หน่วยที่ 2 Taking
English Lessons
1. การพูดคุยเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษอาจใช้คำถาม wh-questions, ถ้อยคำสำนวนบอกความรู้สึก
และต้องทราบโครงสร้าง wh-questions, การใช้ adverb of
frequency, รู้ word stress, sentence stress, rhythm และ intonation
2. การพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการเรียนและการแก้ปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษ
อาจใช้ถ้อยคำสำนวนบอกความจำเป็น ให้คำแนะนำ บอกความสามารถ
3. การเรียนคำศัพท์ต้องรู้ชนิดของคำ รู้จักการออกเสียงคำ
ตอนที่ 2.1 How
do you learn English?
1. การถามเพื่อให้ได้ข้อมูลอาจใช้ wh-questions
2. การแสดงความรู้สึกด้านบวกและลบมีคำศัพท์สำนวนเฉพาะและใช้โครงสร้าง
BE + ADJ หรือ Feel + ADJ
3. การแนะนำและบอกความจำเป็นมีศัพท์สำนวนเฉพาะ
โดยอาจใช้ modal จำพวก should, could, would, need
to, must, have to
4. การบอกวิธีการเรียน การให้ข้อมูล และการให้ตัวอย่างมีศัพท์สำนวนเฉาพะ
5. adverb of frequency ใช้บอกความบ่อยครั้งของการกระทำ
6. การออกเสียงคำในภาษาอังกฤษมีการลงเสียงหนักเสียงเบา (stress) และการออกเสียงประโยคจะมีท่วงทำนอง (intonation) และจังหวะ
(rhythm)
7. การเรียนรู้คำศัพท์มีหลายวิธีการ การสร้างประโยคใหม่จากคำศัพท์จะช่วยให้เข้าใจและจำคำศัพท์นั้นได้
8. การเรียนไวยากรณ์และการฟังการพูดมีวิธีการที่หลากหลาย
คำอธิบาย
ตอนที่
2.1 นี้เป็นเรื่องของความคิดเห็นของนักศึกษาแต่ละคนเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษและวิธีการเรียนของตน
นอกจากวิธีการเรียนของแต่ละคนซึ่งนักศึกษาอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้
นักศึกษาจจะใช้หลายๆ วิธีในการเรียนของนักศึกษาเอง
และการเรียนแต่ละวิชาก็อาจใช้วิธีการเรียนที่แตกต่างกัน
นักศึกษาจะเห็นว่าอรินมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนและมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าจะเรียนเพื่อไปทำงาน
ชอบท่องคำศัพท์ ชอบอ่านหนังสือตอนเช้า สำหรับการฟังการพูด อรินพยายามฟังน้ำเสียง
การออกเสียงของผู้พูด แล้วพูดตาม บางครั้งก็ฝึกพูดกับสัตว์เลี้ยง พยายามไม่อายเวลาพูดภาษาอังกฤษ
เพราะคิดว่าเวลาเวลาฝรั่งพูดไทยผิดๆ เรากลับเห็นว่าน่าเอ็นดู จึงคิดว่าไม่ควรกังวลว่าสิ่งที่พูดจะไม่ถูกต้องตามไวยากรณ์
ตราบใดที่สามารถเข้าใจได้ บางทีก็ใช้ภาษาไทยแทน
กรชอบเรียนเพราะคิดว่ามีประโยชน์
และรู้สึกว่าเท่ถ้าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
ชอบเรียนการอ่านเพราะอยากจะอ่านภาษาอังกฤษในงานที่ทำได้
และคิดว่าง่ายกว่าการเรียนพูดเพราะสามารถอ่านทบทวนไปมาได้ อ่านหนังสือเฉพาะวันหยุด
กรพยายามวฝึกพูดกับเจ้าของภาษาโดยตรง ไม่ค่อยกังวลใจว่าจะพูดผิดหรือถูกไวยากรณ์
ตราบเท่าที่ผู้ฟังเข้าใจและใช้มือไม้ประกอบเวลาพูด
กรคิดว่าควรจะใช้ภาษาท่าทางประกอบ เช่น การพยักหน้าถือเป็นการตอบรับ
หรืออาจะเปลี่ยนคำยากๆ มาเป็นการอธิบายแทน
ส่วนทับทิมค่อนข้างจะเรียนไปเรื่อยๆ
ไม่มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างจริงจัง เรียนเพราะเป็นวิชาบังคับ
ทับทิมไม่ชอบอะไรเลย แต่พอจะท่องศัพท์ได้ คิดว่าเข้าใจไวยากรณ์แต่ทำข้อสอบไม่ได้
ทับทิมอ่านหนังสือในวันหยุด แต่บางครั้งก็ต้องทำงานพิเศษ อ่านหนังสือแล้วฟังเทป
ไม่เคยพบชาวต่างชาติ และไม่เคยฝึกเลย ทับทิมขี้อาย ไม่กล้าพูดกับชาวต่างประเทศ
กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ แต่ก็มีความอดทดพอสมควร
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
ในการเรียนภาษาอังกฤษ
นักศึกษาอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
สามารถใช้ภาษาได้ในสถานการณ์จริง
วิธีการเรียนภาษาที่จะยกมาเป็นตัวอย่างนนี้เป็นการรวบรวมมาจากผู้ใช้ภาษาที่คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จจากการใช้วิธีการเรียนภาษาดังกล่าว
วิธีการเหล่านี้จึงเป็นข้อเสนอแนะ
นักศึกษาอาจลองปฏิบัติตามหรือหากมีวิธีการของตนเองอยู่แล้ว
ลองคิดถึงวิธีการเรียนของตนอย่างจริงจังดู
Strategies for Developing Listening and Speaking Skills (กลวิธีการพัฒนาทักษะการฟังการพูด)
นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษาการฟังการพูดได้โดยอาจ
· เลียนเสียงท่วงทำนองจากเจ้าของภาษาหรือเทป
ในด้านของ stress (เสียงหนักเบา) rhythm
(จังหวะ) intonation (ทำนองเสียง)
· เปรียบเทียบเสียงของตนเองกับเจ้าของภาษา
· ตั้งใจฟังและพูดตาม
· สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของริมฝีปากของผู้พูด
และการออกเสียงคำต่างๆ เช่น l และ r
· กล้าพูด
ไม่อายที่จะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงไทย
· กล้าเสี่ยงที่จะใช้ภาษา
ไม่กลัวผิดพลาด เพราะข้อผิดพลาดเหล่านั้นคือการเรียนรู้เพิ่มเติม
Strategies for Studying Grammar (กลวิธีการศึกษาไวยากรณ์)
เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่เรียนภาษาอังกฤษเมื่อโตแล้ว
มิได้เรียนไปพร้อมๆ กับภาษาไทยเมื่อยังเด็ก
ซึ่งจะรับเอาข้อมูลทางภาษาไว้ในตัวได้มากและด้วยความคล่อง (with
ease)
นอกจากนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ยังมิได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอีกด้วย
จึงขาดการฝึกฝน เมื่อต้องการสร้างประโยคข้อความใหม่ๆ
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งอ้างอิงในการใช้ภาษา นั่นก็คือ
ข้อมูลเกี่ยวกับตัวภาษาซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของสำนวนภาษาสำเร็จรูปพร้อมใช้ (formulaic
phrases) หรือหลักไวยากรณ์ หรือโครงสร้างทางภาษา
แต่การเรียนไวยากรณ์มิใช่การท่องจำกฎเกณฑ์โดยมิได้นำไปใช้
หรือเรียนโดยแยกแยะออกเป็นส่วนๆ ไม่มีความสัมพันธ์กัน
อันที่จริงหากใช้ไวยากรณ์หรือโครงสร้างทางภาษาผิดพลาด
อาจจะทำให้ความหมายที่ต้องการสื่อสารผิดเพี้ยนไปได้ ในปัจจุบันโครงสร้างทางภาษาจะสอนควบคู่ไปกับการสื่อสาร
จึงทำให้เห็นความสำคัญของไวยากรณ์และเห็นบทบาทของไวยากรณ์ในการสื่อสารด้วย
วิธีเรียนไวยากรณ์โครงสร้างของภาษา อาจทำได้ดังนี้
· พยายามสังเกตโครงสร้างภาษาในด้านต่างๆ
เช่น สังเกตว่าประโยคใน present simple tense เมื่อเป็นประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่สาม
คำกริยาจะต้องเติม s ต้องออกเสียง s ท้ายคำ
· ต้องศึกษากฎเกณธ์ต่างๆ
· จัดระบบข้อมูลที่เรียน
· ทดลองใช้โครงสร้างหรือสำนวนที่เรียนมาในบริบทใหม่
· ต้องพยายามทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับไวยากรณ์ให้ถูกต้องมากที่สุด
· ระวังข้อผิดพลาดของตนเองที่พบบ่อยๆ
เช่น การลืมเปลี่ยนรูปคำกริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์
· พยายามสังเกตว่าตนเองอ่อนด้านใด
และหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม
· ต้องมีความอดทนต่อข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ
หรือข้อยกเว้นจากกฎทั่วไปที่ดูเหมือนจะมีมากมาย
อันที่จริงข้อยกเว้นเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทว่าเป็นเพราะกฎเกณฑ์ทางภามีความซับซ้อนมากจนไม่อาจสรุปได้ครอบคลุมทุกอย่าง
· พยายามศึกษาลักษณะของภาษาอังกฤษว่ามีความแตกต่างจากภาษาแม่
คือภาษาไทยอย่างไรบ้าง เช่น การวางตำแหน่งของคำขยายนาม ในภาษาไทยใช้
“หนังสือสีแดง” ส่วนภาษาอังกฤษใช้ “red book” เป็นต้น
Language
Functions
Asking
wh-questions
ในบทสนทนา
นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการถามโดยใช้ wh-questions ดังตัวอย่างในบทสนทนาใน
Presentation เช่น What do you like to study most? นักศึกษาลองกลับไปอ่านบทสนทนาทั้งหมดแล้วขีดเส้นใต้คำถามที่ขึ้นต้นด้วย what,
when, where, why และ how แล้วแปลความหมายเป็นภาษาไทย
B.
Expression positive and negative feelings
ในบทสนทนา
นักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการแสดงความรู้สึกทั้งด้านบวก ด้านลบ และกลางๆ
จากสำนวนภาษาต่อไปนี้
Positive
|
Neutral
|
Negative
|
I’m happy.
|
|
I’m unhappy.
|
I feel fine.
|
I feel OK.
|
I feel bad.
|
I’m encouraged.
|
|
I’m discouraged.
|
|
|
I’m frustrated.
|
|
|
I’m disappointed.
|
I’m satisfied.
|
|
I’m dissatisfied.
|
Grammar
Sentence
patterns for wh-questions
โครงสร้างของประโยคคำถาม wh-questions
โดยทั่วไปก่อนที่จะสามรถพูภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานได้
นักศึกษาจะต้องทราบโครงสร้างของประโยคจำนวนหนึ่ง
ในตอนนี้เน้นที่โครงสร้างของประโยค wh-question นักศึกษาลองอ่านประโยคต่อไปนี้
เห็นโครงสร้างของคำ wh-question คำกริยาแท้ คำกริยาช่วย กรรม
หรือไม่
Why do you study this course? How do you practice
listening and speaking?
จะเห็นว่าในส่วนตัวหนา
จะบอกการใช้รูปคำกริยาในโครงสร้างของประโยค
ให้นักศึกษาเรียงคำต่อไปนี้เข้าในโครงสร้างของประโยคแบบ wh-questions ในกรอบ
คำกริยาแท้ คำกริยาช่วย กรรม ประธาน
Question
word + - - - - - + - - - - - + - - - - - + - - - - - ?
โครงสร้างพื้นฐานของประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย
wh-question มีดังนี้
Question
word + คำกริยาช่วย + ประธาน + คำกริยาแท้ + กรรม ?
How do you
practice listening and
speaking?
โครงสร้างแบบอื่นๆ
When
do you want to go? เป็นไปตามโครงสร้าง
Question
word + คำกริยาช่วย
+ประธาน +คำกริยาแท้ + ส่วนขยาย?
When do you want to go?
When is your best time to study? มาจากโครงสร้าง
Question word + คำกริยาแท้ + ประธาน ?
When is your best time to study?
Adverb of frequency
ในตอนนี้นักศึกษาได้เรียนเกี่ยวกับการบอกความถี่
หรือการบอกว่าทำอะไรบ่อยแค่ไหน ให้นักศึกษาดูแผนภูมิข้างล่างนี้
ซึ่งได้เปรียบเทียบความหมายของคำกับจำนวนร้อยละโดยประมาณ
Never Almost never/Rarely Seldom Sometimes Almost
always Always
ให้นักศึกษาสังเกตประโยคต่อไปนี้
I have never failed any English course. หมายถึง
ฉันไม่เคยสอบวิชาภาษาอังกฤษตกเลย
I rarely read the book twice. หมายถึง
ฉันแทบจะไม่อ่านหนังสือสองรอบ
I seldom read books at night. หมายถึง
ฉันไม่ใคร่จะอ่านหนังสือตอนกลางคืน
I sometimes go to school on Saturday. หมายถึง
บางทีฉันก็ไปโรงเรียนในวันเสาร์
I almost always wake up very early in the morning. หมายถึง
ฉันตื่นเช้ามากแทบจะทุกวัน
I always study early in the morning. หมายถึง
ฉันมักจะอ่านหนังสือตอนเช้ามืดเสมอๆ
นอกจากนี้ยังมีนำวนบอกว่าบ่อยแค่ไหน
เช่น once a week, twice a week, once a month, yearly ซึ่งจะวางไว้หน้าหรือท้ายประโยคก็ได้
ตัวอย่างประโยค เช่น
Once a week, I read English newspapers.
I go shopping twice a week.
I have to pay for the subscription of this magazine yearly.
Expressing your feelings
เมื่อนักศึกษาต้องการแสดงความรู้สึกทั้งด้านบวกและด้านลบ
หรือกลางๆ อาจใช้โครงสร้างต่อไปนี้
Subject + BE + ADJ
I am OK. หมายถึง ฉันรู้สึกสบายๆ ไม่กังวลใจ แต่ไม่ถึงกับมีความสุขมากนัก
I am happy. หมายถึง ฉันพอใจ/มีความสุข
I am unhappy. หมายถึง ฉันไม่พอใจ/ไม่มีความสุข
I am worried. หมายถึง ฉันกังวลใจ
I am frustrated. หมายถึง ฉันหงุดหงิด
Subject + feel + ADJ
I feel bad. หมายถึง ฉันรู้สึกไม่ดี/แย่
I feel discouraged. หมายถึง ฉันรู้สึกหมดกำลังใจ
I feel unhappy. หมายถึง ฉันรู้สึกไม่พอใจ/ไม่มีความสุข
Vocabulary
ในบทสนทนา
นักศึกษาได้เรียนคำศัพท์เกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกและสำนวนอื่นๆ
ซี่งบางสำนวนได้อธิบายความหมายไว้ใน glossary
ข้างบทสนทนาแล้ว หากมีคำศัพท์อื่นๆ ที่ไม่ทราบ ให้หาความหมายในพจนานุกรม
แล้วจดแยกไว้แต่ละหน่วย แต่ละตอน
ในการฟังและพูดภาษาอังกฤษจำเป็นต้องฟังและออกเสียงคำให้ถูกต้อง
เพราะจุดประสงค์แรกของภาษานั้น
มีเพื่อให้พูดและฟังสื่อสารกันมิใช่เพื่อการเขียนอย่างเดียว
คำในภาษาอังกฤษมีการลงเสียงหนักเบา
หากออกเสียงไม่ถูกต้องอาจทำให้ผู้ผังไม่เข้าใจหรือทำให้ความหมายผิดไปได้ ต่อไปนี้จะอธิบายเรื่อง
stress, intonation, และ rhythm
Stress
· word
stress หมายถึง เสียงหนักที่พยางค์ใดพยางค์หนึ่งในคำ หากเป็นคำยาวๆ
อาจจะมี stress หนักที่สุดและรองลงมาก็ได้ เช่น absolute
เสียงหนักที่สุดคือ ab เสียงหนักรองลงมาคือ lute (Webster’s: 1983) จากพจนานุกรมเล่มนี้ เครื่องหมาย’เหนือคำนำหน้าพยางค์ที่ออกเสียงหนักที่สุด (primary stress) เครื่องหมาย , ใต้คำนำหน้าพยางค์ที่ออกเสียงหนักรองลงมา (secondary
stress) เสียงหนักลำดับที่ 3 ไม่มีเครื่องหมาย
· sentence
stress คำในภาษาอังกฤษนอกจากจะมีเสียงหนักเบาของคำแล้ว เมื่ออยู่ในประโยคอาจได้รับการเน้นต่างๆ
กัน ตามความประสงค์ของผู้พูด เมื่อนักศึกษาต้องการเน้นที่ข้อความหนึ่งในประโยค
จะเน้นที่คำนั้นดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้ (คำที่ออกเสียงเน้นพิมพ์ตัวหนา)
Why do you study this course?
ผู้ถามต้องการทราบว่าทำไมคุณถึงเรียนวิชานี้
เน้นที่การเรียนทำไมเลือกเรียนวิชานี้ ไม่ drop (เลิกเรียน)
Why do you study this course?
ผู้ถามต้องการทราบว่าทำไปคุณถึงเรียนวิชานี้
เน้นที่ตัวคุณว่าทำไมไม่ใช่คนอื่น
Why do you study this course?
ผู้ถามต้องการทราบว่าทำไมคุณถึงเลือกเรียนวิชานี้ เน้นที่วิชานี้
ทำไมไม่เรียนวิชาอื่น
Rhythm จังหวะชองคำ
เนื่องจากคำภาษาอังกฤษมี
stress ของแต่ละคำ
เมื่อพูดติดต่อกันจึงเกิดเป็นจังหวะขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแบ่งช่วงคำ
ช่วยความหมายจึงเกิดเป็นจังหวะขึ้น
Intonation ท่วงทำนองของประโยค
ในภาษาอังกฤษมีการออกเสียงสูง
(rise) เสียงต่ำ (fall) ในคำ
(ซึ่งมี stress ของคำอยู่แล้ว) เพื่อเน้นความในประโยค
· ในบทสนทนา
นักศึกษาได้ฟังคำถาม wh-questions มาบ้าง
คงจะสังเกตว่าท้ายประโยคไม่ต้องขึ้นเสียงสูง
· เมื่อต้องการพูดถึงข้อความต่อเนื่อง
ผู้พูดมักจะขึ้นเสียงสูงที่ท้ายประโยคเพื่อบอกให้รู้ว่ายังมีข้อความที่ตามมา
เมื่อถึงข้อความสุดท้ายจึงลดเสียงลงต่ำ
วิธีการจำศัพท์ เช่น
-
เขียนซ้ำหลายๆ ครั้ง
-
เขียนในกระดาษสีต่างๆ กัน
ด้านหนึ่งเป็นภาษาไทย อีกด้านหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ
-
ท่องโดยพูดซ้ำ คำละ 10 ครั้ง
-
ออกท่าทางของคำศัพท์นั้น เช่น
พยักหน้า = nod
-
จัดกลุ่มคำศัพท์ตามประเภท เช่น
คำศัพท์เกี่ยวกับการเรียน เสื้อผ้า ฯลฯ
-
ใช้คำศัพท์ เช่น สร้างประโยคใหม่
-
เล่นเกมที่เพิ่มความรู้เกี่ยวกับศัพท์
เช่น scrabble, crosswords
ตอนที่ 2.2 Are
you a Good Learner of English?
1. การให้คำแนะนำอาจใช้คำกริยา modal คือ should หรือ could
2. การบอกความจำเป็นอาจใช้ must, need to
3. การบอกว่าทำได้ ใช้ can ตามด้วยคำกริยาไม่ผันรูป
4. การสังเกตน้ำเสียงของผู้พูดจะช่วยให้เข้าใจความหมายได้ดียิ่งขึ้น
5.
การประยุกต์ใช้คุณลักษณะของผู้เรียนภาษาที่ดีประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษเข้ากับตนเอง
เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้ดี
คำอธิบาย
ในตอนที่ 2.2
นักศึกษาได้ฟัง อริน กร และทับทิมพูดคุยกันเรื่องปัญหาการเรียน
และได้สรุปปัญหาพร้อมคิดหาวิธีแก้ไขในกิจกรรมข้างต้นแล้ว
จะเห็นว่าปัญหาพื้นฐานคือเรื่องทัศนคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่กล้าพูด
เรื่องคำศัพท์ แหล่งข้อมูลเมื่อมีปัญหา การออกเสียง
อันที่จริงทุกปัญหามีทางแก้ทั้งสิ้น ขอเพียงอย่าท้อถอย มุมานะ
ศึกษาวิธีการเรียนจากที่มีผู้แนะนำไว้
จากบทสนทนา
นักศึกษาจะเห็นว่า อริน มีวิธีการเรียนโดยการวางแผน เรียนเวลาที่ตนเองสดชื่นที่สุด
เมื่อมีปัญหาจะถามพี่สาวหรืออ่านหนังสือเพิ่มเติม บางทีก็โทรศัพท์ถามอาจารย์ที่
มสธ. มีปัญหาการใช้สำนวนไทยแปลตรงตัวและไม่รู้คำศัพท์สำนวนมากพอ
กร
ไม่มีเวลาวางแผน อ่านไปตามหนังสือ เพราะคิดว่าเอกสารการสอนคงจะได้วางแผนมาแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็จะถามเพื่อนฝรั่งที่ทำงานหรือเพื่อคนไทยที่เก่งภาษาอังกฤษ
ไม่ชอบค้นคว้าเอง มีปัญหาเรื่องการออกเสียง พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบไทยๆ
ทับทิม
จะข้ามตรงที่ยาก ไม่เข้าใจ ไปถามคนอื่นเวลามีปัญหา
รู้สึกท้อแท้ใจคิดว่าไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษ หาโอกาสฝึกฝนตลอดเวลา
พีท
เรียนภาษาโดยการฟัง และใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
ผู้เรียนภาษาที่ประสบความสำเร็จเรียนภาษาอย่างไร
มีผู้เสนอแนะไว้ดังนี้
1.
หาวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง บางคนอาจจะชอบเรียนรู้โดยการสังเกต เฝ้าดูคนอื่นใช้ภาษา
บางคนคิดอย่างเป็นนามธรรม ชอบวิเคราะห์กฎเกณฑ์ทางภาษา
บางคนชอบทดลองใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เป็นจริงเลย แม้ว่าตนเองจะยังไม่พร้อม
ในกรณีของนักศึกษาลองคิดดูว่าเรียนแบบใดได้ผลกับตัวเองมากที่สุด
อาจจะชอบอ่านตำราไวยากรณ์ บางคนชอบเขียน ชอบอ่านหนังสือพิมพ์
ชอบพบปะพูดจากับคนอื่น
2. ใช้วิธีเชิงรุกในการเรียน
คือพยายามหาโอกาสฝึกฝนภาและค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา
ไม่ฝากความหวังไว้กับผู้อื่น
เพราะกระบวนการเรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องกระทำด้วยตนเอง
3. กล้าเสี่ยง
ต้องพยายามใช้ภาษา ไม่อายที่จะพูด และอาจใช้วิธีอื่นๆ เพื่อสื่อสารในสิ่งที่ต้องการ
เช่น การพูดอ้อม อธิบายลักษณะของสิ่งของที่ผู้เรียนไม่รู้จัก เช่น something
you wear to see better แทนคำศัพท์ eye glasses ใช้คำที่ครอบคลุมกว้างๆ เช่น stuff, things ตัวอย่าง
Can you get me that thing? หรือใช้ท่าทางประกอบ เช่น
เมื่อเรียนคำว่า bow ก็โค้งคำนับ
4.
การเป็นผู้เดาที่ดี
ผู้เรียนภาษาที่ดีต้องรู้จักใช้ตัวแนะทางภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ
และสรุปความได้ถูกต้อง เป็นไปได้ มีเหตุผล ใช้ตัวแนะในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น
ใช้บริบท สถานการณ์ คำอธิบายต้องพยายามหาตัวแนะที่จะชี้คำตอบ กล้าลองผิดลองถูก
บางครั้งใช้การแปลเข้าช่วยเพื่อหาความหมาย
5.
พร้อมที่จะสังเกตรูปแบบของภาษาไปพร้อมๆ กับเนื้อหา
ผู้เรียนภาษาที่ประสบผลสำเร็จมักจะค้นหาโครงสร้างทางภาษาและความสัมพันธ์ของกฎเกณฑ์ทางภาษา
6.
พยายามคิดเป็นภาษานั้นๆ (ในที่นี้คือภาษาอังกฤษ) เช่น เห็นโต๊ะ ก็รู้ว่าคือ table
ไม่ต้องแปลจากไทยไปอีกครั้งหนึ่ง
7. มีความอดทด
กล้าแสดงออก พยายามเอาชนะความรู้สึกท้อถอยของตนเอง
(อลิสา วานิชดี, 2537)
Giving suggestions การแนะนำ
การแนะนำอาจใช้ should
หมายถึงควรจะ และ could หมายถึงอาจจะทำ...ได้
ตัวอย่าง You
should go to the library. หมายถึง คุณควรจะไปที่ห้องสมุด
You
could speak to your friends. หมายถึง คุณอาจจะพูดคุยกับเพื่อนๆ ได้
Telling necessity บอกความจำเป็น
การบอกความจำเป็นอาจใช้
must, need to
ตัวอย่าง I
need to improve my pronunciation. หมายถึง ฉันจำเป็นต้องปรับปรุงการออกเสียง
I
must read more. หมายถึง ฉันต้องอ่านหนังสือมากขึ้น
I
need to practice more. หมายถึง ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนมากกว่านี้
I
must memorize these words. หมายถึง ฉันต้องท่องจำคำเหล่านี้
โครงสร้างของภาษาที่ใช้ในการให้คำแนะนำและบอความจำเป็นในตอนที่ 2.2
มีดังนี้
ประธาน + must + V base form
need
to
should
could
Vocabulary
ในตอนนี้นักศึกษาได้เรียนคำศัพท์ใหม่ๆ
อะไรบ้าง ให้จดรวบรวมไว้พร้อมกับคำแปล
Listening & Speaking: Paying attention to the tone of speaker’s
voice
ในการฟังเพื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆ
อาจสังเกตน้ำเสียงของผู้พูดว่ารู้สึกอย่างไร เช่น เมื่อทับทิมพูดว่า I feel
bad and depressed. น้ำเสียงท้อแท้เบื่อหน่าย เมื่อนักศึกษาพูดว่า I
enjoy it very much. น้ำเสียงสดชื่น
ตอนที่ 2.3 Learning
Vocabulary
1. การระบุปัญหาในการเรียนอาจใช้สำนวน My
problem is … , I can’t …
2. การให้ตัวอย่างเป็นการขยายรายละเอียดของประเด็นที่ต้องการพูด
3. ชนิดของคำในภาษาอังกฤษแบ่งเป็น คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำสันธาน
คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ คำบุพบท คำอุทาน
4. การออกเสียง s ท้ายคำในภาษาอังกฤษมีความสำคัญในการสื่อความหมาย
5. การสร้างประโยคใหม่จากคำศัพท์จะช่วยให้จำคำศัพท์ได้ดีขึ้น
คำอธิบาย
บทสนทนานี้นักศึกษาอภิปรายเรื่องการเรียนคำศัพท์และเทคนิคการจำ
ส่วนเรื่องการใช้พจนานุกรมขอให้นักศึกษาดูหน่วยที่ 5
สำนวนต่างๆ
ที่นักศึกษาควรทราบได้ให้ความหมายไว้ใน glossary ข้างบทพูดแล้ว
นักศึกษาอาจใช้วิธีสังเกตคำแปลและคำภาษาอังกฤษไปด้วยกันก็ได้ เช่น
ดิฉันต้องเปิดดิคฯ
ทุกคน ไม่รู้ศัพท์เอาเสียเลย (I have to check every word in a
dictionary. I don’t know any of them.)
จะเห็นว่าที่เราชอบพูดในภาษาไทยว่าเปิดดิคฯ
ใช้คำว่าดิคชันนารีทับศัพท์ ซึ่งหมายความว่าหาความหมายในพจนานุกรมนั้น
ในภาษาอังกฤษเราอาจใช้สำนวน check every word in a dictionary หรือ look the word up in a dictionary ได้
จะไม่แปลตรงตัวว่า open dictionary
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
How to Learn Vocabulary
การรู้คำศัพท์ที่แท้จริง
หมายถึงการที่เราเข้าใจความหมายของคำศัพท์นั้นเก็บไว้ในสมอง จำได้
และสามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการ
· วงคำศัพท์ที่จำเป็นจะมีจำนวนเท่าใดขึ้นกับจุดประสงค์ในการใช้ภาษาของผู้ใช้ภาษา
ซึ่งอาจประกอบด้วยคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คำบอกรูปร่างหน้าตา
คำบอกอารมณ์ความรู้สึก หรือคำศัพท์เฉพาะวงวิชาชีพนั้นๆ
· โดยทั่วไปคำศัพท์ที่จำเป็นในการสื่อสาร
อาจแบ่งออกได้เป็น structure words และ content words structure
words คือคำที่บอกโครงสร้าง เช่น คำบุพบท คำสันธาน คำกริยาช่วย และ modal
คำเหล่านี้มีจำนวนคำจำกัด ส่วน content words เป็นคำที่บอกเนื้อหา
ได้แก่ คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ คำเหล่านี้มีจำนวนคำไม่จำกัด
· วิธีการเรียนคำศัพท์ตามที่ได้มีผู้แนะนำไว้
มีดังนี้
o
ท่องคำศัพท์ตามรายการที่จัดระบบไว้
o
ให้มุ่งหวังที่จะจำได้ทั้งหมดทั้ง 100% ซึ่งความเป็นจริงจะทำได้ประมาณ 70%
o
เรียนคำศัพท์ในบริบท
คือเรียนคำศัพท์ว่าใช้อย่างไรในบทอ่านหรือคำพูด
o
เขียนคำศัพท์และความหมายใส่การ์ดกระดาษแข็ง
ซึ่งอาจจะเป็นสีต่างๆ เขียนคำศัพท์ไว้หน้าหนึ่ง ด้านหลังเขียนความหมาย
o
ออกเสียงคำศัพท์นั้นๆ และเขียนซ้ำๆ
หลายๆ ครั้งจนจำได้
o
บันทึกเสียงคำและความหมายใส่เทป
แล้วฟังทบทวน ถ้าชอบเรียนโดยการฟัง
o
ใช้ปากการะบายสีต่างๆ
เพื่อทราบชนิดของคำ (part of speech) เช่น คำนาม ใช้ปากกาส้ม
คำกริยาใช้ปากการสีฟ้า (Rubin and Thompson, 1994)
Language Functions
บทสนทนาตอนนี้เป็นเรื่องของการพูดถึงปัญหาการเรียนและแนะนำวิธีการเรียน
A. การพูดถึงปัญหาการเรียน อาจจะใช้สำนวน My
problem is … หรือจะบอกว่า ทำไม่ได้โดยใช้สำนวน I can’t … หรือบอกว่าไม่รู้วิธีโดยใช้สำนวน I don’t know how to … หรือ I don’t know …
B. การแนะนำ ใช้ทั้งสำนวน Maybe you can … หรือใช้คำกริยารูปคำสั่ง กรณีที่ต้องบอกเป็นขั้นตอนให้ปฏิบัติตาม
อาจใช้คำแสดงลำดับที่ เช่น first, second, then, next, finally ให้นักศึกษาดูตัวอย่างจากบทสนทนาต่อไปนี้
In
your case, Tabtim. Maybe you can list all the words and memorize them. Aim to
memorize 5 words a day. Put the words in groups, like words used in cooking…
etc. You can memorize faster than when you memorize them randomly or without
any structure at all. No pain, no gain!
Grammar
ในตอนนี้เน้นเรื่องการเรียงคำศัพท์
การรู้จักชนิดของคำศัพท์นั้นๆ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้ใช้ให้ถูกต้อง
ในที่นี้จะอธิบายอย่างย่อๆ ถึงชนิดของคำประเภทต่าง (part of
speech)
นักศึกษาสามารถศึกษารายละเอียดของชนิดของคำได้เพิ่มเติมจากตำราทางไวยากรณ์ทั่วไป
คำนาม (noun) คือคำบอกถึงคน
สัตว์ สิ่งของ อาจแบ่งเป็นนามทั่วไป (common noun: horse, book) และนามเฉพาะ (proper noun: Mr. White)
และยังอาจแบ่งเป็นคำนามที่เป็นรูปธรรม (book) และนามธรรม (friendship)
สิ่งที่ต้องสนใจในการใช้คำนามคือการใช้
คำกำกับนาม เช่น
a,
an, the much,
many
this, that,
these, those all,
both, half
a few, a little some,
any
คำสรรพนาม (pronoun) คือคำที่อ้างถึงคน
สัตว์ สิ่งของ เช่น personal pronoun (subject: I, he, she, it, they, you, we; object:
me, him, her, it, them, you, us) reflexive pronoun
(myself, himself, herself, itself, themselves, yourself, yourselves, ourselves)
possessive pronoun (mine, his, hers, its, theirs, ours, yours) นอกจากนี้ยังมีคำศรรพนามที่ควรทราบอื่นๆ
เช่น relative pronoun (wh-work, that) interrogative pronouns (who, whom,
whose, which, what) ซึ่งนักศึกษาจะได้เรียนในหน่วยต่อๆ ไป
คำกริยา (verb) แสดงการกระทำ
· คำกริยาแบ่งออกเป็น
-
คำกริยาช่วย มีจำนวนจำกัด Do,
Have, BE
-
คำกริยา modals
เช่น can, may, shall, will, must, could, might, should,
would คำกริยาอื่นๆ ที่ตามหลัง modals
อยู่ในรูป base form (ไม่ผัน)
-
คำกริยาแท้ คือคำกริยาทั่วไป
ต้องการกรรม เช่น I eat an apple. ไม่ต้องการกรรม เช่น I run.
· สิ่งที่นักศึกษาต้องสนใจในการศึกษาคำกริยาคือ
-
รูปของคำกริยา เช่น
base form past past participle present participle
be was/were been being
walk walked walked walking
speak spoke spoken speaking
-
Voice
active/passive voice ประธานเป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำในประโยค
เช่น
active voice I eat an apple.
passive voice An apple was eaten by me.
นักศึกษาจะได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในหน่วนต่อๆ ไป
คำคุณศัพท์ (adjective) ขยายคำนามหรือสรรพนาม
เช่น บอกสี บอกขนาด บอกคุณลักษณะของคำนามนั้นๆ สิ่งที่ต้องสนใจในการใช้คำคุณศัพท์
คือ ลำดับที่ของคำคุณศัพท์ที่มาก่อนหน้าคำนาม
อาจใช้คุณศัพท์ขยายคำนามโดยวางไว้หน้าคำนามนั้นๆ เช่น a red
book หรือตามหลัง BE และ linking verb เช่น
BE I
am happy.
linking verb I
feel good.
The
cake tastes good.
That
looks wonderful.
นอกจากนี้นักศึกษายังจะต้องสนใจการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่า
หรือขั้นสูงสุด ว่าเปลี่ยนรูปอย่างไร เช่น Pim is taller than Dara.
Dara is more
beautiful than Pim.
Suda is the
most beautiful girl in this class.
คำกริยาวิเศษณ์ (adverb) ขยายคำกริยา
เช่น I read this book slowly. มักลงท้ายด้วย ly คำกริยาวิเศษณ์ที่มีรูปเหมือนกับคำคุณศัพท์ เช่น fast, hard
ขยายคำคุณศัพท์ เช่น extremely
dangerous really
pretty
deeply
concerned very
quick
นอกจากนี้นักศึกษายังจะต้องสนใจการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ขั้นกว่า
หรือขั้นสูงสุด ว่าเปลี่ยนรูปอย่างไร เช่น Pim walks more slowly than
Dara.
คำสันธาน (conjunction) เชื่อมคำ
เชื่อมข้อความ เชื่อมประโยค เช่น and, but, however รูปของ
conjunction จะมีจำนวนจำกัด เช่น Dara sings and plays the guitar at the party.
Dara did not go to Natta’s birthday party, however, she sent a
bouquet of flowers.
นอกจากนี้นักศึกษาควรทราบวิธีใช้ either … or …, neither ….nor…., both
….and…..
คำบุพบท (preposition) รูปของ
preposition จะมีจำนวนจำกัด
บอกตำแหน่งแห่งที่ เช่น in, on, at
บอกเวลา เช่น at 9.00 o’clock on
Monday
คำอุทาน (interjection) บอกอารมณ์ความรู้สึก
ดีใจ เสียใจ ตกใจ เช่น Oh, Well, Ah เช่น Oh! I didn’t know that.
Vocabulary
ในตอนนี้มีคำใหม่ๆ
หลายคำที่ต้องเรียนรู้จากคำต่อไปนี้ นักศึกษาทราบคำใดบ้าง เขียนความหมายไว้
ส่วนคำที่ไม่ทราบให้หาความหมายจากพจนานุกรมและลองคิดว่าจะจำคำเหล่านี้อย่างไร
remember randomly structure pain gain context
clues meaning sentence memorize problem friendship
relate acting list picture activities good idea
Listening & Speaking: The final sound of ‘s’
ในตอนนี้จะเน้นที่การออกเสียงท้ายคำที่นักศึกษามักจะพบปัญหา
เนื่องจากภาษาไทยไม่มีลักษณะดังกล่าว
ในภาษาอังกฤษต้องอกเสียงให้ถูกต้องเพราะจะเกี่ยวพันถึงความหมายด้วย
ในกรณีของคำพหูพจน์
-
เสียง ‘s’ ท้ายคำกริยาของประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่สาม ที่อยู่ใน present
simple tense
Tabtim thinks her problems is vocabulary.
-
ท้ายคำนามพหูพจน์ เช่น words
groups expressions techniques clues
คำที่ลงท้ายด้วย s, sh เป็นพหูพจน์เติม es
เช่น phrases, classes นักศึกษาออกเสียงท้ายคำเป็น
อิซ /IZ/
หน่วยที่ 3 Fun
times
1. การจัดงานเลี้ยงอาจเกี่ยวข้องกับหลายบุคคล
เพื่อช่วยให้การเตรียมงานเป็นไปอย่างราบรื่นทั้งด้านวัน เวลา สถานที่จัดงาน
แขกรับเชิญ ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่ม ในการปรึกษาหารือเพื่อเตรียมการจัดงาน มักมีการถามหรือการแสดงความคิดเห็น
การขอร้องให้ผู้อื่นกระทำบางอย่างให้ การเสนอตนให้ความช่วยเหลือ
และการชัดชวนชี้แนะ รวมถึงการตอบรับหรือตอบปฏิเสธด้วย
2. การสังสรรค์ในงานเลี้ยง มักเป็นเรื่องของการแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน
การทักทาย การสนทนาเรื่องจิปาถะทั่วไป การเสนอเครื่องดื่ม อาหาร หรือสิ่งของ
การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการติดต่อระหว่างกันในอนาคต ตลอดจนการขอบคุณ
3. การติดต่อระหว่างกันเพื่อสอบถามหรือส่งข่าวคราว
ตลอดจนการติดต่อธุระกันเป็นสิ่งที่มักกระทำกันอยู่เสมอ
การติดต่อทางโทรศัพท์เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้ ในการติดต่อทางโทรศัพท์อาจเกิดปัญหาในการสนทนาได้
เช่น ไม่ได้ยิน ฟังไม่ถนัดหรือไม่ชัดเจน เป็นต้น
ซึ่งคู่สนทนาจำเป็นต้องมีวิธีการหรือใช้สำนวนภาษาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ตอนที่ 3.1 Let’s
Have a Party
1. การขอร้องให้บุคคลอื่นช่วยกระทำบางอย่างให้
มีสำนวนหลักๆ ที่นิยมใช้คือ Can you (please) …?, Could you (please) …?,
Would you (please) …? หรือ Would you mind …? สำนวนในการตอบรับหรือปฏิเสธมีหลายสำนวน
2. การเสนอความช่วยเหลืออย่างกว้างๆ มีสำนวนหลักๆ ที่นิยมใช้คือ Can
I help you? หรือ May I help you? การเสนอความช่วยเหลือโดยระบุสิ่งที่จะช่วยทำให้
อาจใช้สำนวน Can I / Could I …?, Would you like me to …? หรือ
If you’d like, I’d be happy to … ส่วนการเสนอสิ่งของ
อาจใช้สำนวน Would you like …? สำนวนในการตอบรับหรือปฏิเสธมีหลายสำนวน
3. การชักชวนชี้แนะเพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง อาจใช้สำนวน Shall
we…?, Let’s …, shall we? หรือ How about …? สำนวนในการตอบรับหรือปฏิเสธมีหลายสำนวน
คำอธิบาย
ในบทสนทนาระหว่าง
Arin และเพื่อนๆ
เกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ทั่วไปในหมู่เพื่อนฝูง อาจารย์ และเพื่อนนอกกลุ่มเรียนอีกบางส่วนนั้น
มีศัพท์และสำนวนที่น่ารู้ดังต่อไปนี้
1. คำว่า organize
เป็นคำกริยา เป็นการสะกดคำตามแบบอเมริกัน หากเป็นแบบอังกฤษ
จะสะกดเป็น organize หมายถึง จัด
สามารถตามด้วยคำนามเพื่อแสดงถึงสิ่งที่จัด เช่น organize a party, organize
a meeting, organize a seminar, organize a conference เป็นต้น
ในที่นี้ Arin และเพื่อนอยู่ในฐานะผู้จัด
จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น organizers กล่าวคือ เป็น party
organizers
2. สำนวน have some fun หมายถึง มีความสนุกสนาน คำว่า fun
เป็นคำนาม หมายถึง ความสนุก
ส่วนอีกคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกันและหลายคนมักใช้สับสนกับคำว่า fun คือคำว่า funny ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง ตลก
เช่น Neil is a very funny man. (นีลเป็นผู้ชายที่ตลกมาก)
3. สำนวน throw a party หมายถึง จัดงานเลี้ยง
อาจใช้สำนวน give a party หรือ hold a party แทนก็ได้
4. สำนวน make
up one’s mind หมายถึง ตัดสินใจ มีความหมายเหมือนกับคำกริยา decide ข้อความ …as soon as we make up our minds when the party will be
held. หมายความว่า
ทันทีที่เราตัดสินใจได้ว่างานเลี้ยงจะจัดขึ้นเมื่อไหร่
5. คำว่า rest เป็นได้ทั้งคำนาม (หมายถึง การพักผ่อน) และคำกริยา (หมายถึง พักผ่อน)
ในที่นี้ใช้เป็นคำนาม สำนวน have enough rest หมายความว่า
มีการพักผ่อนที่เพียงพอ โดยทั่วไปมักใช้สำนวนว่า have a rest
6. คำว่า otherwise เป็นคำที่ใช้เชื่อมข้อความสองข้อความ
เพื่อแสดงความขัดแย้งกัน หมายถึง หาไม่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น มิฉะนั้น ข้อความ It’s
important to have the information, otherwise we can’t make the appropriate
preparations or arrangements. หมายความว่า
การมีข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็น หาไม่แล้วเราจะไม่สามารถมีการเตรียมการหรือการจัดการที่เหมาะสมได้
7. สำนวน BE
good at ตามด้วย คำนาม หรือ Gerund
(คำกริยาเติม ing ซึ่งทำหน้าที่เหมือนคำนาม) หมายถึง เก่ง
เช่น I’m good at driving. (ฉันขับรถเก่ง) Arin is
good at cooking (Arin ทำอาหารเก่ง) ข้อความในบทสนทนาที่ว่า I’m
sure you all know how good I am at drawing and painting, don’t you? หมายความว่า ฉันแน่ใจว่าพวกคุณทั้งหมดรู้ว่าฉันวาดรูปและระบายสีรูปเก่งมากแค่ไหนไม่ใช่หรือ
8. ประโยค You
can certainly count on me. หมายความว่า คุณสามารถไว้ใจฉันได้แน่นอน
ขอให้สังเกตว่า count ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า นับ
9. สำนวน BE
in charge of ตามด้วยคำนาม หรือ Gerund หมายถึง
รับผิดชอบ มีความหมายและวิธีใช้เหมือนกับ BE responsible for ข้อความ But I think you need to be in charge of food and drink
preparation yourself. หมายความว่า แต่ฉันคิดว่าคุณจำเป็นต้องรับผิดชอบการเตรียมการเรื่องอาหารและเครื่องดื่มเอง
10. ตามปกติ
คำว่า since อาจใช้แสดงเวลา หรือสาเหตุก็ได้ แต่ในบทสนทนาที่ว่า
…since you’re the best cook of us all, how about showing off your
cooking skills? ใช้ since เพื่อแสดงสาเหตุ
หมายความว่า เพราะคุณเป็นแม่ครัวที่เก่งที่สุดในกลุ่มพวกเราทั้งหมด
คุณจะแสดงทักษะการทำอาหารหน่อยดีไหมล่ะ
11. ข้อความ It’s
very nice of you to say so, guys. เป็นสำนวนที่ใช้ในการกล่าวขอบคุณเมื่อผู้อื่นกล่าวบางสิ่งบางอย่างที่ดีในลักษณะชมเชย
คำว่า guy หรือ guys ตามปกติแปลว่า
เจ้าหนุ่ม เป็นคำเรียกผู้ชายอย่างไม่เป็นทางการ แต่ในที่นี้ใช้เป็นคำนามพหูพจน์
หมายถึง พวกหรือพรรคพวก เป็นคำที่คนอเมริกันใช้เรียกเวลาพูดกับคนทั้งกลุ่ม
อาจจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้
12. สำนวน but
flattery gets you nowhere หมายความว่า
แต่การสรรเสริญเยินยอไม่ทำให้คุณได้อะไร
13. สำนวน Let’s
just hope the party goes well. เป็นสำนวนการชักชวน หมายความว่า
เรามาหวังกันเถอะว่างานเลี้ยงจะผ่านไปได้ด้วยดี
กลยุทธ์ในการเรียน
Remembering and Using Set Phrases
ในการเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผลดีนั้น
นอกเหนือจากการจดจำและฝึกใช้คำศัพท์และโครงสร้างประโยคต่างๆ แล้ว
นักศึกษาจำเป็นต้องจดจำและฝึกใช้สำนวนภาษาที่มีลักษณะเป็นสำนวนตายตัว (set
phrases หรือ formulaic phrases) เพื่อให้สามารถใช้ภาในการสื่อความได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องมัวกังวลกับเรื่องการแปลศัพท์ทีละตัวหรือการเรียงคำหรือข้อความ
บ่อยครั้งนักศึกษาจะพบว่าสำนวนตายตัวนั้นไม่สามารถแปลความหมายเทียบให้ตรงทีละคำได้
แต่จำเป็นต้องใช้การแปลรวมความแทน ซึ่งผู้ใช้ภาษาอังกฤษจำเป็นต้องรู้จักความหมายของสำนวนตายตัวเหล่านั้น
เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้ตรงตามความหมายและสถานการณ์ที่ถูกต้อง เช่น สำนวน to
have some fun, to throw a party, to make up one’s mind หรือสำนวนที่มีลักษณะของประโยค
เช่น I couldn’t agree more. หรือ You can certainly on
me. เป็นต้น
Requests
การขอร้อง
(requests) หมายถึง
การขอร้องให้บุคคลอื่นช่วยกระทำบางสิ่งบางอย่างให้
การขอร้องจำเป็นต้องกระทำอย่างสุภาพ เหมาะสม
เลือกใช้สำนวนภาษาและน้ำเสียงในการสนทนาอย่างเหมาะสม
เพื่อมิให้ฟังดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าการขอร้อง การขอร้องอาจใช้สำนวนได้หลายสำนวน
สำนวนหลักๆ ที่นิยมใช้มีดังนี้
โครงสร้างสำนวนภาษาที่ใช้
|
ตัวอย่างประโยค
|
Can you (please*) + V base form (+ ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
|
Can you drop me off at home after the party tonight?
Can you please help me carry this box?
Can you buy some bread for me, please?
|
Could you (please*) + V base form (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
|
Could you reserve a table for four, please?
Could you please make the guest’s list?
Could you find out where the party is, please?
|
โครงสร้างสำนวนภาษาที่ใช้
|
ตัวอย่างประโยค
|
Would you (please*) + V base form (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
|
Would you design an invitation card?
Would you please telephone Pere for me?
Would you tell Arin that I called, please?
|
Would you mind + V -ing (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
|
Would you mind turning off the lights?
Would you mind holding a party for Nancy?
Would you mind getting me a cup of tea?
|
* คำว่า please อาจวางไว้ท้ายประโยคก็ได้
ในการตอบคำขอร้องอาจเป็นการตอบรบ
(accepting requests) หรือตอบปฏิเสธ (declining
requests) สำนวนภาษาที่ใช้จึงแตกต่างกัน
การตอบคำขอร้องยังขึ้นอยู่กับสำนวนภาษาที่ใช้ในการขอร้องอีกด้วย ดังนี้
สำนวนภาษาที่ใช้ในการขอร้อง
|
สำนวนที่ใช้ในการตอบรับ
|
สำนวนที่ใช้ในการตอบปฏิเสธ
|
Can you …?
Could you …?
Would you ….?
คุณจะกรุณา .... ได้ไหม
|
Certainly.
Yes, of course.
By all means.
Sure.
|
I’m sorry I can’t. (+ เหตุผล)
I’m afraid I can’t. (+ เหตุผล)
Of course not. (+ เหตุผล)
Certainly not. (+ เหตุผล)
I wish I could, but + เหตุผล
|
Would you mind …?
คุณจะรังเกียจไหมที่จะ .....
|
Of course not.
Certainly not.
Not at all.
|
I’m afraid so. (+ เหตุผล)
I’m sorry I do. (+ เหตุผล)
|
ตัวอย่างบทสนทนา
A: Would you mind
lending me your cassette player? I need it for the party tonight.
B: Not at all. I’ll
get it for you.
A: Could you please
bring your digital camera to the party too?
B: I’m afraid I
can’t. I already lent it to my sister.
Offers
การเสนอ
(offers) อาจหมายถึง การเสนอความช่วยเหลือ (offering
help) หรือเสนอสิ่งของ (offering things)
ก็ได้ สำนวนภาษาหลักๆ ที่ใช้มีดังนี้
กรณีใช้
|
สำนวนภาษาที่ใช้
พร้อมตัวอย่าง
|
การเสนอความช่วยเหลือแบบกว้างๆ ทั่วไป
(ไม่ระบุเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ)
|
Can I help you?
May I help you?
What can I do for you?
|
การเสนอความช่วยเหลือโดยระบุสิ่งที่จะช่วยทำให้
|
Can I/Could I + V base form (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
-
Can I get you something to drink?
-
Could I take a picture for you?
Would you like me to + V base form (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย)?
-
Would you like me to make some
desserts for the party?
-
Would you like me to bring some
drinks?
If you’d like, I’d be happy to + V base form (+
ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย).
-
If you’d like, I’d be happy to
pick you up at 6.
-
If you’d like, I’d be happy to
have a party.
|
การเสนอสิ่งของ (เช่น อาหาร เครื่องดื่ม หรืออื่นๆ)
|
Would you like + สิ่งของที่เสนอให้?
-
Would you like a glass of orange
juice?
-
Would you like some more rice?
|
การตอบรับการเสนอ
(accepting offers) และการตอบปฏิเสธการเสนอ (declining
offers) มีสำนวนภาษาหลักๆ ดังนี้
การตอบรับ
|
การตอบปฏิเสธ
|
Yes, please.
That would be nice, thank you.
|
No, thanks.
I’m OK, thanks.
That’s all right. Thank you.
There’s no need, thank you.
|
Suggestions
การชัดชวนชี้แนะ
(suggestions) เพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง ตลอดจนการตอบ
มีสำนวนภาษาหลักๆ ที่ใช้ ดังนี้
โครงสร้างสำนวนภาษาในการชักชวนชี้แนะ
|
ตัวอย่างประโยค
|
Shall we + V base form + ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย?
|
Shall we go for a walk?
Shall we hold a surprise party for Joanna?
|
Let’s + V base form + ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย, (shall
we?)
|
Let’s buy some more drinks, shall we?
Let’s talk to John about the party, shall we?
Let’s hope that Laura is coming to the party.
|
How about + V -ing + ส่วนกรรมและ/หรือส่วนขยาย?
|
How about taking some photos for John and Mary?
How about going to a movie tonight?
|
สำนวนหลักๆ
ที่ใช้ในการตอบรับการชักชวนมีดังนี้
สำนวนภาษาที่ใช้ในการตอบรับ
|
สำนวนภาษาที่ใช้ในการตอบปฏิเสธ
|
Yes, let’s.
That sounds good.
That sounds like a good idea.
|
I don’t think so. (+ เหตุผล)
I’m afraid I can’t. (+ เหตุผล)
|
ตอนที่ 3.2 At
the Party
1. ในการกล่าวแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน มีสำนวนหลักๆ
ที่อาจเลือกใช้ได้ดังนี้คือ I’d like to introduce you to ….., Have you
met ….?, I’d like to introduce …., Let me introduce ….
ส่วนการทักทายหลังการแนะนำให้รู้จัก นิยมกล่าวทักทายกันด้วยสำนวน Hello. หรือ Hi. หรือ Good morning / afternoon /
evening. ตามด้วยสำนวน Pleased to meet you. หรือ
Nice to meet you. หรือ How do you do?
2. ในการสนทนาเรื่องจิปาถะทั่วไปอาจสนทนาในหัวข้อเรื่องต่างๆ เช่น การใช้เวลาว่าง งานอดิเรก กีฬา ดนตรี
ภาพยนตร์ ข้อมูลส่วนตัว สภาพอากาศ สภาพการจราจร เป็นต้น
ประโยคที่ใช้ในการสนทนาอาจมีทั้งประโยคบอกเล่า เป็นการตั้งข้อสังเกต
ประโยคคำถามทั้งแบบ yes/no question, wh-question และ tag
question ในการสนทนาตอบแต่ละเรื่อง มีสำนวนหลักๆ
ที่อาจเลือกใช้ได้หลายสำนวน
3. การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการติดต่อกันในอนาคต
มักรวมถึงการขอหมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่อยู่
หรือที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ บางครั้งอาจมีการแลกเปลี่ยนนามบัตร
สำนวนภาษาที่อาจใช้ เช่น Do you have an email address?, May I / Can I / Could I have your
telephone number (mobile phone number / email address / business card, etc.),
please? สำนวนการตอบ เช่น Sure. / Certainly. / Yes, of
course.
4. ในการกล่าวขอบคุณ มีสำนวนหลักที่นิยมใช้ดังนี้ Thanks.
/ Thank you. / That’s very kind of you. กรณีที่ต้องการระบุว่าขอบคุณเรื่องใด
อาจใช้สำนวน Thanks for …. หรือ Thank you for …. การตอบรับคำขอบคุณมีหลายสำนวนที่อาจเลือกใช้ได้
คำอธิบาย
1. สำนวน keep in touch เป็น idiom หมายถึง
ติดต่อกัน อาจใช้สำนวน keep in contact แทนก็ได้
2. สำนวน I hope ใช้แสดงความหวัง
ดังเช่นตัวอย่างที่พบในบทสนทนาคือ
- All
good things, I hope. (ฉันหวังว่าเป็นสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้นนะ)
- I
hope everyone enjoys the dishes I prepared. (ฉันหวังว่าทุกคนจะชอบอาหารที่ฉันเตรียมไว้)
- How
was the traffic? Not too bad, I hope. (การจราจรเป็นอย่างไรบ้าง
ฉันหวังว่าคงไม่แย่เกินไป)
3. สำนวน That’s a given. เป็นคำแสลง หมายถึง
นั่นเป็นของแน่อยู่แล้ว
4. สำนวน just in case ในประโยค I stopped at the shop to
buy some more drinks just in case. หมายถึง เผื่อไว้ก่อน We
don’t want to “go dry” in the middle of the party! หมายความว่าเราไม่ต้องการที่จะคอแห้งช่วงกลางงานเลี้ยง
(เนื่องจากมีเครื่องดื่มไม่พอ)
5. สำนวน Come and join us over here! เป็นสำนวนในการชักชวน
หมายความว่า มารวมกลุ่มกับพวกเราตรงนี้เถอะ
6. สำนวน Apart from the hundred million traffic lights, it was pretty clear.
หมายความว่า นอกเหนือจากรถติดสัญญาณไฟจราจรจำนวนมหาศาลแล้วนั้น
ถือว่าการจราจรโล่งดีมาก ขอให้สังเกตุว่าบางครั้งเราไม่สามารถแปลทุกคำแบบตรงตัวได้
แต่ใช้แปลรวมความในความหมายนั้นๆ ประโยคนี้เป็นการพูดแบบประชดประชันเล็กน้อย
7. สำนวน What a coincidence! หมายความว่า
ช่างเป็นความบังเอิญอะไรเช่นนี้
8. สำนวน How do you like it there? เป็นการถามความคิดเห็นเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
โดยใช้สำนวนหลักคือ How do you like …? ส่วน it there
ในที่นี้หมายถึง Texas นั่นเอง
คำตอบในบทสนทนาคือ I absolutely love it. หมายความว่า ฉันชอบมันจริงๆ
เลย
9. ในการยื่นหรือส่งของให้ผู้อื่น เรานิยมใช้สำนวนภาษา เช่น Here
you are., Here you go., Here it is. เป็นต้น
10. คำว่า outdone เป็น past participle ของกริยา
outdo หมายถึง ทำได้หรือเป็นได้ดีกว่า ประโยค You’re
outdone yourself once again. ในที่นี้หมายความว่า
คุณทำได้ดีกว่าที่ผ่านมาเช่นเคย
กลยุทธ์การเรียนรู้
Underlining, Highlighting, and Note-taking
ในการศึกษาด้วยตนเอง
นักศึกษาจำเป็นต้องหากลวิธีหรือเทคนิคการเรียนต่างๆ
ที่จะช่วยให้ตนเองสามารถจดจำหรือเข้าใจเนื้อหา
ตลอดจนเกิดทักษะการเรียนรู้และทักษะภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น การขีดเส้นใต้ (underlining)
การใช้ปากกาสีเน้นข้อความ (highlighting) และการจดบันทึก
(note-taking) เป็นเทคนิคหรือกลวิธีที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
นักศึกษาแต่ละคนอาจใช้กลวิธีที่แตกต่างกันออกไปตามความถนัดและความเหมาะสมกับตนเอง
วิธีที่เหมาะกับคนๆ หนึ่ง อาจไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่งก็ได้
เราจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง จึงจะได้ผลดี
Introduction and greeting
การแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน
เป็นมารยาทสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพบปะกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังสรรค์ในงานเลี้ยง
เพื่อช่วยให้ผู้ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนได้รู้จักกันและสามารถพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ
ต่อไปได้อย่างสะดวกใจมากขึ้นกว่าการเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
หลังจากได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน บุคคลทั้งสองฝ่ายควรกล่าวทักทายกัน
การแนะนำบุคคลให้รู้จักกันไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าภาพของงานหรือเจ้าของสถานที่เท่านั้น
บางครั้งอาจเป็นการแนะนำตนเองให้ผู้อื่นรู้จักก็ได้ ซึ่งตามธรรมเนียมสากลถือเป็นเรื่องปกติ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับงานหรือการพบปะสังสรรค์นั้นๆ
สำนวนภาษาในการแนะนำบุคคลให้รู้จักกันและการทักทาย
มีมากมายหลายสำนวน แต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างจากที่พบในบทสนทนาและเพิ่มเติมให้
ดังนี้
Pornrawee: Paul,
I’d like to introduce you to my cousin, Anna. Anna, this is my teacher, Paul.
Paul: Hi,
Anna. Pleased to meet you.
Anna: Hi,
Paul. I’ve heard so much about you!
Paul: Pere,
have you met Anna? Anna, this is Pete, my friend.
Pete: Nice
to meet you.
Paul: Nice
to meet you, too.
พอสรุปได้ว่า
ในการกล่าวแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน มีสำนวนหลักๆ ที่อาจเลือกใช้ได้ดังนี้
I’d
like to introduce you to …..
Have
you met …..?
I’d
like to introduce ……
Let
me introduce …..
ส่วนการทักทายหลังจากได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน
นิยมใช้สำนวนต่อไปนี้เสริมเข้าไปหลังคำกล่าวทักทายทั่วไป เช่น Hi หรือ Hello หรือ Good morning / afternoon /
evening. ด้วย
การทักทายหลังได้รับการแนะนำ
|
การทักทายตอบ
|
Pleased to meet you.
|
Pleased to meet you, too.
|
Nice to meet you.
|
Nice to meet you, too.
|
How do you do?
|
How do you do?
|
Small Talk
ผู้ที่เพิ่งรู้จักกันอาจจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องต่างๆ
เพื่อทำความรู้จักกันหรือช่วยลดความเก้อเขิน เรื่องที่สนทนามักเป็นเรื่องทั่วๆ ไป
เช่น เรื่องสภาพอากาศ การจราจร การงาน การเรียน ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจหรือความสามารถพิเศษ
การพักผ่อน งานอดิเรก กีฬา การเดินทาง เป็นต้น ในการสนทนาเพื่อทำความรู้จักกันนี้
ควรหลีกเลี่ยงการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ
ที่มักก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด เช่น ประเด็นทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม
เป็นต้น
ตัวอย่างสำนวนภาษาในการสนทนาเรื่องจิปาถะทั่วไปเพิ่มเติมตามหัวข้อต่างๆ
มีดังนี้
Topics
|
Questions/Statements
|
Responses
|
เวลาว่าง
|
What do you do in your free time?
|
I usually play sports or do some reading.
|
Do you work out?
|
Sometimes. / Almost every day. / etc.
|
|
งานอดิเรก
|
What are your hobbies?
|
Many things including playing sports, reading books and
magazines, listening to music, watching TV, playing computer games, visiting
museums and historical sites.
|
กีฬา
|
Do you play any kind of sports?
|
Yes, I play tennis, but not as much as I used to.
|
Do you play football?
|
No, but I play basketball.
|
|
ดนตรี
|
How do you like pop music?
|
Oh, I love it.
|
ภาพยนตร์
|
What kind of movies do you like?
|
I like action movies and comedy.
|
ข้อมูลส่วนตัว
|
What do you do?
|
I’m a teacher.
|
Where do you come from?
Where are you come from?
|
Oxford, in England.
|
|
How long have you been here?
|
For about 2 years.
|
|
สภาพอากาศ
|
The weather is really hot this summer, isn’t it?
|
It sure is.
|
It looks like it’s going to rain.
|
I think so, too.
|
|
สภาพการจราจร
|
How was the traffic?
|
Very bad. / Not too bad.
It was (really/quite) heavy/ congested.
It was quite clear.
|
Exchanging contact information
การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการติดต่อในอนาคต
(exchanging contact information)
มักรวมถึงการขอหมายเลขโทรศัพท์ (telephone number)
หมายเลขโทรศัพท์มือถือ (mobile phone number)
หรือที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (email address)
บางครั้งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนนามบัตร (business card/ name card) ตัวอย่างสำนวนภาษาที่อาจใช้เพื่อการนี้ ที่พบในบทสนทนาคือ
Pete: Do you have an
email address?
Anna: Sure. Here’s my
card. May I have your email address as well? It would be nice to keep in touch.
Pere: Yes.
นอกจากสำนวนข้างต้นแล้ว
ยังมีสำนวนอื่นๆ ที่ใช้เพื่อการนี้ได้ เช่น
A: May I / Can I /
Could I have your telephone number (mobile phone number / email
address / business card, etc.), please?
B: Sure, /
Certainly, / Yes, of course.
Thanking
คำขอบคุณภาษาอังกฤษมีหลายสำนวน
เช่น Thanks. (ใช้กับผู้ที่คุ้นเคยกัน)
Thank you.
That’s very kind (of you). Thank you.
เมื่อต้องการระบุว่าขอบคุณในเรื่องใด
ให้ใช้ตามด้วยคำว่า for แล้วระบุเรื่องหรือโอกาสท่ขอบคุณซึ่งจะอยู่ในรูปของคำนาม
หรือ gerund (คำกริยาเติม ing
ซึ่งทำหน้าที่เหมือนคำนาม) เช่น
Thanks for the excellent meal.
Thanks for inviting us to this party.
Thank you for a wonderful evening.
Thank you for coming.
Thank you for cooking for us.
การตอบรับคำขอบคุณ มีสำนวนที่อาจเลือกใช้ได้ดังนี้
No
problem. (ใช้กับผู้ที่คุ้นเคยกัน)
You’re
welcome.
Not at all.
Don’t mention
it.
My pleasure. หรือ It’s a pleasure.
ตอนที่ 3.3 Please
Keep in Touch
1. ในการสนทนา อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสาร เช่น
ฟังไม่ทัน ฟังไม่ถนัดชัดเจน จึงต้องขอให้คู่สนทนาพูดซ้ำ พูดช้าลง
หรือขอให้สะกดชื่อหรือคำให้ เป็นต้น สำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้เพื่อจุดประสงค์เหล่านี้มีหลายสำนวน
เช่น Pardon?, Could you repeat that?, Could you speak more slowly,
please?, Could you speak louder, please?, Could you spell your name, please?,
Did you say …?
2. Present continuous tense (BE + present participle) ใช้เมื่อบรรยายบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ณ ขณะที่พูด
บรรยายสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน หรือ
บรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทีได้มีการเตรียมการไว้แล้ว
3. Tags questions
คือประโยคคำถามที่นิยมใช้ในลักษณะของการตั้งข้อสังเกต ประโยคคำถามประเภทนี้ประกอบด้วยข้อความสองส่วน
ส่วนแรกจะเป็นข้อความที่เป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ ส่วนที่สอง
คือส่วนที่เป็น tag หรือส่วนสร้อย ประกอบด้วย BE หรือกริยาช่วย และสรรพนาม ซึ่งจะเป็นสรรพนามแทนประธานของส่วนแรก
กริยาของส่วนที่สองนี้จะมีลักษณะเป็นคำถามอยู่ใน tense เดิม
และมีลักษณะตรงข้ามกับข้อความส่วนแรก การตอบประโยค tag questions จะตอบรับหรือตอบปฏิเสธตามข้อเท็จจริง
4. Synonym หมายถึง คำที่มีความหมายเหมือนกัน เรานิยมใช้ synonym ในการสนทนาเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ
5. ทำนองเสียง (intonation) มีความสำคัญในการออกเสียงประโยคภาษาอังกฤษ
ขณะที่ฟังประโยคต่างๆ ควรสังเกตการณ์แบ่งวรรคตอน คำที่ได้รับการเน้นเสียง
ตลอดจนการใช้เสียงต่ำหรือเสียงสูงท้ายประโยคด้วย
คำอธิบาย
1. สำนวน keep
in touch มีความหมายนเหมือนกับ stay in touch หรือ
keep in contact
2. สำนวน Keep your spirits up! Nothing can be beyond your strong
will. มีความหมายในทำนองว่า อย่างเพิ่งท้อแท้
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอกหากคุณมีความมุ่งมั่น
3. สำนวน
Thanks for your encouragement. หมายถึง ขอบคุณที่ให้กำลังใจ
Summarizing
การสรุปสาระสำคัญของข้อความที่ได้อ่านหรือฟังเป็นสิ่งสำคัญที่พึงกระทำ
หลักสำคัญในการสรุปสาระคือการจับประเด็นให้ได้ว่าใคร (who) ทำอะไร (what) ที่ไหน (where)
เมื่อใด (when) ทำไม (why) และอย่างไร (how) ดังนั้นทุกครั้งที่อ่านหรือฟังข้อความใดๆ นักศึกษาควรฝึกจับประเด็นเหล่านี้ให้เกิดความชำนาญด้วย
Language Functions: Conversation techniques
ในการสนทนาอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสาร
เช่น ฟังไม่ทัน ฟังไม่ถนัดชัดเจน ต้องการขอให้พูดซ้ำ พูดช้าลง
หรือขอให้สะกดชื่อหรือคำให้ เป็นต้น สำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้เพื่อจุดประสงค์เหล่านี้มีหลายสำนวน
ในที่นี้ขอยกบางสำนวนมาเป็นตัวอย่างดังนี้
จุดประสงค์
|
สำนวนภาษา
|
เมื่อต้องการบอกว่าฟัง .... ไม่ทัน ไม่ถนัดชัดเจน
|
I’m afraid I couldn’t quite catch…. [your name/ your telephone
number / the name of the book / that (ใช้ that ได้
เฉพาะกรณีเป็นที่ทราบดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟังแล้วว่าเอ่ยถึงสิ่งใดอยู่)]
|
เมื่อต้องการขอให้พูดซ้ำ
|
Sorry?
Pardon?
Pardon me?
I beg your pardon?
Can/Could you repeat that, please?
Can/Could you say that again, please?
|
เมื่อต้องการขอให้พูดช้าลง
|
Can/Could you speak slower, please?
Can/Could you speak more slowly, please?
|
เมื่อต้องการขอให้พูดดังขึ้น
|
Can/Could you speak louder, please?
Can/Could you speak more loudly, please?
|
เมื่อต้องการขอให้สะกดชื่อหรือคำ
|
Can/Could you spell your name, please?
Can/Could you spell the word, please?
How do you spell that, please?
|
เมื่อต้องการตรวจสอบว่าที่ได้ยินนั้นถูกต้องหรือไม่
|
Did you say ….?
|
Grammar
Present continuous tense
|
บอกเล่า
|
ปฏิเสธ
|
|
I
|
am
|
am not หรือ’m not
|
studying English.
|
He/ She / It
/ John / Mary
|
Is
|
is not หรือ’s not
|
listening to music
|
You / We /
They /
Paul and Arin
|
are
|
are not หรือ’re not
|
having lunch.
|
เราใช้ present continuous tense เพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
· บรรยายบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น
ณ ขณะที่พูด
I’m calling from Chiang Mai.
Look! John is talking to Laura over
there.
· บรรยายสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
I’m working and studying at the same
time.
We’re studying, English for
Communication this semester.
· บรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ได้มีการตรียมการไว้แล้ว
We’re going to the study group’s
party on Friday.
Laura is not working this Saturday.
Paul is playing tennis on Monday
afternoon.
Ann is coming here tomorrow.
Tag questions
Tag questions คือประโยคคำถามประเภทหนึ่ง
นิยมใช้ในลักษณะของการตั้งข้อสังเกตมากกว่าที่จะตั้งประโยคคำถามแบบ yes/no
questions โดยตรง Tag questions ประกอบด้วยข้อความสองส่วนคือ
ส่วนแรก
จะเป็นข้อความที่เป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ ส่วนที่ 2 คือส่วนที่เป็น tag หรือส่วนสร้อย ประกอบด้วยคำกริยา BE หรือกริยาช่วย
และสรรพนามซึ่งจะเป็นสรรพนามแทนประธานของส่วนแรก
กริยาของส่วนที่สองนี้จะมีลักษณะเป็นคำถามอยู่ใน tense เดิม
และมีลักษณะตรงข้ามกับข้อความส่วนแรก กล่าวคือ ถ้าส่วนแรกเป็นบอกเล่า ส่วน tag จะเป็นปฏิเสธ (แบบย่อ) แต่ถ้าส่วนแรกเป็นปฏิเสธ
ส่วนที่สองไม่เป็นรูปปฏิเสธ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
You’re
a student at Sukhothat Thammathirat Open University, aren’t you?
It was a lovely
party last night, wasn’t it?
John has gone
to the store, hasn’t he?
She isn’t
coming with us, is she?
Mary and Jim
won’t be here, will they?
Kim didn’t
attend the meeting this morning, did she?
การตอบประโยคคำถามแบบ
tag นั้น ไม่ว่าข้อความส่วนแรกของประโยค tag จะเป็นบอกเล่าหรือปฏิเสธ คำตอบจะต้องตอบตามข้อเท็จจริงเสมอ กล่าวคือ ตอบ yes
เมื่อเป็นการตอบรับ และตอบ no เมื่อเป็นการปฏิเสธ
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Q: Mary and Jim will
be here, won’t they? (แมรี่และจิมจะมาที่นี่ไม่ใช่หรือ) หรือ
Mary
and Jim won’t be here, will they? (แมรี่และจิมจะไม่มาที่นี่
ใช่หรือไม่)
A: Yes, they will. (ใช่ พวกเขาจะมา) หรือ No, they won’t. (ไม่
พวกเขาจะไม่มา)
ขอให้สังเกตว่า
กริยานั้นจะเป็นบอกเล่าหรือปฏิเสธ สอดคล้องกับคำตอบรับหรือตอบปฏิเสธด้วย
กรณีนี้ขอให้ระมัดระวัง เพราะบางคนอาจสับสนได้เมื่อใช้การตอบแปลตรงตัวจากภาษาไทย ที่สำคัญทำให้ผิดไวยากรณ์
Listening & Speaking: Intonation
ทำนองเสียงมีความสำคัญในการออกเสียงประโยคภาษาอังกฤษ
นักศึกษาควรหมั่นฝึกฟังและพูดประโยคภาษาอังกฤษโดยเลียนแบบเจ้าของภาษาจนสามารถพูดได้เป็นธรรมชาติและคล่องแคล่ว
ขณะที่ฟังประโยคต่างๆ ควรสังเกตการณ์แบ่งวรรคตอน คำที่ได้รับการเน้นเสียง
ตลอดจนการใช้เสียงต่ำหรือเสียงสูงท้ายประโยคด้วย
ขอให้สังเกตว่า
ประโยคบอกเล่าจึงลงเสียงต่ำท้ายประโยค และแม้จะเป็นประโยคคำถาม
แต่ถ้าเป็นประโยคคำถามแบบ wh-questions จึงลงเสียงต่ำท้ายประโยค
เช่นเดียวกับประโยคบอกเล่า ส่วนประโยคคำถามแบบ yes/no questions จึงขึ้นเสียงสูงท้ายประโยค
Vocabulary: Synonyms
Synonym หมายถึง คำที่มีความหมายเหมือนกัน (the word that has a similar
meaning) เรานิยมใช้ synonym ในการสนทนา
เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ
ตามธรรมดาแล้ว
พจนานุกรมส่วนใหญ่โดยเฉพาะพจนานุกรมภาษาเดียว (อังกฤษ - อังกฤษ) นั้น
นอกจากจะให้ความหมายของคำศัพท์แล้ว
ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำที่มีความหมายเหมือนหรือตรงกันข้ามกับคำนั้นๆ ด้วย
นอกจากนี้ยังมีพจนานุกรมที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้เรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า Thesaurus
นักศึกษาควรเรียนรู้ที่จะเพิ่มหรือขยายวงคำศัพท์ของตนเองจากพจนานุกรมเหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ขอให้พึงตระหนักไว้ด้วยว่า synonym แต่ละคำ
อาจไม่สามารถใช้แทนกันได้ในความหมายเดียวกัน ตรงกันในทุกบริบท การเลือกใช้คำ synonym อื่นแทน ต้องคำนึงถึงความหมายในแต่ละบริบทด้วย ต่อไปนี้คือตัวอย่างของ synonyms
A: It’s lovely day,
isn’t it?
B: Ye, it’s really
beautiful.
A: Her boyfriend’s
really good -looking.
B: Well, he’s
certainly one of the most handsome men in the room.
หน่วยที่ 4
A Visit Outside Bangkok
1. การไปศึกษานอกสถานที่ขณะเดินทางจะผ่านพบเห็นสิ่งต่างๆ
มากมายตลอดทาง บางครั้งจะเห็นกระบวนการทำผลิตผลชนิดต่างๆ เพื่อการยังชีพ
รูปแบบการบรรยายกระบวนการต่างๆ และโครงสร้างภาษาที่ใช้ในการบรรยายจะคล้ายคลึงกัน
แต่คำศัพท์จะแตกต่างกัน
2. สิ่งหนึ่งที่กลุ่มนักทัศนศึกษาจะพบเห็นหรือ
สถาพแวดล้อมที่มักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
การพูดคุยถึงสิ่งแวดล้อมจะมีการบรรยายถึงสถานที่
การเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาอยู่ในสภาพปัจจุบันเป็นต้น
ในการบรรยายถึงสถานที่ต้องใช้บุพบท
การบรรยายถึงการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาอยู่ในสภาพปัจจุบันมักจะมีการพูดเปรียบเทียบ
ดังนั้นจึงต้องใช้โครงสร้างภาษาที่เกี่ยวกับการพูดเปรียบเทียบ
3. สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันมีทั้งที่ดีขึ้นและเสื่อมโทรมลง
ที่เสื่อมโทรมลงก็จะเกิดมลภาวะนานาชนิดซึ่งมีสาเหตุนานาประการ ที่อ่านพบได้บ่อยๆ
ในบทความในวารสาร หนังสือพิมพ์ และสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ มักจะเป็นสาเหตุของมลภาวะและผลที่เกิดตามมา
ภาษาที่ใช้ในการบรรยายสาเหตุและผลจะต้องใช้คำหรือกลุ่มคำที่จะเชื่อมโยงสาเหตุและผลให้เห็นความสัมพันธ์กัน
และอาจมีการกล่าวอ้างถึงคำพูดของผู้อื่น
คำที่ใช้จะมีลักษณะคำที่สร้างขึ้นใหม่จากคำที่มีอยู่เดิมแล้วโดยการเติม affixes
ตอนที่ 4.1 Life
Without Technology
1. การบรรยายกระบวนการในการทำสิ่งใด
ต้องแสดงขั้นตอนให้ชัดเจน
จึงต้องใช้คำหรือกลุ่มคำแสดงลำดับที่เพื่อให้เนื้อความเชื่อมโยงกัน
2. กาบรรยายถึงกระบวนการ ส่วนมากนิยมใช้ประโยคที่เป็น passive
voice
3. การเปรียบเทียบของสองสิ่ง สองกลุ่ม
หรือกระบวนการในอดีตปัจจุบัน ต้องใช้ comparative degree
4. การบรรยายถึงกระบวนการ
บางครั้งผู้บรรยายจะเปรียบเทียบกับกระบวนการที่ใช้ในอดีต
การพูดถึงการกระทำในอดีตต้องใช้ past tense
5. กริยาบางคำมีรูปที่เป็น past tense ของตัวเอง
บางคำต้องเติม ed ท้ายคำกริยา กริยาที่เติม ed ข้างท้ายออกเสียงท้ายคำไม่เหมือนกันทุกคำ
6. การบรรยายกระบวนการทำสิ่งของแต่ละชนิด จะใช้คำศัพท์ต่างๆ กัน
เพราะฉะนั้นควรจะได้ศึกษาจากแหล่งต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนคำศัพท์และฝึกใช้ด้วย
7. การเล่าการกระทำในอดีตและการบรรยายกระบวนการทำสิ่งใด
อาจใช้วิธีบรรยายโดยการพูดหรือการเขียน
8. การออกเสียงให้ถูก ต้องฝึกโดยเลียนแบบจากเทป หรือตรวจสอบวิธีการออกเสียงจากพจนานุกรมอังกฤษเป็นอังกฤษ
คำอธิบาย
ใน Presentation
นักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการพูดคุยเรื่องที่พบเห็นในระหว่างเดินทาง
ในการเดินทางไปทัศนศึกษาของ Pete และนักศึกษากลุ่มนี้ ซึ่งมี
กร, อริน Cathy และเพื่อนๆ อีก 2-3 คน มีคุณนภาซึ่งเป็นน้าของกร
อาสาเป็นผู้นำเที่ยวและนัดพบกันที่เขาย้อย ดังนั้นขณะนั่งรถไปเขาย้อย
การซึ่งเคยมาเพชรบุรีบ่อยๆ เมื่อสมัยเด็ก เพราะมีน้าอยู่ที่จังหวัดนี้
จึงอธิบายสิ่งที่พบเห็นข้างทาง ขณะผ่านสมุทรสาครได้มีการพูดคุยกันถึงการทำนาเกลือ
และกรได้อธิบายให้เพื่อนๆ และ Pere
ทราบถึงวิธีการทำนาเกลือโดยกล่าวถึงวิธีการดั้งเดิมด้วย
สำนวนที่ปรากฏในบทสนทนา
มีดังนี้
1. What
are those piles of white stuff? Cathy ถามว่า กองขาวๆ นั้นอะไร
2. …..
extract salt from sea water หมายถึง สกัดเกลือจากน้ำทะเล
3. First,
they draw sea water onto their farmland หมายถึง
การทดน้ำเข้ามาในพื้นนา ซึ่งอาจจะใช้สำนวนว่า ….they irrigate their
farmland with sea water.
4. ….let the
water evaporate leaving behind crystals of salt on the farmland หมายถึง
ปล่อยให้น้ำระเหยไปแล้ว เกลือตกผลึกบนดิน
5. Look,
there’s one in operation หมายถึง นั่นไง
มีปั๊มกำลังทำงานอยู่ที่นั่นหนึ่งเครื่อง
6. windmills
made of mats หมายถึง กังหันซึ่งมีใบทำด้วยเสื่อ
7. assembled
into a windmill หมายถึง ประกอบเข้าเป็นกังหัน
8. a
traditional windmill หมายถึง กังหันแบบเก่า
9. could
not help stopping to take photos หมายถึง อดไม่ได้ที่จะหยุด (รถ)
เพื่อถ่ายรูป
10. mom เป็นคำที่ informal ชาวอเมริกันใช้เรียกแม่แทน mother
ชาวอังกฤษเรียก แม่ สั้นๆ ว่า mum
11. fridge หมายถึง ตู้เย็น คำเต็มคือ refrigerator
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
1. Pronunciation
1.1 ในภาษาไทยมีการนำคำในภาษาอังกฤษมาใช้เรียกสิ่งต่างๆ เช่น football ฟุตบอล, pump(s) ปั๊ม
ผู้เรียนส่วนมากจึงชินกับการออกเสียงแบบไทย
ทำให้ผู้ฟังที่เป็นชาวต่างประเทศมักไม่ค่อยเข้าใจ
ดังนั้นนักศึกษาต้องฝึกอกเสียงให้ถูกต้องโดย
1.1.1
ฝึกออกเสียงตามเทปบทเรียน
1.1.2
คำที่ไม่มีในเทป ควรตรวจสอบวิธีการออกเสียงจากพจนานุกรมอังกฤษ
1.2 นักศึกษาควรให้ความสนใจในเรื่องการออกเสียง
stress และ intonation ด้วย stress ศึกษาได้จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษเช่นกัน
2. Vocabulary Building and Sentence Pattern
2.1 ในด้านการเพิ่มพูนคำศัพท์เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ
หรือวิธีในการทำผลิตผลต่างๆ ของไทยก็เป็นเรื่องที่น่าจะนำมาเป็นบทสนทนากับเพื่อนชาวต่างประเทศได้
ดังนั้นจึงควรศึกษาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องและวิธีการอธิบายโดยใช้ประโยคแบบง่ายๆ
2.2
การเรียนศัพท์สำนวนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่แบบไทยๆ
และวิธีในการทำผลิตผลต่างๆ เรียนรู้ได้จากหนังสือและเอกสารแนะนำการท่องเที่ยว
Language Functions: Describing processes
ในบทสนทนาใน
Presentation กรอธิบายวิธีการทำนาเกลือให้ผู้ร่วมเดินทางฟังโดยพูดดังนี้
First they draw sea water onto their farmland and let the water
evaporate leaving behind crystals of salt on the farmland. Then, they gather
the salt into big piles. Next, they pack it into various sizes of plastic bags
ready for sale.
1. ในกาบรรยายกระบวนการทำอะไรก็ตามที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน ผู้พูดจะใช้ present
simple tense ดังตัวอย่าง
…
they draw sea water onto their farmland …
… they gather
the salt into big piles …
… they pack it
into various sizes of plastic bags ready for sale.
2. การบรรยายขั้นตอนในกระบวนการผู้พูดอาจจะใช้ active voice หรือ passive voice ก็ได้ แต่ ส่วนมากจะนิยมใช้ passive
voice ดังตัวอย่าง
…
they draw sea water onto their farmland (= active voice) หรือ
…
sea water is drawn onto their farmland (= passive voice)
… they gather
the salt into big piles (= active voice) หรือ
…
the salt is gathered into big piles (= passive voice)
… they pack it
into various sizes of plastic bags ready for sale (active voice) หรือ
… it
is packed into various sizes of plastic bags ready for sale (passive voice)
3. การเชื่อมโยงข้อความที่บรรยายกระบวนการแต่ละขั้นตอน ควรใช้คำบอกลำดับขั้นตอน
ดังนี้
first, second / next / then, third /
then / next, …, finally / last
………………………………………………………………………………………………………….
firstly, secondly / next / then,
thirdly, /then / next, …., …., finally /lastly
คำบอกลำดับขั้นตอน มี 2 ชุด ทั้งสองชุดต่างกัน คือ
· คำบอกลำดับชุดที่สองลงท้ายด้วย
ly
และมีความคล้ายกันคือ
· อาจจใช้คำว่า
next หรือ then
แทนบอกลำดับขั้นตอนต่อจาก First หรือ Firstly ได้
Grammar
Past simple tense
Past simple
tense ใช้บอกเหตุการณ์หรือการกระทำในอดีต ในประโยคหรือประโยคข้างเคียงจะมีตัวบอกเวลาในอดีต
เช่น
-
Before they used windmills.
-
Many years ago, this area was full of mat windmills.
-
A hundred years ago it took days to travel from one town to
another.
กริยา (verb) มี 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เติม
ed หลังกริยา (verb) เช่น
use used used
play played played
pack packed packed
กลุ่มที่
2 จะมีรูปเฉพาะแสดงอดีตกาล เช่น
take took taken
come came come
eat ate eaten
สำหรับ
BE ต้องเปลี่ยนเป็น
“was”
เมื่อประธานเป็นเอกพจน์
เช่น This area was full of windmills.
“were” เมื่อมีประธานเป็น you (เอกพจน์หรือพหูพจน์)ม we, they, คำนามพหูพจน์ เช่น The
boys were naughty.
Passive voice in past simple tense
ในการบรรยายถึงวิธีการหรือกระบวนการทำงานของสิ่งของใดๆ
ผู้พูดจะนิยมใช้ passive voice เพราะต้องการเน้นการกระทำมากกว่าผู้กระทำ
โดยเฉพาะเมื่อผู้กระทำไม่ระบุแน่ชัดว่าเป็นใคร ประโยค passive voice จะขึ้นต้นด้วยผู้ถูกกระทำ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ตัวอย่าง
S V O
Active voice: They dried
leaves in the sunlight.
S V
Passive voice: The leaves were dried
in the sunlight.
(BE + V3)
S
V O
Active voice: They
took them from a tree.
S V
Passive voice: They
were taken from a tree.
(BE + V3)
verb จะต้องเปลี่ยน ดังนี้
Subject
(singular) + was + V3 เช่น The windmill was
taken down. (It was taken down.)
Subject
(plural) + were + V3 เช่น The windmills were
taken down. (They were taken down.)
Comparative degree
ในบทสนทนาบางตอนจะมีการพูดเปรียบเทียบ
ดังเช่น
Pete: …Now we can travel
much faster than before …
Arin: My mom says that
life at home is much more convenient and more enjoyable that fifty years
ago …
Cooking is
faster and easier than before.
การเปรียบเทียบแบบนี้เป็นการเปรียบเทียบขั้น
comparative degree ต้องเติม er
ที่หลัง adjective ที่มีพยางค์เดียว (one syllable)
Adjective
ที่มี 2 พยางค์ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
ดังตารางต่อไปนี้
Adjective
ที่ลงท้ายด้วย -y, -ly, -ow, -le, -er, -ure
|
Adjective ที่ลงท้ายด้วย -ful, less, -ic, -ate, -ish, -ent, -ous, -ing
|
|||
east
lively
narrow
simple
clever*
secure*
|
easy + ier
lively + ier
narrow + er
simple + er
clever + er
secure + er
|
easier
livelier
narrower
simplier
cleverer
securer
|
careful
hopeless
public
private
childish
recent
famous
boring
|
more careful
more hopeless
more public
more private
more childish
more recent
more famous
more boring
|
“clever” และ “secure” ปัจจุบันจะนิยมใช้กับ
more ดังนี้ more clever, more secure
Adjective ที่มี 3 พยางค์ขึ้นไปใช้ more นำหน้า เช่น His
car is more expensive than her car.
Adjective บางคำมีรูปเฉพาะในการเปรียบเทียบ ซึ่งได้แก่
good better
bad worse
การเปรียบเทียบขึ้น
comparative ใช้ในการเปรียบเทียบ สิ่งของ/คน 2 สิ่ง/คน เช่น
กลุ่มสิ่งของ กับ สิ่งของชิ้นเดียว These
pencils are longer than that one.
กลุ่มคน กับ คนเดียว The
boys are shorter than the girl.
หรือ กลุ่มสิ่งของ กับ กลุ่มสิ่งของ The
pencils are longer than the pens.
กลุ่มคน กับ กลุ่มคน The
boys are shorter than the girls.
หรือ สิงของชิ้นเดียว กับ สิ่งของชิ้นเดียว This book is thicker than that one.
คน 1 คน กับ คน 1 คน Mary
is taller than Tom.
รูปแบบประโยคในการการเปรียบเทียบ คือ He is taller
than his brother. ต้องมี ADJ + than
ถ้าจะเน้นว่า ...มากกว่ามาก จะต้องใช้ much เป็นตัวขยาย adjective
He is very
tall. = เขาสูงมาก
He
is taller than his brother. = เขาสูงกว่าน้องชายของเขา
He
is much taller than his brother. = เขาสูงกว่าน้องชายของเขามาก
ตอนที่ 4.2 Then
and Now
1. การกล่าวถึงเรื่องสภาพแวดล้อมอาจจะต้องบรรยายถึงลักษณะสถานที่
ที่ตั้ง มีอะไรอยู่ตรงไหน ซึ่งมักจะใช้บุพบทและสำนวน there is / are รวมทั้ง modifiers
2. การพูดคุยเรื่องสิ่งแวดล้อมผู้พูดมักจะนำเรื่องราวในอดีตมาเปรียบเทียบและมักจะใช้
used to ในการบรรยาย
3. การบรรยายลักษณะสถานที่และเรื่องราวในอดีต
การเปรียบเทียบอดีตและปัจจุบัน ผู้บรรยายอาจจะใช้การพูดหรือการเขียนบรรยาย
คำอธิบาย
หลังจากที่รับคุณนภาขึ้นรถแล้ว
คุณนภาจึงบอกว่าจะไปเขาวังก่อน
และอธิบายว่าเขาวังอยู่บนภูเขาและด้วยเหตุนี้สถานที่นี้จึงเรียกว่าเขาวัง
ขณะที่รถแล่นไปเขาวัง คุณนภาก็อธิบายว่าเขาวังมีชื่อดังกล่าวเพราะมีการสร้างวังที่สวยงามมากไว้บนภูเขา
ห้องต่างๆ ก็ตกแต่งไว้เหมือนเมื่อสมัย ร.4 ประทับอยู่ สำนวนที่ปรากฏในบทสนทนา
มีดังนี้
1. It
is one of the most beautiful places of our late kings. คุณนภาอธิบายว่า
พระราชวังนี้เป็นพระราชวังที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ ของเรา
(คำว่า late ในที่นี้มีความหมายว่า ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว)
2. each
room is decorated and furnished … ตอนนี้คุณนภาก็อธิบายว่า
แต่ละห้องได้รับการตกแต่งและนำเครื่องเรือนมาใส่ไว้ (คำว่า furnish เป็น กริยา คำนามคือ furniture)
3. a
thorough explanation หมายถึง คำอธิบายที่ละเอียด
4. How
unlucky! เป็นคำอุทาน มีความหมายว่า (แหม) ช่างโชคร้ายจริงๆ
5. it
looks gorgeous เป็นการพูดชมพระราชวังบ้านปืนว่า
ดูช่างงดงามโอ่อ่าจริง
6. winding stairs หมายถึง บันไดเวียน คำว่า winding มาจาก กริยา wind อ่านว่า [waind] [วาย-นด] ในที่นี้ กริยา wind เติม
ing แล้วใช้ขยายคำนาม stairs
7. winding
stairs that lead up to the second level หมายถึง บันไดเวียน
ซึ่งจะพาขึ้นไปชั้นสอง
8. They
are decorated with wood and brass. คุณนภาอธิบายว่า
ผนังและเสาประดับด้วยไม้แกะสลักและทองเหลือง (They หมายถึง
ผนังและเสา)
9. window
panes หมายถึง บานกระจกหน้าต่าง
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
Vocabulary Study and Sentence Pattern
ในบทนี้มีการบรรยายลักษณะสถานที่ต่างๆ
การบรรยายลักษณะสถานที่นั้นต้องใช้ adjective preposition
และคำศัพท์ต่างๆ ซึ่งมักจะเน้นคำศัพท์เฉพาะ
นักศึกษาจึงควรจะได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์เหล่านั้นโดย
1.1
อาจจะรวบรวมคำศัพท์จากเอกสารเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
แล้วนำมาจัดกลุ่มทำสมุดคำศัพท์ โดยแบ่งแยกประเภทสถานที่ด้วย เช่น หมวดที่ 1: วัด พระราชวัง อาจจะจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน หมวดที่ 2: ชายทะเล หมวดที่ 3: ภูเขา น้ำตก เป็นต้น
1.2
ศึกษาวิธีการเรียงร้อยคำเป็นประโยคว่าสถานที่ต่างๆ นั้นใช้ประโยคหรือการพูดอย่างไร
1.3
จดจำข้อความและนำไปฝึกหัด โดยอาจจะช่วยเข้าไปอธิบายให้ชาวต่างประเทศที่เชิญมาท่องเที่ยวบ้าง
Listening and Pronunciation
ในการสนทนาคู่สนทนาต้องฟังและพูดโต้ตอบกน
การจะพูดตอบได้ต้องเข้าใจว่าผู้พูดพูดว่าอย่างไร
และเมื่อพูดตอบต้องออกเสียงให้ถูกต้องผู้ฟังจึงจะเข้าใจ ดังนั้นจึงต้องฝึกฟังและฝึกออกเสียง
ดังนี้
2.1
ควรได้ฝึกฟังเทปบทเรียน
เทปบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อจะได้เกิดความคุ้นเคยกับสำเนียงการออกเสียง
สามารถเข้าใจว่าชาวต่างชาติพูดว่าอะไร จะได้ตอบได้ตรงกับคำถาม
2.2 ฝึกการออกเสียงโดยเลียนแบบการออกเสียงจากเทป
เพื่อช่วยให้ลีลาการพูดฟังนุ่มนวล ไม่ฟังกระด้างหรือไม่สุภาพ
Describing past events
ในบทสนทนาเมื่อ
กร และนภา บรรยายเหตุการณ์ในอดีต ทั้งสองคนจะใช้ past tense เช่น
กร - It
wasn’t there when I came to visit you last time.
- I cycled to
Had Peuktian almost every afternoon.
- The beach
belonged to our late King Rama IV.
นภา - This
place belonged to our late King Rama IV.
และใช้กลุ่มคำ “used to”
กร - There
used to be very few small blocks of commercial buildings at the spot.
- It used to be
sparsely populated in that area, …
- I used to
come to stay with Auntie Napa during the summer breaks …
นภา - King
Rama IV used to come and stay here for a change once a year.
Describing places
ในการบรรยายลักษณะสถานที่
กร นภา และ Pete จะกล่าวถึง
1. ที่ตั้งของสถานที่ เช่น
นภา - …
Khao Wang – a hill with a palace on top of it.
- His Majesty’s
bedroom is at the back part of the building.
- This palace
is in the town center.
2. มี (อะไร) อยู่ตรงไหน (ไหน) (สิ่งของนั้น) มีอะไร
นภา -
The window panes have beautiful and colorful designs.
- … a big hall
with winding stairs that lead up to the second level
กร - ….
there are a number of newly constructed restaurants and shops
Pete - There’s a
fountain in front of the building.
3. สิ่งที่กล่าวถึงมีลักษณะอย่างไร เช่น
นภา -
This one (building) was built in a European style.
- … they are
decorated with brass and carved woods
Pete - … it looks
gorgeous
- … the pillars
are very beautiful
กร - … it
used to be sparsely populated
- The beach was
beautiful and clean.
The phrase “used to”
“used
to” ใช้พูดถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน
โดยสื่อความหมายว่า “เคยทำ และไม่ได้ทำอีกแล้ว” ศึกษาดูวิธีการใช้ used to จากตัวอย่างต่อไปนี้
-
Each room is decorated and furnished as it used to be during his
life time.
-
There used to be very few small blocks of commercial buildings at
that spot.
-
It used to sparsely populated in that area, …
-
I used to come to stay with Auntie Napa during the summer breaks ….
-
King Rama IV used to come and stay here for a change once a year.
“used to” จะตามด้วย infinitive
ประโยคบอกเล่า
Subject
|
Used to
|
Infinitive
|
I
You
We
They
He / She / It
|
used to
|
live ….
|
ประโยคคำถามและปฏิเสธต้องใช้ did เป็นกริยาช่วย
Auxiliary
Verb
|
Subject
|
Use to
|
Infinitive
|
Did
|
I
you
we
they
he / she / it
|
use to
|
live …?
|
Subject
|
Auxiliary
Verb
|
Use to
|
Infinitive
|
I
You
We
They
He / She / It
|
did not
|
use to
|
live …
|
Preposition used in describing places
Preposition ที่ใช้บอกตำแหน่งของสิ่งของหรือสถานที่นี้มีดังนี้
-
among Ben is
standing among the girls.
-
between Lind is standing
between Bob and Ed.
-
above An
airplane is flying above the mountains.
-
at Tom
is at his desk.
-
over There
is a lamp over the table.
-
below The
table is below the lamp.
-
under The
table is under the lamp.
-
behind The
boy is walking behind the dog.
-
in front of The
dog is in front of the boy.
-
around There
is a fence around the house.
-
beside She
is sitting beside a window.
-
next to She
is sitting next to a window.
-
near She
is sitting near the window.
-
opposite The police station is
opposite the bank.
-
on The
vase is on the table.
-
in There
is a table in the room.
-
inside The
table is in the middle of the room.
The
table is inside the room.
There is / there are
ให้ความหมายว่า “มี (อะไร) อยู่ (ที่ไหน)”
There is a temple on the hilltop = A temple is on the hilltop.
There are five people in this room. = Five people are in this room.
ตามรูปประโยคดูเหมือนว่า
“there” จะเป็นประธานของประโยค แต่จริงๆ
แล้วประธานของประโยคคือคำนามที่ตามหลัง BE
There is/was + a/an + countable noun (singular) (คำนนามที่นับได้เอกพจน์
ต้องมี article a หรือ an นำหน้า)
There is/was + uncountable noun (คำนามที่นับไม่ได้ไม่ต้องใช้
article นำ)
There are/were + countable noun (plural) (there are/were จะตามด้วยคำนามพหูพจน์)
Modifiers
1. Nouns as
modifier
Noun ทำหน้าที่เป็น modifier ขยายคำนามได้
โดยการนำเอาคำนาม 2 คำมาวางเรียงกัน
คำนามข้างหน้าจะทำหน้าที่เป็นตัวขยายคำนามตัวหลัง ซึ่งเป็นคำนามหลัก เช่น
the
window pane(s) =
กระจกหน้าต่าง
a
travel brochure = แผ่นพับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
a
shoe shop = ร้านรองเท้า
ข้อสังเกต
การแปลข้อความจะเริ่มต้นจากคำนามที่อยู่หลังสุดซึ่งเป็นคำนามหลัก
คำนามคำแรกเป็นตัวขยายคำนามหลักให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คำนามตัวแรกมักจะมีรูปเอกพจน์
แม้ว่าความหมายจะเป็นพหูพจน์ เช่น
a
pencil box = กล่องใส่ดินสอ (ดินสอในกล่องย่อมมีหลายแท่ง)
แต่มีข้อยกเว้นบ้าง
เช่น คำว่า clothes, sports, men, women, ฯ จะใช้ว่า
a
clothes shop = ร้านขายเสื้อผ้า
a
sports car = รถสปอร์ต
คำนามบางคำเมื่อนำมาเรียงกันจะต้องมี
– (hyphen) ขีดคั่นกลาง เช่น tin-opener และบางคำก็เขียนติดกัน เช่น toothbrush
Noun ที่นำมาเรียงกันดังกล่าวข้างต้นเรียกได้ว่าเป็น compound nouns
a. Adjectives ได้แก่ big, large, small,
beautiful, red, blue
1) ใช้นำหน้าคำนามเพื่อขยายหรือบอกลักษณะคำนามที่ตามมา
เช่น beautiful palaces, a big hall
2) ตามหลัง BE หรือ verbs ต่อไปนี้ seem, appear, become, appear, turn, get/grow (=
become), sound, look, feel, smell, taste, etc. เช่น The
building looks gorgeous., The beach was beautiful and clean., The beaches are
getting dirtier and dirtier.
ในบางประโยคจะใช้
adjective มากกว่าหนึ่งคำ ซึ่งต้องเรียง adjective ตามลำดับดังนี้
size + age + shape + color + origin + material + purpose + NOUN
ขนาด + อายุ + รูปร่าง + สี + ที่มา + วัสดุ + จุดมุ่งหมาย + คำนาม
เช่น large/
big/ small + old/ young + round/ fat/ thin + white/ yellow/ red + French /
English / Thai + wooden / iron / silver + shopping + BAG/ MAN/ HOUSE
เช่น This
palace was built in an old European style.
อายุ ที่มา
b. ในตอนที่ 4.1 ได้อธิบายการเปลี่ยน adjective เป็นขั้น comparative degree และในบทสนทนาตอนนี้ มี
adjective ที่ใช้ในขั้น superlative degree ด้วย เช่น
Napa: … the
most popular beach in …
การเปลี่ยน adjective เป็นขั้น superlative
degree
1) รูปแบบ the
(adjective) + est N เช่น the largest
room
the
most (adjective) N เช่น the most
popular beach
2) การเปลี่ยน adjective
- Adjective ที่มีพยางค์เดียว (one syllable) เติม est หลัง adjective
- Adjective ที่มี 2 พยางค์ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
ดังตารางต่อไปนี้
Adjectives ที่ลงท้ายด้วย -y, -ly, -ow, -le, -er, -ure
|
Adjectives ที่ลงท้ายด้วย -ful, -less, -re, -ic, -ate, -ish, -ent, -ous,
-ing
|
|||
easy
lively
narrow
simple
clever*
secure*
|
easy + iest
lively + iest
narrow + est
simple + est
clever + est
secure + est
|
easiest
liveliest
narrowest
simplest
cleverest
securest
|
careful
hopeless
sombre
public
private
childish
recent
famous
boring
|
most careful
most hopeless
most somber
most public
most private
most childish
most recent
most famous
most boring
|
*คำว่า clever และ secure ปัจจุบันจะนิยมใช้กับ most ดังนี้ the most
clever และ the most secure
- Adjective ที่มี 3 พยางค์ขึ้นไปใช้ most นำหน้า เช่น the most popular beach, the most beautiful picture
- Adjective บางคำมีรูป comparative และ superlative ของตัวเอง คือ
good better best
bad worse worst
การเปรียบเทียบขึ้น
superlative ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งของ/คน ที่มีมากกว่า 2
สิ่ง/คน ขึ้นไป ให้ความหมายว่า “....ที่สุด” เช่น the tallest building = ตึกที่สูงที่สุด
ตอนที่ 4.3 Tourist
Spots Threatened
1. การอธิบายถึงเหตุผล
ผู้เขียนจะใช้คำเชื่อมที่เชื่อมโยงสาเกตุและผลที่เกิดขึ้น เช่น as a
result, consequently, because, since, ฯลฯ
2. การอธิบายถึงเหตุและผล ผู้เขียนอาจจะใช้คำกริยาหรือกลุ่มคำกริยา
เพื่อบอกสาเหตุหรือผลที่เกิดขึ้น เช่น result, cause, lead to, result from,
BE a result of, ฯลฯ
3. การกล่าวถึงมลภาวะ ผู้เขียนบรรยายอาจจะนำคำพูดผู้อื่นมาบอกเล่าด้วย
โดยต้องคำนึงถึงการเปลี่ยน tense, pronoun, และคำที่บอกกาลเวลา
4.
คำศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายถึงมลภาวะมีหลากหลายและส่วนหนึ่งจะเป็นคำที่เกิดขึ้นจากการต่อเติมคำด้วย
prefix และ/หรือ suffix
คำอธิบาย
บทอ่านนี้เป็นข่าวลงพิมพ์เมื่อปี
ค.ศ. 1999 กล่าวถึง seagulls (นกนางนวล) ซึ่งบินมากจาก
ไซบีเรียตอนเหนือมาอยู่รวมกันที่บางปู เพื่อหนีอากาศหนาวและหาอาหารกิน
สำนวนต่างๆ
ที่ปรากฏในข่าวมีดังนี้
1. discharge
from factories หมายถึง น้ำ (เสีย) ที่โรงงานปล่อยทิ้งออกมา
2. resulting
from an attack by worms หมายถึง เป็นผลเนื่องมาจากหนอนกัดกิน
3. flood-prevention
dyke หมายถึง กำแพงหรือเขื่อนเพื่อกันน้ำท่วม
4. freezing
winter หมายถึง หน้าหนาวที่หนาวมากๆ
5. The
estimated 10,000 arrivals this years. (คำว่า
arrivals ในที่นี้หมายถึง นำที่บินมาจากไซบีเรีย)
ข้อความนี้จึงมีความหมายว่า ประมาณได้ว่ามีนกถึงหมื่นตัวที่บินมาที่นี่
6. This
has led to the death… “This” หมายถึง
กำแพงที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อกันน้ำท่วม และทำให้น้ำทะเลแถบนั้นไหลเวียนไม่ได้
ซึ่งทำให้น้ำเกิดมลภาวะขึ้น
7. sea
creatures หมายถึง สัตว์หรือสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในทะเล
8. environmental
impact study หมายถึง การศึกษาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
9. ….
was undertaken …. “undertake” แปลว่า “จัดการ” หรือ ในบริบทนี้แปลว่า
“ดำเนินการ”
10. Many
have attempted to alleviate …. คำว่า Many ในที่นี้หมายถึง
“หลายๆ คน” ข้อความนี้จึงมีความหมายว่า มีหลายคนที่พยายามที่จะบรรเทา/แบ่งเบา...
11. two
huge buckets แปลว่า ถังใหญ่ๆ 2 ถัง
12. …
she pitied the birds หมายความว่า เขา (ในที่นี้คือคุณศิริลักษณ์)
สงสารนกเหล่านั้น (ปกติจะพบคำว่า pity เป็นคำนาม
แต่ในที่นี้ใช้เป็นคำกริยา)
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
Seeking Opportunity to Practice
ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่ฝึกได้อย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่อ่านมีอยู่มากมาย ไม่เฉพาะแต่ตำราหรือแบบฝึกหัดการอ่านเท่านั้น
ป้ายที่ติดตามถนน ป้ายหน้าสำนักงานเอกชน หรือของรัฐ เอกสารที่ติดมาในกล่องสินค้า
กล่องบรรจุสินค้า หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ล้วนแต่ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านได้ทั้งนั้น
Reading Strategies
2.1 ในการอ่านข้อความต่อเนื่องยาวๆ นักศึกษาควรจะอ่านเร็ว
ตั้งแต่ต้นจนจบข้อความเพื่อจับหัวข้อเรื่องที่อ่านให้ได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
อย่ากังวลว่าไม่รู้คำศัพท์ที่มีอยู่ในข้อความนั้นและพะวงกับการเปิดดูพจนานุกรมเพื่อดูความหมายของศัพท์
จะทำให้จับหัวข้อเรื่องและจับใจความสำคัญไม่ได้เพราะการเข้าใจใจความสำคัญจะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น
2.2
คำศัพท์นั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดดูทุกคำ เพราะบางครั้งสามารถจะเดาความหมายได้โดย
2.2.1
อาศัยบริบท
2.2.2
ใช้วิธีการแยกคำยาวๆ ดูส่วนที่คุ้นเคย แล้วค่อยๆ ตีความส่วนที่มาประกอบเป็นคำใหม่
ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดคำใหม่ เช่น arrive + al เป็น arrival
2.3 นักศึกษาควรจะต้องเรียนรู้วิธีการเชื่อมโยงความคิดของผู้เขียนด้วย
เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องราวที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อ
ในการเชื่อมโยงความคิดผู้เขียนจะใช้คำแทนต่างๆ เช่น pronouns เป็นต้น
2.4
ไวยากรณ์มีส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจกบเรื่องที่อ่าน
ดังนั้นควรจะทำความเข้าใจว่าไวยากรณ์รูปแบบใดให้ความหมายอย่างไร
Language Functions: Explaining causes and effects, reasons and
results
ในข่าวเรื่องนี้ผู้เขียนได้พูดถึงสาเหตุที่นำมีอาหารไม่พอเพียง
และได้ใช้สำนวน เช่น
1. The
death of the mangrove forest resulting from an attack by worms …
2. Discharge
from factories and the death of the mangrove forest (…) are believed to be the
major cause of water pollution.
คำอื่นที่ใช้ในการอธิบายถึง
cause และ effect, reason และ result
มีทั้งเป็น connector และ verb ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็น connectors
1. The dykes were built to prevent flooding. As a result, /
Consequently, / Therefore, / Because of this, the sea water in the area
could no longer circulate. คำและกลุ่มคำเหล่านี้มีความหมายว่า
“ดังนั้น” “ผลที่ตามมาก็คือ”
2. The sea water in the area could not circulate because / since
dykes were built to prevent flooding. คำและกลุ่มคำเหล่านี้มีความหมายว่า
“เพราะ” “เนื่องจาก”
กลุ่มที่ 2 เป็น verbal
structures
1. Dyke construction to prevent flooding in the area results in
/ causes / leads to / is the reason for water
pollution. คำและกลุ่มคำเหล่านี้ให้ความหมายว่า “เป็นผลให้เกิด”
“เป็นสาเหตุทำให้เกิด” “นำไปสู่”
2. Water pollution results from/ is due to/ is a result of/ is a
consequence of dyke construction to prevent flooding in the area. กลุ่มคำเหล่านี้มีความหมายว่า “มีผลมากจาก” “เนื่องมากจาก” “เป็นผลของ”
Vocabulary: Affixes
ส่วนต่อเติมคำ
เรียกว่า affixes มี 2 ประเภท คือ prefix และ suffix
1. prefix คือ ส่วนที่เติมหน้าคำ ทำให้คำเปลี่ยนความหมายไป prefix มีมากมาย แต่ในข่าวนี้ prefix
ที่ผู้เขียนใช้เป็นพวก negative prefix
ซึ่งทำให้คำมีความหมายในเชิงปฏิเสธ หรือมีความหมายตงข้ามกับคำเดิม
1.1 dis
– (ทำให้คำเดิมมีความหมายตรงกันข้ามหรือมีความหมายเชิง negative)
เช่น charge (v) แปลว่า บรรจุ dis +
charge ®
discharge แปลว่า ปล่อย, ปล่อยออกมา, arm (v) แปลว่า
ติดอาวุธ, มีอาวุธ dis + arm ® disarm แปลว่า ปลดอาวุธ
1.2
un- (ให้ความหมายว่า not, negative) เช่น usually แปลว่า อย่างปกติ un + usually ®
unusually แปลว่า อย่างผิดปกติ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน, reasonable
แปลว่า มีเหตุผล, สมควร un + reasonable ®
unreasonable แปลว่า ไม่มีเหตุผล, เกินควร
2. suffix
คือ ส่วนที่เติมท้ายคำ ทำให้หน้าที่คำปรับเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น จาก
adjective ®
verb, verb ®
adjective, adjective ®
noun etc.
2.1
suffix ที่เปลี่ยนคำนามให้เป็น adjective ที่มักพบบ่อยๆ
คือ
Suffix
|
Area of
Meaning
|
Example
|
-al
|
relating to (เกี่ยวกับ)
|
environment ®
environmental
|
-y
|
full of (เต็มไปด้วย)
|
cloud ®
cloudy
dirt ®
dirty
|
-ous
|
full of (เต็มไปด้วย)
|
danger ®
dangerous
|
-en
|
made of (ทำด้วย)
|
wood ®
wooden
|
-less
|
without (ปราศจาก)
|
power ®
powerless
color ®
colorless
|
-ful
|
full of (เต็มไปด้วย)
characterized
(มีลักษณะ)
|
power ®
powerful
|
2.2 suffix ที่เปลี่ยน adjective หรือ verb ให้เป็นคำนาม ที่พบบ่อยๆ มีดังนี้
Suffix
|
Area of
Meaning
|
Example
|
|
|
ADJ ®
Noun
|
- age
-ness
-ity
|
state,
condition
state, condition
condition
|
short ®
shortage
kind ®
kindness
real ®
reality
|
|
|
Verb ® Noun
|
-al
-ure
-y
-ment
-ation, -sion
-er, -or, -ant, -ent
|
ทำให้ verb
เป็น noun
act, process,
condition
ทำ verb
ให้เป็น noun
result, state
(ผล สภาวะ)
action, condition
one who does
something
(ผู้กระทำ,
สิ่งที่ใช้ทำ)
|
arrive ®
arrival
survive ®
survival
fail ®
failure
deliver ®
delivery
agree ®
agreement
combine ®
combination
decide ®
decision
work ®
worker
assist ®
assistant
advise ®
advisor
study ®
student
|
Grammar: Reported speech
ในการเขียนข่าว
ผู้เขียนจะนำคำพูดของผู้ให้สัมภาษณ์มาเล่าให้ผู้อ่านทราบ วิธีการเล่าทำได้ 2 วิธี
คือ
1.
ยกคำพูดแบบเดิมทั้งหมดมาเลย ในกรณีนี้ต้องใส่เครื่องหมายคำพูดไว้ด้วย
และไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในคำพูด She said she pitied the birds. “It
seems they are very hungry because they fly very close to us to draw
attention.”
2. ถอดคำพูดของผู้พูดมาบอกเล่า ในกรณีนี้จะตัดเครื่องหมายคำพูดออก
และต้องเปลี่ยนแปลงคำพูดบางคำ ซึ่งได้แก่ pronoun, possessive adjective และ tense ของ verb
ของผู้พูดดังนี้
2.1 tense
ของ verb
2.1.1
ถ้า verb นำเป็น present simple, present perfect,
future tense ไม่ต้องเปลี่ยน tense ให้กับ verb ในคำพูดนั้น แต่ต้องเปลี่ยน pronoun เช่น Mrs.
Sucha says she is worried by the deteriorating environment in the province.
2.1.2
ถ้า verb นำเป็น past tense นอกจากจะเปลี่ยน pronoun แล้ว verb ในคำพูดนั้นต้องเปลี่ยนดังนี้ Ms. Sucha said, “I am worried by
the deteriorating environment in the province.” เปลี่ยนเป็น Ms.
Sucha said she was worried by the deterioration environment in the province
การเปลี่ยน
tense ของ Verb เป็นดังนี้
Direct Speech
|
Indirect
Speech
|
||
present simple
present continuous
present perfect
past simple
past continuous
future simple
is/are going to
|
She said, “I have a cold.”
She said, “I am reading.”
She said, “I have got the book.”
She said, “I bought a book.”
She said, “I was reading.”
She said, “I will buy a car.”
She said, “I am going to buy it.”
|
past simple
past continuous
past perfect
past perfect
past perfect cont.*
would + V
was/were going to
|
She said she had a cold.
She said she was reading.
She said she had got the book.
She said she had bought a book.
She said she had been reading.
She said she would buy a car.
She said she was going to buy it.
|
*past perfect continuous
2.2 Pronoun
and possessive adjective
ถ้า pronoun
และ possessive adjective หมายถึงตัวผู้พูด
หรือผู้ฟัง ต้องเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน เช่น
Suda said, “I have read the article already.” ®
Suda said she had read the article already.
Suda said to Wit, “I need your help.” ®
Suda told Wit that she needed his help.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น