วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หน่วยที่ 7-8


หน่วยที่ 7 Talking Clients Out
1. ในโอกาสที่ต้องรับรองหรืออำนวยความสะดวกต่างๆ แก่แขกรับเชิญ ลูกค้า หรือผู้มาเยี่ยมเยือนของบริษัทหรือหน่วยงาน จะมีการทำความรู้จักคุ้นเคยกัน มีการสนทนาที่เกี่ยวกับบุคลิกและลักษณะของบุคคลเหล่านี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกนอกจากนี้ยังมีการแนะนำบุคคลในโอกาสและสถานการณ์ที่เป็นทางการ
2. การอำนวยความสะดวกเกี่ยวข้องกับการพาไปยังสถานที่ต่างๆ และการบอกทิศทาง
3. การสนทนาในเรื่องการเดินทางเกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงพาหนะที่ใช้เดินทาง ตลอดจนเรื่องค่าใช้จ่าย ระยะทาง ระยะเวลา
ตอนที่ 7.1 What Do They Look Like?
1. ในที่ทำงาน เรามีความจำเป็นที่ต้องพบปะรู้จักบุคคลมากมาย และพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะและบุคลิกของบุคคลต่างๆ เหล่านี้ และของตนเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบรรยายถึงการแต่งกาย ลักษณะและสีของ ตา ผม ผิว ขนาด และรูปร่าง ตลอดจนการพูดถึงบุคลิก เช่น เคร่งขรึม ชอบช่วยเหลือ เงียบๆ ร่าเริง เป็นต้น
2. การบรรยายลักษณะของบุคคลใช้ present simple tense, verb to be และ linking verbs โดยต้องใช้รูปประโยคที่เหมาะสมกับคำศัพท์ที่เป็น nouns หรือ adjectives ที่ใช้ในการพูดถึงลักษณะบุคคล
3. ในการถามถึงลักษณะบุคคล อาจใช้ wh-question หรือ yes-no question โดยออกเสียงสูงท้ายประโยค yes-no question และไม่ขึ้นเสียงสูงท้าย wh-question
คำอธิบาย
               บทสนทนาที่นำเสนอในตอนนี้ เป็นบทสนทนาที่เป็นส่วนหนึ่งของการมาเยี่ยมเยือนของลูกค้าและประชุมเพื่อตกลงธุรกิจของ Asia Kitchenware Company อรินซึ่งขณะนี้ย้ายมารับตำแหน่งเลขานุการของบริษัทนี้และ Brian รับหน้าที่ไปรับลูกค้าจากประเทศนิวซีแลนด์ คือ Mr. Reynold Adamson และภรรยา คือ Mrs. Lydia Adamson ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ อรินซึ่งเคยได้พบทั้ง 2 คนมาก่อนแล้ว เป็นผู้บอกให้ Brian ทราบเกี่ยวกับลักษณะและบุคลิกของทั้ง 2 พอเป็นสังเขป ถึงแม้ว่า อรินและ Brian จะได้ทำป้ายเขียนชื่อบริษัท Asia Kitchenware Company ไว้ไปแสดงตัวเพื่อจะให้ Mr. and Mrs. Adamson สังเกตเห็นได้ชัดเจน แต่ Brian ก็เอาใจใส่ในการที่จะเห็นตัวลูกค้าก่อน เพื่อจะได้ไปรับและทักทาย จึงมีการสอบถามพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลทั้ง 2 ดังกล่าวแล้ว
               ในหน่วยที่ 7 นี้ อรินและ Brian จเป็นผู้มีหน้าที่ในการดูแลต้อนรับ และเตรียมการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมาเยือนของลูกค้าจากนิวซีแลนด์คู่นี้ อันจะได้นำเสนอในตอนต่อไป ศัพท์และสำนวนที่น่าสนใจในบทสนทนาบทนี้ มีดังต่อไปนี้
               1. public relations หมายถึง แผนกหรือฝ่ายประชาสัมพันธ์
               2. Can I be of any help? เป็นประโยคพูดเสนอและแสดงความพร้อมให้ความช่วยเหลือ ประโยคอื่นๆ ที่มีความหมายในกลุ่มนี้ ได้แก่ Can I do anything for you? What can I do for you? เป็นต้น
               3. transportation หมายถึง พาหนะที่จะใช้เดินทางไป
               4. ประโยคที่ใช้ถามเกี่ยวกับลักษณะและบุคลิก What does he look like? เขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร? Is he middle-aged? เขาอายุกลางคนใช่ไหม? Is that Mr. Adamson in the dark blue shirt and black trousers? คนที่สวมเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มและกางเกงสีดำ คือ Mr. Adamson ใช่ไหม? He is in his early forties. เขาอายุช่วง 40 ต้นๆ She looks very smart. เธอดูท่าทางฉลาด The lady with wavy hair in the light brown dress is his wife. สุภาพสตรีผมเป็นลอนที่สวมชุดสีน้ำตาลอ่อนคือภรรยาของเขา
               5. ประโยคที่ใช้ในการแนะนำอย่างเป็นทางการ Mr. Adamson, may I introduce Mr. Brian Stevens, my colleague? Mr. Adamson ขอแนะนำให้รู้จัก Mr. Brian Stevens เพื่อนร่วมงานของดิฉัน ผู้ที่ทำความรู้จักกันจะพูดว่า How do you do? : How do you do? หรือ How do you do, Mr. Stevens? : How do you do, Mr. Adamson? หมายถึง ยินดีที่ได้รู้จัก
               6. investment project หมายถึง โครงการลงทุน
               7. Not exactly. หมายถึง ก็ไม่เชิง ผู้พูดไม่ตอบว่า ใช่หรือไม่ใช่
               8. Not quite sure. หมายถึง ไม่ค่อยแน่ใจนัก
               9. Here they are. หมายถึง พวกเขามากันแล้ว
               10. the couple หมายถึง คู่สามีภรรยา
               11. twelve-hour journey หมายถึง การเดินทางนานถึง 12 ชั่วโมง สังเกตว่าไม่เติม s ที่ hour ตัวอย่างอื่นๆ ได้แก่ a twelve – inch ruler, a five – day trip, a ten – story building, a twenty – man team, a fifteen – foot pole
               12. arrival hall หมายถึง ห้องผู้โดยสารขาเข้า เป็นที่ซึ่งผู้โดยสารมักจะนัดพบกับผู้ไปรับ
               13. I’m delighted to meet you. เป็นประโยคแสดงความยินดีที่ได้พบกัน เป็นสำนวนที่เป็นทางการ (formal) สำนวนอื่น เช่น Nice to meet you.
               14. a pleasant flight หมายถึง การเดินทางโดยเครื่องบินที่ราบรื่นไม่มีปัญหา
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
               นอกเหนือจากความเข้าใจในบทสนทนาที่แล้วมา และการศึกษาถึงศัพท์สำนวนต่างๆ ในส่วน Explanation นักศึกษาจะต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะช่วยให้เกิดสัมฤทธิผลในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อบรรยายถึงลักษณะและบุคลิกของบุคคล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพ ได้แก่
               1. ศึกษารูปประโยคและคำศัพท์จากปริบท เช่น จากบทสนทนาที่มีสถานการณ์เกี่ยวข้อง หรือจากการอ่านเรื่องราวต่างๆ
               2. มีทัศนคติในด้านบวกว่า บทสนทนาที่เป็นตัวอย่างหรือแบบฝึกหัดที่สมมติโจทย์เป็นสถานการณ์ใกล้เคียงชีวิตจริง มีส่วนอย่างมากที่จะช่วยเสริมสร้างให้นักศึกษาสามารถใช้ภาษาได้ในชีวิตจริงเช่นกัน ไม่ใช่เป็นเพียงการสมมติแบบละครหรือเรื่องเล่นๆ
               3. พยายามหาโอกาสให้มากที่สุดจะได้ใช้สิ่งที่เรียนในชีวิตจริง โดยตัดปัจจัยด้านลบ เช่น ความกลัวผิด ความอาย ความไม่มั่นใจ หรือกลัวความดูแคลนจากผู้ที่เราสื่อสารด้วย ปัจจัยด้านลบเหล่านี้เปรียบเสมือนตัวกรอง หรือตัวสกัดกั้น (filter) ความสามารถที่จะพัฒนาในด้านบวกได้ต่อไป อีกทั้งการไม่พยายามหาโอกาสที่จะได้ใช้และไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตจริง จะทำให้ไม่มีความอยากที่จะฝึกฝน ท่องหรือหาความรู้เพิ่มเติม ก็จะไม่เกิดความสัมฤทธิผลในที่สุด
               4. ระลึกเสมอว่าผู้ที่นักศึกษาสื่อสารด้วยที่เป็นเจ้าของภาษาหรือผู้ที่ชำนาญภาษาอังกฤษมากกว่า จะไม่มีความรู้สึกรำคาญและดูแคลน หากเขาสังเกตเห็นว่านักศึกษาหรือผู้ที่พยายามฝึกนั้นมีความมานะพยายามและตั้งใจจริง ผู้ที่เป็นเจ้าของภาษามักจะพยายามช่วยแก้ปัญหาทีละเล็กทีละน้อย จนทำให้การสื่อสารผ่านไปได้ในระดับหนึ่ง และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ตัวผู้เรียนจะต้องมีความสม่ำเสมอในประเด็นที่ 1-3
               5. มีเทคนิคในการจดจำคำศัพท์ ตอนที่ 7.1 นี้เป็นตอนที่ต้องใช้คำศัพท์มากโดยเฉพาะ adjective และ noun เนื่องจากต้องใช้บรรยายลักษณะทางกายภาพ รวมทั้งบุคลิกทั้งด้านบวกและด้านลบของบุคคล ฉะนั้นการท่องศัพท์จึงสำคัญ การทราบศัพท์มากก็ทำให้นักศึกษาเข้าใจและสามารถใช้ศัพท์เหล่านี้ในการบรรยายได้ดี ละเอียด และตรงจุดมากขึ้น เทคนิคการจำศัพท์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์ที่เกี่ยวกับกายภาพ เช่น สีผิว ผม ตา ความสูง เสื้อผ้า เหล่านี้ ให้จำศัพท์ไปพร้อมกับนึกภาพทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพของคนที่รู้จักหรือคุ้นเคย หรือบุคคลสำคัญ ตัวอย่างเช่น long face / quite tall / good build ก็นึกถึงนักเทนนิสชายที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย
               6. ฝึกฟังสำเนียงการพูดของเจ้าของภาษา นอกเหนือจากศัพท์และสำนวนแล้ว สำเนียงก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนภาษาต่างประเทศ ลักษณะสำเนียงของภาษาไทยและอังกฤษมีความแตกต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก การฝึกจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป และฟังซ้ำพูดซ้ำ ฝึกพูดออกเสียงคนเดียวบ้าง อัดเทปฟังเองบ้าง ทั้งเจ้าของภาษาและไม่ใช่เจ้าของภาษา เรื่องสำเนียงนี้จะสัมฤทธิผลได้ต้องอาศัยการฟังที่ดีและให้เวลามากกับการออกเสียงตั้งแต่ระดับคำ ระดับประโยค และในระดับสนทนาได้
Introducing people: Formal introduction
ใช้สำนวน This is Mr. Brian Stevens. He’s our new Sales Manager. / I’d like to introduce Mr. Brian Stevens, our new Sales Manager. / I’d like you to meet Mr. Clark Kent, the President of Pacific Tours Company. / May I introduce Mrs. Napa Samart? She is our customer form Thailand.
               ในสถานการณ์ที่เป็นทางการมาก ผู้ที่ทำความรู้จักกันหลังจากได้รับการแนะนำแล้วจะพูดว่า
A: How do you do?             B: How do you do?
               หรือจะมีการพูดชื่ออีกฝ่ายหนึ่งด้วย และตามด้วยสำนวนที่มีความหมายว่ายินดีที่ได้รู้จัก
A: How do you do, Professor Karl? Nice to meet you.                B: How do you do, Doctor Hopkins? Nice to meet you too.
               สำนวนที่มีความหมายว่า ยินดีที่ได้รู้จัก มีดังนี้ Nice to meet you. / Pleased to meet you.
Describing people: Appearance
a. ใช้ look like ในการถามและบรรยายลักษณะที่เห็นของบุคคล What does she look like? – She’s tall and she’s got fair hair. – She looks like a banker. / What does he look like? – He’s handsome.
b. ใช้ BE + adjective ในการบรรยายลักษณะ He’s tall and handsome. He’s middle – aged. They plump but attractive.
c. ใช้ have / have got + noun : He’s got dark eyes. She has long wavy hair.
d. ใช้ BE in เพื่อแสดงช่วยอายุ : He’s in his early twenties. She’s in her mid – thirties.
e. ใช้ BE in เพื่อแสดงการแต่งกาย : They’re in nurse’s uniforms. She’s in a red suit. He’s in blue trousers.
f. ใช้ with เพื่อบรรยายว่ามีผมในลักษณะใดและสวมแว่นตา : She’s the one with short hair and glasses. (She’s got short hair and she’s wearing glasses.)
g. ใช้ quite (ค่อนข้างจะ), really (มากจริงๆ), very (มาก), นำหน้า adjectives เพื่อให้ความหมายของ adjectives มากน้อยต่างกันไป : She’s very tall. He’s really handsome. They’re quite plump.
หมายเหตุ             ใช้ look like ในประโยคที่พูดถึงลักษณะทางกายในประโยคบอกเล่า He looks like his father. He looks like a banker. มีการแสดง present simple tense ที่ linking verb “look” เมื่อเป็นประโยคคำถาม ใช้ do หรือ does และใช้ look เป็นรูป infinitive
A – What does he look like?             หมายถึง                “เขามีรูปร่างลักษณะอย่างไร?”
B – Who does he look like?              หมายถึง                “เขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนใคร?”
คำตอบของประโยค A และ  จะแตกต่างกัน คำตอบ A – He’s tall, fair and handsome., B – He looks like his father.
Grammar
               รูปประโยคที่ใช้ในการพูดถึงลักษณะทางกายภาพและบุคลิก ได้แก่ S + BE + ADJ / S + look + ADJ : Amphon is helpful. Ken looks serious. Kanittha is quite tall. Dan looks cheerful. เราใช้ S + HAVE / HAVE got + Noun ในการพูดถึงลักษณะทางกายภาพในสำนวนนี้ HAVE เป็น American English และ HAVE got เป็น British English : They’re got black eyes. She has long wavy hair.
Vocabulary
Appearance
1. Face                 square                   ใบหน้าเหลี่ยม                       round                    ใบหน้ากลม           
oval                       ใบหน้ารูปไข่           long                       ใบหน้ายาว             beard (N)                             เคราะ(He’s got a beard.)
mustache (N)       หนวด                     glasses (N)          สวมแว่นตา(She’s wearing glasses.)
2. Eyes              blue                       ตาสีฟ้า                                  brown                    ตาสีน้ำตาล            dark                              ตาสีดำ   
small                     ตาเล็ก                    narrow                                  ตาเรียวรี                 large                      ตาโต
3. Hair               black                     ผมดำ                     blond                     ผมสีบลอนด์                          curly                              ผมหยิก
straight                  ผมตรง                   short                      ผมสั้น                     long                       ผมยาว                   fair                         ผมสีอ่น
bald                       ศีรษะล้าน              grey                      ผมสีเทา ผมสีดอกเลา                           shoulder – length                    ผมยาวประบ่า
4. Build                  thin                        รูปร่างผอมบาง                      slim                       รูปร่างบาง              lean                              รูปร่างบาง
fat                          รูปร่างอ้วน              plump                   รูปร่างท้วม
5. Height               tall                          สูง                          short                      เตี้ย                        medium-height                              สูงปานกลาง
6. Skin                  fair                         ผิวขาว ผิวสีอ่อน     dark                      ผิวคล้ำ                   tanned                   ผิวคล้ำแดด
7. Age               old                         แก่ (สูงอายุ)            young                    อยู่ในวัยหนุ่มสาว    middle-aged               อยู่ในวัยกลางคน
in his / her (early / late) forties          อายุช่วง 40 ต้นๆ  / ปลายๆ                  teenager                อยู่ในช่วงวัยรุ่น
8. Looks                good looking        รูปร่างหน้าตาดี      attractive               มีเสน่ห์ดึงดูด          handsome               หน้าตาหล่อ
beautiful               สวย                        lovely                     สวย น่ารัก              smiling                  หน้าตายิ้มแย้ม              
serious                  หน้าตาเคร่งขรึม     calm                      หน้าตาสงบเฉย
Character
               ใช้ BE + ADJ และ look + ADJ ในการพูดถึงบุคลิก : He’s unpleasant. She looks kind. He’s quite straightforward.
               ใช้ BE + like ในประโยคคำถามเกี่ยวกับบุคลิก What + BE + Subject + like? คำตอบใช้ BE + ADJ ตัวอย่าง What is he like? He’s sensitive. / He’s very nice.                          Who + BE + Subject + Like? คำตอบใช้ BE + like + Noun ตัวอย่าง Who is he like? He’s like his father.
Positive (คำที่มีความหมายเชิงบวก)
nice        - อัธยาศัยดี            kind/ helpful / generous - ใจดี ชอบช่วยเหลือ                 sincere – จริงใจ                   honest – ซื่อสัตย์
careful    - รอบคอบ              smart / clever / intelligent – ฉลาด                   warm – อบอุ่น                      reliable – เชื่อถือได้
sensible – มีเหตุผล              quiet – เงียบ          calm – สงบ           interesting – น่าสนใจ          self-confident – เชื่อมั่นในตนเอง
optimistic – มองโลกในแง่ดี                 patient – อดทน                    polite – สุภาพ                      tidy – มีระเบียบ                             
thoughtful – ช่างคิด             cheerful - แจ่มใส ร่าเริง                      considerate – มีความเกรงใจ
Negative (คำที่มีความหมายเชิงลบ)
cold – เย็นชา                       indifferent - ไม่สนใจ ไม่แยแส             funny - ไม่เข้าท่า เปิ่น ดูตลก               weird / strange - ประหลาด แปลก
lazy – เกียจคร้าน                  nervous – ตื่นเต้นมาก                        pessimistic – มองโลกในแง่ร้าย          rude – หยาบคาย
impolite – ไม่สุภาพ              insincere – ไม่จริงใจ
Positive or Negative บางคำมีความหมายได้ทั้งทางบวกและลบ แล้วแต่สถานการณ์และทัศนคติ
serious – เคร่งขรึม               imaginative – เพ้อฝัน, ช่างคิด, มีจินตนาการ     inquisitive - สอดรู้สอดเห็น, อยากรู้ อยากเห็น, ช่างซักช่างถาม
shy – ไม่ชอบแสดงออก, อาย, เขิน
Listening: Intonation
            ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมีการขึ้นเสียงสูง และไม่ต้องขึ้นเสียงสูง ชนิดที่นำหน้าด้วย wh-words จะไม่ขึ้นเสียงสูง
Who does he look like?                    How tall is he?
               ชนิดที่นำหน้าด้วย helping verbs หรือ modal auxiliaries จะขึ้นเสียงสูง Does he look like his father?
ตอนที่ 7.2 Could You Tell Me Where It Is?
1. ในการรับรองแขกรับเชิญและในชีวิตประจำวัน มักมีการแสดงความเอื้อเฟื้อต่อบุคคลต่างๆ ด้วยการพาไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งอาจจะต้องมีการสนทนาเกี่ยวกับที่ตั้งและการบอกทิศทางของสถานที่เหล่านี้
2. สำนวนคำถามที่ใช้ในการถามที่ตั้งและถามทิศทางมี 2 รูปแบบ คือ direct question และ indirect question
3. สำนวนและคำศัพท์ที่ใช้ในการบอกทิศทางมีรูปประโยคส่วนใหญ่เป็นคำสั่ง และอาจมีส่วนประกอบอื่น
คำอธิบาย
               บทสนทนาที่นำเสนอในตอนนี้ เป็นส่วนที่ผู้มีหน้าที่รับรองแขกของ Asia Kitchenware Company คือ ขนิษฐา และ Brian ได้ไปพบ Mr. และ Mrs. Adamson ที่โรงแรมที่พัก เพื่อจะพาไปซื้อของที่ร้านลัดดาภัณฑ์ ในช่วงที่บุคคลทั้ง 2 พัอยู่ที่โรงแรมเอ็มเพรสนั้น เขาต้องการจะใช้บริการในส่วนต่างๆ ของโรงแรม เช่น ร้านขายของที่ระลึกหรือของเก่า ร้านขายเครื่องเขียน ร้านเสริมสวย และคอฟฟี่ชอป เป็นต้น รตีซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมก็อำนวยความสะดวกให้ด้วยการช่วยบอกทิศทางของสถานที่เหล่านี้ หลังจากนั้นขนิษฐานได้โทรศัพท์ถึง Mr. Adamson เพื่อนัดหมายในการมารับไปซื้อของ ในบทสนทนาก้ได้มีการบอกจุดนัดหมายที่จะพบกัน หลังจากซื้อของที่ร้านลัดดาภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว Mr. Adamson จำเป็นต้องตรวจสอบบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร เขาจึงถาม Brian ถึงทิศทางที่จะไปยังธนาคารเมโทร Brian ไม่สามารถบอกได้จึงต้องถามผู้ที่เดินผ่านมา ศัพท์และสำนวนที่น่าสนใจในบทสนทนาของตอนนนี้มีดังต่อไปนี้
1. Could you tell me where a craft shop is? เป็น indirect question (คุณพอจะบอกได้ไหมว่าร้านขายงานฝีมือที่ระลึกอยู่ที่ไหน)
2. Is there a stationery shop in here? (แถวนี้มีร้านขายเครื่องเขียนไหม)
3. How do I get there? (ไปทางไหน)
4. Do you know where Metro Bank is? (คุณพอจะทราบไหมว่า ธนาคารเมโทรอยู่ที่ไหน)
5. have my hair done หมายความถึง ไปทำผม
6. corridor และ aisle หมายถึง ทางเดินในตัวอาคาร เช่น ทางเดินระหว่างห้องทำงานหรือแผนกต่างๆ
7. original cuisine หมายถึง อาหารต้นตำรับ ในที่นี้หมายถึงอาหารไทยต้นตำรับ
8. handicrafts หมายถึง งานฝีมือต่างๆ ในที่นี้หมายถึงงานฝีมือของไทยที่นิยมให้เป็นของที่ระลึก
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
               1. นักศึกษาควรพยายามจำสำนวนที่ใช้บอกและถามที่ตั้งและทิศทาง โดยใช้แผนที่ประกอบด้วยเสมอ เนื่องจากศัพท์ สำนวน เหล่านี้ มักจะเป็น prepositions และ adverbs การที่ได้เห็นภาพพร้อมกับฟังหรืออ่านคำศัพท์และสำนวนนั้นๆ ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นและไม่สับสน
               นักศึกษาจะสังเกตว่าเกือบทุกกิจกรรม แม้กระทั่งใน Presentation จะมีแผนที่ให้นักศึกษาดูประกอบด้วย
               2. เมื่อต้องการจะฝึกพูดหรือเขียนเพื่อถามหรือบอกเรื่องที่ตั้งและทิศทาง นักศึกษาควรจำเป็นประโยคหรือวลี มากกว่าที่จะจำเป็นคำๆ
               3. พยายามออกเสียงประโยคและคำต่างๆ ที่ได้ยินจากเทปให้ใกล้เคียง เพื่อฝึกการออกเสียงเรื่องที่ตั้งและทิศทางให้ดีขึ้น
               4. นักศึกษาสามารถฝึกกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือญาติมิตร ในหัวเรื่องที่เรียนในตอนนี้ได้ไม่ยาก โดยการฝึกพูดโดยใช้ศัพท์สำนวนที่เรียนไปกับสถานที่จริง อาจมีการวาดแผนที่ประกอบหรือทำเป็นละครย่อยๆ
               5. นักศึกษาไม่เพียงจะฝึกเรื่องการถามและบอกเรื่องที่ตั้งและทิศทางเท่านั้น แต่ยังสามารถฝึกใช้สำนวนต่างๆ ที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ในการขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า นอกจากจะทราบว่านิยมใช้ indirect question แล้ว นักศึกษายังทราบวิธีใช้สำนวนในการขอบคุณและตอบรับการขอบคุณได้อย่างเหมาะสม
               6. เมื่อนักศึกษาฝึกข้อ 4 และ 5 นักศึกษาจะเห็นว่า ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นจำเป็นต้องโยงใยความรู้ถึงสำนวนภาษาในประเด็นอื่นๆ มาประกอบกับประเด็นที่เราเจาะจง เพื่อจะให้การสื่อสารนั้นสละสลวยและสมจริงมากขึ้น เล่น ในตอน 7.2 นี้ เน้นให้ทราบถึง ศัพท์สำนวนเรื่อง Giving Direction แต่ในการสนทนา 1 บทนั้น นักศึกษาจะเห็นการใช้ Excuse me. Could you tell me…? Thank you very much for your help. My pleasure. Any time. You’re welcome. เป็นต้น ซึ่งสำนวนเหล่านี้จะปรากฏในบทสนทนาลักษณะอื่นที่นอกเหนือจากเรื่อง Giving Direction ได้เช่นกัน ฉะนั้น ในการฝึกใช้สำนวนภาษาในหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่ง นักศึกษาควรลองนำสิ่งที่เรียนมาใช้ในเหตุการณ์สมมติที่ใกล้ตัว การสมมติเหตุการณ์เอง และการใช้กับสถานการณ์จริง เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง และมีส่วนเสริมให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จมาก
Language Function: Asking for directions
            ประโยคคำถามที่ใช้ในการถามทิศทาง มีทั้งที่เป็น direct และ indirect questions
Direct questions
1. เมื่อถามถึงสถานที่อยู่ใกล้ๆ ในละแวกนั้น Where is the nearest supermarket? = Where is the nearest + (place) ? , Is there a doctor’s surgery near here? = Is there a + (place) + near here? , Are there any night clubs in this village? = Are there any + (place) [plural form] + in this village / neighborhood?
2. เมื่อถามว่าไปสถานที่หนึ่งได้อย่างไร How do I get to the post office? , How can we get to the handicraft center? = How do / can I / we get to + place?
3. เมื่อมีประโยคบริบทที่แสดงความเกี่ยข้องกับสถานที่ที่ถามถึง และมีความหมายเป็นเชิงของคำแนะนำได้เช่นกัน I need to buy a new pair of shoes Can you help me? , We want to buy some furniture for this house we’ve rented. Do you know of a good place?
Indirect questions
1. เมื่อถามถึงสถานที่ที่อยู่ใกล้ๆ ในละแวกนั้น Can / Could you tell me / Do you know + where + (a place) + is? ตัวอย่าง Can / Could you tell me where the nearest supermarket is? , Do you know where the nearest Laundromat is?
2. เมื่อถามทิศทางเพื่อที่จะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง Can / Could you tell me how to get to + (a place)? ตัวอย่าง Can / Could you tell me how to get to the Registration Office?
Grammar: Direct questions and indirect questions
Direct

Where

is
(a place)?
Indirect
Do you know
Can / Could you tell me
where
where
(a place)
(a place)
is
is
?
?
Direct questions
               Where ใช้ถามถึงสถานที่ ตามด้วย BE: is สำหรับสถานที่แห่งเดียว และ are เมื่อถามถึงสถานที่ชนิดเดียวกนในหลายๆ แห่ง หรือหลายจุด สถานที่ที่ถามถึงจะตามหลัง BE ตัวอย่าง Where is the post office?
Indirect questions
            ใช้สำนวน Do you know, Can / Could you tell me ขึ้นต้นประโยคที่จะถามที่ตั้งสถานที่ตามด้วย where, สถานที่ และ BE จะอยู่ท้ายประโยค ให้นักศึกษาสังเกตคำแหน่งของสถานที่ และ BE ในประโยคคำถามทั้ง 2 แบบ จะอยู่สลับกับประโยค direct question ข้างต้น ตัวอย่าง Do you know where the post office is?
Vocabulary and Expressions
               ให้นักศึกษาศึกษาคำศัพท์และสำนวนที่ใช้ในการบอกสถานที่ตั้ง และบอกทิศทางที่จะไปยังสถานที่ต่าง ดังต่อไปนี้
Location
1. The Billion Hotel is on/to your right.
2. You can see the (first set of) traffic lights from here.
3. There is a zebra crossing/ pedestrian crossing in front of the gas station.
4. The antique shop is at the junction of Narong Road and Wandee Street. It’s on the left.
5. Star Supermarket is next to the antique shop.
6. Westland Bank is on Dara Street. It’s the second block on your left.
7. The police station is at the end of Thana Road, to the left of the roundabout.
8. The entrance of the park is facing the roundabout.
9. The inter-city bus station is on the corner of Noknoi Street and Banterng Street on your left, just after the traffic lights.
10. The skytrain station is five minutes’ walk from here. It’s on the right of the (traffic) circle. It’s behind Wattana Temple.
11. P&S Restaurant is between Kitty’s gift shop and Star Supermarket.
12. There is a bus stop in front of Westland Bank.
13. The Bangkok Theater is the second building on Noknoi Street, on your left just after the Art Gallery.
               เมื่อต้องบอกที่ตั้งของสถานที่ที่อยู่ในอาคารหายชั้นนักศึกษาต้องพูดถึงที่ตั้งของสถานที่นั้นด้วยการใช้เลขที่บอกลำดับ (ordinal number)
14. The Immigration Office of New Zealand is on the fifteenth floor of A-Thai Building.
15. The food court is on the twelfth floor of CCS Tower.
16. The emergency unit is on the first floor of the front building.
17. The exhibition is on the twentieth floor of this building.
18. The Sales and Marketing Department is on the third floor next to the elevator.
19. The Information desk is on the first floor, to the left of the main entrance of the Administration Building.
20. The ticket booth is on the second floor, across from the games center.
Directions
1. Go / walk / Drive along / up / down Narong Road until you come to the second set of traffic lights.
2. Walk along Ashton Street about half a kilometer, then turn right into Tiera Lane.
3. Make a right just after you get to the Jewelry Department.
4. Walk down this aisle until you come to the mini-bar.
5. Go toward the roundabout until you see the gas station on your left. Make a left and go on two blocks. You’ll see the church on your left.
6. When you see the traffic circle, make a left. You’ll get to Berries Road. Keep going for about ten minutes and you’ll see the harbor.
7. Drive along Bua Road until you come to the second set of traffic lights. Keep going for a few minutes until you see a bridge. Cross the bridge and keep going until you get to a gold shop.
ตอนที่ 7.3 Can We Get There by Train?
1. การวางแผนและการเตรียมการเดินทาง มักเกี่ยวข้องกบการสอบถามรายละเอียดในการเดินทางและการจองยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง
2. การสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง มักใช้ประโยคคำถามที่นำหน้าด้วย wh-question words เช่น How long, How far, How much, How many, What time
3. การถามตอบและพูดถึงการเดินทาง และการจองยานพาหนะในการเดินทางมีคำศัพท์และสำนวนที่ใช้โดยเฉพาะ
คำอธิบาย
            บทสนทนาที่นำเสนอในตอนนี้เป็นบทสนทนาที่เป็นการเตรียมการพาลูกค้าไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ อริน และ Brian ได้หารือกันในเรื่องการติดต่อบริษัทนำเที่ยว เมื่อ Brian ติดต่อบริษัทนำเที่ยวก็ได้สอบถามเรื่องต่างๆ ในการเที่ยวชมสถานที่ในจังหวัดอยุธยา เช่น ระยะเวลาเดินทาง ค่าใช้จ่าย บริษัทนำเที่ยวได้ให้รายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งเพิ่มเติมรายละเอียดที่น่าสนใจ คือ อาหารไทยมือกลางวันริมแม่น้ำ Brian ได้แจ้งว่าจะโทรกลับมาเพื่อยืนยันการจอง
               ทางด้าน Mr. และ Mrs. Adamson ก็ได้ติดต่อบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่งที่โรงแรมที่พัก เพื่อจะไปฟาร์มจระเข้และสวนสามพรามที่จังหวัดนครปฐม โดยทางพนักงานของบริษัทแจ้งว่าจะให้ไปโดยรถลิมูซีน ซึ่งหมายถึงรถเก๋งแบบโอ่อ่า จะมีผู้นำเที่ยว (escort) ไปด้วย และจะมีอาหารกลางวันเป็นอาหารไทยต้นตำรับรวมอยู่ในรายการท่องเที่ยวด้วย Mr. Adamson จึงตกลงและเตรียมจะเดินทางในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ศัพท์และสำนวนที่น่าสนใจในบทสนทนานี้ มีดังต่อไปนี้
               1. annual festival หมายถึง งานประจำปี
               2. we have seats available on our coach หมายถึง เรายังมีที่นั่งว่างในรถเที่ยวนี้
               3. spectacular หมายถึง น่าตื่นตาตื่นใจ, น่าชม
               4. impressed หมายถึง ประทับใจ
               5. confirm หมายถึง ยืนยัน (การจอง)
               6. arrange หมายถึง จัดการ จัดเตรียม
               7. includes หมายถึง มีรวมอยู่ในรายการทัวร์
               8. ruins หมายถึง โบราณสถานที่ปรักหักพัง
               9. missed out on หมายถึง พลาดโอกาส ตามด้วย V -ing เช่น missed out on visiting some famous paces
               10. itinerary หมายถึง รายละเอียดการเดินทาง
               11. indirect question เพื่อถามว่ามีขบวนรถไฟพิเศษไปอยุธยาหรือไม่ Could you tell me if there is a special train to Ayutthaya?
               12. ประโยคคำถามเกี่ยวกับเวลาเริ่มเดินทาง What time does the coach leave Bangkok?
               13. ประโยคคำถามเกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ระยะเวลาการเที่ยวชม How long does the tour take?
               14. ประโยคคำถามเกี่ยวกับราคา ค่าใช้จ่าย How much do you charge?, How much is the tour service for one person?
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
            นักศึกษาควรศึกษาศัพท์และสำนวนประโยคต่างๆ ที่ใช้ในการพูดเกี่ยวกับการเดินทางต่างๆ จากบทสนทนาที่แล้วมา และต้องเข้าใจถึงกลวิธีต่างๆ ที่จะมีส่วนช่วยให้นักศึกษาใข้ภาษาอังกฤษเพื่อสอบถาม พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง อันเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและงานอาชีพ กลวิธีดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
               1. ศึกษาความหมายของคำจากบริบท เมื่อต้องการจำศัพท์และนำไปใช้ก็ควรจำบริบทพร้อมไปด้วย และพยายามนำไปใช้ก็ให้ฝึกเริ่มใช้ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับบริบทที่ได้เรียนมา
               2. พยายามฝึกใช้สำนวนประโยคและคำศัพท์ในสถานการณ์จำลองจากชีวิตจริง เนื่องจากตอนที่ 7.3 นี้เป็นเรื่องการเดินทาง การใช้พาหนะ ดังนั้น นักศึกษาสามารถฝึกถามตอบในชีวิตประจำวันได้ใน เรื่องถามเวลาเดินทาง ถามราคาตั๋ว ถามรายละเอียดของการบริการต่างๆ ถามเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ระยะทาง วิธีการไป เช่น ทางรถยนต์ ทางเครื่องบิน ทางรถไฟ เป็นต้น
               3. นักศึกษาสามารถนำประเด็นต่างๆ ที่ฝึกในข้อ 2 ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ได้ เช่น การเดินทางระยะสั้นๆ ค่าตั๋วโดยสาปรับอากาศจากบ้านไปที่ทำงาน ระยะทางจากที่ทำงานไปที่ทำการไปรษณีย์ การบริการต่างๆ ของโรงแรมหรือบริษัทท่องเที่ยวในท้องถิ่น
               4. นักศึกษาควรจดบันทึกสิ่งที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวันได้ และเมื่อนำมาทบทวนจะเห็นว่า โครงสร้างภาษาต่างๆ จะคงรูปแบบไว้ ที่แตกต่างออกไปจะได้แก่คำศัพท์ ตัวบุคคลที่เราพูดด้วย และข้อมูลที่อยู่ในประโยคคำตอบ เช่น นักศึกษาได้ฝึกประโยคคำถามว่า How long does it take from Silom station to Mah Boon Krong Station? คำตอบคือ It takes 8 minutes. เมื่ออยู่ในสถานการณ์ใหม่ ข้อความที่พิมพ์เข้มจะเปลี่ยนไป แต่รูปแบบ How long does it take from …. to …. ? และ It takes …. จะเหมือนเดิม จากการที่ได้ฝึกฝนในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันซ้ำๆ และจดบันทึกไว้ และจากการที่ได้อ่านสิ่งที่บันทึกไว้ จะทำให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจและจำรูปประโยคและสำนวนต่างๆ ได้ดี
               5. เนื่องจากตอนที่ 7.3 นี้เป็นตอนที่เน้นสำนวนภาษาที่ใช้ในการสนทนา การฝึกสำเนียง จึงเป็นสิ่งสำคัญ การฝึกสำเนียงเริ่มจากการฟังที่ดีและใช้ความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ควรฝึกออกเสียงในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับคำ ระดับประโยค และระดับบทสนทนา นักศึกษาสามารถฝึกออกเสียงจากเทปบทเรียน จากนั้นก็ฝึกออกเสียงจากบทสนทนาที่แต่งเองจากแบบฝึกหัดต่างๆ
Language Functions: Asking for information about a trip
Question
            เราใช้ประโยคต่อไปนี้ถามเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง
ถามระยะเวลาเดินทาง          How long does it take to Phnom Penh?          It takes 2 hours.
ถามจำนวนผู้โดยสาร             How many persons are joining the tour?, How many passengers are there?                There are 16 passengers.
ถามระยะทาง                        How far is it from here to Surawong Road?   It’s 26 kilometers.
ถามราคาตั๋ว/ค่าโดยสาร        How much is the ticket? / How much does a standard cabin cost per person? / What’s the fare?                                                             It’s 420 baht. / It costs 14,420 baht.
เราใช้ประโยคต่อไปนี้ถามเกี่ยวกับเวลาออกจาที่ตั้งต้น และเวลาไปถึงปลายทาง
-         What time/ When does the next train leave/depart?                   It departs at six seventeen.
-         What time / When does the ferry arrive in Rotterdam?              It arrives in Rotterdam at six twenty.
เราใช้ประโยคต่อปนี้ถามเกี่ยวกับรายละเอียดอื่นๆ
-         At what age do the children pay full fare?                    Twelve. It’s half fare for children under twelve.
-         How much is the return fare?                                         The return fare is exactly double.
Grammar
It’s ….. / It takes …. / It costs …..
It’s ใช้บอกถึง ราคาตั๋วหรือค่าโดยสาร ระยะทาง  How much is the first class ticket to Khon Khaen? It’s 250 baht, sir. / How far is it form Rama Station to Don Mueang Station? It’s 16 kilometers.
It takes ใช้บอกระยะเวลาในการเดินทาง How long does it take to get to Don Mueang Station? It takes 40 minutes.
It costs ใช้บอกราคาตั๋วหรือค่าโดยสาร How much does the ticket to Khon Kaen cost? The first class ticket costs 257 baht. The second class ticket costs 185 baht, sir. It costs 300 bah.
Questions with Do, Does, Is, Are
               ประโยคคำถามที่ใช้ Do, Does เป็นประโยคคำถามที่ใช้ใน present simple tense โดย Do, Does หรือ ….do, …. does จะเป็นตัวแสดง tense กริยาแท้ในประโยคจะเป็นรูป infinitive เช่น Does he usually come late? , How much does the ticket cost? , How many seats do they want to book? , Do you have  a bus service to Chiang Mai?
               ประโยคคำถามที่ใช้ Is, Are เป็นประโยคคำถามที่ใช้ใน present simple tense โดย Is, Are หรือ … is, …. are เป็นกริยาแท้ในประโยค
               Is, Are ซึ่งเป็น verb to be นั้น ใช้ในประโยคคำถามเกี่ยวกับลักษณะ ซึ่งอาจจะเป็นรูปของคำนาม คุณศัพท์ หรือวลีก็ได้ หรืออาจใช้ถามเกี่ยวกับจำนวนหรือราคา เช่น Is the air-conditioned compartment full? , Are all the passengers students? , How much is the deposit? , How much is the ticket? , How far is it from here to Bang Nam Priew?, How many places of interest are there in the intinerary?
Vocabulary
            คำและสำนวนเหล่านี้ใช้ในการถามตอบ และพูดถึงการเดินทาง
book / reserve a flight / seat / ticket                               จองเที่ยวบิน, ที่นั่ง, ตั๋ว
depart / leave                      ออกจาก                 arrive / get to                       ไปถึง                      half / full fare               ครึ่งราคา, เต็มราคา
single / return fare             ราคาตั๋วเที่ยวเดียว ราคาตั๋วไปกลับ                      include                  รวมถึง                                                                                       reservation               การจอง
travel agency                   บริษัทเดินทาง                      cost (v.)                   มีราคา                   book in advance                                                                            จองล่วงหน้า
three – hour tour         การท่องเที่ยว 3 ชั่วโมง              one – hour journey                 การเดินทาง 1 ชั่วโมง                                                                                      
ferry                            เรือโดยสารข้ามฟาก                  passenger               ผู้โดยสาร                charge (v.)                                                                                       คิดราคา
arrange for / arrangement     จัดการ เตรียมการ / การจัดการ การเตรียมการ              timetable, schedule                                                                                       ตารางเวลา
departure time           เวลาออก          arrival time       เวลาไปถึง                  platform                 ชานชาลา                                                                                       gate           ประตู
restaurant car             รถเสบียง          special day return            ตั๋วไปกลับในวันเดียว             ticket booth                                                                                       ที่ขายตั๋ว
luggage rack              ชั้นเก็บกระเป๋า สัมภาระ             route          เส้นทาง        crowded           คนเยอะ, คนแน่น                                                                                convenient               สะดวก
uncomfortable             ไม่สะดวกสบาย                         on time      ตรงเวลา                 ticket inspector                                                                                       เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วโดยสาร
catch           ขึ้นพาหนะ เช่น ขึ้นรถโดยสาร ขึ้นรถไฟ ขึ้นเครื่องบิน    by …      (เดินทาง) โดย ...... ตัวอย่าง by train / rapid train / express train , by ferry , by car, by coach, by bus, by taxi



























หน่วยที่ 8 Keeping Up to Date
               1. การติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบันนั้นกระทำได้หลายวิธี โดยผ่านเครื่องมือสื่อสารที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และที่ใช้กันแพร่หลายในยุคปัจจุบันคือ เครื่องคอมพิวเตอร์
               2. การฟังข่าววิทยุ เป็นการฟังจับประเด็นสำคัญของเนื้อหาข่าว เช่น เหตุการณ์อะไร เกิดที่ไหน และมีใครเกี่ยวข้อง เป็นต้น
               3. การอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ควรรู้โครงสร้างการเสนอข่าวว่าประกอบด้วย หัวข่าว (headline) ย่อหน้าแรกซึ่งเป็นการสรุปข่าว (lead) และรายละเอียดของข่าว (news story)
               4. การอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ตควรรู้วิธีการค้นหาและเลือกหัวข้อที่สนใจ
               5. การอ่านข้อมูลที่เสนอในรูปตาราง (table) และเส้นกราฟ (graph) ควรรู้ว่าประกอบด้วยข้อมูล 2 มิติ คือ แนวตั้งและแนวนอน
ตอนที่ 8.1 Radio News
1. การฟังข่าวทางวิทยุไม่จำเป็นต้องฟังได้ทุกคน ควรเลือกฟังคำสำคัญ (key word) ที่บ่งบอกประเด็นหลักของเนื้อหาข่าว
2. การเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น คำกริยาจะอยู่ในรูป present perfect tense
3. การรายงานคำพูดของแหล่งข่าวมักใช้รูปประโยคแบบ reported speech
4. การสรุปประเด็นข่าววิทยุ ทำได้โดยฟังจับคำสำคัญที่บอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไร ที่ไหน เมื่อไร แล้วนำมาเรียงกันเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่อง
คำอธิบาย
               ตอนที่ 8.1 เป็นเรื่องการฟังข่าวจากวิทยุเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าววิทยุที่นักศึกษาได้ฟังเป็นข่าวที่คนทั่วโลกสนใจ คือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดระดับโลกที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก เรียกชื่อว่า Johannesburg Summit เรื่องที่ประชุมเป็นเรื่อที่โลกกำลังให้ความสนใจอย่างยิ่ง คือ sustainable development หรือในภาษาไทยเรียกว่า “การพัฒนาแบบยั่งยืน” ซึ่งเป็นแนวคิดว่าการพัฒนาที่เกิดขึ้นควรรักษาสภาวะแวดล้อมเพื่อให้ดำรงอยู่ต่อไป มิใช่การพัฒนาที่ทำลายสภาพแวดล้อมเดิม รายละเอียดของข่าวกล่าวถึงการกล่าวหาว่าบริษัทธุรกิจระดับนานาชาติมิได้ช่วยเหลือต่อสถานการณ์เลวร้ายในโลก เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น มลภาวะและความยากจน แต่บรรดาผู้บริหารโต้แย้งว่าสามารถทำกำไรทางธุรกิจและช่วยด้านการพัฒนาแบบยั่งยืนได้
               ศัพท์และสำนวนในข่าววิทยุนี้ ได้แก่
               1. summit หมายถึง การประชุมระดับโลกมีความสำคัญอย่างยิ่ง
               2. sustainable development หมายถึง การพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นศัพท์ที่สร้างขึ้นใหม่ตามแนวคิดการพัฒนาแบบใหม่
               3. accusation หมายถึง ข้อกล่าวหา
               4. global warming เป็นปราฏการณ์ที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น
               5. green groups หมายถึง กลุ่มนักอนุรักษณ์ธรรมชาติที่ต่อต้านการทำลายสภาวะแวดล้อม
               6. multinational corporations หมายถึง บริษัทข้ามชาติที่ทำธุรกิจกับหลายประเทศ
               7. business executives หมายถึง ผู้บริหารบริษัทธุรกิจ
               8. make a difference หมายถึง ทำให้เกิดความแตกต่าง
               9. make a profit หมายถึง ทำผลกำไร
               10. promote หมายถึง ส่งเสริม
กลยุทธ์ในการเรียนรู้
Listening Strategies
               การฟังข่าววิทยุไม่จำเป็นต้องฟังทุกคำ ผู้ฟังควรพยายามฟังเฉพาะคำที่เป็นประเด็นสำคัญ (key word) ซึ่งจะบอกให้รู้ว่าข่าวท่ำลังฟังเป็นเรื่องอะไร ประเด็นสำคัญของข่าววิทยุมีดังนี้
What has happened?         อะไรเกิดขึ้น?          Who did it?           ใครทำ?                  Where did it happen?               เกิดที่ไหน?
When did it happen?          เกิดเมื่อไร?
Listening to Radio News
               วิทยุเป็นเครื่องมือสื่อสารที่รู้จักกันดีและใช้กันแพร่หลาย เนื่องจากราคาไม่แพงและเป็นเครื่องมือที่สามารถส่งข่าวสาร ตลอดจนสาระบันเทิงต่างๆ ให้แก่ประชาชนได้แม้จะอยูในดินแดนห่างไกลสังคมเมือง
               นักศึกษาควรฝึกการฟังข่าวทางวิทยุ โดยเริ่มจากการฟังข่าวสั้นๆ ตามรายการเพลงที่เสนอข่าวสั้นในแต่ละชั่วโมง เช่น เวลา 9.00 – 10.00 น. เป็นต้น สถานีที่เสนอข่าวเช่นนี้ เช่น FM 95.5ม FM 105.5, FM 107 เป็นต้น หากต้องการฟังข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทย และเป็นข่าวที่ค่อนข้างยาวก็ควรฟัง Radio Thailand ซึ่งเสนอข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ในเวลา 8.00 น. 12.00 น. และ 20.00 น.
               ข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทยจะฟังง่ายกว่าข่าวต่างประเทศเพราะนักศึกษารู้เรื่องราวของข่าวอยู่แล้ว ดังนั้นการเริ่มฝึกฟัง Radio Thailand จะง่ายกว่า และเป็นรายการที่เป็นการอ่านข่าวจึงฟังได้ง่ายกว่าบางรายการที่มีลักษณะเป็นการพูดคุย
Describing recent events
               ข่าววิทยุมักจะเป็นการรายงานเกตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้นจึงใช้ present perfect tense หรือ present perfect continuous tense ซึ่งเป็น tense ที่บ่งชี้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ หรือยังคงมีผลต่อเนื่องมาถึงเวลาปัจจุบัน ตัวอย่างจากข่าววิทยุที่ได้ฟังมีดังนี้
- The heads of some of the World’s biggest companies have been meeting political leaders at the Johannesburg summit on sustainable development.
- They’ve taken the opportunity of a business day to respond to accusations.
Reporting a speech
               การรายงานข่าว คือ การฟังคำพูดของแหล่งข่าวมารายงานให้ผู้ฟังทราบ จึงจำเป็นต้องใช้โครงสร้างภาษที่เรียกว่า reported speech ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (1) ส่วนที่กล่าวถึงผู้พูด และ (2) ส่วนที่เป็นรายงานคำพูด ตัวอย่างข่าวจากวิทยุ เช่น
- Green groups say (1)  that multinational corporations are the enemies of the environment (2).
- The business executives say (1) that they can make a difference (2).
- Charles Halladay says (1) firms can make a profit and still promote sustainable development (2).
               ส่วนที่ (1) ประกอบด้วย ผู้พูด และ คำกริยา เช่น say, report, mention เป็นต้น ส่วนที่ (2) เป็นรูปอนุประโยคย่อย (clause) และมีตัวเชื่อมคือ that ซึ่งบางครั้งสามารถละในฐานที่เข้าใจได้
Grammar: Infinitive phase
               ประโยคในภาษาอังกฤษจะมีกริยาที่ผันตามกาลได้คือกริยาหลัก (finite verb) ส่วนกริยารองจะอยู่ในรูปอื่นๆ (non-finite verb) ในข่าววิทยุนี้เราจะพบอยู่ในรูป infinite หรือ to + verb ซึ่งมีความหมายว่า เป็นกริยาที่จะทำต่อไป ตัวอย่างเช่น
- They’ve taken the opportunity to respond to accusations. พวกเขาฉวยโอกาสเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหา
- They’re not doing enough to combat global warming. พวกเขายังทำไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น
ตอนที่ 8.2 Newspaper News
1. การอ่านหัวข่าว (headline) ในหนังสือพิมพ์ ทำให้จับประเด็นหลักได้ว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องอะไร
2. องค์ประกอบของข่าวคือ lead paragraph และ news story
3. การอ่านย่อหน้าแรกของข่าว (lead paragraph) จะทำให้ทราบเรื่องย่อของข่าวนั้น
4. การเล่าเหตุการณ์ คำกริยาที่ใช้จะอยู่ใน tense ที่บ่งบอกเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น present tense ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต
5. คำขยายคำนาม (noun modifiers) มีหลายรูปแบบ เพื่อให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำนามหลัก (head noun)
คำอธิบาย
            ตอนที่ 8.2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการรายงานเหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ข่าวที่กรอ่านจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ประจำวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เป็นข่าวที่น่าสนใจเรื่องการเสนอตั้งวิทยาลัยแรงงาน (Labor College) เพื่อฝึกผู้ที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อเสนอของรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน วิทยาลัยแรงงานนี้จะเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และรับประกันการด้านที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน หากผู้เรียนหางานไม่ได้จะได้รับเงินคืน 5,000 บาท และทางวิทยาลัยจะหางานในประเทศให้ ผู้เรียนจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียน 5,000 บาท สำหรับการฝึกฝน 120 ชั่วโมง ตัวอย่างวิชาที่ฝึก เช่น การทำการข้าว การดูแลเด็กหรือผู้สูงวัย และการดูแลผู้ป่วย การจัดตั้งวิทยาลัยแรงงานนี้ส่งเสริมการทำงานต่างประเทศและช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้หางานทำ เพราะไม่ต้องจ่ายให้แก่พวกนายหน้าจัดหาแรงงาน (job brokers)
               คำศัพท์และสำนวนในข่าวได้แก่
               1. job training หมายถึง การฝึกสำหรับการทำงาน
               2. non-profit organization หมายถึง องค์กรที่ดำเนินการโดยไม่มุ่งหวังกำไร
               3. net monthly incomes หมายถึง รายได้สุทธิประจำเดือน
               4. guarantee (v.) หมายถึง รับประกัน
               5. participant (n.) หมายถึง ผู้ที่เข้ารับการฝึก
               6. be charged หมายถึง จะต้องจ่ายเงิน
               7. under supervision หมายถึง อยู่ภายใต้การดูแล
               8. promote (v.) หมายถึง ส่งเสริม
               9. overseas employment หมายถึง การทำงานในต่างประเทศ
               10. costs (n.) หมายถึง ค่าใช้จ่ายต่างๆ
               11. eliminate (v.) ในที่นี้หมายถึง กำจัด
               12. brokers (n.) หมายถึง นายหน้า
               13. job seekers หมายถึง พวกหางานทำ
               14. training fees หมายถึง ค่าธรรมเนียมฝึกอบรม
               15. revolving fund หมายถึง กองทุนหมุนเวียน
Reading News Strategies
               สิ่งแรกที่พบในการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ คือ หัวข่าว (headline) หัวข่าวดึงดูดความสนใจของผู้อ่านและบอกว่าข่าวนี้เป็นเรื่องอะไร ดังนั้นการอ่านหัวข่าวยทำให้ผู้อ่านเดาเรื่องของข่าวได้ ตัวอย่างจากข่าวใน Presentation
Headline: College to offer cheap job training              Predicted Subject: college
               ต่อมาผู้อ่านจะพบกับ เนื้อหาข่าว (news story) ซึ่งเสนอรายละเอียดของข่าว ย่อหน้าแรกของข่าวเรียกว่า lead เป็นย่อหน้าที่สรุปประเด็นหลักของข่าว ส่วนที่เหลือจะรายงานรายละเอียดของข่าว
               จากย่อหน้าแรกของข่าวตัวอย่าง สรุปได้ว่าข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสนอตั้งวิทยาลัยแรงงาน ซึ่งจะจัดการฝึกหัดให้แก่ผู้ที่ต้องการทำงานต่างประเทศ และย่อหน้าถัดไปอีก 8 ย่อหน้ากล่าวถึงรายละเอียดของเรื่องนี้
Reading Newspaper News
            การอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ทำให้ทราบข้อมูลปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศหรือเกิดขึ้นที่ใดในโลก หนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพงนัก นักศึกษาควรฝึกอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเป็นประจำ เพื่อฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาที่ใช้ในหนังสือพิมพ์เป็นตัวอย่างของภาษาที่ใช้ในปัจจุบัน วิธีช่วยในการอ่านข่าวให้เข้าใจนั้น นักศึกษาควรเริ่มด้วยการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ภาษาไทย เพื่อให้รู้เรื่องราวของข่าว แล้วจึงอ่านข่าวเรื่องเดียวกันในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ วิธีนี้จะช่วยให้อ่านเข้าใจข่าวได้ดี การอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ นอกจากเป็นการฝึกการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว นักศึกษาจะได้ทราบข้อมูลข่าวสารปัจจุบันตลอดจนความบันเทิงต่างๆ ด้วย
Noun modifiers
            ข่าวในหนังสือพิมพ์มักมีคำนามที่มีคำขยายหลายคำ ซึ่งอยู่ในรูปที่ลดมาจาก clause เพื่อประหยัดเนื้อที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นผู้อ่านจึงต้องเข้าใจลักษณะการขยายคำนามเพื่อเข้าใจข่าวที่อ่าน
1. คำขยายที่อยู่ข้างหน้าคำนาม (pre – noun modifiers) ตัวอย่าง
               1) a proposed labor college              Noun: college       Modifier: proposed labor   ลดรูปมาจาก: a college which is for labor and which is proposed
               2) the 120 – hour training courses  Noun: courses      Modifier: 120 – hour training ลดรูปมาจาก: the courses which are for training and which run for 120 hours
2. คำขยายที่อยู่หลังคำนาม (post – noun modifiers)
               1) college to offer cheap training     Noun: college       Modifier: to offer cheap training ลดรูปมาจาก: a college which will offer cheap training
               2) training for people seeking employment overseas  Noun: training       Modifier: for people seeking employment overseas
ลดรูปมาจาก: training which is for people seeking employment overseas
               3) costs for job seekers      Noun: costs          Modifier: for job seekers    ลดรูปมาจาก: costs which are for job seekers
               4) worker shipped to Hong Kong     Noun: worker        Modifier: shipped to Hong Kong      ลดรูปมาจาก: worker who is shipped to Hong Kong
Tenses to report events
            ในภาษาอังกฤษใช้ tense เป็นเครื่องบอกว่ากริยานั้นเกิดขึ้นเมื่อไร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1. Present Tense บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น We guarantee for the participants. , We can eliminate brokers.
2. Past Tense บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น Mr. Dej was speaking after meeting Jaturon. , Job brokers collected more than 10,000 baht from each worker.
3. Future Tense บอกเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต เช่น We will pay them 5,000 baht. , They won’t have to pay anything.
ตอนที่ 8.3 On-line News
1. การอ่านข่าวธุรกิจจากอินเทอร์เน็ต ต้องรู้วิธีค้นหาและเลือกหัวข้อที่ตนสนใจ
2. ตาราง (table) และเส้นกราฟ (graph) คือการแสดงข้อมูลสถิติตัวเลข ผู้อ่านจึงต้องเข้าใจวิธีการแสดงข้อมูลด้วยรูปแบบดังกล่าวนี้ ซึ่งแสดงข้อมูล 2 มิติ คือ แนวตั้งและแนวนอน
3. การใช้ passive voice คือรูปของกริยาที่ประกอบด้วย BE + V -ed เป็นรูปแบบภาษาที่ใช้เมื่อไม่ต้องการกล่าวถึงผู้กระทำกริยา
คำอธิบาย
               ตอนที่ 8.3 เป็นการอ่านข่าวจากเครื่องคอมพิวเตอร์ นักศึกษาสามารถใช้คอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรม web browser ซึ่งจะมี websites หลายประเภทที่เสนอข่าวประเภทต่างๆ ข่าวตัวอย่างนี้เป็นข่าวธุรกิจ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลก เป็นรายงานข่าวจาก OECD (The Organization for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวมประเทศพัฒนาทางเศรษฐกิจ 30 ประเทศ
               รายงานนี้นำเสนอว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าถ้าไม่ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นความมั่นใจในกลุ่ม ลูกค้า ธุรกิจ และตลาดหุ้น
               รายงานข่าวพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าและยังคงอ่อนแออยู่สำหรับปีหน้า แม้ว่าในปี 2004 ทุกภูมิภาคจะมีเศรษฐกิจดีขึ้น
               ในปี 2004 เศรษฐกิจจะเติบโตในอัตรา 4% ปี 2002 1.5% และ ปี 2003 2.2%
ศัพท์และสำนวนในข่าวที่อ่าน
               1. economy (n.) หมายถึง เศรษฐกิจ หรือ สภาวะทางการเงินของแต่ละประเทศ
               2. interest rates หมายถึง อัตราดอกเบี้ย
               3. to boost confidence หมายถึง เพิ่มหรือส่งเสริมความมั่นใจ
               4. incorporate (v.) หมายถึง รวมเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน
               5. sluggish (Adj.) หมายถึง ช้าผิดปกติ
               6. materialize (v.) หมายถึง เกิดขึ้น
กลยุทธ์ในการเรียน
Reading Tables and Graphs
            การอ่านข่าวด้านธุรกิจนั้นจะพบการนำเสนอข้อมูลด้วยตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ ซึ่งเป็นลักษณะการเสนอข้อมูลโดยสรุป ผู้อ่านจะเข้าใจเนื้อหาได้จากภาพที่แสดงข้อมูล ในตัวอย่างใน Presentation เป็นการเสนอข้อมูลด้วยกราฟเส้นตรงเพื่อแสดงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ วิธีอ่านคือ ดูแนวนอนและแนวตั้ง เส้นแนวนอนบอกถึงปี ค.ศ. 2002, 2003, 2004 เส้นแนวตั้งบอกอัตราการเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ เริ่มที่ -1 ไปจนถึง 5 เปอร์เซ็นต์ เส้นกราฟมีทั้งหมด 4 เส้น (1) แสดงอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา (2) เศรษฐกิจโลก (3) เศรษฐกิจแถบยุโรป (4) เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น
               เส้นกราฟทั้ง 4 เส้น แสดงว่าปี 2002 – 2003 เศรษฐกิจทั้งโลกดีขึ้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปี 2003 เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนของประเทศญี่ปุ่นจะเติบโตคงที่ โดยสรุปในปี 2004 เศรษฐกิจเติบโตในอัตรา 4% ส่วนปี 2002 เติบโตโดยเฉลี่ย 1.5% และ 2.2% ในปี 2003
Language Function: Describing a graph and a table
            กราฟ (graph) คือ เส้นที่แสดงการเพิ่ม - ลดของจำนวน ดังนั้นการบรรยายข้อมูลที่แสดงดวยกราฟจึงเป็นการบรรยายลักษณะของเส้นกราฟ
               ลักษณะที่เพิ่มขึ้นในคำนาม เช่น increase, rise, growth และคำกริยา เช่น increase, rise, grow
               ลักษณะที่ลดลงใช้คำนาม เช่น decrease, fall, decline และคำกริยา เช่น decrease, fall, decline
               ส่วนตาราง (table) คือ การแสดงการเปรียบเทียบข้อมูล การบรรยายข้อมูลในตารางจึงเป็นลักษณะการเปรียบเทียบจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่า
               ลักษณะที่มากกว่า ใช้คำคุณศัพท์ เช่น higher, more         ลักษณะที่น้อยกว่า ใช้คำคุณศัพท์ เช่น lower, less
Grammar: Passive voice
               โครงสร้างประโยคปกติจะประกอบด้วย ประธาน (subject) ซึ่งเป็นผู้กระทำกริยา กับ ภาคแสดง (predicate) ซึ่งบอกถึงกริยาที่ประธานทำ และ/หรือผู้ที่ได้รับการกระทำนั้น (object) เช่น
               Subject                                                  Predicate
               OECD                                                 reports the world economic growth.
The economic growth rate                               boosts investor’s confidence.
               เมื่อไม่ต้องการกล่าวถึงประธานผู้กระทำกริยา จะใช้ passive voice แทนโครงสร้างปกติโดยกลับเอา object ของประโยคมาอยู่ในตำแหน่ง subject ส่วนกริยาจะอยู่ในรูป BE + V -ed และประธานของประโยคกลับมาเป็นกรรมตามหลังบุพบท by เช่น The world economic growth is reported by OECD., Investor’s confidence is boosted by the economic growth rate.
กริยา passive voice มีรูปแบบตาม tense ต่างๆ ดังนี้
Present tense: is / are + V -ed          The economic growth is predicted to remain weak.
Past tense: was / were + V -ed        The sales were announced.
Future tense: will be + V -ed            His business will be closed down next year.
Perfect tense: has / have been + V -ed          The economic recovery has been expected for many years.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น