วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า มีดพิษนิกายอสูร

 

มีดพิษนิกายอสูร

ในกระแสเสียงที่สดใสไพเราะ มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวในหมอกราววิญญาณ ถึงกับเป็นทิโกว

          อุ้ยเทียนพ้งงุนงงวูบจึงโพล่งขึ้น

          “เมื่อครู่เป็นท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้า?”

          ทิโกวผงกศีรษะ อุ้ยเทียนพ้งถามอีก

          “ที่เรียกให้มันมาฆ่าข้าพเจ้าก็เป็นท่าน?”

          ทิโกวผงกศีรษะอีก

          มีแต่คนถูกนางใช้วิชาสะกดจิตบงการ จึงกระทำเรื่องเช่นนี้มาได้

          อุ้ยเทียนพ้งถามอีก

          “ในเมื่อท่านสั่งมันมาฆ่าข้าพเจ้า ไฉนยังจะมาช่วยข้าพเจ้าไว้?”

          ใบหน้าที่ซีดขาวของทิโกวมีความรู้สึกสุดจะบรรยายได้ มิว่าผู้ใดก็คาดคิดไม่ออก ในใจนางกำลังคิดเรื่องอันใด? ยิ่งเดาไม่ออก นางไฉนต้องกระทำดั่งนี้?

          แต่ยามเมื่อนางมองอุ้ยเทียนพ้ง ดวงตากลับมีน้ำใจไมตรีอันลึกซึ้งอย่างยิ่ง

          นางความจริงยากที่จะมีจิตใจหวั่นไหวได้ ยากจะมีน้ำใจก่อเกิดขึ้นได้

          นางไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวมาเนิ่นนานแล้ว

          อุ้ยเทียนพ้งก็จ้องมองนาง ดวงตาปรากฏความรู้สึกที่บ่งบอกมิถูกเช่นกัน พลันถามขึ้น

          “ท่าน... เป็นบุตรของนาง?”

          ทิโกวผงกศีรษะ

          อุ้ยเทียนพ้งถอยไปสองก้าว ร้องโพล่งขึ้น

          “อย่างนั้น ท่าน... หรือท่าน... ก็เป็นบุตรีเรา...”

          วาจาพลันชะงักลงกลางคัน คล้ายดั่งมิกล้ากล่าวสืบไป

          ทิโกวถึงกับไม่ปฏิเสธ ประกายตากลับกลายเป็นโศกเศร้ารันทดอย่างยิ่งอีกครา กล่าวขึ้นเบาๆ

          “ในชั่วชีวิตนาง มีท่านเป็นบุรุษเพียงผู้เดีย”"

          อุ้ยเทียนพ้งถอยหลังอีกสองก้าว ร่างพลันสั่นระริกอีกครา

          ในชั่วชีวิตน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ ถึงกับมีมันเป็นบุรุษ (สามี) เพียงผู้เดียว? !

          อุ้ยเทียนพ้งมิทราบเป็นตื้นตัน แตกตื่นสงสัยหรือเป็นโศกเศร้ารันทดแน่?

          ดวงตาทิโกวคล้ายมีหยาดน้ำเอ่อคลอ กล่าวต่อไป

          “ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจเห็นท่านตายต่อหน้า”

          นางย่อมไม่อาจ

          ในโลก ต้องไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด ยินยอมเห็นบิดามารดาของตนมาตายในมีดผู้อื่นต่อหน้า

          “หรือนางถึงกับเป็นบุตรีที่เราให้กำเนิดจริงๆ?

          อุ้ยเทียนพ้งแทบมิกล้าเชื่อ แต่ก็มิอาจไม่เชื่อ

          ความเสียใจที่สุดในชั่วชีวิตมันคือไม่มีบุตรธิดา มิคาดในวัยชราคล้ายไม้ใกล้ฝั่งถึงกับได้ธิดามาโดยไม่คาดหมายนางหนึ่ง

          ธิดาที่สวยสะคราญปานนี้ มีคุณค่าพึงให้หยิ่งภาคภูมิปานนี้!

          มันจ้องดูนาง ดวงตาก็มีหยาดน้ำเอ่อคลอขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลืมโดยสิ้นเชิง ที่เมื่อครู่มันยังคิดจะเรียกคนไปสังหารนาง

          โลหิตข้นกว่าน้ำ!

          กระทั่งสัตว์ป่ายังมีความรักในสายเลือด อย่าว่าแต่มนุษย์

          อุ้ยเทียนพ้งยื่นมือสั่นระริกออกไป คล้ายคิดจะลูบคลำทรงผมของนาง ลูบคลำใบหน้านาง

          แต่มันก็ยังไม่กล้า

          ขณะเวลานั้นเอง พลันมีคนโถมเข้ามาจากทางนอกป่า มองทั้งสองด้วยความตระหนก

          ซิมโกวก็มาแล้ว

          ทิโกวถอนใจยาวกล่าวขึ้น

          “ท่านไม่ควรมา”

          ซิมโกวขบริมฝีปากย่างแรง ส่งเสียงดังๆ

          “ข้าพเจ้าไฉนไม่ควรมา.... ในเมื่อมันเป็นบิดาท่าน ก็เป็นโจ้วแป๋ (ปู่หรือตา) ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไฉนไม่อาจมาดูมัน?”

          อุ้ยเทียนพ้งตะลึงลานอีกครา!

          ที่แท้มันมิเพียงมีบุตรเท่านั้น ยังมีหลานอีด้วย มันรู้สึกเลือดลมทั้งร่างพลุ่งพล่านเดือดดาล แทบจะกระตุ้นมันจนต้องแผดร้องโดยมิอาจข่มบังคับ

          มิคาด ขณะเวลานั้นเอง ซิมโกวพลันหันร่างลงมือจี้เข้าใส่จุดทรวงอกมันถึงเจ็ดแห่ง ด้วยความเร็วปานประกายไฟ

          ความจริงฮั่นเจ็งยืนดูอยู่ที่ด้านข้างตลอดเวลา เมื่อพบกับเรื่องเช่นนี้ ตัวมันก็ได้แต่ยืนดูอยู่เท่านั้น

          ตอนเห็นซิมโกวลงมือ คิดจะช่วยเหลือก็สายเกินไปแล้ว มิคาด ซิมโกวถึงกับประคองอุ้ยเทียนพ้งไม่ให้ล้มลง แล้วกล่าว

          บนมีดมีรอยโลหิตแล้ว คิดว่ามันจะต้องถูกพิษแน่ ท่านรีบอุ้มมันตามข้าพเจ้ามา”

          ที่แท้นางลงมือเพราะต้องการช่วยชีวิตคน

          ฮั่นเจ็งถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องที่มันเห็นและได้ยินในวันนี้ มันทราบ ชั่วชีวิตของมัน ไม่มีวันลืมเลือนได้ตลอดกาล

          ในชั่วชีวิตมัน ไม่เคยพบเห็นเรื่องที่ประหลาดพิกล ลี้ลับพิสดารถึงปานนี้มาก่อนเลย

-------------------------------

          หน้าแท่นพระพุทธรูป มีอาสนะอยู่หลายใบ ในอาสนะใบกลาง มีดรุณีเกล้าผมทรงสูงอาภรณ์แพร คล้ายดั่งงามอย่างยิ่ง นางหลุมคิ้วพริ้มตา ขัดสมาธิอยู่ในที่นั้น ดุจดั่งเป็นหลวงจีนวิปัสสนาก็ปาน

          คนมากหลายปานนี้เดินผ่านเข้าไป นางถึงกับไม่แยแสสนใจ คล้ายมิได้เห็นเลยก็ปาน

          แต่ฮั่นเจ็งอดมิได้ต้องหยุดมองดูนาง

          มีดรุณีโฉมสะคราญมาอยู่ทางเบื้องหน้า หากกระทั่งยังไม่หยุดมองสักแวบหนึ่ง คนผู้นั้นต้องมิใช่บุรุษ

          ฮั่นเจ็งย่อมเป็นบุรุษ

          เมื่อมองแวบเดียว อดมิได้ต้องมองเพิ่มอีกสองสามครั้ง พลันพบเห็น ดรุณีนางนี้คล้ายกับคนผู้หนึ่งอย่างยิ่ง

          คล้ายเต็งลิ้ง!

          ฮวงนึ้งกุนที่อาละวาดในวงพวกนักเลงอย่างโอ่อ่า ไฉนพลันกลับกลายเป็นสตรีได้? !

          ฮั่นเจ็งย้อมไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ แต่ยิ่งดูยิ่งคล้าย ดรุณีนางนี้แม้มิใช่เป็นตัวเต็งลิ้งเอง ก็ต้องเป็นเจ๊ม่วยเต็งลิ้งเด็ดขาด

          แล้วเต็งลิ้งเล่า?

          หากมันถูกทิโกวฆ่า เจ๊ม่วยของมันไฉนมาสงบใจนั่งในที่นี้ได้?

          ฮั่นเจ็งมิใช่คนกระตือรือร้นสนใจเรื่องของผู้อื่น และมิใคร่พอใจไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระด้วย

          แต่บัดนี้ มันต้องรู้สึกประหลาดอย่างยิ่ง... แต่ละคน จะมากจะน้อย ก็ยากจะไม่มีความรู้สึกประหลาดสงสัยเกิดขึ้นได้

          ฮั่นเจ็งอย่างไรยังคงเป็นมนุษย์อยู่

          ทิโกวกับซิมโกว กำลังรักษาอาการของอุ้ยเทียนพ้ง คล้ายมิได้สนใจถึงมัน

          ฮั่นเจ็งอดมิได้ต้องเดินเบาๆ เข้าไป เรียกเบาๆ

          “เต็งลิ้ง”

          ดรุณีอาภรณ์แพรพรรณ เงยหน้ามองมันแวบหนึ่ง คล้ายดั่งมิเคยรู้จักมันเป็นผู้ใดมาเลยก็ปาน สั่นศีรษะตอบ

          “ข้าพเจ้ามิใช่เต็งลิ้ง”

          “ท่านเป็นผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้าคือเต็งฮุ้นลิ้ม”

          “เต็งฮุ้นลิ้ม?”

          นามนี้ฮั่นเจ็งเคยได้ยินมา... เต็งฮุ้นลิ้ม ไยมิใช่เป็นคนรักของเอี๊ยบไค?

          นางไฉนมีเค้าหน้าคล้ายคลึงกับเต็งลิ้งดั่งเป็นพิมพ์เดียวกัน? นางมีความสัมพันธ์ใดกับเต็งลิ้ง?

          ดรุณีอาภรณ์แพรพริ้มตาลงอีกครั้ง กระทั่งยังมิยอมเหลือบมองฮั่นเจ็งอีก

          แต่ทิโกวกลับจับตามองมัน

          ฮั่นเจ็งพอเหลียวหน้า ก็ประสานสายตาทิโกว

          ประกายตาที่ยังคมกล้ากว่าอาวุธ!

          ฮั่นเจ็งฝืนยิ้มกล่าว

          “คิดว่าท่านผู้เฒ่าคงรอดพ้นอันตรายแล้ว?”

          ทิโกวผงศีรษะ พลันถามขึ้น

          “ท่านว่านางเป็นเต็งลิ้ง? หรือเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม?”

          “ข้าพเจ้าดูไม่ออก”

          นี่กลับมิใช่เป็นคำบ่ายเบี่ยงแก้ตัว ฮั่นเจ็งดูไม่ออกจริงๆ

          ทิโกวกล่าว

          “ท่านสมควรดูออก มิว่าผู้ใดต่างสมควรดูออก นางเป็นสตรี”

          “นางตอนนี้เป็นสตรีจริงๆ”

          “หรือก่อนนี้มิใช่?”

          ฮั่นเจ็งหัวร่อตอบ

          “ข้าพเจ้าเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เต็งลิ้งไฉนพลันหายสาบสูญไปได้?”

          “ท่านกังวลสนใจมันยิ่ง?”

          ฮั่นเจ็งลูบจมูกที่ถูกต่อยเบี้ยวเบาๆ พลางกล่าว

          “มันต่อยจมูกข้าพเจ้าจนเบี้ยวไป”

          “ท่านคิดแก้แค้น?”

          “ไม่มีผู้ใดสามารถต่อยจมูกข้าพเจ้าเบี้ยวแล้วสะบัดหน้าผละไปโดยไม่มีเรื่องราวได้”

          “มันไม่อาจตายไปได้?”

          “มันต้องเป็นคนไม่ตายโดยเร็วปานนั้น”

          “แต่มันพลาตายไปแล้ว”

          “ท่านหมายความเต็งลิ้งตายแล้ว?”

          “ใช่”

          “แต่เต็งฮุ้นลิ้มยังมีชีวิตอยู่?”

          ทิโกวเขม้นมองหน้ามันแน่วนิ่ง อีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

          “ท่านดูออกแล้ว?”

          ฮั่นเจ็งแย้มยิ้มอีกครา

          “ข้าพเจ้าดูไม่ออก แต่ข้าพเจ้าเดาออก”

          “ท่านเดาเรื่องกระไรออก?”

          “เอี๊ยบไคแม้เป็นคนปราดเปรื่องหลักแหลมยิ่ง กับคนรักที่มอบหัวใจในกันและกัน ย่อมไม่มีความระมัดระวัง”

          “กล่าวประเสริฐ”

          “หากในโลกนี้ มีเพียงผู้เดียที่สามารถลอบประทุษเอี๊ยบไค ชิงเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนออกจากมือเอี๊ยบไคมาได้ คนผู้นั้นก็คือเต็งฮุ้นลิ้ม”

          “กล่าวได้ถูกต้อง”

          “แต่เสียดายที่เต็งฮุ้นลิ้มย่อมไม่ยอมไปลอบประทุษเอี๊ยบไค ดังนั้น...”

          “ดังนั้นเป็นไร?”

          “หากแม้นมีคนที่เค้าคล้ายคลึงเต็งฮุ้นลิ้มอย่างยิ่ง พอจะปลอมตัวเป็นเต็งฮุ้นลิ้มได้ อย่างนั้นมันไยมิใช่เป็นอาวุธที่รับมือเอี๊ยบไคได้ประเสริฐสุด”

          “หากคนผู้นั้นเป็นบุรุษ?”

          “มิว่ามันเป็นบุรุณหรือสตรีต่างมิเป็นไร”

          “อ้อ?”

          “ฟังว่าน่ำไฮ้เนี่ยจื้อมิเพียงมีวิชาปลอมแปลงโฉมเป็นเลิศในแดนดินเท่านั้น ยังมีวิธีควบคุมกล้ามเนื้อในหลอดคอของผู้คน บังคับให้เสียงขอมันแปรเปลี่ยนไป”   

          “เรื่องที่ท่านทราบกลับมีไม่น้อย”

          “หากคนผู้นั้นยังไม่ยอมอยู่ในโอวาท ก็มิเป็นที่สำคัญ เนื่องเพราะน่ำไฮ้ยังมีวิชาโกวฮุ้นไต้ฮวบ (คร่าวิญญาณ) บังคับให้คนผู้นั้นสยบอยู่ได้”

          ทิโกวมองมันเป็นครึ่งวัน จึงกล่าวช้าๆ

          “ฟังว่าชนชาวนักเลงต่างเรียกท่านเป็นจุยจื้อ (สว่าน) ?”

          “มิกล้า”

          “ฟังว่าต่อให้ผู้อื่นมีเปลือกที่แข็งปานใด ท่านต่างสามารถทะลวงมันเป็นโพรงได้?”

          “นั่นเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น”

          “แต่ทว่าคำเล่าลือนั้น ดูไปคล้ายไม่ผิดความจริง”

          “ข้าพเจ้าแม้ยังพอมีชื่อยู่บ้าง แต่ก็เป็นอุ้ยโป้ยเอี๊ยกรุณาอบรมสั่งสอนมา

          ทิโกวแค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านไม่ต้องเตือนสติเรา เราดูออกแต่แรกว่าท่านเป็นคนสนิทที่สุดของมัน”

          ฮั่นเจ็งระบายลมจากปากอย่างโล่งอกแล้วตอบ

          “ขอเพียงฮูหยินเข้าใจประการนี้ ข้าพเจ้าก็วางใจได้แล้ว”

          “ในเมื่อเรายอมให้ท่านมาที่นี้ ย่อมไม่มีความคิดจะปิดบังท่าน”

          “ขอบพระคุณ”

          “บัดนี้ท่านเข้าใจเรื่องราวนี้กระจ่างโดยสิ้นเชิงแล้วหรือไม่?”

          “ยังมิเข้าใจอยู่เล็กน้อย”

          “บอกมา”

          “หรือฮูหยินคำนวณได้ก่อนว่า เต็งลิ้งจะมาที่นี้?”

          “ใช่ ดังนั้นเราจึงเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว รอคอยมันมาติดกับในที่นี้”

          “แต่ฮูหยินไฉนจึงทราบมันต้องมาแน่?”

          “มีคนบอกกับเรา”

          “ผู้นั้นเป็นใคร?”

          “สหายคนหนึ่ง”

          “เป็นสหายของเต็งลิ้ง? หรือสหายของฮูหยิน?”

          “หากมิใช่สหายเต็งลิ้ง ไหนเลยจะทราบความเคลื่อนไหวของมัน?”

          ฮั่นเจ็งถอนใจกล่าว

          “มีบางครั้ง สหายนับว่ายังน่ากลัวกว่าศัตรูจริงๆ”

          หยุดเล็กน้อยแล้วถามอีก

          “ก่อนนี้ฮูหยินเคยเห็นเต็งฮุ้นลิ้มหรือไม่?”

          “ไม่เคย”

          “อย่างนั้น ฮูหยินไฉนจึงทราบ มันมีเค้าคล้ายกับเต็งฮุ้นลิ้มอย่างยิ่ง?”

          “ฟังว่าพวกมัยเป็นเฮียม่วยฝาแฝด”

          “อ้อ?”

          “ประเพณีของทางด้านพวกมัน หากฝาแฝดที่กำเนิดมาหนึ่งเป็นบุรุษหนึ่งสตรี ต้องส่งหนึ่งในจำนวนนั้นไปเลี้ยงทางภายนอก”

          “ประเพณี ทางพวกเราก็มี”

          “ดังนั้น วงพวกนักเลงจึงมีคนมากหลายที่ยังไม่ทราบเต็งลิ้งก็เป็นทายาทของตระกูลเต็ง”

          “แล้วฮูหยินทราบอย่างไร?”

          “เป็นสหายผู้หนึ่งบอกกับเรา”

          “ยังคงเป็นสหายที่ว่าเมื่อครู่?”

          “ถูกแล้ว”

          ฮั่นเจ็งผงกศีรษะกล่าว

          “ในเมื่อเป็นสหายรักของเต็งลิ้ง ย่อมทราบเรื่องราวที่ผู้อื่นไม่ทราบมากหลาย”

          “ท่านมีความต้องการทราบ คนผู้นั้นเป็นใครอย่างยิ่ง?”

          “ใช่แล้ว”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่คิดจะคบกับมันเป็นมิตรสหาย”

          ดวงตาของทิโกวมีประกายขึ้นวูบ กล่าวช้าๆ

          “ท่านเป็นคนที่เปรื่องปราดจนหลักแหลมยิ่ง”

          “และยังเป็นสว่านด้วย”

          “ใช่ เป็นสว่านที่มีนัยน์ตา”

          “มาตรว่าจมูกถูกต่อยเบี้ยวไป แต่ดีที่ยังปราดเปรียวยิ่ง”

          “ดังนั้นหากท่านยินยอมเป็นผู้แทนเรา ไปดูในสถานที่แห่งหนึ่ง นั่นย่อมประเสริฐเลิศสุดแล้ว”

          “โปรดสั่งมา”

          “ท่านยอมไป?”

          “แม้นับว่าฮูหยินต้องการ ให้ข้าพเจ้าบุกน้ำลุยไฟ ข้าพเจ้ายังคงไปเช่นกัน”

          ทิโกวถอนใจกล่าว

          “มิน่าเล่า อุ้ยโป้ยเอี๊ยจึงเชื่อถือท่าน ดูท่าท่านเป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจเพียงพอจริงๆ”

          “มีวาสนาได้รับคำยกย่องจากฮูหยิน ฮั่นเจ็งแม้ตายก็ไม่เศร้าเสียดาย”

          ทิโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “เราไม่มีความต้องการให้ท่านไปตาย เพียงต้องการให้ท่านไปเพียวเฮียงอี้”

          “ไปดูความเคลื่อนไหวของเอี๊ยบไค?”

          “และก็ถือโอกาส ดูโฉมสะคราญเติบใหญ่ ที่มีวันเพียงเจ็ดปีนางนั้นด้วย”

--------------------------------- 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น