วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า บทนำ สังหารเย้ยมัจจุราช

 

          ชุด “ฤทธิ์มีดสั้น” เป็นเรื่องราวอมตะ ของอัจฉริยะมีดบินลี้คิมฮวง และทายาทรุ่นต่อมา ผู้รังสรรค์พฤติการณ์อันลือลั่นสะท้านบู๊ลิ้ม นาม เอี๊ยบไค และ โป้วอั้งเสาะ นับเป็นชุดที่โดดเด่นที่สุดของโกวเล้ง โดยเฉพาะ “ฤทธิ์มีดสั้น” ถือเป็นผลงานสุดยอดอันดับหนึ่งของงานกำลังภายในของโกวเล้ง และกระทั่งปัจจุบัน ยังเป็นระดับสุดยอดของนิยายกำลังภายในหลังยุค “มังกรหยก” ของกิมย้ง

          สำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ จะจัดพิมพ์หนังสือชุด “ฤทธิ์มีดสั้น” ทั้งหมด ทยอยวางตลาดเรียงตามลำดับดังนี้

          1. ฤทธิ์มีดสั้น              พฤติการณ์ของลี้คิมฮวง

          2. ดาบจอมภพ            พฤติการณ์ของเอี๊ยบไค และ โป้วอั้งเสาะ

          3. เหยี่วเดือนเก้า         พฤติการณ์ของเอี๊ยบไค

          4. จอมดาบหิมะแดง     พฤติการณ์ของโป้วอั้งเสาะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เหยี่ยว

เดือน

เก้า

 

โกวเล้ง เขียน

ว. ณ เมืองลุง แปล

***

1

 

 

 

สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ – วิชาการ

ชุดยุทธจักรนิยาย

ISBN 974-7373-76-9

เหยี่ยวเดือนเก้า เล่ม 1

(เก้าเง้วยเอ็งปวย, ค.ศ. 1973)

ของ โกวเล้ง

แปลโดย ว. ณ เมืองลุง

พิมพ์ครั้งแรก (ของสำนักพิมพ์) กันยายน 2537

จัดพิมพ์โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย

สำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ

บริษัทสร้างสรรค์-วิชาการ จำกัด

217 สุขุมวิท 20 (สายน้ำผึ้ง) แขวงคลองเตย

เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทรศัพท์ 258-5858, 258-2724 โทรสาร 261-5671

บรรณาธิการบริหาร : ประสิทธิ์ รุ่งเรืองรัตนกุล

บรรณาธิการ : วันเพ็ญ คงมั่น

กองบรรณาธิการ : จิราภรณ์ แสนสนุก, ฐิฎีวรรณ วรรณฉวี, หนูพร้อง ชูทอง, อำพร จันทร์ดา

ออกแบบปก : เกรียงไกร ฟักทอง

ศิลปกรรม : วิทยา เวียงสิมา, ยุวดี สกุลจิตรานนท์, ณัฐวุฒิ เนตรสมลักษณ์

หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน : มาลีรัตน์ รุ่งเรืองรัตนกุล

ฝ่ายบัญชี : สินพร รุ่งลิขิตวิวัฒน์, สุกัญญา สนิทธรรม, ปรียามน วิเวกวินย์

หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่าย : สุวิทย์ ตั้งดำรงธรรม

ฝ่ายจัดจำหน่าย : ธนากร พงษ์ประเสริฐ, สมศิล ภูห้องเพชร, เชาวเรซน์ ภูผานิล

เรียงพิมพ์ที่ โมดิฟาย คอมพิวท์ กราฟฟิค

พิมพ์ที่ เรือนแก้วการพิมพ์

สองเล่มจบ

ราคาชุดละ (รวมสองเล่ม) 265 บาท

 

คำนำสำนักพิมพ์

          ถามว่า หลังจากลี้คิมฮวงถอนตัวจากบู๊ลิ้ม คนที่ตอแยยากที่สุดในแผ่นดิน น่าสะพรึงกลัวที่สุดในบู๊ลิ้มมคือใคร?

          คำตอบคือ เอี๊ยบไค แซ่เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้ นามไคที่แปลว่าเบิกบานใจ

          เนื่องเพราะมันมิเพียงสืบทอดวิชามีดบินจากอัจฉริยะมีดสั้นลี้คิมฮวง หากยังสืบสารเจตนารมณ์และจิตวิญญาณอันงดงาม เปี่ยมคุณธรรม ของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย ไว้อย่างเต็มเปี่ยม!

          คุณค่าที่แท้จริงของมีดสั้น มิใช่อยู่ที่ตัวมันเอง แต่อยู่ที่เรื่องที่มันไปกระทำ ว่ามีคุณค่าหรือไม่! หากเรื่องที่มันกระทำไม่ละอายต่อฟ้า ไม่ละอายต่อมวลมนุษย์ อย่างนั้นมันย่อมไม่พ่ายแพ้เด็ดขาด!

          พลานุภาพของมีสั้นนี้ คือรัก มิใช่แค้น!

          มีดสั้นหลุดออกจากมือเอี๊ยบไค เป็นคนช่วยมากกว่า ฆ่าคนน้อยกว่า

          ฟังว่า ด้วยจิตใจที่ดีงาม เปี่ยมความเมตตา สัตย์ซื่อถือคุณธรรม ของเอี๊ยบไค ถึงกับทำให้เซี่ยวลี้ปวยตอเพิ่มพูนพลานุภาพขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว!

          เชี่ยวลี้ปวยตอที่ถูกจัดวางอยู่ “อันดับสาม” ในตำราอาวุธยุคลี้คิมฮวง กลับได้รับเลื่อนขั้นเป็น “อันดับหนึ่ง” ในยุคเอี๊ยบไค โดยเอี๊ยบไค!

          พลังและความเร็วของมีดบินยาวสามนิ้วเจ็ดหุนนี้ ไม่มีผู้ใดในใต้หล้าจะเปรียบเทียบบรรยายได้เด็ดขาด!

          กระทั่งพอเอ่ยนาม “เอี๊ยบไค” ผู้คนต่างมีสีหน้าพิกลพิสดาร บ้างเคารพเทิดทูน บ้างเคียดแค้นชิงชัง บ้างหวาดหวั่นพรั่นพรึง!

          ยามนี้ เมฆร้ายดำทะมื่นก่อตัวปกคลุมบู๊ลิ้มอีกครั้งแล้ว!

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน บุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง และลิ่มเซียนยี้ กำลังรื้อฟื้นอิทธิพลอำนาจของพรรคเหรียญทอง (กิมจี๊ปัง) ให้เกริกไกรอีกครั้ง ความงามและความมั่งคั่งของนางมิเพียงสามาถกวาดต้อนยอดฝีมือบู๊ลิ้มไว้ในร่มเงาเท่านั้น กระทั่งพรรคอสูร (ม้อก้า) ที่ยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่ในอำนาจของนาง

          นางมิเพียงสืบทอดหัวใจของลิ่มเซียนยี้ที่ชั่วร้ายอำมหิตไว้เท่านั้น ยังสืบทอดพลังฝีมือของเซี่ยงกิมฮัวที่กราดเกรี้ยวดุดัน เลอเลิศพิสดาร ไว้ในตัวนางด้วย แผนการร้ายของนาง มิเพียงแนบเนียนไม่มีจุดอ่อนช่องว่าง ยังซับซ้อนจนไม่มีภูตผีเทพยดาหยั่งคำนวณได้ กระทั่งเอี๊ยบไคยังถูกหลอกล่อจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว!

          เอี๊ยบไคยามนี้ ถึงกับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอก ที่ถูกฝูงเหยี่ยวเดือนเก้ากลุ้มรุมไล่ล่า!

 

                                                                      ด้วยจิตคารวะ

                                                            สำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ


สังหารเย้ยมัจจุราช

อรุณรุ่ง

          หิมะที่โปรยปรายมานานเพิ่งซาหาย แต่ความเหน็บหนาว บันดาลให้หิมะบนท้องถนนต่างผนึกเป็นน้ำแข็ง หยาดน้ำแข็งที่ชายคา มองไปคล้ายเขี้ยวจิ้งจอก กำลังแยกขึ้นรอภักษาหารของมัน

          แต่ทว่า ในถนนกลับไม่มีคน ทุกบ้านช่องปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น เมฆสีเท่าครึ้มลอยต่ำ แผ่นฟ้าแผ่นดิน คล้ายเปี่ยมด้วยบรรยากาศเหี้ยมอำมหิต ที่เพียงพอปลิดทุกชีวิตให้ตายไปได้!

          ไม่มีลม กระทั่งลม ยังคล้ายถูกความหนาวคุกคามจนผนึกแข็ง

          ท้งตั้วซัวในเสื้อขนสัตว์ปุกปุย นั่งบนเก้าอี้ปูหนังเสืออยู่ที่สุดปลายถนน กับความเงียบวังเวงรายสุสานร้างของถนนใหญ่ บันดาลให้มันพอใจอย่างยิ่ง

          เนื่องเพราะคำสั่งของมัน ได้รับการปฏิบัติโดยเคร่งครัดเสมอมา

          มันได้ขีดถนนสายยาวนี้เป็นสนามรบ ไม่เกินครึ่งชั่วยาม มันก็จะใช้โลหิตร้อนระอุของเล่าโต๋วแห่งย่านตะวันตกเมืองนี้ มาล้างหิมะที่แข็งตัวบนถนนสายนี้ไป

          ก่อนเวลาเปิดศึกใหญ่ หากมีคนกล้าบังอาจเดินเข้ามาในถนนสายนี้ มันจะฆ่าคนผู้นั้น หากมีใครสืบเท้าเข้ามาในถนนสายนี้สักก้าวเดียว มันก็จะฟันเท้าข้างนั้นทิ้ง

          ที่นี้เป็นเมืองของมัน มิว่าผู้ใดอย่าหมายสอดเท้าเข้าในดินแดนมันสักข้างเดียว เล่าโต๋วของย่านตะวันตกอย่าหมาย

          นอกจากอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแล้ว มันไม่ยินยอมให้ผู้ใดขวางทางมันเป็นอันขาด!

          ชายฉกรรจ์อภรณ์รัดกุมสีเขียวหลายสิบคน ยืนห้อยมือสำรวมอยู่ที่ด้านหลังของมัน แต่ละคนหน้าเหี้ยมอำมหิต ราวต้องการปลิดทุกชีวิตที่ขวางหน้า

          ข้างกายมัน ยังมีเก้าอี้หนังเสือดาวลักษณะเดียวกันอยู่อีกสองตัว บุรุษหนุ่มหน้าซีดขาว เค้าเย่อหยิ่งโอหังคนหนึ่ง สวมเสื้อขนสัตว์ราคากว่าพันตำลึงทอง นั่งอย่างเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน อยู่ที่เก้าอี้ทางซ้ายมือ นิ้วก้อยของมันเขี่ยกระบี่ฝักสีดำฝังนิลน้ำดี ให้แกว่งไปมาอยู่ไม่หยุดยั้ง

          สำหรับมัน เรื่องนี้ไม่มีความหมายอย่างยิ่ง น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

          เนื่องเพราะคนที่มันจะฆ่า มิใช่ประเภทเล่าโต๋วของย่านตะวันตก คนประเภทนั้นไม่มีศักดิ์ศรีพอให้มันลงมือ

          ที่นั่งด้านขวา เป็นบุรุษหนุ่มที่มีวัยเยาว์กว่า กำลังใช้ดาบขนนก (ดาบโค้งลักษณะขนนก) ประกายแวววาวแต่งเล็บของมันอยู่

          มันมาตรแม้นพยายามแสดงสีหน้าเป็นปลอดโปร่งเยือกเย็น แต่ใบหน้าที่มีสิวเปรอะเต็ม กลับแดงฉานด้วยความกระตือรือร้น

          ท้งตั้งซัวเข้าใจความรู้สึกของบุรุษหนุ่มผู้นี้กระจ่าง

          ตอนมันถูกอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยใช้ออกมาปฏิบัติงานในคำรบแรก ก็มีความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

          แต่มันก็ทราบ ในเมื่อบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นอันดับสิบสองของสิบสามยอดองครักษ์ (จับซาไท้เป้า) ของโป้ยไท้เอี๊ย ดาบขนนกในมือมัน ต้องไม่บันดาลให้คนผิดหวังแน่นอน

          สิบสามยอดองครักษ์ใต้บารมีของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย ไม่เคยสร้างความผิดหวังแก่ผู้คนมาก่อนเลย

         

          ในหน้าต่างที่ปิดสนิทแน่นบานหนึ่ง พลันมีเสียงทารกร่ำไห้ดังขึ้น ทำลายความเงียบวังเวงของฟ้าดินไป

          เสียงร่ำไห้เพิ่งดังก็หยุดลงทันที แสดงว่าปากของทารกถูกบิดาหรือมารดามันอุดไว้

          สุนัขชราที่ขนหลุดร่วงตัวหนึ่ง มุดออกจากโพรงเชิงกำแพง เดินหลุบหางผ่านถนนสายยาวนี้

          บุรุษหนุ่มที่หน้าเป็นสิวจับตามองสุนัขวิ่งจนถึงกลางถนน ดวงตามันคล้ายดั่งมีประกายพิสดารอย่างยิ่ง มือขวาสอดช้าๆ เข้าในอกเสื้อ พลันสะบัดออกไปโดยเร็ว

          ประกายวูบขึ้น สุนัขตัวนั้นถูกปักตรึงอยู่กลางถนนใหญ่ มีดสั้นประกายแวววับเล่มหนึ่ง พอดีทะลุคอของมัน เมื่อโลหิตมันไหลลงสู่พื้นหิมะ เป็นสีแดงฉานเช่นเดียวกัน

          ท้งตั้งซัวมีทีท่าคึกคักกว่าเดิม โพล่งชมเชย

          “ประเสริฐ จับยี่ตี๋ (น้องที่สิบสอง) ลงมือได้รวดเร็วยิ่ง”

          บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มีท่าทีพอใจการลงมือของมันเป็นอย่างยิ่ง กล่าวด้วยสีหน้าโอหัง

          “ในเมื่อท้งเล่าตั้ว (พี่ใหญ่แซ่ท้ง) มีคำสั่งแล้ว มิว่ามนุษย์หรือสุนัข ขอเพียงกล้าบุกเข้ามาในถนนสายนี้ ข้าพเจ้าต้วนตับยี่ต่างต้องปลิดชีวิตมัน”

          ท้งตั้งซัวแหงนหน้าหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “มีชิงซี่ตี๋ (น้องที่สีแซ่ชิง) กับจับยี่ตี๋ ซึ่งเป็นผู้กล้าหาญวัยฉกรรจ์มาร่วมอยู่ที่นี้ด้วย อย่าว่าเพียงเล่าโต๋วของย่านตะวันตกเพียงผู้เดียวเลย แม้นับว่ามีอีกสิบคนก็จะน่ากลัวอย่างไร?”

          ชิงสี่กลับแค่นเสียงเย็นชา

          “น่ากลัววันนี้ ยังไม่ถึงเวรให้ข้าพเจ้าลงมือดอก”

          นิ้วก้อยที่เขี่ยกระบี่ของมันพลันหยุดลง เสียงหัวร่อของท้งตั้งซัวพลอยชะงักหาย

          อีกปลายหนึ่งของถนนเอียงลาด มีคนขบวนหนึ่ง กำลังเร่งฝีเท้าเข้ามา

          ทั้งขบวนมีอยู่ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดคน ต่างสวมเสื้อนวมสีดำ กางเกงรัดแข้ง รองเท้าพื้นบาง เหยียบย่ำอยู่บนพื้นน้ำแข็ง มีเสียงซ่าซ่าดังสับสน

          ผู้นำหน้าคิ้วหนาตาโต มีเค้าบึกบึนเข้มแข็ง มันคือผู้กล้าหาญอันดับหนึ่งของย่างตะวันตกเมืองนี้ นามเล่าโต๋วฉายาไต้งั่ง (ตาโต)

          เมื่อเห็นคนผู้นี้ ใบหน้าท้งตั้งซัวต้องบูดบึ้งตึงเครียด กระทั่งแก้วตาก็คล้ายหดลง

          บุรุษหนุ่มอาภรณ์รัดกุมสะพายกระบี่คนหนึ่ง พลันโฉบออกมาจากกลุ่มทางด้านหลัง ยืนประคองกระบี่อยู่ที่ข้างกายมัน

          มีเสียงดาบถูกชัดออกจากฝัก เกาทัณฑ์ถูกชัดออกพาดคันดังออกมาจากทางด้านหลัง แสดงว่าชายฉกรรจ์อาภรณ์เขียวหลายสิบคน ต่างชักดาบพาดเกาทัณฑ์เตรียมรับศึกที่จะเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

          บรรยากาศเหี้ยมอำมหิตยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม นอกจากเสียงฝีเที่คล้ายคมดาบเสียดสีกันแล้ว ในแผ่นฟ้าแผ่นดินไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก!

          ขบวนคนทางด้านหน้าได้ใกล้เข้ามาทุกขณะ มิคาด ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประตูบานแคบบานหนึ่งของบ้านริมถนนถูกผลักออก แล้วปรากฏคนในอาภรณ์สีขาวประมาณสิบสามสิบสี่คนเดินเรียงรายมา ดาเข้ารับหน้าเล่าโต๋ว หนึ่งในจำนวนนั้นกล่าวเบาๆ สองคำ เล่าโต๋วถึงกับมิส่งเสียงกระไร หยุดยืนในที่นั้นไป

          ขบวนคนชุดสีขาวกลับเป็นฝ่ายเดินเข้าหาท้งตั้งซัว จนบัดนี้ท้งตั้วซัวจึงเห็นพวกมันเพียงสวมเสื้อปอสีขาวที่บางเบาอยู่เพียงชั้นเดียว หลังสะพายม้วนเสื่อ มือถือกระบองสั้น สวมรองเท้าหญ้าไม่มีถุงเท้า

          ในอากาศที่เหน็บหนาวจนทารุณเยี่ยงนี้ พวกเหล่านี้ ดูไปถึงคล้ายมิหวาดหวั่นต่อความหนาวเหน็บสักน้อยนิด เพียงแต่ว่ามือเท้าต่างถูกความหนาวคุกคามจนเขียว ใบหน้าก็เขียว ใบหน้าที่เขียวจนซีดของพวกมัน ไม่มีความรู้สึกแม้สักน้อยนิด ถึงกับคล้ายใบหน้าคนตาย จึงเป็นที่หน้ากลัวจนบอกมิถูก !

          ยามเมื่อเดินผ่านซากสุนัข หนึ่งในจำนวนนั้นพลันก้มลงคลี่ม้วนเสื่อออกจากหลัง ม้วนซากสุนัขตายไว้ ใช้เชือกที่ความจริงถูกม้วนรัดหัวท้ายของเสื่อแล้ว แขวนอยู่บนไม้เท้า ค่อยก้าวอาดๆ ติดตามพวกพ้องมา

          สีหน้าต้วนจับยี่แปรเปลี่ยนไป มือซ้ายสอดช้าๆ เข้าอกเสื้อ คล้ายคิดจะซัดมีดสั้นออกไปอีกครา

          แต่ท้งตั้งซัวกลับชายตาห้ามไว้ ลดเสียงแผ่วเบากล่าว

          “พวกประดานี้ ดูไปต่างมีความพิกลผิดธรรมดาอยู่บ้าง พวกเรามิสู้หยั่งตื้นลึกหนาบางของพวกมันก่อนค่อยว่ากล่าว”

          ต้วนจับยี่แค่นหัวร่อตอบ

          “แม้นับว่าพวกมันตอนนี้ดูแล้วจะพิกลว่าคนธรรมดา แต่เมื่อกลายเป็นคนตายแล้ว ก็ไม่มีความพิกลใดอีกแน่”

          แม้ปากว่ากล่าวเยี่ยงนั้น แต่อย่างไรยังคงมิได้ลงมือ

          ท้งตั้งซัวส่งเสียงหนักๆ เรียกไป

          “ท้งเอี๊ยง”

          ชายฉกรรจ์อาภรณ์รัดกุมสะพายกระบี่ ที่อยู่ด้านหลังมันรีบรับคำ ท้งตั้งซัวจึงสั่ง

          “สักครู่เจ้าไปลองชั่งน้ำหนักพวกมันดู หากเห็นไม่ถูกต้องรีบกลับทันที อย่าได้สู้พัวพันกับพวกมันเป็นอันขาด”

          ดวงตาของท้งเอี๊ยงเป็นประกายสุกใส ประคองกระบี่รับคำ

          “ศิษย์เข้าใจ”

          แลเห็นคนเสื้อขาวที่ส่งเสียงกับเล่าโต๋วเมื่อครู่ยกมือขึ้นโบก ทั้งขบวนถึงกับหยุดยืนอยู่ในระยะห่างกว่าสองวา

          คนผู้นี้มีหน้ายาวราวกับม้า ตาเล็กเรียวยาว โหนกแก้มสูงชัน ปากกว้างยามไม่หุบ พอจะยาวถึงใต้ใบหู มาตรว่าแต่งกายเช่นเดียวกับพวกที่มามิผิดเพี้ยน แต่มิว่าผู้ใดเพียงมองปราดเดียวก็ดูออก มันต้องเป็นหัวหน้าของพวกประดานี้แน่

          ท้งตั้งซัวก็ย่อมดูออก ตาเป็นประกายสุกใสของมันเขม้นมองคนผู้นั้นแน่วนิ่งแล้วพลันถาม

          “ชื่อแซ่ใด?”

          คนผู้นั้นตอบ

          “เฮ็กแป๊ะ (ดำขาว)”

          “มาจากที่ใด?”

          “แชเซี้ย”

          “มาด้วยเรื่องอันใด?”

          “หวังว่าสามารถคลี่คลายศัสตราวุธเป็นแพรพรรณ”

          ท้งตั้งซัวพลันตะเบ็งเสียงหัวร่อกล่าว

          “ที่แท้สหายท่านหวังจะมาหย่าศึก!

          “ถูกแล้ว”

          “การต่อสู้ครานั้น อาศัยท่านก็สามารถคลี่คลายไกล่เกลี่ยได้?”

          ใบหน้าเฮ็กแป๊ะด้านไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด กระทั่งวาจาก็มิกล่าวแล้ว

          ท้งเอี๊ยงที่กระเหี้ยนกระหือรออยู่นาน ตอนนี้พลันพุ่งปราดออกไป ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “จะไกล่เกลี่ยการต่อสู้ก็ง่ายดายอยู่ เพียงต้องถามกระบี่ในมือเรา ยอมหรือไม่ก่อน”

          มันพลิกมือวูบ ชักกระบี่ออกจากฝักดังควับใหญ่

          เฮ็กแป๊ะมิได้ชายตาเหลือบมองมันเลย แต่ที่ด้านหลังมีคนชุดขาววัยเยาว์ที่สุด ร่างผอมเล็กที่สุดพุ่งปราด ออกมา ถึงกับเป็นทารกวัยสิบสี่สิบห้าเท่านั้น

          ท้งเอี๊ยงขมวดคิ้วถาม

          “ปิศาจน้อยเจ้าต้องการอย่างไร?”

          ทารกเสื้อขาวถึงกับมีสีหน้าเขียวซีด ตายด้านไร้ความรู้สึกเช่นกัน กล่าวเสียงราบเรียบ

          “มาถามกระบี่ของท่าน รับปากยินยอมหรือมไม่?”

          ท้งเอี๊ยงเดือดดาลจนตวาด

          “อาศัยเจ้า?”

          “ท่านใช้กระบี่เป็นอาวุธ เราพอดีก็ใช้กระบี่เช่นกัน”

          ท้งเอี๊ยงแผดเสียงหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ เราจัดการเสือกไสเจ้าก่อนค่อยว่ากล่าว”

          ในเสียงตวาด กระบี่ในมือแทงปราดออกไปดั่งอสรพิษ เข้าสู่หว่างกลางทรวงอกของทารกเสื้อขาว!

          มือทั้งสองของทารกเสื้อขาวแยกจากกัน ถึงกับชักกระบี่แคบเรียวออกจากในกระบองสั้นมาเล่มหนึ่ง

          ท้งเอี๊ยงเห็นกระบวนท่าตั๊กจั๊วโท่วซิ่ง (อสรพิษตวัดลิ้น) ของมันแทงออกไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามถึงกับไม่เลี่ยงหลบหลีก กระทั่งดวงตายังไม่กระพริบสักครั้ง

          เสียงสวบดังเบาๆ กระบี่ท้งเอี๊ยงแทงเข้าใส่ทรวงอกทารกเสื้อขาว!

          โลหิตสีแดงฉานกระเซ็นออกมา กระบี่ในมือทากรถึงกับใช้กระบวนท่าตั๊กจั๊วโท่วซิ่ง แทงเข้าใส่ทรวงอกท้งเอี๊ยงเช่นกัน !

          พริบตานั้น ความเคลื่อนไหวทั้งมวลต่างหยุดชะงัก กระทั่งเสียงลมหายใจก็คล้ายขาดหายไปด้วย

          การต่อสู้ยุติลงเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น!

          สีหน้าแต่ละคนต่างแปรเปลี่ยนไป แทบมิยอมเชื่อ ในโลกถึงกับมีคนเช่นนี้ เรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ!

          โลหิตสดๆ สาดกระเซ็นดั่งสายฝน ร่วงหล่นลงสู่พื้นขาวโพลนเป็นจุดแต้ม

          พื้นน้ำแข็ง มีดอกเหมยที่วาดด้วยโลหิตสดๆ เพิ่มขึ้นอีกมากหลาย

          ใบหน้าทารกเสื้อขาวยังคงไม่มีความรู้สึกใดๆ เพียงแต่ว่าดวงตาถลนออกนอกเบ้าดั่งปลาตาย และยังคงจ้องมองท้งเอี๊ยงอยู่ ในดวงตาสีเทาขุ่น ถึงกับคล้ายมีประกายเย้ยหยันอย่างเหี้ยมอำมหิต!

          แต่ใบหน้าท้งเอี๊ยงกลับบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป ดวงตาเป็นประกายแตกตื่นสงสัยเดือดดาลคลั่งแค้น หวาดหวั่นพรั่นพรึง!

          มันมิยอมเชื่อ ในโลกถึงกับมีคนเช่นนี้ มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ

          มันแม้ตายก็ไม่เชื่อ!

          ทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันในสภาพนั้น ชั่วครู่ดวงตาทั้งสองจึงแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นขาว เวิ้งว้าง ไร้ประกาย

          จานั้น ทั้งสองคนล้มลงไปพร้อมกัน

          คนเสื้อขาวผู้หนึ่งเดินช้าๆ ออกมาจากทางหลังแถว ดึงเสื่อที่สะพายออกมาคลี่ม้วนซากศพพวกพ้องที่ตายไว้ ใช้เชือกมัดแนบแน่น หิ้วขึ้นแขวนอยู่บนกระบองสั้น แล้วเดินช้าๆ กลับไปอีกครา

          ใบหน้ามันก็กระด้างเย็นชา ไร้ความรู้สึกเช่นกัน ไม่ผิดกับตอนที่เมื่อครู่พวกพ้องมันเก็บศพสุนัขเลยสักน้อยนิด

 

          พลันมีลมกรรโชกมาจากทิศทางสุดไกล ในสายลมคล้ายมีเศษน้ำแข็งปะปน

          บรรดาชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังท้งตั้งซัว กลับมีเหงื่อซึมออกจากฝ่ามือจนชุ่มโชก

          เฮ็กแป๊ะจ้องมองท้งตั้งซัว กล่าวเสียงราบเรียบ

          “ท่านยินยอมคลี่คลายศัสตราวุธเป็นแพรพรรณหรือไม่?”

          ต้วนจับยี่พลันกระโดดออกไป ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “นั่นท่านยังต้องถามดาบในมือเรา...”

          คนเสื้อขาวผู้หนึ่งเดินช้าๆ ออกจากด้านหลังเฮ็กแป๊ะ กล่าว

          “ข้าพเจ้าถามเอง”

          ต้วนจับยี่ตวาด

          “ท่านก็ใช้ดาบ?”

          “ถูกแล้ว”

          มือมันพอแยก ชักดาบออกจากในกระบองสั้นมาเล่มหนึ่งจริงๆ

          จนบัดนี้ต้วนจับยี่จึงดูออก กระบองสั้นในมือพวกมันมีกว้างมีแคบ มีกลม มีแบน แสดงว่าอาวุธที่ซ่อนอยู่ในกระบองสั้นต้องผิดแปลกกัน

          หากผู้อื่นใช้กระบี่ พวกมันก็ใช้กระบี่มารับมือ ผู้อื่นใช้ดาบ พวกมันก็ใช้ดาบเช่นกัน

          ต้วนจับยี่แค่นหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ ท่านดูดาบนี้ก่อน”

          ร่างมันแฉลบเป็นครึ่งวงกลม ดาบขนนกสะบัดด้วยพลังรุนแรงจนหวีดหวิวฟันใส่ไหล่ซ้ายคนชุดขาวโดยเร็ว

          คนชุดขาวถึงกับไม่หลบเลี่ยง ดาบในมือใช้กระบวนท่าลิบพีฮั่วซัว (ยืนฟันภูเขาฮั่วซัว) ฟันเข้าใส่ไหล่ซ้ายต้วนจับยี่ดั่งประกายไฟเช่นกัน

          แต่พลังฝีมือต้วนจับยี่หนือกว่าท้งเอี๊ยงมากมายหลายเท่านัก กระบวนท่าของมันใช้สุดล้าแล้วชัดๆ พลันรั้งกลับในวาระคับขันได้ สลับเท้าเบี่ยงกาย ตวัดคมดาบฟันกลับหลัง เปลี่ยนจากกระบวนท่าโป้ยฮึงชั้วตอ (ซ่อนดายในแปดทิศ) มาเป็นต้อผะกิมเจ็ง (ตลบกลับตีระฆัง) ประกายแวววาวเป็นทางยาวราวสายรุ้ง ม้วนเข้าใส่อกและชายโครงคนชุดขาว

          มิดคาด คนชุดขาวก็รั้งกระบวนท่าในวาระคับขันได้เช่นกัน เปลี่ยนจากกระบวนท่าโป้ยฮึงชั้งตอ มาเป็นต้อผะกิมเจ็งด้วย!

          มาตรว่ามันจะลงมือช้าไปชั่ววูบ แต่หากต้วนจับยี่ไม่เปลี่ยนกระบวนท่า มาตรว่าฟันฝ่ายตรงข้ามตายคาดาบไ ตัวมันก็อย่าหมายมีทางหนีรอดจากดาบนี้ได้เด็ดขาด

          คนชุดขาวไม่ต้องการชีวิต แต่ต้วนจับยี่ยังต้องการชีวิตอยู่

          ตอนมันใช้ดาบนี้ฟันไป ก็ได้ระวังฝ่ายตรงข้ามจะใช้ไม้นี้มาแก้มืออยู่แล้ว จึงส่งเสียงกู่กึกก้องกังวาน สะบัดแขนทะยานกายขึ้นอากาศ ตีลังกาแล้วฟันดาบคู่มือเข้าใส่ก้านคอคนชุดขาว

          กระบวนท่านี้มันจู่โจมลงจากอากาศ จึงเป็นฝ่ายได้เปรียบเต็มประตู ร่างคนชุดขาวต่างอยู่ในพลังดาบของมันหมดสิ้น มิเพียงไม่มีปัญญาเปลี่ยนกระบวนท่าเท่านั้น กระทั่งหลบหลีกก็ยังไม่มีทางอีกด้วย!

          แต่ที่น่าสะพรึงกลัวคือ คนชุดขาวถึงกับไม่มีความคิดหลบหลีก!

          ดาบของต้วนจับยี่ฟันเข้าใส่ก้านคอมัน ดาบของมันก็แทงเข้าใส่ท้องน้อยต้วนจับยี่!

          คมดาบที่ยาวสามเชียะเศษแทงเข้าใส่จนหมดสิ้น เหลือแต่ด้ามอยู่ท่างภายนอกเท่านั้น!

          ต้วนจับยี่คำรามสุดเสียง ร่างพลันทะยานขึ้นอากาศไปสี่วาเศษดุจเป็นพลุไฟ

          โลหิตสดๆ กระเซ็นลงดั่งห่าฝน เข้าใส่ร่างคนชุดขาวทุกจุดแต้ม

          เสื้อขาวในตัวมันถูกย้อมแดงไปทันที แต่ใบหน้ายังคงกระด้างเย็นชาไร้ความรู้สึก จวบจนร่างต้วนจับยี่ร่วงหล่นลงจากอากาศฟาดกับพื้น มันจึงได้ล้มลงไป

          สำหรับกับมัน “ตาย” คล้ายดั่งกลับสู่มาตุภูมิ ไม่มีคุณค่าที่น่าหวาดกลัวแม้สักน้อยนิดเลย

          สีหน้าท้งตั้งซัวแปรเลี่ยนไปแล้ว พลันผุดขึ้นตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “นี่นับเป็นหลักวิชาบู๊ใด?”

          เฮ็กแป๊ะส่งเสียงราบเรียบ

          “นี่ความจริงไม่อาจนับเป็นวิชาบู๊ใด?”

          “เพ้ย! แล้วนับเป็นอะไร?”

          “นี่เพียงสามารถนับเป็นบทเรียนเล็กน้อย”

          “บทเรียน?”

          “บทเรียนนี้บอกกับพวกท่าน หากพวกท่านจะฆ่าผู้อื่นให้ได้ ผู้อื่นก็สามารถฆ่าท่านได้เช่นกัน”

          ซิงสี่พลันแค่นหัวร่อกล่าว

          “น่ากลัวไม่แน่นัก”

          มันยังคงใช้นิ้วก้อยเขี่ยพู่กระบี่ของมันอยู่เบาๆ เดินช้าๆ ออกไป ปลายฝักกระบี่ครูดกับพื้นน้ำแข็ง เป็นเสียงแหลมเล็กเสียดหูยิ่ง

          แต่ใบหน้าซีดขาวของมัน กลับคล้ายมีประกายขึ้นแล้ว ดวงตาก็เป็นประกายแวววาว แค่นเสียงเย็นชากล่าว

          “หากตอนข้าพเจ้าจะฆ่าท่าน ท่านอย่าหมายสามารถฆ่าข้าพเจ้าได้”

          คนชุดขาวผู้หนึ่งส่งเสียงราบเรียบ

          “น่ากลัวไม่แน่นัก”

          วาจามันพอจบคำ ร่างได้มายืนประจันที่เบื้องหน้าซิงสี่ มีท่าร่างที่รวดเร็วกว่าสองคนเมื่อครู่มากนัก

          ซิงสี่สวนคำ

          “ไม่แน่นัก?”

          คนผู้นั้นตอบ

          “มิว่าเพลงกระบี่ที่กราดเกรี้ยวอำมหิตปานใด ต่างคนสามารถทำลายได้”

          “มีคนประเภทหนึ่ง”

          “ประเภทใด?”

          “คนที่ไม่กลัวตาย?”

          “ท่านก็คือคนไม่กลัวตาย?”

          คนชุดขาวแค่นเสียงเย็นชา

          “เป็น มีที่ใดน่าร่าเริงยินดี? ตาย มีที่ใดน่าหวาดหวั่นรันทด?”

          “เฮอะเฮอะ หรือท่านมีชีวิตอยู่เพื่อพร้อมที่จะตาย?”

          “อาจบางทีใช่”

          “เมื่อเช่นนี้ ข้าพเจ้ามิสู้ส่งเสริมท่านให้สมใจ”

          กระบี่ของซิงสี่พลันหลุดจากฝัก พริบตานั้น แทงออกไปเจ็ดกระบี่ซ้อนๆ พลังกระบี่ดังหวีดหวิวเสียดประสาด ประกายกระบี่แฉลบแปลบปลาบ เห็นแต่ประกายกระบี่เต็มท้องฟ้ากระหน่ำมาดุจพายุฝน จนผู้คนไม่มีปัญญาคำนวณ มันจะแทงกระบี่เข้าใส่ส่วนสัดใดของคู่ต่อสู้? !

          แต่คนชุดขาวไม่มีเจตนาไปคำนวณเลย และไม่คิดหลบหลีกอีกด้วย เพียงยืนสงบนิ่งในที่นั้น สงบรออย่างเยือกเย็น

          มันความจริงเตรียมจะตายอยู่ก่อนแล้ว กระบี่ฝ่ายตรงข้ามจะแทงมาจากทิศทางใด มันไม่แยแสสนใจเลย

          ซิงสี่แทงออกไปเจ็ดกระบี่ คนชุดขาวถึงกับแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว กระบี่ซิงสี่พอจู่โจมวูบก็ชักกลับมาโดยฉับไว กระบี่ทั้งเจ็ดต่างถูกคุกคามจนกลายเป็นกระบวนท่าหลอกล่อ พลันสลับเท้าไถลร่างไปที่ด้านหลังคนชุดขาว

          มันคำนวณออก ที่นี้เป็นจุดอับของคนชุดขาว ไม่มีผู้ใดสามารถลงมือจากจุดอับนี้ได้

          มันจะฆ่าคนผู้นี้ ต้องไม่ยอมเปิดโอกาสให้คนผู้นี้ได้ฆ่ามันแม้สักน้อยนิด

          กระบวนท่านี้แทงไป จากหลอกล่อกลายเป็นจริงจัง ประกายกระบี่พอวูบแทงสวบเข้ากลางหลังคนชุดขาว!

          มีเสียงสวบเบาๆ คนกระบี่ชำแรกเข้าไปในเนื้อแล้ว!

          มันกระทั่งยังพอรู้สึกออก กระบี่ของมันเสียดสีกับกระดูฝ่ายตรงข้าม แต่ในพริบตาเดียวกันนั้นเอง มันพลันพบเห็น กระบี่นี้มิได้แทงเข้าใส่กลางหลังฝ่ายตรงข้าม แต่แทงเข้าใส่ทรวงอกฝ่ายตรงข้าม!

          พริบตาที่กระบวนท่าของมันถูกใช้จนสุดล้า คนชุดขาวถึงกับพลันหันกาย ใช้ทรวงอกรับคมกระบี่มัน!

          ไม่มีผู้ใดคาดคิดไม้นี้ได้ มิว่าผู้ใดต้องไม่ใช้ร่างที่เป็นเลือดเนื้อมาต้านทานคมกระบี่ของศัตรู!

          แต่คนชุดขาวถึงกับใช้ตัวมันเป็นอาวุธ!

          สีหน้าซิงสี่เปลี่ยนแปรไปแล้ว ใช้กำลังกระบี่สุดแรง คมกระบี่ถึงกับถูกกระดูกชายโครงฝ่ายตรงข้ามหนีบไว้!

          ตอนมันคิดจะคลายมือถีบหนี กระบี่คนชุดขาวก็แทงเข้าไปโดยไม่มีเสียง คล้ายดั่งดรุณีที่เรียบร้อยนุ่มนวล ปักบุปผาลงไปในแจกันอย่างเชื่องช้า... แทงกระบี่เข้าใส่ทรวงอกซิงสี่ช้าๆ !

          ซิงสี่กระทั่งยังไม่ทันรู้สึกเจ็บปวด เพียงรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่ทรวงอกก่อน

          จากนั้น ตลอดร่างพลันเย็นเฉียบไป

          โลหิตแดงฉานฉีดออกมา ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เขม้นมองกันไปมา

          ใบหน้าคนชุดขาวยังไม่มีความรู้สึก แต่ใบหน้าซิงสี่กลับบิดเบี้ยวด้วยความหวาดหวั่นขวัญเสีย

          มาตรว่าเพลงกระบี่ของมันสูงกว่าฝ่ายตรงข้ามมากมาย ลงมือรวดเร็วกว่าท้งเอี๊ยงหลายเท่านัก แต่ผลที่เกิด กลับเป็นเช่นเดียวกัน!

          การต่อสู้ครั้งนี้ พลันยุติลงแล้ว!

          ท้งตั้งซัวผุดลุกขึ้น แต่แล้วกระแทกนั่งอีกครา ใบหน้ากลายเป็นเผือดขาวราวซากศพแล้ว

          มันมิใช่ไม่เคยเห็นการฆ่าคน และมิใช่ไม่เคยฆ่าคน

          แต่มันกลับไม่เคยคาดคิด ฆ่าคนถึงกับเป็นเรื่องสยดสยองน่าอนาถปานนี้ น่าสะพรึงกลัวปานนี้ได้!

          ฆ่าคนกับถูกฆ่า ต่างสยดสยองเช่นเดียวกัน น่ากลัยเช่นเดียวกัน!

          มันพลันรู้สึกจะอาเจียน

          เฮ็กแป๊ะเพ่งมองมันพลางแค่นเสียงเย็นชา

          “หากท่านจะฆ่าคน ผู้อื่นก็สามารถฆ่าท่านได้เช่นกัน บทเรียนนี้ ท่านตอนนี้สมควรยอมเชื่อถือได้?”

          ท้งตั้งซัวผงกศีรษะช้าๆ มิได้กล่าวกระไร เนื่องเพราะมันไม่มีวาจาที่จะกล่าวได้เลย

          เฮ็กแป๊ะส่งเสียงกระด้างเย็นชาต่อ

          “ดังนั้น ท่านยิ่งควรเข้าใจ ฆ่าคนกับถูกฆ่า มักจะมีความเจ็บช้ำเช่นเดียวกันเสมอ”

          ท้งตั้งซัวยอมรับ...มันมิอาจไม่ยอมรับได้แล้ว

          เฮ็กแป๊ะกล่าวต่อ

          “อย่างนั้น ท่านไฉนยังจะฆ่าคนอีก?”

          ท้งตั้งซัวกำหมัดแนบแน่น พลันส่งเสียง

          “ข้าพเจ้าเพียงต้องการเข้าใจ พวกท่านทำดังนี้เพราะกระไรกันแน่?”

          “ไม่เพราะกระไร”

          “พวกท่านถูกเล่าโต๋วหามา?”

          “มิใช่ เราทั้งไม่รู้จักท่าน และไม่รู้จักมัน”

          “แต่ทว่า พวกท่านกลับยินยิมตายแทนมัน โดยไม่เสียดายชีวิต?”

          “พวกเราก็มิใช่ตายเพื่อมัน พวกเราตายเพียงเพื่อหวังให้ผู้อื่นรอดอยู่เท่านั้น”

          หันไปมองซากศพในกองโลหิตแวบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ

          “สามคนนั้นแม้ตายไป แต่อย่างน้อยยังพอจะมีอีกสามสิบคนรอดอยู่เพราะการตายของมัน อย่าว่าแต่พวกมันความจริงก็มิแน่จะต้องตาย”

          ท้งตั้งซัวเหลือกตามองด้วยความแตกตื่นพลางร้องไป

          “พวกท่านมาจากแซ่เซี้ยจริงๆ ?”

          “ท่านไม่เชื่อ?”

          ทั้งตั้งซัวมิเชื่อจริงๆ เพียงรู้สึก พวกประดานี้ความจริงสมควรมาจากอเวจีมากกว่า

          ในโลกมนุษย์ ความจริงไม่สมควรมีคนเยี่ยงนี้

          เฮ็กแป๊ะกล่าว

          “ท่านรับปาก?”

          “รับปากกระไร?”

          “คลี่คลายศัสตราวุธเป็นแพรพรรณ”

          ท้งตั้งซัวถอนใจตอบ

          “เสียดายที่ข้าพเจ้าแม้รับปาก ก็ไม่มีประโยชน์”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะยังมีอีกคนหนึ่งต้องไม่ยอมรับปากเด็ดขาด”

          “ผู้ใด?”

          “อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย (ผู้เฒ่ามากลาภยศแซ่อุ้ยที่แปด)”

          “ท่านเรียกมันมาหาเราก็ได้”

          “ไปหาท่านในที่ใด?”

          ดวงตาเย็นชาของเฮ็กแป๊ะช้อนมองไปที่ขอบฟ้า อีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

          “ดอกเหมยในอุทยานแนเฮียงฮึ้ง (สวนหอมเย็น) ของมหานครเชี่ยงอันตอนนี้คงเบ่งบานแล้ว...”

 

          ตอนอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมีอารมณ์ปลอดโปร่ง ก็เป็นเช่นดังคนธรรมดาทั่วๆ ไป ยิ้มแย้มแจ่มใสตบหลังตบไหล่ของท่าน กล่าววาจาที่มันมีความเห็นว่าขบขันสักหลายๆ คำ

          แต่ตอนมันมีโทสะเดือดดาล มันก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่ผิดกว่าผู้ที่ท่านเคยรู้จักเคยพบเห็นใดๆ

          ใบหน้าที่ปกติมักแดงเปล่งปลั่ง พลันกลับกลายเป็นราชสีห์พิโรธเพราะความหิวโหย ดวงตาก็จะมีประกายน่าสะพรึงกลัวดั่งราชสีห์

          ตลอดร่างมัน ดูไปคล้ายกลายเป็นราชสีห์พิโรธตัวหนึ่ง พร้อมที่จะตะปบกรงเล็บของมัน ออกใส่ผู้กระตุ้นโทสะมัน ฉีกให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกลืนกินลง

          ตอนนี้ เป็นเวลาที่มันเดือดดาลทะยานใจ

          ท้งตั้งซัวขมวดคิ้วอยู่เบื้องหน้ามัน ยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่มีเกียรติภูมิกระเดื่องเลื่องลือในดินแดนแว่นแคว้นหนึ่ง ตอนนี้ถึงกับกลายคล้ายเป็นลูกแกะตัวน้อยกระทั่งลมมหายใจยังมิกล้าระบายแรง

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยใช้ตาแดงฉานด้วยสายเลือดของมัน ถลึงจ้องท้งตั้งซัวพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำราม

          “เจ้าว่าสัตว์เดียรัจฉานที่เกิดกับนางคณิกานั้น มีนามเฮ็กแป๊ะ?”

          “ใช่แล้ว”

          “เจ้าว่ามันมาจากแซ่เซี้ย?”

          “ใช่แล้ว”

          “นอกจากนี้ เจ้าไม่ทราบกระไรทั้งสิ้น?”

          ท้งตั้งซัวรับคำแล้วก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยคำรามปานราชสีห์พิโรธ

          “เจ้าลูกคณิกาตัวนั้น ฆ่าศิษย์รักเราไปถึงสองคน แต่เจ้ากลับไม่รู้จักประวัติความเป็นมาของมัน เจ้ายังมีหน้ามาพบเรา เจ้าอุบาทว์ชาติชั่ว เจ้าตัวสารเลว”

          มันพลันกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ โถมเข้าไปคว้าอกเสื้อท้งตั้งซัว กระชากจนขาดติดมือออกมา จากนั้นตบหน้ามือหลังมือเข้าใส่หน้าท้งตั้งซัวถึงสิบเจ็ดสิบแปดครั้ง

          มุมปากทั้งตั้งซัวถูกตบจนมีโลหิตหลั่งไหลไม่ขาดสาย แต่มันดูไปไม่มีโทสะและความเจ็บปวดสักน้อยนิด กลับคล้ายดั่งปีติยินดีอย่างยิ่ง วางใจอย่างยิ่ง

          เนื่องเพราะมันทราบ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยตบตียิ่งดุร้าย แผดด่ายิ่งหยาบคาย ก็แสดงว่ายังเห็นมันเป็นคนกันเองอยู่

          ขอเพียงอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยถือมันเป็นคนกันเอง ชีวิตมันก็นับว่าเก็บคืนมาได้แล้ว

          หากอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยยังเกรงใจต่อมัน วันนี้มันก็อย่าหมายรอดชีวิตออกจากห้องนี้ได้อีกเลย

          ตบไปสิบเจ็ดสิบแปดครั้งแล้ว อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยยังแถมให้มันอีกเท้าหนึ่งที่ท้อง

          มาตรว่าทั้งตั้งซัวถูกตบจนโลหิตหลั่งไหล แก้มบวมสูง เหงื่อกาฬแตกโซมชุ่มโชก แต่ยังยืนสงบเสงี่ยมในที่นั้น กระทั่งเคลื่อนไหวยังไม่กล้า

          นับว่าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยระบายโทสะออกได้บ้างแล้ว ถลึงตาคำรามต่อไป

          “เจ้าทราบหรือไม่? พวกเล่าสีไปเพื่อช่วยพวกเจ้าฆ่าคน?”

          “ทราบ”

          “ตอนนี้พวกมันถูกผู้อื่นฆ่าไป เจ้ากลับรอดชีวิตกระโดดโลดเต้นกลับมา เจ้านับเป็นตัวกระไร?”

          “ข้าพเจ้ามิเป็นตัวกระไร แต่ข้าพเจ้าก็มิกล้าไม่กลับมา”

          “เจ้าอุบาทว์ชาติชั่ว เจ้ามิกล้าไม่กลับมา หรือเจ้าไม่รู้จักหลุบหางคลานหนีให้สุดไกล เพื่อมิต้องใหเราผู้เฒ่าเห็นแล้วมีโทสะ?”

          “ข้าพเจ้าก็ทราบ ท่านผู้เฒ่าต้องมีโทสะ ดังนั้นท่านผู้เฒ่าจะตีเป็นตี ฆ่าเป็นฆ่า ข้าพเจ้าต่างไม่มีวาจาว่ากล่าว แต่หากให้ข้าพเจ้าทรยศต่อท่านผู้เฒ่าหลบหน้าหนี ข้าพเจ้าแม้ตายก็ไม่ยินยอม”

           อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยถลึงจ้องมันแน่วนิ่ง พลันแผดหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ เป็นบุรุษเพียงพอ”

          มันกางแขนโอบหัวไหล่ท้งตั้งซัวไว้ แผดเสียงดังๆ

          “พวกเจ้าทั้งหลายดูกัน นี่จึงเป็นบุตรประเสริฐของเรา พวกเจ้าต่างต้องฝึกเยี่ยงมัน ควรเลียนเยี่ยงมัน กระทำความผิดแล้วกลัวไปไย? มีเจ้าอุบาทว์ชาติชั่วใดไม่เคยกระทำความผิดเลยทั้งชีวิต? กระทั่งเราอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยก็เคยกระทำความผิด อย่าว่าแต่ผู้อื่น”

          เมื่อมันหัวร่อ อีกสอบกว่าคนในห้องโถงใหญ่ต่างระบายลมออกจากปากยาวๆ อย่างโล่งอก

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกล่าวต่อไป

          “พวกท่านมีผู้ใดรู้จัก เจ้าลูกนางคณิกานาเฮ็กแป๊ะเป็นตัวกระไร?”

          วาจานี้มาตรว่าถามทุกคน แต่สายตามันกลับจ้องหน้าคนผู้หนึ่งแน่วนิ่ง

          คนผู้นี้หน้าขาวๆ ไว้หนวดสองแหยม ดูไปเรียบร้อยอย่างยิ่ง มีอัธยาศัยนุ่มนวลอย่างยิ่ง

          ผู้มิรู้จักมันต้องดูไม่ออก นักศึกษาที่เรียบร้อยสำรวมผู้นี้ จะเป็นบุคคลน่าสะพรึ่งกลัวอันดับหนึ่งของบริวารใต้อำนาจอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย ชนชาวบู๊ลิ้มทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม เมื่อได้ยิ่นนามต้องหวาดหวั่นขวัญฝ่อ มันคือ ฮั่นเจ็ง ฉายา ทิจุยจื้อ (เหล็กแหลม แผลงเป็น สว่านเหล็ก)

          มันผู้นี้นับว่าคล้ายสว่านเหล็กจริงๆ มิว่าท่านมีเปลือกแข็งปานใด มันต่างสามารถเจาะท่านจนกลายเป็นโพรงใหญ่ได้

          แต่มันดูเปลือกนอกกลับคล้ายเป็นคนมีอัธยาศัยนุ่มนวล นอบน้อมน่าคบหา ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ยามกล่าววาจา เสียงแช่มช้าหนักแน่น

          มันรอจนแน่ใจ ไม่มีผู้อื่นตอบคำถามนี้แล้วจึงกล่าวช้าๆ

          “เมื่อนานปีแล้ว มีคนตระกูลบั๊กครอบครัวหนึ่ง เพราะหลบหนีเภทภัย โยกย้ายไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาแช่เซี้ย เฮ็กแป๊ะอาจบางทีเป็นคนในตระกูลนี้”

          อุ้ยเทียงพ้งหัวร่ออีก กวาดตามองรอบข้าง แผดหัวร่อกล่าว

          “เราบอกอยู่นานแล้ว เรื่องราวในโลก เด็กน้อยนี้คล้ายไม่มีเรื่องใดมิทราบเลย”

          ฮั่นเจ็งแย้มยิ้มกล่าว

          “แต่ข้าพเจ้ามิทราบ พวกมันไปซ๋อนตัวในสถานที่ใดของภูเขาแชเซี้ย นานปีที่ผ่าน ยังไม่เคยมีผู้ใดหาสถานที่ซ่อนตัวของพวกมันพบ เพียงแต่ว่าทุกสี่ห้าปี พวกมันจะต้องออกจากเขามาเองสักครั้ง”

          “ออกมาด้วยเรื่องอันใด?”

          “เกี่ยวข้องเรื่องไร้สาระ”

          ใบหน้าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยเครียดลงอีกครา มันไม่พอใจผู้ชมชอบเกี่ยวข้องเรื่องไร้สาระเสมอมา ฮั่นเจ็งกล่าวต่อ

          “พวกมันมิอาจไม่เกี่ยวข้องเรื่องไร้สาระ เนื่องเพราะพวกมันรับสมอ้างเป็นทายาทรุ่นหลังของบั๊กเต็ก (บั๊กจื้อ... ปราชญ์ในสมัยเลียดก๊ก) บุตรหลานหรือศิษย์ตระกูลบั๊ก ความจริงก็ไม่อาจปลีกตัวซ่อนกาย เพื่อรักษาชีวิตตัวเองโดยตลอดชาติได้”

          อุ้ยเทียนพ้งขมวดคิ้วกล่าว

          “บั๊กเต็กเป็นตัวกระไรอีก?”

          ฮั่นเจ็งแย้มยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าว

          “มันมิใช่เป็นตัวกระไร เป็นมนุษย์”

          อุ้ยเทียนพ้งกลับหัวร่อ คนที่กล้าประฝีปากกับมันมีอยู่ไม่มากเลย

          เฉกเช่นกับคนที่ถูกยกย่องเป็นไท้เอี๊ย (ผู้เฒ่าที่มีทรัพย์สินและมีอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่) ส่วนมากบางครั้งก็พอใจให้มีคนมาประฝีปากย้อนสักคำสองคำ

          ฮั่นเจ็งกล่าวต่อ

          “บั๊กเต็กก็คือบั๊กจื้อ ปณิธานของตระกูลบั๊ก คือ บำบัดทุกข์บำรุงสุขคนทั่วไป กระทั่งยังไม่เสียดายจะสละชีวิตตัวเอง ดังนั้นทายาทตระกูลบั๊ก ต้องไม่อาจถอนตัวออกสำรวมโดยสุขสงล ต้องเป็นวีรบุรุษมีคุณธรรม”

          สีหน้าอุ้ยเทียนพ้งเครียดลงอีกครั้ง กล่าวเสียงกระด้าง

          “หรือเจ้าอุบาทว์ชาติชั่วเฮ็กแป๊ะ นับเป็นวีรบุรุษได้?”

          ฮั่นเจ็งยิ้มพลางตอบ

          “วีรบุรุษก็มีหลายประเภท”

          “อ้อ?”

          “มีวีรบุรุษประเภทหนึ่ง เรื่องราวที่กระทำ แม้ดูแล้วจะโอ่อ่าอาจหาญ แต่ความจริงกลับได้แฝงจุดประสงค์ที่ลี้ลับอยู่”

          “มันเป็นประเภทนั้นหรือไม่?”

          “ดูท่าคล้ายดั่งใช่”

          “วีรบุรุษประเภทนี้รับมือง่าย”

          “รับมือเยี่ยงไร?”

          “สังหารไปคน น้อยไปคน”

          “สังหารไม่ได้”

          “ไฉนสังหารไม่ได้?”

          “วีรบุรุษก็เช่นกับวิญญูชน มิว่าเป็นจริงหรือสวมหน้ากาก ต่างไม่อาจสังหารได้”

          อุ้ยเทียนพ้งถึงกับแผดหัวร่อกล่าว

          “ถูกต้อง หากท่านสังหารพวกมัน ต้องมีคนประณามท่านเป็นผู้โฉดชั่วต่ำทรามสูญสิ้นมนุษยธรรมและคุณธรรม”

          “ดังนั้น พวกมันจึงสังหารไม่ได้”

          อุ้ยเทียนพ้งถลึงตากล่าว

          “ย่อมสังหารไม่ได้ ผู้ใดว่าจะสังหารพวกมัน เราก็จะสังหารผู้นั้นก่อน”

          “อย่าว่าแต่จะสังหารพวกมัน ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “หรือเจ้าอุบาทว์ชาติชั่วตัวนั้น พอมีอยู่สองสามท่า?”

          “ส่วนตัวมันอาจบางทีไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือผู้ขายชีวิตแทนมัน”

          “ผู้ขายชีวิตแทนมัน? หมายความว่าอย่างไร?”

          “ความหมายของผู้ขายชีวิต คือคนเหล่านั้นพร้อมที่จะตายแทนมันได้ทุกเวลา”

          “หรือคนเหล่านั้นไม่ต้องการชีวิต?”

          ฮั่นเจ็งผงกศีรษะตอบ

          “คนที่ไม่ต้องการชีวิต ก็คือคนน่ากลัวที่สุด หลักวิชาบู๊ที่ไม่ต้องการชีวิต คือวิชาบู๊ที่น่ากลัวที่สุด”

          อุ้ยเทียนพ้งสงบรอคำอธิบายของมัน ฮั่นเจ็งกล่าวต่อ

          “เนื่องเพราะท่านฟันมันดาบหนึ่ง มันก็พอจะฟันใส่ท่านดาบหนึ่งเช่นกัน”

          อุ้ยเทียนพ้งมีท่าทีไม่พอใจคำอธิบายนี้นัก ฮั่นเจ็งจึงกล่าวต่อ

          “มาตรว่าท่านลงมือเร็วกกว่ามัน แต่ตอนท่านฆ่ามัน มันยังพอจะฆ่าท่านได้ เนื่องเพราะเมื่อดาบท่านฟันลง มันไม่มีเจตนาหลบหลีกเลย ดังนั้นตอนดาบท่านฟันเข้าใส่ร่าง พริบตาเยวกันมันก็มีเวลาพอมาฆ่าท่าน”

          อุ้ยเทียนพ้งพลันเดินเข้าไป ตบบ่ามันฉาดใหญ่แล้วกล่าว

          “กล่าวได้ประเสริฐ กล่าวได้มีเหตุผล”

          ฮั่นเจ็งมองหน้ามันแน่วนิ่ง เข้าใจความหมายของมันแล้ว

          มิใช่ศัตรูที่ต้องสังหาร ก็คือมิตรสหาย

          นี่มิเพียงเป็นหลักการในชีวิตอุ้ยเทียนพ้งเท่านั้น ยังเป็นหลักการของวีรบุรุณในบู๊ลิ้ม ตั้งแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันด้วย

          กับบุคคลประเภทนี้ หลักการนี้นับว่าถูกต้อง ไม่อาจบ่ายเบี่ยงปฏิเสธได้

          ฮั่นเจ็งกล่าวต่อ

          “ท้งเล่าตั้วบอกแล้ว พวกมันจะไปเมืองเชี่ยงอัน”

          อุ้ยเทียนพ้งผงกศีรษะช้าๆ กล่าว

          “ฟังว่าแนเฮียงฮี้งมีอาณาบริเวณที่สวยงามยิ่ง เรามีความต้องการไปเที่ยวอยู่นานแล้ว”

          “แนเฮียงฮี้งมีอาณาบริเวณร่วมสองพันไร่ ปลูกดอกเหมยเป็นพันๆ หมื่นๆ ต้น ตอนนี้เป็นเวลาที่ดอกเหมยบานสะพรั่งสวยงามที่สุด ดังนั้น....”

          “ดังนั้นเป็นไร?”

          “ในเมื่อเฮ็กแป๊ะไปที่นั้น พวกเราไฉนไม่อาจไปที่นั้น?”

          “พวกเราย่อมอาจไป”

          “ในเมื่อจะไป มิสู้พาลเหมาสถานที่นั้นไว้เสียเลย”

          “มีเหตุผล”

          “รอเมื่อเฮ็กแป๊ะไป พวกเราก็จะได้ต้อนรับมันอย่างดี ให้มันได้เห็นความภาคภูมิของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย หากมันมิใช่โง่เขลาปัญญาอ่อน ภายหน้าต้องไม่กล้าตั้งตัวเป็นอริกับพวกเราอีกแล้ว”

          “มันใช่โง่เขลาปัญญ่อ่อนหรือไม่?”

          “ย่อมไม่ใช่”

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยปรบมือหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ ความคิดอันประเสริฐ”

-------

          ระเบียงยาวเงียบสงบ นอกระเบียงก็ปลูกต้นเหมย

          ท้งตั้งซัวกับฮั่นเจ็งเดินช้าๆ อยู่ในระเบียง ความจริงพวกมันเป็นสหายเก่าแก่กัน แต่มิได้พบกันนานปีแล้ว

          ลมหนาวเหน็บ ในลมหนาวมีกลิ่นหอมของดอกเหมยอบอวล

          ท้งตั้งซัวพลันหยุดเท้า เพ่งมองฮั่นเจ็งพลางกล่าว

          “มีเรื่องหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ามักรู้สึกประหลาดใจอยู่เสมอ”

          “เรื่องอันใด?”

          “ไฉนมีแต่วาจาที่ท่ากล่าว เล่าเอี้ยจื้อจึงเห็นเป็นความคิดที่ประเสริฐดีงาม?”

          ฮั่นเจ็งหัวร่อเบาๆ ตอบ

          “นั่นเนื่องเพราะเป็นความคิดของท่านอยู่ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าเพียงแต่ช่วยท่านบอกออกมาเท่านั้น”

          “ในเมื่อเป็นความคิดของเล่าเอี๊ย ไฉนจึงต้องให้ท่านเป็นผู้บอกแทน?”

          “ท่านติดตามเล่าเอี๊ยมานานเท่าใดแล้ว?”

          “อย่างน้อยก็สิบกว่าปี”

          “ท่านดูเล่าเอี๊ยเป็นคนอย่างไร?”

          ท้งตั้งซัวลังเลแล้วย้อนถาม

          “ในความเห็นของท่าน?”

          “ข้าพเจ้าคิดว่าท่านต้องเข้าใจเล่าเอี๊ยเป็นคนหยาบคายยิ่ง มุทะลุดุดันยิ่ง มิเคยรู้จักใช้สมอง หาเล่ห์อุบายรับมือผู้คนเลย”

          “หรือเล่าเอี๊ยมิใช่คนเช่นนั้น?”

          “กาลก่อนที่แปดผู้กล้าตงง้วนอาละวาดในแผ่นดิน ทุกผู้คนต่างเห็นพ้องต้องกันที่เปรื่องปราดหลักแหลมที่สุดคือเล้าซาเอี๊ย (ท่านที่สาม) ที่ร้ายกาจที่สุดคือลี้ชิกเอี๊ย (ท่านที่เจ็ด) เหลวไหลที่สุดคืออุ้ยโป้ยเอี๊ย (ท่านที่แปด)

          “ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินคนเล่ามา”

          ฮั่นเจ็งแย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “แต่บัดนี้ เล่าซาเอี๊ยที่เปรื่องปราดหลักแหลมที่สุด กับลี้ชิกเอี๊ยที่ร้ายกาจที่สุดต่างตายไปแล้ว อุ้ยโป้ยเอี๊ยที่เหลวไหลที่สุดกลับยังมีชีวิตอยู่ และมีความเป็นอยู่เยี่ยมกว่ากาลก่อนอีกมากหลายด้วย”

          ท้งตั้งซัวก็หัวร่อแล้ว พลันเข้าใจความหมายของฮั่นเจ็งกระจ่าง

          มีแต่คนที่รู้จักมารยาเป็นเหลวไหล และยอมแสร้งเป็นเหลวไหลเท่านั้น จึงฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ร้ายกาจที่สุด

          ท้งตั้งซัวถอนใจกล่าว

          “แต่เสียดาย ที่การแสร้างเป็นงมงายเหลวไหล ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “มิง่ายดายจริงๆ”

          “ดูท่าท่านเป็นคนไม่รู้จักมารยาเป็นโง่งมเหลวไหล?”

          ฮั่นเจ็งฝืนยิ้มตอบ

          “แม้นับว่าข้าพเจ้าตอนนี้เหลวไหลจริง ก็ไม่อาจแสดงความโง่งมเหลวไหลออกมาได้สักน้อยนิด”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะข้างกายคนเหลวไหล มักจะมีคนชาญฉลาดปราดเปรื่องอยู่ บทบาทที่ข้าพเจ้าแสดงในตอนนี้ คือคนฉลาดปราดเปรื่อง”

          “ดังนั้นขอเพียงเป็นที่ท่านบอกออกมา เฒ่าผู้นั้นก็ต้องเห็นเป็นความคิดประเสริฐ?”

          “แม้นับว่าภายหลังพบเห็น นั่นมิใช่เป็นความคิดประเสริฐ ที่ผิดก็เป็นข้าพเจ้ามิใช่เล่าเอี๊ย”

          “ดังนั้นที่ผู้อื่นแค้นก็เป็นท่าน มิใช่เล่าเอี๊ย”

          ฮั่นเจ็งถอนใจตอบ

          “ดังนั้น ท่านตอนนี้จึงควรเข้าใจ คนชาญฉลาดไฉนจึงมักต้องตายเร็วเป็นพิเศษ”

          ท้งตั้งซัวแย้มยิ้มกล่าว

          “แต่มีคนอีกประเภทหนึ่ง ที่มักต้องตายก่อนคนฉลาดปราดเปรื่อง”

          “คนประเภทใด?”

          “คนที่เป็นคู่อริกับเล่าเอี๊ย”

          ฮั่นเจ็งก็แย้มยิ้มกล่าว

          “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นใจคนประเภทนั้นเสมอมา พวกมันคิดจะยังชีวิตอยู่ นับว่าไม่ง่ายดายจริงๆ”

---------

          ปั๊งลักเดินช้าๆ อยู่บนทางน้อยที่มีหิมะหนา มองแต่ไกลพอจะเห็นดอกเหมยแดงฉานปานเปลวไฟ บานสพรั่งอยู่ในอุยานเนเฮียงฮึ้ง

          “ไปเหมาแนเฮียงฮึ้งไว้ อัปเปหิคนที่พักอยู่ภายในออกไปให้หมดสิ้น มิว่าคนเป็นหรือคนตาย ต่างต้องอัปเปหิออกไป”

          นี่คือคำสั่งของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย ซึ่งเป็นแบบฉบับการออกคำสั่งของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยเสมอมา

          มันใช้ท่านไปกระทำเรื่องราวใดก็ตาม ท่านจะต้องกระทำให้สำเร็จ สำหรับท่านจะกระทำด้วยวิธีใด ฝีมือไหน มันต่างไม่สนใจ เรื่องนั้นจะมีความยุ่งยากลำเค็ญเพียงไหน มันยิ่งไม่สนใจ

          ความยุ่งยากทั้งมวล ต่างต้องให้ท่านไปพิชิตด้วยตัวเอง หากท่านไม่สสามารถพิชิต ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นบริวารอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย เป็นศิษย์ของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย

          ปั๊งลักเป็นผู้รับคำสั่งมา

          มันเป็นคนที่สุขุมรอบคอบ.... สุขุมอย่างยิ่ง

          ผ่านทางน้อยหิมะหนาสายนี้ ก็เป็นที่ทำงานของแนเฮียงฮึ้ง ผู้อยู่เวรดูแลปกติมักจะมาอยู่ในที่ทำงานนี้ ปั๊งลักหวังให้ผู้อยู่เวรวันนี้เป็นคนชาญฉลาด

          คนชาญฉลาดต่างทราบ การขอร้องของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยไม่ยินยอมให้บ่ายเบี่ยงปฏิเสธเด็ดขาด

---------

          ผู้อยู่เวรดูแลแนเฮียงฮึ้งในวันนี้เป็นชายกลางคนวัยสามสิบเศษ ดูไปแม้มิใคร่ชาญฉลาดนัก แต่ก็ไม่โง่เขลานัก

          “ข้าพเจ้าเอี้ยฮึง มิว่ากงจื้อจะมาชมบุปผาดื่มสุรา หรือคิดจะพักผ่อนที่นี้สักหลายวัน ต่างสั่งมาได้เต็มที่”

          คำตอบของปั๊งลักยิ่งรวบรัดตัดความ

          “พวกเราจะเหมาที่นี้ไว้”

          เอี้ยฮึงมีทีท่าผิดคาดหมายยิ่ง แต่ยังคงแย้มยิ้มตอบ

          “ที่นี้มีตึกอยู่ยี่สิบเอ็ดช่วง หอสิบสี่หลัง ห้องประชุมเจ็ดหลัง เรือนบุปผายี่สิบแปดหลัง ตึกพักอีกสองร้อยกว่าหลัง กงจื้อจะเหมาหมดสิ้น?”

          “ถูกแล้ว”

          “กงจื้อมากันมากน้อยเท่าใด?”

          “แม้นับว่ามาเพียงคนเดียว ก็ต้องการเหมาะไว้”

          เอี้ยฮึงหน้าเครียดทันที แค่นเสียงเย็นชา

          “นั่นต้องดูผู้มาเป็นคนเช่นไร?”

          “คืออุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย”

          เอี้ยฮึงกล่าวด้วยความตื่นเต้น

          “อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย? อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยของป้อเต๋ง?”

          ปั๊งลักผงกศีรษะ รู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง เกียรติภูมิของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย อย่างไรก็มีน้อยคนนักที่ไม่ทราบ

          เอี้ยฮึงมองปั๊งลักแน่วนิ่ง ดวงตาพลันมีประกายยิ้มแย้มที่กลอกกลิ้งขึ้นวูบกล่าวอีกว่า

          “คำสั่งของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย ความจริงข้าพเจ้าไม่กล้าฝ่าฝืน แต่ทว่า...”

          “แต่ทว่ากระไร?”

          “เมื่อครู่ก็มีผู้มีเกียรติท่านหนึ่งมาเหมาสถานที่นี้ไว้ โดยให้ค่าเช่าวันละหนึ่งพันตำลึง ข้าพเจ้ายังมิได้รับปาก หากตอนนี้มารับปากกงจื้อ จะไปว่ากล่าวกันท่านผู้มีเกียรติผู้นั้นได้อย่างไร?”

          ปั๊งลักขมวดคิ้วสวยคำ

          “ผู้นั้นอยู่ที่ใด?”

          เอี้ยฮึงมิตอบ แต่มองผ่านไหล่ปั๊งลักออกไป

          ปั๊งลักจึงหันกายมองตาม ก็เห็นใบหน้าที่เซียวซีด ชาด้านไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

          มันยืนสงบอยู่ในมุมห้อง สวมเพียงเสื้อผ้าปอสีขาวที่บางเบา หลังยังสะพายม้วนเสื่อ มือถือกระบองสั้น

          เมื่อครู่ตอนปั๊งลักเข้ามา มิได้พบเห็นคนผู้นี้ บัดนี้คนผู้นี้ถึงกับคล้ายมิได้มองปั๊งลักเช่นกัน ตาที่ขุ่นมัวเย็นชา ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง คล้ายกำลังเหม่อมองทิศทางสุดแสนไกลอยู่

          คล้ายดังว่า ทุกผู้คน ทุกเรื่องราวของโลกนี้ มิได้มีคุณค่าในสายตามันเลยก็ปาน

          ที่มันสนใจ คล้ายดั่งความอ้างว้างของสุดแสนไกล สถานที่อ้างว้างเลื่อนลอยแห่งเดียวเท่านั้น

          มีแต่อยู่ในที่นั้น มันจึงได้รับความสุขสงบโดยแท้จริง ปั๊งลักเพียงมองมันแวบเดียวก็เบือนหน้ากลับ

          ปั๊งลักทราบมันเป็นผู้ใดแล้ว ไม่คิดที่จะพิจารณาละเอียดนัก ยิ่งไม่ต้องการว่ากล่าวกับมัน

          ปั๊งลักทราบ มิว่ากล่าวกระไรกับคนผู้นี้ ล้วนแล้วเป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่ง

          ดวงตาเอี้ยฮึงยังมีประกายแย้มยิ้มที่กลอกกลิ้ง ปั๊งลักพลันกล่าว

          “ท่านเป็นคนค้าขาย?”

          “ข้าพเจ้าความจริงเป็นคนค้าขายอยู่แล้ว”

          “ค้าขายเพราะต้องการอะไร?”

          “ย่อมต้องการกำไรเงินทอง”

          “ประเสริฐ ข้าพเจ้าให้ท่านวันละหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง รางวัลพิเศษแก่ท่านอีกหนึ่งพันตำลึง”

          ปั๊งลักทราบ ตกลงค้าขายกับคนค้าขาย ง่ายดายกว่าตกลงกับคนที่ไม่ต้องการชีวิตมากนัก

          เป็นบริวารอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมานานปี มันได้เรียนรู้วิธีเลือกเฟ้นที่ถูกต้อง การคำนวณที่แม่นยำ

          เอี้ยฮึงถูกกระตุ้นจนหวั่นไหวจริงๆ แต่พลันได้ยิ่นคนชุดขาวแค่นเสียงเย็นชา

          “เราให้หนึ่งพันหาร้อยตำลึงบวกกับของนี้”

          ปั๊งลักรู้สึก ที่ด้านหลังมีรังสีดาบเย็นยะเยืยบแผ่ซ่านออกมา อดไม่ได้ต้องเหลียวไปมอง

          เห็นคนชุดขาวชักดาบบางออกจากกระบองสั้น พลิกดาบวูบถึงกับเฉือนเนื้อที่น่องออกมาชิ้นหนึ่ง วางเนื้อที่มีโลหิตชุ่มโชกลงไปบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า สีหน้ายังคงชาด้านไร้ความรู้สึก ถึงกับคล้ายไม่เจ็บปวดสักน้อยนิดก็ปาน!

          ปั๊งลักที่จับตามอง หางตากระตุกถี่เร็วอยู่ตลอดเวลา เนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

          “ราคานี้ข้าพเจ้าก็ชำระได้”

          ดวงตาที่ขุ่นขาวเวิ้งว้างของคนชุดขาว เพียงเหลือบมองแวบเดียว ก็เบือนไปดูที่สุดแสนไกลอีก

          ปั๊งลักชักมีดนั้นมาช้าๆ เฉือนเนื้อที่น่องออกมาชิ้นหนึ่งเช่นกัน

          มันเฉือนช้าอย่างยิ่ง พินิจพิเคราะห์อย่างยิ่ง

          มันมิว่ากระทำเรื่องราวใด ต่างสุขุมเป็นอย่างนิ่ง

          เนื้อถูกเชือดแม้เจ็บปวด แต่หากปฏิบัติตามคำสั่งอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยไม่สำเร็จ ต้องยิ่งเจ็บปวดกว่านี้มากนัก

          ครั้งนี้ การคำนวณและตัดสินใจของมันควรถูกต้องเช่นกัน..... อาจบางที มันไม่มีทางพอจะให้เลือกเฟ้นเลยก็ได้

---------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น