประวัติความผิดพลาดเช่นเดียวกันแน่นอน

เต็งฮุ้นลิ้มขมไปทั้งปากทั้งใจ ประหนึ่งน้ำขมในร่าง ต่างประดังออกมาหมดสิ้น

เอี๊ยบไคอาจบางทียังอยู่หลังประตูบานนี้ อยู่ทนทุกข์ทรมานกับความตาย แต่นางกลับต้องรออยู่ที่นอกประตูเท่านั้น

เฉกเช่นกับซุนเซี่ยวอั๊งและอาฮุย รอคอยลี้คิมฮวงไม่ผิดเพี้ยน!

แต่ทว่า ตอนนั้นพวกท่านยังมีสองคน

นอกห้องลับของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง เป็นประตูที่หลอมขึ้นจากแผ่นเหล็ก มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจทลายให้มันเปิดออก

แต่ประตูที่เบื้องหน้านางในตอนนี้ พร้อมที่จะถูกกระแทกให้พังทลายในทุกเวลา แต่นางพาลไม่กล้ากระแทกเข้าไป

นางต้องไม่ยอมปล่อยให้เอี๊ยบไคเสียสมาธิเด็ดขาด!

นางหวังอย่างยิ่งว่า ประตูที่เบื้องหน้าก็เป็นประตูหลอดจากเหล็ก ที่ไม่อาจกระแทกทลาย อย่างนั้นนางตอนนี้อย่างน้อยต้องไม่เจ็บปวกจิตใจ ไม่ต้องพยายามข่มกลั้นตัวเอง

ผู้ที่มิเคยผ่านวาระคับขันเยี่ยงนี้ ต้องไม่มีทางคาดคิด ความเจ็บช้ำระดับนั้น น่าสะพรึงกลัวปานใด? !

นางนับว่าแค้นจนใคร่ตอกเท้าของนาง ให้ตรึงติดกับพื้น

----------------------------

วิกาลคล้อยผ่านจนดึกสงัด เต็งฮุ้นลิ้มยังคงรอคอย ตลอดร่างพังทลายไปเพราะการรอคอย แต่ที่ยิ่งโศกเศร้าคือ นางถึงกับไม่ทราบ นางรอคอยกระไร? !

ที่นางรอคอย อาจบางทีเป็นเพียงการตายของเอี๊ยบไค!

นึกถึงภูมิปัญญาอันกลอกกลิ้งเปรื่องปราด พลังฝีมือที่เลอเลิศสุดสูงของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแล้ว นางกระทั่งยังมิทราบ เอี๊ยบไคพอจะมีโอกาสรอดออกมาได้สักกี่ส่วน? !

ดังนั้น พริบตาก่อนที่ประตูบานนี้จะเปิดออก นางตึงเครียดจนกระทั่งหัวใจแทบหยุดเต้นไปแล้ว

 

จวบจนนางเห็นเอี๊ยบไคอีกครา!

เอี๊ยบไคมีทีท่าที่อ่อนล้าอย่างยิ่ง แต่ยังคงรอดชีวิตอยู่!

มีชีวิต นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด!

เต็งฮุ้นลิ้มเพ่งตามอง ในที่สุด หยาดน้ำตาหลั่งไหลลงช้าๆ... ย่อมเป็นน้ำตาของความลิงโลดยินดี

ลิงโลดยินดีถึงขีดสุด เฉกเช่นเดียวกับเศร้าเสียใจถึงขีดสุด นอกจากหลั่งน้ำตาแล้ว มิว่าวาจาใดต่างไม่อาจเปล่ง กระทั่งเรื่องราวยังไม่อาจกระทำ ไม่อาจเคลื่อนไหวอีกด้วย!

“เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเล่า?”

อีกเนิ่นนานให้หลัง นางจึงสามารถเปล่งคำถามนั้นไป

คำตอบสั้นเพียงสามคำเท่านั้น

“นางแพ้แล้ว”

“นางแพ้แล้ว”

เป็นคำที่รวบรัดกระไรปานนั้น

ผลการแพ้ชนะ เป็นเพียงเรื่องที่อุบัติขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น!

แต่จะมีผู้ใดสามารถคาดคำนวณได้ เวลาพริบตานั้น มีความตื่นเต้นเร้าใจเพียงใด? !

พริบตานั้น กระทบกระเทือนต่อวงพวกนักเลงภายภาคหน้าใหญ่หลวงปานใด?

พริบตานั้น

มีดสั้น... มีดที่มีประกายแวววาว แต่ก็เป็นมีดที่ขู่ขวัญสะท้านใจปานใด สวยงามอาจหาญเพียงไหน? !

ท่านกระทั่งยังมิต้องไปเห็นกับตา เพียงขบคิดคำนวณ ลมหายใจของท่านก็ต้องชะงักงันโดยมิรู้ตัว!

แต่เต็งฮุ้นลิ้มมิได้ไปคิด

ทุกสรรพสิ่งที่มี ไม่สำคัญต่อนางแล้ว ที่สำคัญคือ เอี๊ยบไคยังคงมีชีวิตอยู่!

ขอเพียงเอี๊ยบไคยังมีชีวิต นางก็พึงพอแก่ใจแล้ว!

 

ในประตูยังมีเสียงสะอื่น คนตายต้องไม่สะอื้นแน่

หรือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังไม่ตาย?

มีดของเอี๊ยบไค ความจริงมิใช่ใช้ฆ่าคน ที่เอี๊ยบไคยอมให้นางรอดต่อไป ใช่หรือไม่ว่า เนื่องเพราะเอี๊ยบไคทราบ ต่อแต่นี้ นางจะต้องไม่เป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคนเดิมอีกแล้ว

...อโหสิ ยังยิ่งใหญ่กว่าล้างแค้นมากนัก ยิ่งใหญ่ชั่วกาลนาน

ใช้ฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างเลือด สำหรับเอี๊ยบไคแล้ว ไม่เหมาะสมเลย อาวุธที่เอี๊ยบไคใช้ คือเซี่ยวลี้ปวยตอ

พลานุภาพของมีดนี้คือรัก มิใช่แค้น!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสามารถเข้าใจเหตุผลนี้หรือไม่?

เต็งฮุ้นลิ้มก็มิได้ถาม เนื่องเพราะในใจนางตอนนี้ มีแต่รักไม่มีแค้น นางกำลังจ้องมองดวงตาเอี๊ยบไค

ชีวิตสวยงามปานนี้ ความรักสวยงามซาบซึ้งปานนี้ หากคนเรายังไม่สามารถลืมความอาฆาตแค้น ไยมิใช่โง่เขลาบัดซบยิ่ง!?

---------------------------

จบบริบูรณ์