วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) เฝ้าโพรงรอกระต่าย

 

เฝ้าโพรงรอกระต่าย

 

สถานที่หลับนอนในแนเฮียงฮึ้งย่อมมากมายอย่างยิ่ง เอี๊ยบไคถึงกับบอกไปเป็นไปจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเหม่อมองเอี๊ยบไคที่เดินออกไป อดมิได้ต้องถามดังๆ

“ตัวท่านไปนอนหลับพักผ่อน แต่ต้องการให้ข้าพเจ้าคุ้มครองนางแทนท่าน?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มโบกมือ เดินลับเข้าไปในป่าเหมยโดยเร็ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอดมิได้ต้องถอนใจอีกครา ฝืนยิ้มรำพึง

“ตอนนี้เราจึงทราบ มันไฉนมักไม่หงุดหงิดกลัดกลุ้ม เนื่องเพราะมัน มักจะยกเรื่องยุ่งยากให้แก่ผู้อื่นเสมอ”

นี่นับเป็นความสามารถของเอี๊ยบไคจริงๆ

หากเอี๊ยบไคไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้ ตอนนี้น่ากลัวต้องพุ่งหัวชนกำแพงตายไปเสียนานแล้ว

-------------------------

เรื่องที่เอี๊ยบไคเผชิญมาในระหว่างนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ต้องตายเสียนานแล้ว

แต่ตอนนี้เอี๊ยบไคเดินเข้ามาในลานตึก กลับมีสีหน้าเปล่งปลั่งแจ่มใส จิตใจคึกคักเข้มแข็ง ดุจดั่งคนที่เพิ่งสอบได้ตำแหน่งจอหงวน และเพิ่งได้ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลก็ปาน คิดจะหาคนที่ยิ่งโอ่อ่าภาคภูมิกว่าเอี๊ยบไคในตอนนี้ นับว่ายากดั่งงมเข็มในมหาสมุทรทีเดียว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยืนพิงกรอบหน้าต่าง เหม่อมองดูแล้ว สีหน้าของนางมิทราบเป็นคิดจะร่ำไห้หรือคิดจะหัวร่อ?

เอี๊ยบไคเดินอาดๆ เข้าไป แย้มยิ้มทักทาย

“เช้า (อรุณสวัสดิ์)”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขบริมฝีปากแล้วตอบ

“ตอนนี้คล้ายดั่งไม่เช้าแล้ว”

“มาตว่าไม่เช้า แต่ก็ไม่สายนัก”

“ดูท่าท่านจะต้องหลับสนิทอย่างยิ่ง?”

“นับว่าหลับสนิทจนคล้ายคนตาย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้านึกไม่ออกจริงๆ ท่านถึงกับยังสามารถหลับได้อีก”

“ตอนที่ข้าพเจ้าคิดจะหลับพักผ่อน ต่อให้เป็นฟ้าถล่มลงมา ข้าพเจ้ายังคงหลับได้เช่นกัน”

“เต็งฮุ้นลิ้มก็หลับแล้ว และหลับสนิทอย่างยิ่ง แต่ในมือยังกำมืดอยู่เล่มหนึ่ง่”

“นางหลับตั้งแต่เมื่อใด?”

“ฟ้าสางเพิ่งหลับ”

บนโต๊ะมีชามเปล่าอยู่ใบหนึ่ง เอี๊ยบไคถาม

“ดูท่านางคล้ายดั่งรับทานของไปเล็กน้อย”

“รับทานหมี่ตุ๋นไก่ชามใหญ่ รับทานหมดสิ้นจึงยอมนอน”

นางฝืนหัวร่อกล่าวต่อไป

“โชคดีที่นางนับว่ายังนอนหลับได้ มิเช่นนั้น กระทั่งประตูข้าพเจ้ายังเข้ามาไม่ได้”

“เพราะกระไร?”

“มิว่าผู้ใดพอเดินเข้ามา นางก็คว้ามีดจะฆ่าคน”

“มิว่าอย่างไร สามารถกินได้นอนหลับ ย่อมเป็นเรื่องประเสริฐอยู่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“เสียดายที่ข้าพเจ้ากินก็กินไม่ได้ นอนก็นอนไม่หลับ ข้าพเจ้าไม่มีวาสนาเช่นพวกท่านเลยจริงๆ”

นางกลอกตาไปมาแล้วพลันถามอีก

“ท่านคิดได้วิธีแล้วหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ายังมิได้เริ่มใช้สมองขบคิด”

“ท่านเตรียมจะรอถึงเมื่อใดจึงเริ่มคิด?”

“รอถึงปากประตูเมืองค่อยคิด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านกลับไม่รู้สึกรุ่มร้อนเลยสักน้อยนิด?”

“เมื่อเรือถึงท่าหัวย่อมตรงเอง ข้าพเจ้าเชื่อถือวาจานี้อยู่เสมอมา”

“ตอนนี้ท่านคิดทำกระไร?”

“คิดจะรับทานหมี่ตุ๋นไก่ชามใหญ่มหึมา”

-------------------------

แสงอาทิตย์เจิดจ้าแจ่มใส วันนี้ถึงกับมีอากาศที่แจ่มใสอีกแล้ว

เอี๊ยบไคเดินอาดๆ ออกจากแนเฮียงฮึ้ง ดูไปยิ่งมีทีท่าคึกคักกว่าเดิม เนื่องเพราะหมี่ตุ๋นไก่ชามใหญ่หายลงไปในท้องแล้ว

หมี่นี้รับทานอยู่ในอุทยานแนเฮียงฮึ้งนี่เอง

เช้าตรู่วันนี้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็สั่งคนเข้าก่อไฟในครัว

...มีเงินสามารถบงการให้ภูตผีปิศาจโม่แป้งแทนได้ มิว่ากิมจี๊ปังจะกระทำเรื่องราวใด คล้ายดั่งรวดเร็วกว่าผู้อื่นเสมอมา

และหมี่ตุ๋นไก่ชามนั้น มีรสชาติที่เอี๊ยบไคถึงกับมิเคยได้รับทานมาก่อนเลย

นี่มิใช่เนื่องเพราะเอี๊ยบไคหิวเป็นพิเศษ แต่เนื่องเพราะผู้ปรุงหมี่ตุ๋นไก่นี้ ถึงกับเป็นนางว่าจ้างมาจากเหลาใหญ่ที่สุดในฮั่งจิวโดยเฉพาะ

...มิว่ากิมจี๊ปังกระทำเรื่องราวใด คนที่ใช้ให้ทำต้องเป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น

ดูท่านางมิใช่คุยโอ่

ตอนเอี๊ยบไครับทานหมี่ชามนั้น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมิใคร่สบายใจนัก

เอี๊ยบไคยิ่งนานยิ่งสักเกตะไม่ออก กิมจี๊ปังมีอิทธิพลอำนาจเท่าใดกันแน่? มีขุมกำลังยิ่งใหญ่เท่าใดกันแน่? กระทั่งยังไม่มีปัญญาไปคาดคิดคำนวณ

ผ่านถนนหลายต่อหลายสาย จึงได้มาถึงลานไท้เพ้งที่ครึกครื้นจอแจ

เอี๊ยบไคซื้อถั่วยี่สงห่อใหญ่ และไม้ไผ่ยาวพิเศษอีกสองลำ

เอี๊ยบไคได้ฝึกให้มีนิสัย พอตื่นเต้นแล้วแกถั่วยี่สงระงับใจ

เมื่อมือมีเรื่องให้กระทำ อย่างไรย่อมบันดาลให้ประสาทผู้คนผ่อนคลายลงได้บ้าง

แต่เอี๊ยบไคซื้อไม่ไผ่ไปใช้ในประโยชน์ใด?

 

ประตูเอี้ยงเพ้งอยู่ที่ทิศใต้ของเมือง

“แต่ละเที่ยงวัน มิทราบมีคนเข้าๆ ออกๆ ในประตูนี้มากเพียงใด”

วาจานี้ไม่ผิด

ยืนดูอยู่ที่หัวถนน เห็นคนทั้งภายนอกและภายในของเมืองเข้าๆ ออกๆ เป็นกลุ่มก้อนราวระลอก คนที่ผิดแปลกแตกต่างกัน คนในแบบฉบับต่างๆ

.... ท่านยังดูไม่ออกว่าโกวฮงเป็นผู้ใด?

เอี๊ยบไคดูไม่ออกจริงๆ

เอี๊ยบไคเข้าไปในร้านน้ำชาก่อน ดื่มน้ำชากาหนึ่งแล้ว ขอเชือกเส้นหนึ่ง กระดาษแดงอีกแผ่นหนึ่งจากผู้รับใช้

จากนั้น ขอยืมพู่กันที่โต๊ะเก็บเงิน เขียนอักษรบนกระดาษแถวหนึ่ง

จำหน่ายในราคาสูง ขายแก่ผู้รู้จักของ

มาตรว่ามิเคยถือพู่กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่อักษรสิบสองตัว ถึงกับยังสวยงามมีพลังยิ่ง

เอี๊ยบไคใช้ไม่ไผ่สองลำ ขึงกระดาษแดงแผ่นนั้นไว้ที่ปากประตูเมือง เอียงคอดูหลายครั้ง รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่เอี๊ยบไคจะจำหน่ายของใด ในราคาสูงกันแน่?

หรือจำหน่ายตัวเอง?

 

เอี๊ยบไคย่อมไม่ขายตัวเอง

อาทิตย์ลอยสูงทุกขณะ เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว

เอี๊ยบไคพลันล้วงหน้ากากทองเหลือง กับป้ายหยกออกจากอกเสื้อ ผูกเชือกขึ้นแขวนบนปลายไม้ไผ่ นั่นเป็นของประจำตัวตอเออกาที่ตายไป

หน้ากากทองเหลืองที่เหี้ยมอำมหิต เป็นประกายแวววับอยู่ในแสงอาทิตย์ แต่ป้ายหยก กลับมีประกายนุ่มนวล แวววาวน่ารักยิ่ง

คนที่เข้าเมือง ต่างอดเหลือบมองดูเอี๊ยบไคสองสามครามิได้ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าถามด้วยความสนใจเลย

หน้ากากนั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ มิว่าผู้ใดต่างไม่ปรารถนาซื้อหน้ากากทองเหลืองเยี่ยงนั้นกลับไปให้เป็นที่อัปมงคล

เอี๊ยบไคย่อมไม่รุ่มร้อนกระวนกระวาย

หน้ากากนี้เป็นเพียงเหยื่อ ที่หย่อนลงไปหมายตกปลาใหญ่... ปลาใหญ่ที่กินคนได้!

ทันใด มีรถม้าดำสนิท มาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าคันหนึ่ง

รถม้าคันนี้มาจากนอกเมือง ความจริงแล่นผ่านไปแล้ว แต่พลันหยุดลงโดยกะทันหัน ชายกลางคนที่เสื้อผ้าสวยงามมีค่า ใบหน้าขาวเกลี้ยงมีหนวดเล็กน้อยผู้หนึ่ง ชะโงกหน้าออกมามองหน้ากากทองเหลืองกับป้ายหยกบนยอดไม้ไผ่สองครา จึงผลักประตูรถเดินออกมา

ในที่สุด มีการค้ามาถึงประตูแล้ว

แต่เอี๊ยบไคกลับเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง

จะคิดตกปลาตัวโต ต้องมีความหนักแน่นเยือกเย็น

ชายกลางคนเดินมือไพล่หลังเข้ามา ดวงตาที่ดูแล้วคล้ายเปรื่องปราดอย่างยิ่ง คมกริบอย่างยิ่ง ยังคงจับมองอยู่บนปลายไม้ไผ่แน่วนิ่ง พลันถามขึ้น

“นั่นเป็นของที่จะจำหน่าย?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ชี้อักษรบนกระดาษแดง

ชายกลางคนส่งเสียงราบเรียบ

“หยกชิ้นน้นกลับเป็นหยกฮั่นเง็ก เสียดายที่ฝีมือสลักออกจะด้อยไปบ้าง”

เอี๊ยบไคกล่าว

“มิเพียงฝีมือสลักด้อยบ้างเท่านั้น หยกก็มิใคร่ดีนัก”

ชายกลางคนมีรอยยิ้มขึ้นทันที กล่าวต่อไป

“ท่านกลับเป็นคนค้าขายที่สัตย์ซื่ออยู่”

“ข้าพเจ้าเป็นคนที่สัตย์ซื่ออยู่แล้ว”

“แต่มิทราบ ท่านต้องการขายราคาเท่าใด?”

“ราคาสูง”

“สูงเท่าใดกันแน่?”

“ท่านลองเสนอราคามาก่อนก็ได้”

ชายกลางคนกวาดตาพิจารณาเอี๊ยบไคขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง จึงช้อนมองไปที่ป้ายหยกบนยอดไม้ไผ่อีกคราแล้วกล่าว

“สามสิบตำลึงเป็นไร?”

เอี๊ยบไคหัวร่อ ชายกลางคนก็หัวร่อกล่าว

“ราคานี้แม้เราจะให้สูงเกินไปบ้าง แต่วิญญูชนเมื่อลั่นปาก ก็ไม่คิดจะลดทอนลงอีก”

“ท่านว่าสามสิบตำลึง?”

“ใช่ เงินบริสุทธิ์สามสิบตำลึงเต็มๆ”

“ท่านคิดจะซื้อสิ่งใด?”

“ย่อมเป็นหยกชิ้นนั้น”

“สามสิบตำลึง กลับเพียงซื้อไม้ไผ่ลำนี้ได้เท่านั้น”

รอยยิ้มบนใบหน้าชายกลางคนสลายไปทันที ปั้นหน้าเครียดกล่าว

“ท่านคิดจะต้องการเท่าใด?”

“สามหมื่นตำลึง”

ชายกลางคนแผดร้องสุดเสียง

“สามหมื่นตำลึง?”

“ใช่ เงินบริสุทธิ์สามหมื่นตำลึงเต็มจำนวน”

ชายกลางคนเพ่งมองด้วยความแตกตื่น คล้ายดั่งดูคนวิกลจริตก็ปาน

เอี๊ยบไคกล่าวอีก

“หยกชิ้นนี้แม้เนื้อมิใคร่ดีนัก ฝีมือสลักก็เลวอย่างยิ่ง แต่หากต้องการ ก็ต้องใช้เงินสามหมื่นตำลึงมาซื้อ ลดทอนแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ขาย”

ชายกลางคนมิกล่าวอย่างไรอีก สะบัดหน้าเดินออกไปทันที

เอี๊ยบไคหัวร่ออีกแล้ว

ผู้ที่ยืนดูความครึกครื้นทางด้านข้าง พลอยหัวร่อบ้าง

“หยกชิ้นเดียวคิดจะขายถึงสามหมื่นตำลึง เจ้าเด็กผู้นี้คงเข็ญใจจนวิกลจริตแล้ว”

“ราคานี้มีแต่คนวิกลจริตจึงยอมซื้อ”

รถม้าดำสนิทคันใหญ่ได้อ้อมผ่านมุมถนน ลับหายจนไม่มีร่องรอยแล้ว ในเมื่อไม่มีเรื่องครึกครื้นให้ดู ผู้ที่มุงอยู่รอบข้างจึงเตรียมจะแยกย้ายกันไปบ้าง

มิคาด พลันมีเสียงม้าร้องแว่วมาจากทางหลังถนน รถม้าดำสนิทคันนั้น วิ่งย้อนกลับมาอีกครา ถึงกับยังเร็วกว่าตอนไปมากมายนัก

สารถีตวัดแส้สูง เป่าปากเป็นสัญญาณ รถม้าหยุดลงที่เบื้องหน้าอีกครา

ชายกลางคนผู้นั้นผลักประตูลงมาอีก ใบหน้าที่ขาวซีดของมัน มีแววประหลาดจนพิกลยิ่ง ก้าวอาดๆ มาเบื้องหน้าเอี๊ยบไค พลางกล่าว

“ท่านเมื่อครู่ต้องการขายสามหมื่นตำลึง?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ชายกลางคนพลันล้วงตั๋วแลกเงินออกจากอกเสื้อมาปึกหนึ่ง นับดูพอดีมีจำนวนสามสิบฉบับ

“รับไป”

มันถึงกับมอบตั๋วแลกเงินสามสิบฉบับ ให้แก่เอี๊ยบไคจนหมดสิ้น

แต่เอี๊ยบไคมิได้ยื่นมือรับ กลับขมวดคิ้วถาม

“เป็นความหมายใดของท่าน?”

“นี่คือตั๋วแลกเงิน เป็นของยี่ห้อไต้ฮ้วงในนครหลวง ประกันต้องแลกได้แน่นอนเด็ดขาด”

“ประกันต้องแลกได้เด็ดขาด?”

ชายกลางคนปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าว

“เราแซ่ซ่ง เป็นเจ้าของร้านจับป้อแจ ที่ขายวัตถุโบราณสกัดจากอัญมณีทางประตูเมืองตะวันออก บรรดาท่านที่มุงดูอยู่ในบริเวณนี้ คิดว่าต้องมีคนรู้จักเราอยู่”

จับป้อแจ เป็นร้านยี่ห้อตัวทอง (ยี่ห้อร้านค้าของจีนโบราณ หากไม่ใหญ่จริง มีทุนทรัพย์หนาจริง ไม่กล้าใช้พื้นดำตัวหนังสือทองเด็ดขาด) ซ่งเล่าปั้ง (เถ้าแก่แซ่ซ่ง) ก็เป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อของนครไคฮงนี้

ในหมู่ผู้คนที่มุงดู มีคนรู้จักมันอยู่จริงๆ

แต่ทว่า ซ่งเล่าปั้งที่เปรื่องปราดสุขุมในกิจการค้าอยู่เสมอมา ไฉนยินยอมทุ่มเทเงินถึงสามหมื่นตำลึงมาซื้อป้ายหยกชิ้นนี้?

หรือซ่งเล่าปั้งก็วิกลจริตแล้ว?

แต่เอี๊ยบไคพาลไม่ยอมยื่นมือรับ ยังถามอีก

“เงินในตั๋วมีจำนวนเท่าใด?”

“ย่อมเป็นสามหมื่นตำลึง นี่เป็นตั๋วแลกเงินฉบับละพันตำลึง มีอยู่สามสิบฉบับ ท่านตรวจดูก่อนก็ได้”

เอี๊ยบไคแค่นเสียงเย็นชา

“มิต้องตรวจแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อถือท่านได้”

ในที่สุด ซ่งเล่าปั้งระบายลมจากปากกล่าว

“ตอนนี้เราพอจะนำป้ายหยกไปได้แล้วกระมัง?”

“ไม่ได้”

ซ่งเล่าปั้งงุนงงวูบจึงถาม

“ไฉนยังไม่ได้?”

“เนื่องเพราะราคาไม่ถูกต้อง”

สีหน้าซ่งเล่าปั้งแปรเปลี่ยนเป็นซีดเหลือง ร้องโพล่งขึ้น

“ท่านเมื่อครู่ มิใช่บอกมีราคาสามหมื่นตำลึง?”

“นั่นเป็นราคาของเมื่อครู่”

“เฮอะ ตอนนี้เล่า?”

“ตอนนี้ต้องสามสิบหมื่นตำลึงจึงยอมขาย”

“ว่ากระไร? สามสิบหมื่นตำลึง!

ในที่สุด ซ่งเล่าปั้งแผดร้องสุดเสียง สีหน้าคล้ายดั่งเป็นแมวน้อยที่ถูกคนกระทืบหางก็ปาน

คนที่มุงดูความครึกครื้นทางด้านข้าง พลอยมีสีหน้าแทบไม่ผิดกันเท่าใด

แต่ใบหน้าเอี๊ยบไค กลับไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด กล่าวขึ้นอีก

“หยกชิ้นนั้นเนื้อมิใคร่ดี ฝีมือสลักก็เลวอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้มิว่าผู้ใดคิดจะซื้อมันต้องสามสิบหมื่นตำลึงจึงจะขาย ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้”

ซ่งเล่าปั้งต้องขยี้เท้าด้วยความเดือดดาล สะบัดนห้าเดินไปรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ทว่า พอถึงรถฝีเท้ากลับช้าลง ใบหน้ามีแววประหลาดจนพิกลอีกครา ถึงกับคล้ายหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

มันหวาดหวั่นเรื่องอันใด?

หรือในตัวรถม้าของมัน มีเรื่องราวใดสามารถขู่ขวัญมันจนหวาดหวั่น?

ที่ประหลาดกว่านั้นยังมี นั่นคือ ราคาสามหมื่นตำลึงได้กระตุ้นโทสะมันจนสะบัดหน้าผละไปแล้ว มันไฉนยังย้อนกลับมายอมซื้อ?

ดวงตาเอี๊ยบไคเป็นประกายสุกใส จับมองหน้าต่างรถม้าแน่วนิ่ง เสียดายที่ในตัวรถมืดเกินไป มองจากแสงอาทิตย์เจิดจ้าทางด้านนอก ย่อมไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น

ซ่งเล่าปั้งเตรียมจะไปเปิดประตูรถแล้ว แต่มิทราบเพราะสาเหตุใด มือที่เพิ่งยื่นออกไป ต้องหดกลับมาอีกครา

ในตัวรถคล้ายมีคนส่งเสียงเบาๆ หลายคำ มิว่าผู้ใดก็ไม่ได้ยินมันกล่าวกระไร

แต่ซ่งเล่าปั้งได้ยินแล้ว สีหน้าของมันตอนนี้ คล้ายพลันถูกคนเตะเข้าอย่างหนักหน่วง... เป็นผู้ใดอยู่ในรถ?

ไฉนซ่อนตัวโดยมิยอมปรากฏเสมอมา?

มันว่ากระไร?

ซ่งเล่าปั้งได้ยินวาจามันแล้ว ไฉนจึงตระหนกถึงปานนี้?

ประกายตาเอี๊ยบไคแวววาววูบวาบ ถึงกับคล้ายหาคำตอบของปัญหามาได้แล้ว

....ผู้ที่ต้องการซื้อป้ายหยกในตอนนี้ ต้องมิใช่ซ่งเล่าปั้ง แต่เป็นคนที่ซ่อนตัวอยู่ในรถ

...มันไม่ยอมปรากฏหน้ามา แต่มันบีบบังคับให้ซ่งเล่าปั้งซื้อ

...แสดงว่าซ่งเล่าปั้งถูกมันข่มขู่จนงัน คิดจะไม่ซื้อก็ไม่ได้

...คนผู้นี้ใช้ฝีมือใดข่มขู่ซ่งเล่าปั้ง ไฉนต้องซื้อป้ายหยกชิ้นนี้ให้ได้?

...นอกจากคนของม้อก้า ยังมีผู้ใดยินยอม ใช้เงินทองจำนวนมหาศาลซื้อป้ายหยกชิ้นนี้?

...หรือคนผู้นี้ก็คือโกวฮง?

 

แสงอาทิตย์ของฤดูหนาว ย่อมไม่ร้อนแรงเท่าใด ลมที่โชยสัมผัสร่าง ยังคงหนาวอย่างยิ่ง

แต่ซ่งเล่าปั้งกลับมีเหงื่อกาฬแตกโซมศีรษะ

มันยืนตะลึงลานอยู่ที่หน้าประตูรถ มือทั้งสองสั่นระริกไม่หยุดยั้ง พลันทอดถอนใจยาว หันกายเดินกลับมาอีกครา สีหน้าของมัน คล้ายดั่งเป็นนักโทษประหารที่ถูกคุมเข้าไปในลานเพื่อรอคมดาบก็ปาน

เอี๊ยบไคดูมันที่เดินเข้ามาแล้วพลันกล่าวขึ้น

“ท่านตอนนี้ ยอมให้ราคาสามสิบหมื่นตำลึงแล้ว?”

ซ่งเล่าปั้งกำหมัดกัดฟันแนบแน่น ถึงกับผงกศีรษะรับจริงๆ หยาดเหงื่อบนศีรษะกระเซ็นพรั่งพรู เค้นเสียงออกจากไรฟันด้วยความแค้น

“สามสิบหมื่นก็สามสิบหมื่น”

เอี๊ยบไคหัวร่อแล้ว

ซ่งเล่าปั้งเหม่อมองด้วยความแตกตื่นพลางร้อง

“ท่านหัวร่อกระไร?”

“ข้าพเจ้าหัวร่อท่าน”

“หัวร่อเรา?”

“ข้าพเจ้าหัวร่อท่านที่เมื่อครู่ไฉนไม่ซื้อไว้”

“ไฮ้... ตอนนี้...”

“ราคาตอนนี้ผิดกับเมื่อครู่อีกแล้ว ตอนนี้ต้องสามร้อยหมื่นตำลึงจึงจะขายขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้”

ซ่งเล่าปั้งก็กระโดดขึ้นร้องสุดเสียง

“สามร้อยหมื่นตำลึง?”

เล่าปั้งที่โอ่อ่าภาคภูมิ ตอนนี้ถึงกับกระโดดโลดเต้น พลางแผดร้องดั่งทารก

“เจ้า... เจ้านับเป็นมหาโจรชัดๆ....เจ้า....ใจดำอำมหิตยิ่ง”

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

“หากท่านมีความเห็นเป็นราคาสูงเกินไป ท่านพอจะไม่ซื้อได้ ข้าพเจ้ามิได้บีบบังคับท่านเลย”

ซ่งเล่าปั้งถลึงจ้องอย่างดุดัน ประหนึ่งแค้นจนใคร่โถมเข้างับสักคำ อ้าปากคิดจะร้องกระไร แต่ลมหายใจถี่เร็วจนลำคอตีบตัน พลันหงายตึงลงกับพื้น ถึงกับขุ่นเคืองจนสลบไปแล้ว

ผู้ที่มุงดูความครึกครื้นก็ถลึงจ้องเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ทั้งปวงต่างรู้สึก คนผู้นี้มิเพียงเป็นมหาโจรเท่านั้น ยังใจดำอำมหิตยิ่งกว่ามหาโจรเสียอีก

แต่เอี๊ยบไคไม่แยแสสักน้อยนิด กลับหันไปแย้มยิ้มกล่าวกับรถม้า

“ในเมื่อท่านคิดต้องการของนี้ ไฉนไม่ออกมาซื้อเอง?”

ในรถม้าไม่มีเสียงใดๆ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“หากท่านออกมาซื้อเอง ข้าพเจ้าอาจบางทีไม่ต้องการแม้แต่อีแปะ ยินดีกำนัลให้ท่านเปล่าๆ”

รถม้าที่สงบไม่มีความเคลื่อนไหวเสมอมา พลันมีเสียงแค่นหัวร่อที่คมกริบดังกระบี่

“เป็นความจริง?”

“ข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ ข้าพเจ้ามิเคยโป้ปดมดเท็จมาเลย”

“ตกลง!

เสียงพอดัง มีเสียงระเบิดดังโครมใหญ่ ตัวรถสีดำใหม่เอี่ยม พลันระเบิดกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

สารถีแทบจะกระเด็นร่วงหล่นลง ม้าเทียมรถแผดร้อง ลุกขึ้นยืนสองขาด้วยความแตกตื่น

ในตัวรถมีคนปรากฏขึ้นผู้หนึ่ง

เป็นคนร่างมหึมาปานหอเหล็ก เปลือยร่างท่อนบน สวมกางเกงเนียนเนื้อสีแดงฉาน เอวเคียนด้วยเข็มขัดทองกว้างประมาณฝ่ามือ ตาที่เหลือกถลนปานกระดิ่ง ถลึงจ้องเอี๊ยบไคแน่วนิ่งด้วยความเคียดแค้น ดูไปไม่ผิดกับปิศาจร้ายที่เพิ่งหลุดหนีออกมาจากอเวจีเลย

หมู่ผู้คนปั่นป่วนวุ่นวายไปแล้ว

มนุษย์มหึมากำหมัดที่ยังโตกว่าไหใบย่อม ถ้าวอาดๆ เข้าหาเอี๊ยบไค....

 

มิว่าเป็นคนหรือม้า หลังจากพลันถูกก่อกวนให้ตระหนกแล้ว ปฏิกิริยาแรกย่อมเป็นเช่นเดียวกัน

หนี!

หนีได้ยิ่งเร็วยิ่งประเสริฐ ยิ่งไกลยิ่งประเสริฐ

แต่ทว่า ตอนนี้ม้าเทียมรถทั้งสองตัวต่างมิได้วิ่งหนี เพียงยืนสองขาส่งเสียงแผดร้องอยู่เท่านั้น

เนื่องเพราะมนุษย์มหึมาผู้นั้น พลิกมือกลับไปคว้าคานที่หลังรถไว้ ม้าเทียมรถทั้งสอง จึงไม่อาจหนีออกไปได้แม้สักก้าวเดียว

กลุ่มผู้คนแม้ปั่นป่วนวุ่นวาย แต่มิได้วิ่งหนีออกไปเช่นกัน

เนื่องเพราะผู้คนทั้งหลายต่างต้องการดู ผลสรุปของเรื่องราวคราวนี้

มิว่าอย่างไร นี่นับเป็นเรื่องพิสดาร ที่ไม่อาจพบพานได้ในร้อยๆ ปี

ทั้งปวงเหลียวมองมนุษย์มหึมา ที่ใช้ข้อมือข้างเดียวก็รั้งรถม้าเทียมคู่ไว้ได้ แล้วเหลียวมองเอี๊ยบไคอีกครา มิว่าผู้ใดต่างดูออก ที่เคราะห์ร้ายต้องเป็นเอี๊ยบไคแน่

ดูท่า มนุษย์มหึมาเพียงใช้นิ้วเดียว ก็สามารถเคาะศีรษะเอี๊ยบไคแตกกระจายได้

เอี๊ยบไคกลับหัวร่อแล้ว

เอี๊ยบไคหัวร่อพลางถามขึ้น

“ท่านสูงเท่าใด?”

ในเวลาและสถานการณ์เยี่ยงนี้ มาตรว่าคำถามจะพิกลยิ่ง แต่มนุษย์มหึมายังคงตอบ

“เก้าเชียะครึ่ง (หนึ่งเชียะจีนมีสิบนิ้ว)”

เอี๊ยบไคกล่าว

“เก้าเชียะครึ่ง นับว่าไม่เตี้ยเลยจริงๆ”

มนุษย์มหึมาตอบอย่างโอหัง

“ในโลกนี้ คนที่ยังสูงกว่าเรา น่ากลัวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

“อาวุธมีความสำคัญในยาวหนึ่งนิ้ว เข้มแข็งอีกหนึ่งนิ้ว หากท่านเป็นทวน ต้องเป็นทวนที่ยอดเยี่ยมยิ่ง”

“เรามิใช่ทวน”

“ยังมีของอีกมากหลาย ก็ใช้ความสูงต่ำมาแยกแยะคุณค่าสูงต่ำ สมมติเช่น ไม้ไผ่ยาวแพงกว่าไม้ไผ่สั้น ดังนั้น หากท่านเป็นไม้ไผ่ ต้องมีราคาอย่างยิ่ง”

หยุดถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ

“เสียดายที่ท่านก็มิใช่ลำไม้ไผ่”

“เราเป็นคน”

“เนื่องเพราะท่านเป็นคน ดังนั้น จึงเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก”

มนุษย์มหึมาถลึงตาคำราม

“มีที่ใดน่าเสียดาย?”

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

“มีแต่มนุษย์เท่านั้น จึงไม่ใช้ความสูงต่ำมาบ่งชี้คุณค่าสูงต่ำ หากมือเท้าของคนเราเจริญเติบโตเกินไป สมองก็มักจะเล็กจนโง่เขลาเกินไป ดังนั้น คนที่ยิ่งมีร่างเติบใหญ่ กลับยิ่งไม่มีราคาเสมอมา”

มนุษย์มหึมาคำรามเสียงก้อง โถมปราดเข้าไปดุจเป็นช้างมหึมา ดูท่ามันไม่จำเป็นต้องลงมือ ก็สามารถชนเอี๊ยบไคให้ตายทั้งเป็นได้โดยง่ายดาย

แม้นับเป็นต้นไม้ใหญ่ ยังไม่อาจทนทานการพุ่งชนของมันได้

แต่เสียดายเอี๊ยบไคก็มิใช่ต้นไม้

มนุษย์มหึมาย่อมไม่อาจชนเอี๊ยบไคล้มลง... ไม่มีผู้ใดในแดนดิน สามารถชนเอี๊ยบไคล้มลงได้

พริบตาที่มนุษย์มหึมาพุ่งเข้าชน ซ่งเล่าปั้งที่ความจริงขุ่นแค้นจนสลบแน่นิ่งกับพื้น พลันกระโดดปราดขึ้น ด้วยความเร็วดั่งเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง

มันมิเพียงลงมือรวดเร็วดั่งสายฟ้าเท่านั้น ยังเป็นการลงมือที่ชั่วร้ายอำมหิตยิ่งด้วย!

เสียดายที่มันก็ไม่สามารถปลิดชีวิตเอี๊ยบไค

มนุษย์มหึมาโถมตรงเข้าทางเบื้องหน้า ซ่งเล่าปั้งจู่โจมเกรี้ยวกราดดุดันมาทางด้านหลัง

แต่ร่างเอี๊ยบไคกลับขึ้นไปบนยอดไม้ไผ่!

ไม่มีผุ้ใดสามารถคิดได้ว่า ซ่งเล่าปั้งจะพลันลงมือ ยิ่งไม่มีผู้ใดคาดคิด เอี๊ยบไคสามารถหลบหลีกพ้น

ร่างของเอี๊ยบไค ถึงกับคล้ายถูกลมพัดขึ้นบนยอดไม้ไผ่ ยิ่งถึงกับคล้ายเป็นเมฆปุยหนึ่ง ใบไม้แห้งใบหนึ่ง

ซ่งเล่าปั้งก็ตระหนกอย่างยิ่ง

...การจู่โจมที่ต้องได้ผลถึงเก้าในสิบชัดๆ ไฉนกลับหลายเป็นล้มเหลวไปกลางคันได้!

สองเท้าของมันแตะพื้น มือขวาชักดาบออกมา ประกายดาบพอวูบ ฟันเข้าใส่กระบอกไม้ไผ่ทันที

มนุษย์มหึมากางฝ่ามือที่ใหญ่ปานพัดใบลานของมัน รอคอยอยู่ทางด้านล่าง

ไม้ไผ่พอหัก ร่างคนบนไม้ไผ่ย่อมต้องร่วงลงมา

ขอเพียงเอี๊ยบไคร่วงลง ก็ต้องร่วงไปในฝ่ามือมนุษย์มหึมา

มิว่าผู้ใดร่วงลงไปในฝ่ามือมัน ต้องกลายเป็นเรื่องสยดสยองอย่างยิ่งโดยมิพักสงสัย

มันจะบีบศีรษะคนให้แหลกเละ นับว่าง่ายดายดั่งทารกบีบหัวตุ๊กตาเสียอีก

เสียงกร๊อบดัง ไม้ไผ่หักโค่น

มีบางคนกระทั่งยังส่งเสียงร้องโดยไม่รู้ตัว... เอี๊ยบไคร่วงลงไปที่ฝ่ามือมนุษย์มหึมาจริงๆ

มีเสียงโครมดังสนั่น ผู้หนึ่งล้มฟาดลงกับพื้น แต่มีอีกสองคนพุ่งขึ้นเบื้องบน

ที่ล้มไปถึงกับเป็นมนุษย์มหึมา ที่พุ่งขึ้นอากาศกลับเป็นเอี๊ยบไคกับซ่งเล่าปั้ง!

ตอนเอี๊ยบไคร่วงลง พลันกระแทกศอกกลับด้านหลัง งอเข่ากับศอกขวากระแทกเข้าใส่ร่างมนุษย์มหึมาพร้อมกัน

ตอนมนุษย์มหึมาล้มลง เอี๊ยบไคอาศัยพลังกระแทก พุ่งตัวขึ้นอากาศอีกครั้ง

ซ่งเล่าปั้งทะยานกายตามติด ประกายดาบแวววับราวรุ้งยาว ม้วนเข้าใส่หว่างเอวเอี๊ยบไคอย่างดุดัน

มิคาด เอวเอี๊ยบไคพลันบิดคล่องแคล่วดั่งเป็นงูน้ำ แต่มือซ้ายกลับคว้าชีพจร มือขวาซ่งเล่าปั้งไว้โดยไม่คาดหมาย!

ดาบร่วงหล่นลง ปักไปบนตัวรถม้า

ร่างของทั้งสองก็ละลิ่วลงบนรถม้า มาตรว่าตัวรถถูกกระแทกแตกกระจาย แต่พื้นรถยังคงมิได้แตกไป

ตอนทั้งสองร่วงหล่นลงบนรถ ม้าเทียมรถต้องตระหนกจนแผดร้องอีกครั้ง ห้อสุดฝีเท้าออกไปทันที

ครั้งนี้ไม่มีคนฉุดพวกมันไว้ และไม่มีผู้ใดสามารถฉุดพวกมันได้ด้วย

สารถีแตกตื่นจนมิทราบเตลิดหนีไปที่ใดแล้ว ม้าเทียมรถสองตัวที่แตกตื่น จึงได้ลากรถที่ไม่มีคนขับ วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งอยู่ในท้องถนน นอกจากคนวิกลจริตแล้ว มีผู้ใดจะกล้าขวางทางรถม้าคลุ้มคลั่ง?

คนบนท้องถนน แตกฮือออกเป็นสองฟากข้างด้วยความตระหนก

ซ่งเล่าปั้งกลิ้งตัวกับพื้นรถตลบหนึ่ง ยังคงคิดจะกระโดดขึ้นมา แต่ทว่ามีหมัดข้างหนึ่งรอคอยที่เบื้องสายตามันก่อนแล้ว

มันเพิ่งกระโดดจากพื้นก็เห็นหมัดข้างนั้น และแล้วเห็นดาวทองจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ครั้งนี้ มันสลบไปจริงๆ แล้ว

เอี๊ยบไคระบายลมจากปากเบาๆ มิว่าซ่งเล่าปั้งจะเป็นคนเช่นไรกันแน่? ต่างล้วนมิใช่เป็นคนรวบรัดง่ายดาย สามารถให้มันลงนอนแน่นิ่งได้ ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย

ม้าพ่วงพียังคงห้อตรงไปเบื้องหน้า

เอี๊ยบไคไม่มีเจตนาฉุดรั้งมันไว้ กลับกระโดดไปที่แคร่สารถี โบยแส้เร่งฝีเท้าตรงไปเร็วกว่าเดิม

เอี๊ยบไคต้องการไปไล่คนผู้หนึ่ง!

ตอนนี้ผ่านเที่ยงแล้ว

เอี๊ยบไคมิได้หาปูตาลาพบดั่งตั้งใจ

แล้วเอี๊ยบไคต้องการไล่ล่าผู้ใด?

----------------------------

นครที่เก่าโบราณ ถนนหนทางที่เก่าโบราณ

ถนนสายนี้ปูด้วยหินสีเขียว แคบเล็กและลาดเท

เบื้องหน้ามีรถเทียมล่อคันหนึ่ง ในรถมีทั้งกรงทั้งเข่งไก่อยู่มากหลาย ภายในกรงในเข่งเต็มไปด้วยไก่เป็นๆ แสดงว่าบรรทุกจากนอกเมืองเข้ามาขายในเมือง

สารถีที่ขับรถเป็นเฒ่าสูงวัย ที่ป้อนไก่เป็นหญิงชรา ทั้งสองต่างผมขาวโพลนทั้งศีรษะ

หญิงชรานั่งยองๆ เลี้ยงไก่อยู่บนรถเทียมล่ออยู่ กระทั่งเอวยังไม่อาจยืดตรง ชายชราที่นั่งขับรถ กระทั่งแส้ยังไม่มีปัญญาตวัดขึ้น

ผู้คนในทุกเมืองต่างต้องกินไก่ แต่ละวันต่างมีคนกินไก่

ในเมื่อมีคนกินไก่ ก็มีคนซื้อไก่

นี่ความจริงเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง

ชายชรากับหญิงชราทั้งสอง ดูไปก็ไม่มีผู้ใดพิเศษผิดธรรมดา

แต่เอี๊ยบไคกลับคล้ายไล่ตามพวกมัน

เห็นพวกมันอยู่ทางเบื้องหน้า เอี๊ยบไคยิ่งลงแส้เร่งม้าเร็วกว่าเดิม

ชายชราเหลียวมองแวบหนึ่ง ดวงตาที่ขุ่นฝ้าพลันมีประกายวูบขึ้น

หญิงชราพลันคว้ากรงไก่ขึ้น ตวาดแล้วเปิดฝาเทไก่ในเข่งออกมาหมดสิ้น

ไก่ใหญ่ๆ เล็กๆ สิบกว่าตัว มีบ้างบิน มีบ้างร้อง มีบ้างกระโดด สุนัขเถื่อนไม่มีเจ้าของที่ข้างทางพากันโถมเข้ามา เพื่อหมายจับกินเป็นอาหาร ทั้งร้องทั้งกระโดดโลดเต้น

ไก่บินสุนัขกระโดด ทั้งถนนปั่นป่วนวุ่นวายจนอลเวงไปแล้ว

ม้าเทียมรถแตกตื่นจนลุกยืนสองขาอีกครา รอจนเมื่อเอี๊ยบไคลงแส้บังคับให้มันพุ่งฝ่าเข้าไป รถเทียมล่อที่เบื้องหน้าได้อ้อมมุมถนนไปแล้ว

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อ พลันกระโดดปราดจากแคร่รถ โฉบขึ้นบนหลังคา

เอี๊ยบไคตกลงใจแน่วแน่ ต้องไม่ปล่อยให้ชายชราผู้นั้นหลบหนีพ้น

เอี๊ยบไคไฉนจึงต้องไล่ตามพวกมัน?

พวกมันไฉนต้องหลบหนี?

 

รถเทียมล่อยังห้อตะบึง ไก่ยังส่งเสียงร้อง แต่คนบนรถกลับหายไปแล้ว

นี่เป็นตรอกขวางที่แคบอย่างยิ่ง รถม้าที่ใหญ่ผิดธรรมดาเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีทางจะเข้าไปได้

ในตรอกถึงกับไม่มีคนแม้สักผู้เดียว ประตูสองฟากข้างต่างปิดสนิทแน่น ในลานบ้านก็ไม่มีผู้คน

ชายชรากับหญิงชราสูงวัยทั้งคู่ ไฉนพลันหายสาบสูญไปได้?

พวกมันซ่อนตัวอยู่ในลานบ้านใด?

เอี๊ยบไคมิได้ไปหาทีละบ้าน ยังคงไปไล่ตามรถเทียมล่อดั่งเดิม

ผ่านตรอกขวางมีเนินลาดเท

รถเทียมล่อแม้ไม่มีคนควบขับ ถึงกับเลี้ยวออกจากตรอก พุ่งลงไปในเนินที่ลาดเท

เอี๊ยบไคพลันทะยานกายขึ้นสูงกว่าแปดวา ตีลังกากลางอากาศ เมื่อละลิ่วลงพอดีอยู่บนรถเทียมล่อ

เมื่อลงจากเนินลาดเท รถจึงได้ช้ากว่าเดิมบ้าง

เอี๊ยบไคยังคงนั่งเหยียดมือเท้าตามสบายอยู่บนรถ พลันแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าความจริงจำพวกท่านไม่ได้ เสียดายที่พวกท่านมาในเวลาประจวบเหมาะเกินไป”

เอี๊ยบไคกำลังว่ากล่าวกับผู้ใด?

บนรถไม่มีผู้อื่น มีแต่ไก่กับล่อ (สัตว์ที่ผสมขึ้นระหว่างลากับม้า มีความอดทนเช่นลา ตัวสูงใหญ่วิ่งเร็วเทียบเท่ากับม้า) คนที่สมองเป็นปกติธรรมดา ต้องไม่กล่าววาจากับล่อเทียมรถเด็ดขาด

แต่เอี๊ยบไคถึงกับยังกล่าวสืบต่อไป

“ตอนพวกท่านเข้าเมือง เป็นเวลาที่ปั่นป่วนวุ่นวายที่สุด ความจริงข้าพเจ้าก็ไม่อาจเห็นพวกท่านได้...”

“แต่เสียดายที่ตอนนั้น ข้าพเจ้าบังเอิญยืนอยู่บนลำไม้ไผ่...”

“ผู้ที่เข้าเมืองในตอนนั้น ก็มิเพียงมีพวกท่านสองคน ความจริงแม้นับว่าข้าพเจ้าเห็นพวกท่าน ยังต้องไม่คลางแคลงใจเด็ดขาด...”

“เสียดายที่ทีท่าของพวกท่าน กลับผิดกว่าผู้อื่นๆ มาก...”

เอี๊ยบไคกล่าวถึงตอนนี้ ใต้ท้องรถพลันมีคนถอนหายใจกล่าวบ้าง

“ทีท่าของพวกเรา มีที่ใดผิดกว่าผู้อื่นๆ?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ตัวท่านไม่ทราบเลย?”

“ไม่ทราบแม้สักน้อยนิด”

คนที่ใต้ท้องรถตอบแล้ว ถอนใจกล่าวต่อไป

“ข้าพเจ้ารู้สึก รูปลักษณะของพวกเรา ไม่มีที่ใดพิเศษสะดุดตาสักน้อยนิด?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“อาจบางทีเนื่องเพราะทีท่าของพวกท่าน ไม่มีพิเศษสะดุดตาแม้สักน้อยนิดนี่เอง จึงได้เป็นความพิเศษที่สะดุดตา”

วาจานี้ มิเพียงคนที่ใต้ท้องรถเทียมล่อไม่เข้าใจเท่านั้น นอกจากตัวเอี๊ยบไคเอง ผู้สามารถเข้าใจน่ากลัวมีไม่มากนัก

ดังนั้น เอี๊ยบไคจึงต้องอธิบาย

“เนื่องเพราะในตอนนั้น สีหน้าท่าทีของคนอื่นๆ ต่างพิกลผิดธรรมดา...”

ในตอนนั้น แต่ละคนต่างตระหนกอย่างยิ่ง ตื่นเต้นอย่างยิ่ง ลิงโลดอย่างยิ่ง แม้นับเป็นคนเพิ่งเข้าเมือง ก็อดมิได้ต้องเบิ่งตาไปดูเอี๊ยบไคกับมนุษย์มหึมาด้วยความแตกตื่น

แต่เฒ่าสูงวัยหญิงชายทั้งสองคนนี้ กลับคล้ายมิได้เห็นกระไรทั้งสิ้น แม้ศีรษะยังมิได้เบือนไปมองสักแวบเดียว

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“พวกท่านกระทั่งมองยังมิยอมเหลือบแล นั่นเนื่องเพราะพวกท่านต้องทราบก่อนแล้วว่า ที่นั้นจะเกิดเรื่องราวเช่นนั้น เนื่องเพราะเรื่องราวนั้น ความจริงเป็นพวกท่านวางแผนให้เกิดขึ้น เพื่อปิดบังร่องรอยเข้าเมืองของพวกท่าน”

ใต้รถเทียมล่อไม่มีเสียงอีกแล้ว

เอี๊ยบไคก็มิเอ่ยปากอีก สะบัดบังเหียนปล่อยให้ล่อเทียมรถเหยาะช้าๆ ไปเบื้องหน้า

มิทราบอีกนานเท่าใด คนใต้ท้องรถจึงแค่นหัวร่อกล่าว

“ข้าพเจ้าดูท่านผิดไป ข้าพเจ้านึกไม่ถึง ท่านถึงกับเป็นคนเช่นนี้ได้”

“ข้าพเจ้าเป็นคนเช่นไร?”

“เป็นคนที่สมควรตาย”

วาจามิทันจบคำ ล่อเทียมรถพลันแตกตื่นจนแผดร้องกระโดดขึ้น เอี๊ยบไคก็กระโดดตามติดไปในบัดดล

พริบตาเดียวกันนั้น มีสองคนพุ่งตัวออกจากใต้ท้องรถ ผู้หนึ่งไปทางตะวันออก ผู้หนึ่งไปทางตะวันตก

ทั้งสองคนต่างมีท่าร่างรวดเร็วอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นชายชราและหญิงชรา ที่ไม่สะดุดตาแม้สักน้อยนิดคู่นั้น

ผู้ที่เอี๊ยบไคไล่เป็นชายชรา!

วิชาตัวเบาของชายชรา สูงส่งเป็นอันดับเยี่ยมได้ กระทั่งเอี๊ยบไคก็ไม่แน่จะสามารถไล่ตามมันทัน

แต่มันตอนนี้ คล้ายดั่งมีที่ใดมิใคร่สะดวก แสดงว่าบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่ง

หรือมันก็คือโกวฮง ที่บาดเจ็บกับอาวุธลับในด้ามร่มของกัวแป้? !

เอี๊ยบไคมิได้ใช้มีดสั้นของตน

หากไม่ถึงคราคับขันจำเป็นที่สุด เอี๊ยบไคต้องไม่ใช้มีดสั้นเด็ดขาด มีดของเอี๊ยบไคไม่ใช้มาฆ่าคน

แต่ทว่า ตัวของเอี๊ยบไค ก็คล้ายเป็นมีดเล่มหนึ่งอยู่แล้ว

มีดบิน!

กระโดดโลดแล่นเพียงสามครั้ง เอี๊ยบไคก็ไล่ตามชายชราทัน ตีลังกากลางอากาศอีกตลบหนึ่ง พุ่งลงขวางทางชายชราไว้ได้

ชายชรายังคิดจะโถมเข้าไป แต่ร่างพลันสะท้านเฮือกใหญ่จนบิดเบี้ยว ดุจกับมีแส้ที่มองไม่เห็น โบยเข้าใส่มันจนสุดแรงก็ปาน

ใบหน้าของมันถูกปลอมแปลงมา ย่อมอาจมีความรู้สึกใดปรากฏขึ้นได้

แต่ดวงตาของมัน กลับมีประกายเจ็บช้ำอย่างยิ่ง เคียดแค้นอย่างยิ่ง อาฆาตอย่างยิ่ง ถลึงจ้องเอี๊ยบไคดุจเป็นดาบคมกริบเล่มหนึ่ง

ครั้งนี้ เอี๊ยบไคถึงกับมิได้แย้มยิ้ม

อาจบางทีคิดจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก เนื่องเพราะเอี๊ยบไคจำมันได้ว่าเป็นผู้ใดแล้ว

“หากมิใช่ท่านบาดเจ็บอยู่ก่อน ข้าพเจ้าความจริง ไม่มีทางไล่ตามทันเลย”

หยุดถอนใจแล้วเอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“วิชาตัวเบาของท่าน นับเป็นสุดยอดในแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดเทียมจริงๆ”

ชายชราผมขาวโพลงกำหมัดแนบแน่น เค้นเสียงจากไรฟัน

“ท่านจำข้าพเจ้าออกแล้ว?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ กล่าวด้วยความรันทด

“อย่าลืมว่าพวกเราความจริงเป็นสหาย เป็นสหายเก่า!

ชายชราแค่นหัวร่อสวนคำ

“ข้าพเจ้าไม่มีสหายดั่งท่าน”

มันยังคิดใช้กำลังกำหมัดกัดฟัน เชิดหน้ายืดอก แต่เสียดาย ร่างของมันกลับงอจนฝ่อลง

กระทั่งดวงตามัน ก็ไม่มีประกายแวววาวดั่งเมื่อครู่อีกแล้ว

บัดนี้ แม้นับว่าดวงตาของมันยังเป็นมีดเล่มหนึ่ง แต่เป็นมีดที่มีสนิมแล้ว

เอี๊ยบไคกล่าว

“บาดแผลของท่านสาหัสยิ่ง?”

ชายชราขบกรามแนบแน่นมิเอ่ยปาก เอี๊ยบไคจึงถอนใจกล่าวต่อ

“ในเมื่อท่านบาดเจ็บสาหัส ก็ไม่บังควรแช่อยู่ในน้ำร้อน”

เอี๊ยบไคถึงกับจำคนผู้นี้ได้จริงๆ

นอกจากปวยฮู้เอี้ยเทียน ผู้ใดยังมีวิชาตัวเบาให้เอี๊ยบไคนับถือ?

“...หากคนเราคิดจะอำพรางบาดแผลในร่าง ยังมีที่ใดประเสริฐกว่าแช่อยู่ในอ่างน้ำ”

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“แต่ทว่า ชนชาวนักเลงมิว่าผู้ใด ต่างยากยิ่งจะไม่บาดเจ็บได้ นี่มิใช่เรื่องอับอายจนมิกล้าพบผู้คน ท่านไฉนต้องอำพรางข้าพเจ้า?”

“เนื่องเพราะ...”

เอี้ยเทียนตอบได้สองคำก็มิอาจกล่าวต่อ

เนื่องเพราะมันไม่มีปัญญาอธิบาย? หรือเนื่องเพราะไม่มีปัญญากล่าวสืบต่อไป?

เอี๊ยบไคกล่าวอีก

“ท่านจะอำพรางข้าพเจ้า เนื่องเพราะท่านคำนวณแน่ว่า ข้าพจเต้องทราบโกวฮงบาดเจ็บแล้ว ท่านจะอำพรางข้าพเจ้า เนื่องเพราะท่านคือจ้าวฟ้าปูตาลา โกวฮงของม้อก้า!

ร่างเอี้ยเทียนสั่นระริก แต่ไม่อาจส่งเสียงสักครึ่งคำ

ใช่หรือไม่ว่า เนื่องเพราะตัวมันเอง ก้ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้? !

เอี๊ยบไคถอนใจยาวกล่าวขึ้น

“ความเปรื่องปราดหลักแหลมของท่าน ข้าพเจ้าก็นับถืออยู่เสมอมา ดังนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ออกจริงๆ คนเช่นดั่งท่าน ไฉนต้องเข้าเป็นสาวกม้อก้า?”

ในที่สุด เอี้ยเทียนส่งเสียงแล้ว

เสียงหัวร่อ

เป็นเสียงหัวร่อที่ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยายได้

มันหัวร่อคักคัก เสียงยิ่งนานยิ่งดัง แต่ตัวมันยิ่งนานยิ่งหดเล็ก

มันถึงกับหดเล็กลงได้ ฝ่อลงได้!

พริบตานั้น มันคล้ายดั่งถึงกับกลายเป็นคนชราจริงๆ

เสียงหัวร่อชะงักหาย

ร่างมันล้มลงไป

----------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น