วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) อานุภาพร่มฟ้าดิน

 

อานุภาพร่มฟ้าดิน

ในห้องพิธีไม่มีคน... กระทั่งซาดศพยังไม่มี!

กัวแป้หลงกังวลเกินกว่าเหตุแล้ว เพิ่งถึงโรงเตี๊ยมฮ้งปินก็พบเห็น บรรดาซากศพต่างถูกลำเลียงไปหมดสิ้น

ในห้องเสมียนก็เวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีคน ยิ่งไม่มีสมุดของขวัญ ของขวัญทั้งปวงย่อมถูกขนไปหมดสิ้น

เต็งฮุ้นลิ้มยืนตะลึงลาน!

ตอนนี้ยังคงเป็นวิกาลดึกสงัด นางออกจากที่นี้ไปไม่นานเท่าใด พฤติการณ์ของม้อก้านับว่ารวดเร็วจนน่ากลัวจริงๆ

กัวแป้พลันถาม

“กระสอบอัญมณีที่สี่จ้าวฟ้าส่งมาให้ ความจริงอยู่ในห้องบัญชีนี้ด้วยหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ กัวแป้ถามต่อ

“อย่างนั้น เรื่องนี้ต้องมิใช่เป็นการกระทำของม้อก้าแน่”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะอัญมณีกระสอบนั้น เป็นพวกมันใช้มาซื้อชีวิต บัดนี้ชีวิตถูกพวกมันซื้อไปแล้ว พวกมันต้องไม่ลอบลักอัญมณีเหล่านั้นกลับไปอีกเป็นอันขาด”

“ดังนั้น ซากศพก็มิใช่เป็นพวกมันลำเลียงไป?”

“ไม่ใช่เด็ดขาด”

“มิใช่พวกมันเป็นพวกใด? นอกจากพวกมันยังมีผู้ใดมือเท้ารวดเร็วปานนี้?”

จะลำเลียงซากศพมากหลาย และของขวัญมากมายไปจนหมดสิ้น มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย

ผู้อื่นต้องการซากศพเหล่านั้น ย่อมไม่มีประโยชน์แม้สักน้อยนิด

เต็งฮุ้นลิ้มคิดไม่ออก กัวแป้ก็คิดไม่ออก

สายลมโชยเข้ามาทางหน้าต่าง โชยสัมผัสหน้านาง นางพลันรู้สึกหนาวเหน็บ จนต้องสยิวกาย

ตอนลมโชยพัดเข้ามา ถึงกับยังพาเสียงขลุ่ยแว่วมาอีกด้วย!

เสียงขลุ่ยวิเวกและรันทด เต็งฮุ้นลิ้มพลันนึกถึงใบหน้าที่ซีดขาวของคนเป่าขลุ่ยทันที อดมิได้ต้องถาม

“ท่านเมื่อครู่มิได้พามันไป?”

กัวแป้สั่นศีรษะ

มันไฉนยังอยู่ที่นี้?

มันพบเห็นกระไรอีก?

กัวแป้กับเต็งฮุ้นลิ้มทะยานกายออกจากหน้าต่างไปพร้อมกัน ทั้งสองต่างทราบ ผู้สามารถตอบปัญหานี้มีเพียงคนเดียว

ทั้งสองต่างต้องหาคนเป่าขลุ่ยให้พบ!

------------------------------

ไม่มีคน

คนเป็นหรือคนตาย... ต่างไม่มี

มีแต่โคมที่ริบหรี่ใกล้ดับ และมีแต่โคมที่ดับแล้ว โรงเตี๊ยมเวิ้งว้างวังเวง ตึกเวิ้งว้างว่างเปล่า

มาตรว่าซากศพถูกลำเลียงไป ในลานยังมีกลิ่นคาวโลหิตฉุนเฉียว ลมวิกาลยิ่งเหน็บหนาว จนโลหิตในร่างแทบแข็งตัว

คนเป่าขลุ่ยเล่า?

เสียงขลุ่ยละลิ่วแผ่วพลิ้ว ฟังไปคล้ายดั่งใกล้อย่างยิ่ง แต่ก็คล้ายไกลอย่างยิ่ง

ตอนทั้งสองอยู่ในห้อง เสียงขลุ่ยกับอยู่นอกกำแพง

วิกาลนอกกำแพง มืดมิดราวม่านดำ

ทั้งสองโฉบผ่านกำแพงที่ยังมีหิมะสุมหนา ในวิกาลเวิ้งว้างสุดสายตา มีโคนริบหรี่อยู่เพียงดวงเดียว วับแวมดั่งไฟปิศาจ

ใต้โคมคล้ายดั่งยังมีเงาร่างคน เลือนรางดั่งวิญญาณ คล้ายกำลังเป่าขลุ่ยอยู่

ผู้นี้เป็นใคร?

ใช่คนเป่าขลุ่ยเมื่อครู่หรือไม่?

มันไฉนจึงมาเป่าขลุ่ยอยู่ใต้โคมโดดเดี่ยวเพียงลำพัง หรือจงใจรอทั้งสอง?

วิกาลที่หฤโหดปานนี้ มันยังมาจับเจ่ารอทั้งสองโดยโดดเดี่ยวลำพัง เพราะสาเหตุใดกันแน่?

ปัญหาเหล่านี้ ก็มีผู้สามารถตอบได้เพียงคนเดียว

------------------------------

โคมโดดเดี่ยวแขวนอยู่บนกิ่งไม้โกร๋น แกว่งไกวไปตามสายลม

เต็งฮุ้นลิ้มพอเห็นโคมก็จำได้ เป็นโคมที่โรงเตี๊ยมฮ้งปินใช้ออกต้องรับผู้มาพักแรม

แต่นางกลับมองคนผู้นั้นไม่ชัดเจน

นางคิดจะโถมเข้าไป แต่กัวแป้รีบคว้าแขนนางไว้ นางรู้สึกได้ มือของชายชรามีแต่เหงื่อเย็นเปียกชุ่ม

คนที่มีวัยสูง ยิ่งใกล้วันเวลาเข้ารายงานตัวกับพญายม ไฉนกลับยิ่งขวัญวฝ่อกลัวตาย?

เต็งฮุ้นลิ้มขบริมฝีปาก ลดเสียงแผ่วเบากล่าว

“ท่านกลับไปโรงเตี๊ยมก่อนก็ได้ ข้าพเจ้าเข้าไปดูเพียงลำพัง”

กัวแป้ถอนใจยาว

มันทราบนางเข้าใจความหมายมันผิดไปแล้ว มันมิใช่กังวลชีวิตมันเอง แต่กังวลนาง

“เราเป็นคนชราแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดน่ากลัวอีก แต่ทว่า...”

“ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปดูให้รู้แน่”

เสียงขลุ่ยพลันชะงักหาย ในความมืด มีเสียงคนแค่นหัวร่อกล่าว

“เราทราบพวกท่านรอเราอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ไฉนยังไม่เข้ามา?”

เสียงแหลมเล็ก แหลมเล็กจนเสียดหูปานเข็ม!

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มวาบหวิว ฝ่ามือก็มีเหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมา

นางเคยได้ยินเสียงนี้!

มิว่าผู้ใดได้ยินเสียงนี้ เพียงฟังครั้งเดียว เป็นต้องจดจนำไปชั่วชีวิต

หรือคนผู้นี้ เป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า?

สีหน้ากัวแป้แปรเปลี่ยนไปทันที กล่าวเบาๆ

“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่?”

คนใต้โคมโดดเดี่ยว แค่นหัวร่อสวนคำ

“ท่านไฉนไม่เข้ามาดู เราเป็นผู้ใดกันแน่?”

เต็งฮุ้นลิ้มย่อมจะเข้าไป

มาตรว่านางแน่แก่ใจ การไปครานี้ต้องตายโดยยากจะรอด ยังคงต้องเข้าไปดูให้ได้

แต่กัวแป้ยังคงคว้าแขนนางไว้แนบแน่น ชิงตอบขึ้น

“เราจะเร็วจะช้า ย่อมทราบท่านเป็นผู้ใด เรามิได้รุ่มร้อนนัก”

เต็งฮุ้นลิ้มโพล่งขึ้น

“ข้าพเจ้ารุ่มร้อน!

นางพลันหันกาย กระแทกศอกใส่ชายโครงกัวแป้ ร่างนางโถมปราดไปเบื้องหน้า

แสงไฟพลันดับไป!

 

ลมหนาวโชยพัดผ่านพสุธากว้างใหญ่ พสุธามีแต่ความมืดมิด

แต่เต็งฮุ้นลิ้มโถมไปเบื้องหน้าคนผู้นั้นแล้ว เห็นหน้ามันชัดตาแล้ว

ใบหน้าที่ซีดขาวบิดเบี้ยว ดวงตาที่มีประกายแตกตื่นขวัญเสีย ถลนออกนอกเบ้าดุจเป็นตาปลาตายจ้องมองมา เต็งฮุ้นลิ้มก็เห็นใบหน้ามัน เห็นร่างมัน

มันคือคนที่ถูกขู่ขวัญจนสูญสิ้นวิญญาณ ยืนซึมเซาเป่าขลุ่ยอยู่ในกองโลหิตนั้น... เป็นคนเดียวที่ยังรอดชีวิตอยู่ในห้องพิธีนั่นเอง

หรือมันคือฆาตกรที่ฆ่าคน?

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่น พลันพบเห็น มีโลหิตไหลออกจากหางตามันช้าๆ ไฟลผ่านหน้าที่ซีดขาวของมัน

ลมหนาวกรรโชกมา นางอดมิได้ต้องสยิวกายอีกเฮือกหนึ่ง

นางพลันพบเห็น คนผู้นี้ถึงกับตายไปแล้ว!

 

คนตายไฉนส่งเสียงกล่าวได้?

คนตายไฉนเป่าขลุ่ยได้?

คนตายต้องไม่อาจส่งเสียงเด็ดขาด ยิ่งไม่อาจเป่าขลุ่ย!

ในมือมันยังไม่มีขลุ่ยอยู่เลย!

เสียงขลุ่ยเมื่อครู่ ดังมาจากแห่งหนใดกันแน่?

เต็งฮุ้นลิ้มถอยไปทีละก้าว เพิ่งถอยได้สองก้าว ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา คว้ามือนางไว้อย่างว่องไวปานสายฟ้า

มือที่เย็นเฉียบ เย็นเฉียบและแข็งกระด้าง!

คนตายไฉนยังลงมือได้? !

ร่างเต็งฮุ้นลิ้มเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง แทบจะเสียสติด้วยความหวาดหวั่น

แต่นางมิได้สลบไป เนื่องเพราะนางพบเห็น มือข้างนี้ยื่นออกมาจากหลังคนตาย

แต่มือข้างนี้เย็นเกินไป ยังเย็นกว่ามือคนตายเสียอีก!

มิเพียงเย็นเฉียบ ยังแข็งแกร่ง!

แข็งแกร่งยิ่งกว่าคีมเหล็ก!

นับว่าไม่คล้ายเป็นมือคนมีชีวิตจริงๆ เต็งฮุ้นลิ้มใช้กำลังทั้งตัว ยังคงไม่อาจสลัดหลุดได้

หลังคนตาย มีเสียงแหลมเล็กเสียดหูแว่วออกมาอีกครั้ง

“ท่านมีความต้องการดูเรา เป็นผู้ใดใช่หรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มขบริมฝีปากอย่างแรง ริมฝีปากถูกขบจนมีโลหิตซึมออกมา

“หากท่านทราบเราเป็นผู้ใด ท่านก็ต้องตาย”

มือของมันใช้กำลังบีบแรงกว่าเดิม กล่าวต่อไป

“ตอนนี้ยังต้องการดูเราอีกหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันรวมกำลัง ผงกศีรษะอย่างแรง

หากผู้ใดมีชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นดั่งนาง ความตายยังจะเป็นที่น่ากลัวอย่างไร?

นางดูมือคนผู้นั้น มือมันเมื่อมองในความมืด คล้ายดั่งยังมีประกายของโลหะ

แขนเสื้อของมันเป็นสีเขียว ขอบแขนเสื้อปักยอดเขาสีเขียวไว้

จ้าวฟ้าปูตาลา!

โกวฮง (ยอดเขาโดดเดี่ยว) !

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มเย็นเฉียบไปแล้ว

นางกระทั่งยังหวัง ตัวนางพบภูตผียังประเสริฐกว่า

ในความรู้สึกนึกคิดของชนชาวนักเลง สีจ้าวฟ้าของม้อก้ายังมีความน่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก

นางไม่กลัวตาย!

แต่นางก็ทราบ หากผู้ใดตกอยู่ในมือม้อก้า ประสบการณ์นั้น ต้องยิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าตายเสียอีก

จากมือของคนผู้นี้ นางดูไปถึงแขนเสื้อ ค่อยๆ มองขึ้นไปทีละน้อย... ในที่สุด นางมองเห็นหน้ามันแล้ว

ใบหน้าที่ซีดขาว ชาด้านปานคนตาย

ในสายตาเต็งฮุ้นลิ้ม ใบหน้านี้ยังน่ากลัวยิ่งกว่าคนตาย ในที่สุด นางอดมิได้ต้องกรีดร้องสุดเสียง

“ท่านเอง?”

“ท่านคิดมิถึงจะเป็นเรา?”

“ท่าน... ท่านคือปูตาลา?”

“ใช่ เราคือปูตาลา คือจ้าวแห่งยอดเขาโดดเดี่ยว สูงส่งไม่อาจตะเกียกตะกายขึ้น ยอดเขาที่สูงตระหง่านเสียดฟฟ้า มิว่าผู้ใดได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของเรา ต่างมีทางเดินเพียงสองสาย”

ทางสองสาย?

นอกจากทางตายแล้ว ถึงกับยังมีอีกสายหนึ่ง!

“ท่านมิใช่มีโทษต้องตายแน่นอน ขอเพียงท่านยอมเข้านิกายพวกเรา ก็เป็นคนของพวกเรา ก็จะมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาล”

“มีชีวิตอยู่ตลอดกาล?”

เต็งฮุ้นลิ้มทวนคำแล้วแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าอย่างน้อยเห็นคนของม้อก้าท่าน มีเจ็ดแปดสิบคนที่ถูกตัดศีรษะทิ้ง ปล่อยให้ตายอยู่ข้างทาง ดุจเป็นสุนัขเถื่อนมาแล้ว”

“แม้พวกมันตายไป ก็ตายอย่างมีความสุขยิ่ง”

“มีความสุข ! ความสุขใด !

“เนื่องเพราะคนที่ฆ่าพวกมัน ได้ชดใช้คุณค่ามาแล้ว”

นึกถึงลิ่มโลหิตและซากศพในห้องพิธี เต็งฮุ้นลิ้มแทบอดมิได้ต้องอาเจียนออกมา

จ้าวฟ้าปูตาลากล่าวต่อไป

“ตอนนี้แม้ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นมิสู้ตาย แต่ขอเพียงยินยอมเข้านิกายเรา มิว่าท่านเป็นหรือตาย ต่างไม่มีผู้ใดกล้ารังแกท่าน”

เต็งฮุ้นลิ้มใช้กำลังขบริมฝีปากอีครั้ง วาจานี้ได้โยกคลอนจิตใจนางจนหวั่นไหวแล้ว

ระหว่างนี้ นางถูกรังแกจนคับแค้นอย่างยิ่ง

ปูตาลาจับตามองนางแน่วนิ่ง ดวงตาที่คมวาวราวเหยี่ยวร้ายของมัน มีประกายเย้ยหยันดูแคลน กล่าวเสียงเย็นชาต่อ

“เราทราบ ท่านมิใช่คิดจะตายจริงๆ ไม่มีผู้ใดคิดจะตายจริงๆ เลย”

เต็งฮุ้นลิ้มก้มศีรษะต่ำ

นางยังเยาว์วัย ยังมิได้เสพสุขของชีวิตสาสมใจ นางไยต้องตายให้ได้?

ดรุณีที่ถูกรังแกมาจนคับแค้นอัดอก มีโอกาสไปทรมานผู้อื่นบ้าง ไยมิใช่เป็นเรื่องพึงปีติยิ่ง!

วาจานี้ มีอานุภาพเย้ายวนรุนแรงยิ่งจริงๆ

ดรุณีที่สามารถปฏิเสธความเย้ายวนเยี่ยงนี้ ในโลกก็มีอยู่ไม่มากเลย อย่าว่าแต่เต็งฮุ้นลิ้มยังเป็นคนมีทิฐิ ต้องการเอาชนะอย่างรุนแรงด้วย

ปูตาลาย่อมทราบประการนี้ มันจึงกล่าวต่อ

“ท่านใคร่ครวญดูก่อนก็ได้ แต่ทว่าเรายังต้องเตือนสติท่านอีกสองเรื่อง”

เต็งฮุ้นลิ้มสงบฟัง ปูตาลากล่าวต่อ

“จะเข้านิกายพวกเรา มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย ท่านสามารถมีโอกาสเช่นนี้ นับเป็นบุญวาสนาของท่านอย่างยิ่ง”

มันกล่าวช้าๆ สืบไป

“เนื่องเพราะตอนนี้ นิกายเราจะฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง ในตอนประกาศตั้งนิกาย หากท่านคลาดโอกาสนี้ไป ต้องสำนึกเสียใจชั่วชีวิต”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันถาม

“ท่านใช่จะให้ข้าพเจ้า กราบไหว้เป็นศิษย์ท่าน?”

ปูตาลาสวนคำอย่างโอหัง

“สามารถกราบไหว้เข้ามาเป็นศิษย์เรา ยิ่งเป็นบุญวาสนาของท่าน”

“ข้าพเจ้ามีประโยชน์ต่อท่านใช่หรือไม่?”

ปูตาลามิได้ปฏิเสธ เต็งฮุ้นลิ้มถามต่อ

“ข้าพเจ้ามีประโยชน์ใดต่อท่าน?”

“วันหน้าท่านย่อมจะทราบได้เอง”

“ตอนนี้...”

“ท่านมีประโยชน์ต่อเรา เรายิ่งมีประโยชน์ต่อท่าน ในระหว่างคนต่อคน ความจริงก็ตักตวงผลประโยชน์ในกันและกัน ท่านสามารถมีคุณค่าให้ผู้อื่นใช้เป็นประโยชน์ ดังนั้นท่านจึงรอดชีวิตต่อไปได้”

เต็งฮุ้นลิ้มลังเลแล้วกล่าว

“ท่านบอก ยังจะเตือนสติข้าพเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง?”

“ท่านก็ไม่ต้องรอให้กัวแป้มาช่วยท่าน? มันต้องไม่ช่วยท่านเด็ดขาด มันยิ่งไม่กล้าช่วยด้วย”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะมันก็เป็นศิษย์ของนิกายเรา เข้านิกายมาเป็นเวลานานปีแล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มตะลึงลานไปทันที ปูตาลาถาม

“ท่านไม่เชื่อ?”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่อาจเชื่อเลยจริงๆ

นางแม้รู้จักกัวแป้ไม่นาน แต่นางมีความเคารพนับถือคนผู้นี้เสมอมา

เนื่องเพราะนางทราบ กัวแป้เป็นสหายของเอี๊ยบไค เป็นคนที่ทั้งทระนงโอหัง ทั้งมีความสามารถเปรื่องปราดสูงส่ง

นางต้องไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด สหายของเอี๊ยบไคจะเป็นคนต่ำช้าสามานย์ ที่สวมหน้ากากดีงามหลอกลวงผู้คน

แต่ทว่า กัวแป้เดินเข้ามาแล้ว ยืนห้อยมือสำรวมอยู่ข้างกายปูตาลา คล้ายดั่งข้าทาสยืนอยู่ข้างกายนายของมันมิผิดเพี้ยน

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มวาบหวิวลงอีกครา

ปูตาลาแค่นเสียงเย็นชากล่าว

“ยังเชื่อหรือไม่?”

มาตรว่าเต็งฮุ้นลิ้มมิอาจไม่เชื่อ แต่ยังคงอดมิได้ต้องถามกัวแป้

“ท่านเป็นสาวกม้อก้าจริงๆ?”

กัวแป้ถึงกับยอมรับ

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่น แค่นหัวร่อกล่าว

“ข้าพเจ้ายังเข้าใจ ท่านวิตกกังวลแทนข้าพเจ้าอยู่เสมอมา ช่วยเหลือข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้ายังเข้าใจ ท่านเป็นสหายของข้าพเจ้า นึกมิถึง ท่านจะเป็นคนต่ำช้า จนสามาย์ปานนี้ได้”

ใบหน้ากัวแป้ไม่มีความรู้สึก คล้ายดั่งกลายเป็นคนหูหนวกแล้วก็ปาน

เต็งฮุ้นลิ้มเค้นเสียงจากไรฟันต่อ

“ท่านทราบหรือไม่? ข้าพเจ้าเคารพนับถือท่านอย่างสูงเสมอมา มิเพียงเคารพนับถือหลักวิชาแพทย์ของท่านเท่านั้น ยังเคารพท่านเป็นวิญญูชนผู้หนึ่ง ท่านไฉนจึงยินยอมตกต่ำจนไร้ยางอายปานนี้?”

ปูตาลาแค่นเสียงเย็นชา

“เข้าเป็นสาวกนิกายเรา มิใช่ตกต่ำจนไร้ยางอาย”

เต็งฮุ้นลิ้มระบายลมจากปากยาวๆ กล่าว

“ประเสริฐ ประเสริฐมาก ท่านรีบฆ่าข้าพเจ้าเถิด”

“ท่านตกลงใจแล้ว?”

“ใช่”

“ท่านยินยอมตาย?”

“ใช่”

ปูตาลาอดเกิดความแตกตื่นสงสัยมิได้ ต้องโพล่งขึ้น

“เพราะเหตุใด?”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันร้องสุดเสียง

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าตอนนี้ทราบแล้ว มิว่าผู้ใดเพียงเข้าเป็นสาวกม้อก้า ต่างต้องกลายเป็นคนต่ำช้าสามานย์ที่ไม่อาจพบเห็นผู้อื่น”

แก้วตาปูตาลาหดเล็กลง กล่าวช้าๆ

“ท่านไม่ต้องการใคร่ครวญให้สุขุมกว่านี้?”

เต็งฮุ้นลิ้มเน้นเสียงหนักๆ

“ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญแล้ว”

ปูตาลาจับตามองแน่วนิ่ง ถอนใจกล่าว

“กัวแป้”

“น้อมรับคำสั่ง”

“ชีวิตของนาง คล้ายเป็นท่านเพิ่งช่วยกลับมา?”

“ใช่แล้ว”

“ดังนั้น ท่านมิต้องซื้อชีวิตนาง”

“ทราบแล้ว”

“บัดนี้ ท่านจงนำชีวิตนางมาเถิด”

“ทราบแล้ว”

มันค่อยๆ วางหีบหมี่นวิเศษ ยกร่มฟ้าดินในมือขวา จี้เข้าใส่หว่างคิ้วของเต็งฮุ้นลิ้มอย่างรวดเร็ว

หีบหมี่นวิเศษใช้ช่วยชีวิตคน แต่ร่มฟ้าดินกลับใช้ฆ่าคน

การฆ่าคนของมันทั้งเร็วทั้งแม่นยำ ไม่คล้ายเป็นการลงมือของผู้ชราเลย!

มันเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าทุกผู้คน ส่วนสัดใดในร่างคนจึงเป็นที่สำคัญพอจะปลิดชีวิตได้อย่างแท้จริง

หว่างคิ้วก็คือจุดสำคัญ ที่ปลิดชีวิตคนได้โดยแท้จริง

ไม่มีผู้ใดสามารถทนทานการจู่โจมเยี่ยงนี้จากมัน

แต่เต็งฮุ้นลิ้มมิได้หลบหลีก กลับแค่นหัวร่อดาหน้าเข้าหา

นางทราบ นางไม่มีปัญญาหลบหลีก

ข้อมือนางยังถูกปูตาลาใช้มือที่แข็งแกร่งปานคีมเหล็กหนีบอยู่

ปลายแหลมของร่มฟ้าดินวูบมาที่เบื้องหน้านางดั่งสายฟ้า นางเห็นประกายแวววับวูบวาบ พลันได้ยินเสียงฉาดเบาๆ อีกครา คล้ายดั่งมีเข็มเหล็กสองเล่มปะทะกัน

เรื่องที่เกิดตามติดมา รวดเร็วจนกระทั่งนางยังไม่อาจเห็นชัด!

นางเพียงรู้สึก มือของปูตาลาพลันคลาออกไป จากนั้นตีลังกาขึ้นอากาศ

นางยังคล้ายแลเห็น ตอนร่างปูตาลากระโดดขึ้น ตวัดมือฟาดใส่หลังกัวแป้ฉาดหนึ่ง

ฝ่ามือนี้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ นางไม่มีปัญญาเห็นชัดเจนเลย!

หนึ่งเดียวที่นางเห็นชัดคือ ปูตาลาหนีไปแล้ว กัวแป้ล้มลงแล้ว

แต่นางยังยืนเป็นปกติในที่นั้น มิได้ถูกระคายแม้สักขุมขนหนึ่ง!

นางไม่เข้าใจเป็นเรื่องราวใดกันแน่?

 

วิกาลยิ่งดึก ลมยิ่งเหน็บหนาว โคมกระดาษที่เก่าคร่ำคร่า ยังคงแกว่งไกวอยู่บนกิ่งไม้โกร๋น ซากศพคนเป่าขลุ่ย ยังคงแกว่งอยู่บนกิ่งไม้

ปูตาลาลับหายไปในความมืดมิดแล้ว

กัวแป้ฟุบอยู่กับพื้น หอบหายใจถี่เร็ว ไอถี่เร็ว ไอแต่ละครั้งเป็นต้องมีโลหิตพุ่งออกจากปากมา

ตอนลมพัดผ่านหลังของมัน เสื้อที่หลังมันถูกพัดกระจายเป็นชิ้นๆ เผยเห็นรอยฝ่ามือชัดเจน

รอยฝ่ามือที่เป็นสีแดงฉาน!

เต็งฮุ้นลิ้มมิเคยเห็นฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวนี้มาก่อนเลย แต่นับว่าเข้าใจเรื่องราวใดแล้ว

นางยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถยืนเป็นปกติในที่นี้ เนื่องเพราะกัวแป้มิเพียงไม่ฆ่านางเท่านั้น กลับช่วยชีวิตนางไว้

กัวแป้เสี่ยงอันตรายของชีวิตมาช่วยนาง!

แต่ตัวกัวแป้เองกลับร่อแร่ปางตายแล้ว!

พระคุณการช่วยชีวิตนี้ เฉกเช่นเป็นเข็มแหลมแทงใส่หัวใจนางจนปวดแปลบ

มิว่าเป็นเศร้ารันทดก็ดี เป็นพลุ่งพล่านตื้นตันก็ดี หากความรู้สึกใดรุนแรงเกินไป มักจะคล้ายเป็นเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจ

นางนั่งยองๆ ลง อุ้มกัวแป้ขึ้น

หัวใจนางปวดแปลบ กระเพาะนางหดตัว แต่มิทราบสมควรช่วยเหลือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตท่านนี้เยี่ยงไร?

น้ำตานางหยดใส่ใบหน้ากัวแป้ไม่ขาดสาย

กัวแป้หอบหายใจถี่เร็ว นับว่ากลั้นการไอไว้ได้แล้ว กล่าวขึ้นเบาๆ

“รีบ... รีบเปิดหีบเราออก”

เต็งฮุ้นลิ้มรีบคว้าหีบหมื่นวิเศษมาเปิดออก

กัวแป้ส่งเสียงแผ่วเบา

“ในนั้นมีขวดไม้สีดำอยู่ใบหนึ่งหรือไม่?”

ในหีบนี้มี

เต็งฮุ้นลิ้มเพิ่งหาพบ กัวแป้ก็ชิงไปกัดจุกขวดออก เทยาทั้งขวดเข้าปากหมดสิ้น

จากนั้น ลมหายใจของท่านจึงค่อยปกติลง

เต็งฮุ้นลิ้มก็ระบายลมจากปากเฮือกใหญ่

“หีบหมื่นวิเศษ ร่มฟ้าดิน พญายมไม่มีปัญญาบังคับ”

คนที่กระทั่งพญายม ยังไม่มีปัญญาเกี่ยวข้องบังคับ ย่อมไม่ตายไปได้

ในเมื่อท่านสามารถช่วยผู้อื่น ย่อมสามารถช่วยตัวเองได้

แต่สีหน้ากัวแป้ ดูไปยังคงน่ากลัวอย่างยิ่ง กระทั่งประกายตาก็สลายไปแล้ว

ตอนนี้ สีหน้าของท่าน มิได้น่าดูไปกว่าคนเป่าขลุ่ยผู้นั้นสักเท่าใด

เต็งฮุ้นลิ้มอดเกิดหวั่นวิตกแทนท่านมิได้ ต้องส่งเสียง

“ข้าพเจ้าประคองท่านกลับโรงเตี๊ยมเป็นไร?”

กัวแป้ผงกศีรษะ เพิ่งทรงกายขึ้นยืน ต้องล้มฮวบลงอีกครั้ง กระอักโลหิตมาอีกโอ้กใหญ่

เต็งฮุ้นลิ้มขบกรามเค้นเสียงด้วยความแค้น

“มันไฉนต้องอำมหิตปานนี้? ไฉนต้องใช้ฝีมือสามานย์ปานนี้?”

กัวแป้ฝืนหัวร่อกล่าว

“เนื่องเพราะเราใช้ฝีมืออำมหิตต่อมันเช่นกัน”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่เข้าใจ นางไม่เห็นเลยว่า กัวแป้ลงมือต่อปูตาลา

กัวแป้กล่าว

“ท่านดูร่มของเรา”

เต็งฮุ้นลิ้มเห็นแล้ว กัวแป้กล่าว

“ท่านดูด้ามร่ม”

จนบัดนี้เต็งฮุ้นลิ้มจึงพบเห็น ด้ามร่มกล่วงกลาง ทางปลายยังมีรูเล็กๆ อยู่

ในที่สุดนางก็เข้าใจมาได้ ต้องร้องเบาๆ

“ในด้ามร่มซ่อนอาวุธลับ?”

กัวแป้หัวร่อ แต่ความเจ็บปวดคุกคามจนสีหน้าหัวร่อของท่าน ยังบิดเบี้ยว ยิ่งกว่าร่ำไห้เสียอีก บีบคั้นจิตใจผู้คนจนหดหู่ยิ่ง กล่าวเบาๆ

“ในนั้นมิเพียงมีอาวุธลับ ยังเป็นอาวุธลับที่อำมหิตอย่างยิ่งอีกด้วย”

“ร่มฟ้าดินของท่าน ความจริงเป็นอาวุธฆ่าคนอยู่แล้ว?”

กัวแป้กล่าวต่อ

“ตอนเราลงมือใส่ท่าน ด้ามร่มพอดีตรงไปทางมัน”

เต็งฮุ้นลิ้มเข้าใจกระจ่างแล้ว กล่าวขึ้นบ้าง

“ตอนท่านใช้ปลายแปลมของร่มแทงข้าพเจ้า อาวุธลับในด้ามร่มก็ยิ่งใส่มัน?”

กัวแป้ผงกศีรษะ คล้ายดั่งคิดจะหัวร่อให้สาสมใจ กล่าวต่อไป

“มันต้องคาดฝันไม่ถึงเด็ดขาด ว่าเราจะลงมือต่อมันได้... มันอย่างไรยังคงหลงกลเรา”

เต็งฮุ้นลิ้มตาสุกใสกล่าวต่อไป

“มันถูกอาวุธลับของท่านแล้ว?”

หัวแป้ผงกศีรษะอีกครั้ง

“ดังนั้นพลังฝ่ามือของมันแม้น่ากลัว แต่พวกเรายังไม่แน่จะกลัวมัน”

---------------------------

แสงโคมไฟในห้องพิธีริบหรี่เลือนราง แต่เป็นสถานที่เดียวของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน ที่ยังมีแสงไฟอยู่

ดังนั้น เต็งฮุ้นลิ้มจึงพากัวแป้มาที่นี้ ที่นี้แม้ไม่มีเตียง แต่มีโต๊ะ

คราบโลหิตบนพื้นแห้งแล้ว นางไปหาผ้าห่มนวมมาจากห้องข้างเคียงหลายผืน ทั้งปูทั้งห่มให้กัวแป้

สีหน้ากัวแป้ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง เพียงไอเมื่อใด เป็นต้องมีโลหิตทะลักออกมาเมื่อนั้น

โชคดีที่ท่านยังมีหีบหมื่นวิเศษสำหรับช่วยชีวิต

เต็งฮุ้นลิ้มเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของท่านแล้ว อดมิได้ต้องถาม

“ในหีบยาของท่าน ยังมียาใดพอจะช่วยให้ท่านสบายกว่านี้หรือไม่”

กัวแป้ส่ายหน้าฝืนยิ้มกล่าว

“ยาปลิดชีวิตมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ยาที่สามารถช่วยชีวิตได้โดยแท้จริง ปกติมักมีเพียงชนิดเดียว”

เต็งฮุ้นลิ้มก็ฝืนยิ้มกล่าว

“มิว่าอย่างไร ท่านย่อมต้องการช่วยชีวิตของท่านไว้”

กัวแป้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง จึงพริ้มตาลงช้าๆ คล้ายดั่งคิดจะกล่าวกระไร แต่มิได้เอ่ยปาก

เต็งฮุ้นลิ้มจึงกล่าว

“ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องทุเลารวดเร็วยิ่ง เนื่องเพราะท่านเป็นคนที่ประเสริฐจริงๆ”

กัวแป้แย้มยิ้มอีกแล้ว

แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับไม่ปรารถนาให้ท่านยิ้ม เนื่องเพราะรอยยิ้มของท่าน ผู้เห็นต้องปวดแปลบใจอย่างยิ่ง

ลมเหน็บหนาวราวคมมีด

เต็งฮุ้นลิ้มปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น แต่ลมหนาวราวคมมีด ยังคงชอนไชเข้ามาทางช่องประตูหน้าต่างไม่หยุดยั้ง

นางพลันกล่าวขึ้น

“ท่านทราบข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดเรื่องอันใด?”

“ท่านต้องการดื่มสุรา”

เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่อแล้ว ครั้งนี้เป็นหัวร่อโดยจริงใจ เนื่องเพราะนางเห็น ที่มุมห้องยังมีสุราอยู่หลายไห

นางไปยกมาไหหนึ่ง ตบดินที่พอกปากไหออก

สุราหอมฉุนอย่างยิ่ง

เต็งฮุ้นลิ้มดมกลิ่นหอมของสุรา ต้องปวดแปลบใจขึ้นอีกครั้ง

นี่ความจริงเป็นสุรามงคลของนาง

บัดนี้เล่า?

สุราแม้หอม นางไหนเลยจะหักใจดื่มลงไปได้?

นางนึกถึงก้วยเต๋ง นึกถึงฮั่นเจ็งที่ไปหาสุราให้เอี๊ยบไค

... นางย่อมยังไม่ทราบ ฮั่นเจ็งไม่ตาย

นางเพียงทราบ หากมิใช่นางแทงใส่เอี๊ยบไคมีดหนึ่ง ฮั่นเจ็งต้องไม่ตาย

นางก็ทราบ หากมีอวิชาชั่วร้ายของม้อก้า แม้ปลิดชีวิตนาง ก็ไม่ยอมแทงเอี๊ยบไคมีดหนึ่ง

นางอดมิได้ต้องถาม

“ม้อก้า... คนเช่นพวกท่าน ไฉนเข้านิกายนี้ได้?”

กัวแป้อึ้งเป็นเนิ่นนาน ในที่สุดถอนใจยาวฝืนยิ้มกล่าว

“เนื่องเพราะเป็นคนเยี่ยงนี้ ดังนั้นจึงเข้านิกายม้อก้า”

“ท่านยินยอมปล่อยตัวให้ตกต่ำเอง?”

“ถูกแล้ว”

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ... ข้าพเจ้าคิดไม่ออกจริงๆ”

“อาจบางทีเนื่องเพราะท่านไม่ทราบเลยว่า เราเป็นคนเช่นไร”

“แต่ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องไม่ใช่คนต่ำช้าสามานย์ ชั่วร้ายอำมหิตเช่นดั่งพวกมันเด็ดขาด”

กัวแป้อึ้งอีกเนิ่นนาน จึงกล่าวช้าๆ

“ที่ข้าพเจ้าเรียนวิชาแพทย์ ความจริงเพราะต้องการช่วยตัวเอง เนื่องเพราะเราพบเห็น บรรดาแพทย์ชื่อเสียงเกรียงไกรในแผ่นดิน ในสิบคนต้องมีเก้าคนที่บัดซบ”

“ข้าพเจ้าทราบ”

“แต่ถึงภายหลัง การเรียนวิชาแพทย์ของเรา มิใช่เป็นช่วยตัวเอง ยิ่งมิใช่ช่วยผู้อื่นแล้ว”

“ท่านเพราะกระไรกันแน่?”

“ภายหลังที่เราศึกษาค้นคว้าวิชาแพทย์ เนื่องเพราะได้งมงาย ปานถูกมารสิงหัวใจไปแล้ว”

มิว่ากระทำเรื่องราวใด หากแม้นงมงายเกินไป ต่างต้องคล้ายถูกมารสิงหัวใจ

“ดังนั้น ท่านจึงเข้าม้อก้า? (นิกายอสูร)”

กัวแป้ตอบเบาๆ

“ม้อก้าแม้มีวิชาอาถรรพณ์ที่ฆ่าคนได้น่าสะพรึงกลัวอยู่มากหลาย แต่ก็มีตำรับลับที่ช่วยคนอย่างพิสดารปานปาฏิหาริย์อยู่มากมาย สมมติเช่น วิชาสะกดจิตของพวกมัน หากใช้ไปในวิถีทางถูกต้อง ตอนรักษาอาการที่สาหัส มักจะมีสรรพคุณที่คาดคิดไม่ถึงอยู่เสมอ”

น้ำสามารถรองรับเรือ น้ำก็สามารถล่มเรือ

มิว่าเรื่องราวใด ต่างเป็นเช่นนี้... หากท่านใช้ในวิถีทางที่ถูกต้อง สารหนูก็เป็นยาประเสริฐที่ช่วยชีวิตได้

“แต่วิชาสะกดจิตของพวกมัน มีประโยชน์ใดต่อการรักษาโรค?”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่เข้าใจ กัวแป้จึงกล่าว

“ความหมายของรักษาก็คือจิตใจ ท่านเข้าใจวาจานี้หรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มย่อมไม่เข้าใจ กัวแป้กล่าวต่อ

“หมายความว่า จิตใจของผู้นั้นเข้มแข็งหรือไม่ มักจะเป็นชนวนบ่งชี้ความเป็นความตายของมันได้”

คำอธิบายเยี่ยงนี้ มิเพียงลึกซึ้งเท่านั้น ยังแปลกใหม่อย่างยิ่ง ท่านก็ทราบ เต็งฮุ้นลิ้มต้องยังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงอธิบายต่อ

“ซึ่งหมายความว่า คนที่ป่วยหนัก จะสามารถรอดต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยมีอยู่ครึ่งที่ต้องดู ตัวมันคิดจะมีชีวิตต่อไปหรือไม่?”

ในที่สุดเต็งฮุ้นลิ้มเข้าใจแล้ว เนื่องเพราะนางพลันนึกถึงตัวอย่างที่ประเสริฐมาก

นางนึกถึงก้วยเต๋ง!

หากมิใช่นางกระตุ้นจิตใจหวังมีชีวิตของก้วยเต๋งให้คุโพลง ก้วยเต๋งย่อมมิต้องรอให้คนม้อก้ามาลงมือ คงตายไปเสียนานแล้ว

หัวใจนางปวดแปลบอีกครา อดมิได้ต้องยกไหสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่

กัวแป้พลันกล่าว

“ให้เราดื่มสักอึกบ้าง”

“อาการท่านสาหัสปานนี้ ยังดื่มสุราได้?”

กัวแป้ยิ้มแย้มตอบ

“ในเมื่อดื่มหรือไม่ดื่มต่างเป็นเช่นกัน ไฉนดื่มไม่ได้?”

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มวาบหวิวอีกครา

“ไหนดื่มหรือไม่ดื่มต่างเป็นเช่นกัน? หรือยาที่ท่านรับทานเมื่อครู่ไม่มีสรรพคุณเลย?”

กัวแป้มิได้ตอบ และไม่จำเป็นต้องตอบ

เต็งฮุ้นลิ้มพบเห็น ใบหน้าที่ซีดขาวของท่านกลับกลายเป็นแดงฉานผะผ่าวคล้ายดั่งมีไฟเผาผลาญอยู่ก็ปาน

แสดงว่ายาขวดเมื่อครู่ มิอาจช่วยชีวิตท่านได้ เป็นแต่สะกดอาการของท่านชะงักไว้ชั่วคราว ให้มีลมหายใจอีกช่วงหนึ่งเท่านั้น

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยิ่งนานยิ่งน่ากลัวของท่าน น้ำตาเต็งฮุ้นลิ้มต้องหลั่งไหลด้วยความกระวนกระวาย

“ท่าน... รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เราสบายอย่างยิ่ง”

กัวแป้พริ้มตากล่าวต่อ

“เราบอกแล้ว เราเป็นคนชรา ไม่มีกระไรต้องกลัวอีก”

ท่านมิได้กลัวตาย ไม่กลัวแม้สักน้อยนิด

 เต็งฮุ้นลิ้มพลันเข้าใจ ที่ท่านวิตกเมื่อครู่ มิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นตัวนาง

ความคิดนี้ก็คล้ายเป็นเข็มแหลม แทงเข้าใส่หัวใจนาง

นางมิทราบควรกล่าวกระไร และมิทราบควรต้องเยี่ยงไร จึงสามารถทดแทนพระคุณที่สุดสูงนี้ได้

กัวแป้แย้มยิ้มกล่าว

“เราก็บอกแล้ว เรางมงายในหลักวิชาแพทย์จนคล้ายมารสิงหัวใจ ดังนั้น ทั้งไม่มีมิตรสหาย และไม่มีญาติใดๆ เนื่องเพราะเราต่างไม่กังวลสนใจผู้อื่นใดทั้งสิ้น

แต่ทว่า ท่านกลับกังวลสนใจเต็งฮุ้นลิ้ม

นางทราบ นางดูออก แต่นางมิทราบเป็นเพราะสาเหตุใด?

มิว่าอย่างไร ท่านเป็นชายชรายิ่งแล้ว ระหว่างทั้งสองมีวัยที่ห่างกันไกล ย่อมต้องไม่พาดพิงถึงน้ำใจที่กระทั่งนางยังไม่กล้าคาดคิด

ท่านกังวลนาง อาจบางทีเป็นน้ำใจของบิดากังวลต่อบุตรธิดาเท่านั้น

แต่ทว่า ตอนกัวแป้ลืมตา กลับเพ่งมองนางแน่วนิ่ง

ใบหน้าของท่านแดงฉาน ในดวงตาก็คล้ายมีเปลวไฟลุกโชติช่วง เปลวไปเผาผลาญจนท่านสูญเสียความหนักแน่นชาเย็นของปกติไปหมดสิ้น

ท่านเริ่มไม่มีปัญญาข่มกลั้นสัมปชัญญะของตัวเองแล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มถึงกับต้องเบือนสายตาหลบโดยไม่รู้ตัว มิกล้าจ้องมองท่านอีกแล้ว

กัวแป้แย้มยิ้มอย่างหดหู่พลางกล่าว

“เราเป็นเฒ่าที่ชรามากแล้ว วัยของเราสองนับว่าห่างไกลกันเกินไปจริงๆ มิเช่นนั้น...”

มิเช่นนั้นเป็นไร?

ท่านมิได้กล่าวต่อ และไม่จำเป็นต้องถามด้วย

เต็งฮุ้นลิ้มเข้าใจความหมายของท่าน และเข้าใจความรู้สึกของท่านแล้ว

ขอเพียงเป็นมนุษย์ ย่อมมีสิทธิไปรักผู้อื่น

คนชราก็เป็นเช่นคนฉกรรจ์ ต่างมีน้ำใจ บางครั้งน้ำใจของพวกชรายังจริงจัง ยังลึกซึ้งยิ่งกว่าพวกวัยฉกรรจ์อีก

เนื่องเพราะพวกท่านเข้าใจคุณค่าที่น่าถนอมของน้ำใจ เนื่องเพราะพวกท่านมีความรู้สึก บัดเดี๋ยวได้มา บัดเดี๋ยวสูญเสียไป ต่อน้ำใจเยี่ยงนี้ ตอนยังมิได้มา ก็กลัวจะสูญเสียมันไปอยู่ก่อน

แต่ทว่า กัวแป้อย่างไรย่อมมิใช่คนธรรมดา อย่างไรยังมิได้สูญเสียสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น ท่านจึงเพียงถอนใจยาว กล่าวเสียงราบเรียล

“มิว่าอย่างไรก็ตาม ท่านไม่ต้องกังวลเรา เมื่อครู่เราบอกแล้ว เราทั้งไม่มีมิตรสหาย และไม่มีญาติใดๆ... ความเป็นตายร้ายดีของเรา มิได้เกี่ยวข้องกับผู้อื่นโดยสิ้นเชิง”

“...แต่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า” ...หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มยิ่งปวดแปลบกว่าเดิม

หากมิใช่เพราะนาง ท่านต้องไม่ตายไปได้

หากมิใช่มีท่าน นางตายไปนานแล้ว

ความเป็นความตายของท่าน ไหนเลยไม่เกี่ยวข้องกับนางได้? นางไหนเลยจะเห็นท่านตายตำตาได้?

แต่ทว่า นางมีวิธีใดสามารถช่วยชีวิตท่านไว้?

...คนที่ป่วยหนัก สามารถรอดต่อไปหรือไม่? อย่างน้อยต้องดูตัวมันเอง คิดจะมีชีวิตต่อไปหรือไม่?

วาจานี้ คล้ายดั่งพลันดังขึ้นในโสตประสาทเต็งฮุ้นลิ้มอีกครา

นางทราบ ท่านตอนนี้ไม่คิดมีชีวิตสืบไปแล้ว

ท่านเป็นคนชราสูงวัย ท่านไม่มีญาติสนิท ไม่มีมิตรสหาย กระทั่งน้ำใจของตัวเอง ยังไม่กล้าบอกให้ผู้อื่นทราบ

หากเป็นท่าน ยังชีวิตสืบไปจะมีความหมายใด?

กัวแป้พริ้มตาลงอีกครา จึงกล่าวขึ้น

“ท่านไปเถิด... รีบไป”

“ไฉนต้องให้ข้าพเจ้าไป?”

“เนื่องเพราะเราไม่พอใจให้ผู้อื่นมาเห็นสภาพตอนเราขาดใจ”

ร่างของกัวแป้เริ่มกระตุกถี่เร็ว แสดงว่าพยายามข่มกลั้นตัวเอง ส่งเสียงอีกครั้ง

“ดังนั้น ท่านต้องรีบไป”

เต็งฮุ้นลิ้มบีบมือตัวเองแนบแน่น มือซ้ายบีบมือขวาสุดแรง คล้ายดั่งกลัวการตกลงใจของตัวเองจะกลับกลายก็ปาน

นางพลันส่งเสียงดังๆ

“ข้าพเจ้าไม่ไป ไม่ไปเด็ดขาด”

“เพราะกระไร?”

เต็งฮุ้นลิ้มบีบมือตัวเองแนบแน่นกว่าเดิม ส่งเสียงดังๆ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าจะแต่งให้ท่าน!

กัวแป้พลันลืมตา จ้องมองนางด้วยความตระหนก

“ท่านว่ากระไร?”

“ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะแต่งให้ท่าน ต้องแต่งให้ท่านเด็ดขาด”

นางตกลงใจแล้วจริงๆ !

พริบตานั้น นางได้ลืมก้วยเต๋ง ลืมเอี๊ยบไค ลืมทุกผู้คน ทุกเรื่องราวจนหมดสิ้น

ในพริบตานั้น นางทราบเพียงเรื่องเดียว

...นางต้องไม่ยอมเห็นกัวแป้ตายอยู่ต่อหน้านาง ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตกัวแป้ แม้นับว่านางไปแต่งกับสุกร แต่งกับสุนัข นางต้องรับปากโดยไม่ลังเลเด็ดขาด

นางความจริงเป็นดรุณีที่มีน้ำใจระอุคุกรุ่น นางความจริงมักกระทำเรื่องราวโดยไม่คำนึงถึงอื่นใดทั้งสิ้น

เมื่อผู้อื่นรังแกนาง ประทุษร้ายนาง นางถึงกับลืมรวดเร็วยิ่ง แต่ทว่าหากมีผู้ใดให้คุณความดีแก่นางสักน้อยนิด นางเป็นต้องจารึกสลักใจ ไม่มีวันลืมเลือน

เรื่องราวที่นางกระทำ อาจบางทีเหลวไหลอย่างยิ่ง กระทั่งยังโง่เขลาบัดซบ แต่ทว่านางกลับเป็นคนที่น่ารักยิ่ง

เนื่องเพราะนางมีหัวใจที่บริสุทธิ์ดีงามอยู่ดวงหนึ่ง

“ท่านจะแต่งให้เรา?”

กัวแป้หัวร่อด้วยสีหน้ารันทดหดหู่สามส่วน พลุ่งพล่านตื้นตันสามส่วน ยังมีสี่ส่วนเป็นกระไร?

ตัวท่านเองก็ไม่ทราบ ไม่มีปัญญาแยกแยะชัดเจน

ท่านมิใช่เป็นคนมีสติแจ่มใสเต็มที่แล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มกระโดดขึ้น นางพลันพบเห็น แสงไฟเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ คือแสงเทียนแดงหงส์มังกรคู่นั้น

นี่ความจริง เป็นนางเตรียมใช้ในงานวิวาห์ของนางกับก้วยเต๋ง

อยู่ที่หน้าเทียนหงส์มังกรคู่นี้ ก้วยเต๋งสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงฉาน ล้มลงไปในกองโลหิต

บัดนี้ เทียนแดงหงส์มังกรยังมิได้ลามหมดสิ้น แต่นางจะต้องวิวาห์กับอีกผู้หนึ่งแล้ว!

หากเป็นผู้อื่นจะกระทำเรื่องเช่นนี้ มิว่าผู้ใดต่างต้องเห็นเป็นคนวิกลจริตจนเหลวไหลสิ้นดี!

แต่เต็งฮุ้นลิ้มมิใช่ผู้อื่น มิว่าผู้ใดต่างต้องมีแต่ความเวทนาและเห็นใจเท่านั้น

เนื่องเพราะที่นางทำดั่งนี้ มิใช่เป็นอำมหิตไร้น้ำใจ แต่เป็นมีน้ำใจ มิใช่เป็นทดแทน แต่เป็นเสียสละ!

นางยินยอมเสียสละความสุขในชั่วชีวิตนาง เพียงเพื่อต้องการตอบแทนพระคุณที่ผู้อื่นมีต่อนาง

นอกจากนี้ นางมิทราบยังมีวิธีใดสามารถช่วยชีวิตกัวแป้มาได้

วิธีนี้ย่อมมิใช่ต้องมีสรรพคุณ และความคิดนี้ก็เหลวไหลไร้เดียงสาอย่างยิ่ง

แต่ทว่า หากคนเรายินยอมเสียสละตัวเองไปช่วยผู้อื่นอย่างนั้น มิว่าการกระทำนั้นจะเหลวไหลปานใด ไร้เดียงสาเพียงไหน ต่างมีคุณค่าให้เคารพนับถืออยู่

เนื่องเพราะการเสียสละเยี่ยงนี้ จึงเป็นการเสียสละที่แท้จริง จึงเป็นที่ผู้อื่นทั้งไม่ยอมกระทำ และกระทำไม่ได้ด้วย

เทียนลามไหม้ใกล้หมดสิ้น น้ำตาเทียนยังไม่แห้งหาย

น้ำตาเทียน จะต้องรอจนเทียนลุกไหม้หมดสิ้นจึงแห้ได้ เทียนยินยอมเผาผลาญตัวเอง จนกลายเป็นกองน้ำตา เพียงเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้อื่นเท่านั้น

การกระทำเยี่ยงนี้ ไยมิใช่โง่เขลาอย่างยิ่ง?

แต่หากมนุษย์เรา ยินยอมกระทำเรื่องโง่เขลาเยี่ยงนี้อีกหลายๆ ประการ โลกมิใช่ยิ่งเจิดจ้าแจ่มในกว่านี้?

เต็งฮุ้นลิ้มประคองกัวแป้ขึ้นยืนอยู่ที่หน้าเทียนแดง ส่งเสียงนุ่มนวล

“บัดนี้ ข้าพเจ้าจะแต่งให้ท่าน เป็นภรรยาของท่าน พึ่งพาท่านชั่วชีวิต ดังนั้นท่านต้องมีชีวิตสืบไป”

กัวแป้จ้องมองนาง ดวงตาที่แตกซ่านฝ้ามัว พลันมีประกายวูบขึ้นอีกครา รอยยิ้มบนใบหน้ายังกลายเป็นสุขสงบยิ่ง

เต็งฮุ้นลิ้มก็แย้มยิ้ม ทั้งที่น้ำตาบนใบหน้ายังเปรอะนอง

นางทราบ กัวแป้อาจรอดต่อไปได้

บัดนี้ กัวแป้มีครอบครัวแล้ว มีคนใกล้ชิดสนิทสนนที่สุดแล้ว ท่านต้องมิอาจตาย

นางแย้มยิ้มทั้งน้ำตากล่าว

“ที่นี้มาตรแม้นไม่มีผู้ประกาศพิธี แต่พวกเรายังพอจะกราบไหว้ฟ้าดินได้เช่นกัน ขอเพียงเราสองยินยอมพร้อมใจ ไม่มีผู้อื่นมาเป็นสักขีพยาน ก็เป็นเช่นกัน”

นี่มิใช่เป็นการเล่นของทารก ยิ่งมิใช่เป็นเหลวไหล

เนื่องเพราะนางมีความยินยอมพร้อมใจโดยจริงจัง

กัวแป้ผงกศีรษะช้าๆ ดวงตามีประกายพิสดารแวววาว มองดูนาง มองดูเทียนแดงที่เบื้องหน้า

มีโอกาสได้วิวาห์กับดรุณีที่น่ารักปานนี้ ไยมิใช่เป็นความปรารถนาที่สุดของเหล่าบุรุษเพศ?

ท่านแย้มยิ้มกล่าว

“ในชั่วชีวิตนี้ของเรา มีความหวังจะได้มีวันเช่นนี้อยู่เสมอมา.. เราความจริงเข้าใจ เราต้องไม่มีวันเช่นนี้ชั่วชีวิต แต่ตอนนี้...”

ในที่สุด ท่านก็สมมาตรที่ปรารถนาไว้

น้ำเสียงของท่าน ก็กลับกลายเป็นสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง แต่วาจาของท่านมิกล่าวจบคำ

ท่านพลันล้มฮวบลง!

ความตายกรายมารวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ พลันจู่โจมท่านล้มลงไป

ท่านไม่อาจต่อต้านขัดขืนโดยสิ้นเชิง!

ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านขัดขืน!

-----------------------------

ก่อนอรุณรุ่ง ต้องเป็นเวลามืดมิดที่สุดของวัน

เต็งฮุ้นลิ้มคุกเข่าลง คุกเข่าที่ข้างซากศพกัวแป้ น้ำตาหลั่งทะลักดุจทำนบทลาย

ในสถานที่เดียวกันนี้ ในเทียนแดงคู่เดียวกันนี้ และเป็นในเวลาค่ำคืนเดียวกันด้วย

ได้มีบุรุษสองคน ที่เตรียมจะวิวาห์กับนาง ล้มลงไป

การกระทบกระเทือนใจเยี่ยงนี้ ใหญ่หลวงเกินไปจริงๆ

อาจบางที พวกท่านความจริงต้องตายอยู่แล้ว ไม่มีนาง พวกท่านอาจบางทีจะตายยิ่งเร็วกว่านี้

แต่ทว่า นางกลับไม่อาจครุ่นคิดเช่นนั้น

นางพลันรู้สึก นางเป็นสตรีอัปมงคล มีแต่นำพาภัยพิบัติและความตายให้แก่ผู้คนเท่านั้น

ก้วยเต๋งตายแล้ว กัวแป้ตายแล้ว เอี๊ยบไคก็แทบตายกับมีดของนาง

แต่นางกลับพาลมีชีวิตอยู่? !

.... เราไฉนยังต้องมีชีวิต? ไฉนต้องยืนหยัดอยู่ในโลกนี้?

นี่เป็นโลกเยี่ยงไรกันแน่?

คนที่นางรู้จัก ถึงกับแทบอาจเป็นสาวกม้อก้า เริ่มจากทิโกวถึงแง็เซียว ถึงกัวแป้ยังมีจ้าวฟ้าปูตาลา ที่อำมหิตเหี้ยมเกรียมปานปิศาจร้าย แต่ละคนต่างเป็นที่คาดคิดไม่ถึง

ในโลกนี้ ยังมีผู้ใดที่นางพอจะเชื่อถือได้?

มีแต่เอี๊ยบไค!

แต่ทว่า เอี๊ยบไคอยู่แห่งหนใด?

สุรายังอยู่ข้างกาย สุราหอมฉุน เมื่อดื่มลงไปคล้ายดั่งกลืนกินไฟก้อนใหญ่

นางดื่มอึกแล้วอึกเล่า ดื่มมิหยุดยั้ง

“เอี๊ยบไค ท่านบอกแล้ว ขอเพียงทุกเรื่องราวคลี่คลายท่านก็จะมาหาเรา ตอนนี้เรื่องราวจบสิ้นทุกสิ่งอันแล้ว ท่านไฉนยังไม่มา... ไฉนยังไม่มา...”

นางตะเบ็งสุดเสียง พลันทุ่มไหสุราในมืออกไปสุดแรง ทุ่มจนกระจัดกระจาย...

สุราฤทธิ์แรง ไหลเป็นเส้นสายบนพื้นดุจโลหิตสดๆ

เทียนหงส์มังกรที่บนโต๊ะ ถูกการกระแทกกระเทือนอย่างรุนแรง ร่วงหล่นลงกับพื้น เผาสุราฤทธิ์แรงบนพื้นให้ลุกไหม้มาทันที

เสียงพึ่บดังกึกก้อง เปลวไฟลุกโชติช่วง ลามเลียไปที่ม่านหน้าโต๊ะ และม่านหลังโต๊ะทันที

ไฟก็อำมหิตไร้น้ำใจ กระทั่งยังอำมหิตยิ่งกว่าความตาย  และยังมารวดเร็วยิ่งกว่าความตายอีกด้วย!

ไฟที่ฮือโหมจนโชติช่วงเยี่ยงนี้ มีผู้ใดสามารถต่อต้านได้?

ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้าน!

แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับคุกเข่าอยู่ที่เดิมดั่งใจลอย กระทั่งยังมิได้เคลื่อนไหว!

ดูไปเปลวไฟที่แลบเลียดั่งลิ้นอสรพิษร้าย หัวใจนางพลันบังเกิดความชื่นชอบ ดุดันอำมหิต!

นางต้องการเห็นไฟนี้เผาไหม้ เผาไหม้ทุกสรรพสิ่งให้มอดมลายไป

นางไม่มีกระไรพอให้อาลัยอีกแล้ว

ทำลาย ไยมิใช่เป็นการระบายประเภทหนึ่ง?

นางต้องการระบาย!

นางต้องการทำลาย!

ห้องพิธีที่สร้างขึ้นจากไม้กระดาน ชั่วพริบตาถูกไฟกลืนหายไป เรื่องราวเท่าที่มี บัดนี้ล้วนแล้วถูกคลี่คลายไปจริงๆ

แต่เอี๊ยบไคเล่า?

“เอี๊ยบไค ท่านไฉนยังไม่มา?”

--------------------

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น