วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า เล่ม 2 บทนำ อำมหิตจนสามานย์

 

ชุดยุทธจักรนิยาย

ISBN 974-7373-76-9

เหยี่ยวเดือนเก้า เล่ม 2

(เก้าง้วยเอ็งปวย, ค.ศ. 1973)

ของโกวเล้ง

แปลโดย ว.ณ เมืองลุง

พิมพ์คร้งแรก (ของสำนักพิมพ์) กันยายน 2537

จัดพิมพ์โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย

สำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ

บริษัทสร้างสรรค์-วิชาการ จำกัด

217 สุขุมวิท 20 (สายน้ำผึ้ง) แขวงคลองเตย

เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทรศัพท์ 2-585858, 258-2724 โทรสาร 261-5671

บรรณาธิการบริหาร : ประสิทธิ์ รุ่งเรืองรัตนกุล

บรรณาธิการ : วันเพ็ญ คงมั่น

กองบรรณาธิการ : จิตราภรณ์ แสนสนุก, ฐิฏิวรรณ วรรณฉวี

หนูพร้อง ชูทอง, อำพร จัทร์ดา

ออกแบบปก : เกรียงไกร ฟักทอง

ศิลปกรรม : วิทยา เวียงสิมา

ยุวดี สกุลจิตรานนท์, ณัฐวุฒิ เนตรสมลักษณ์

หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน : มาลีรัตน์ รุ่งเรืองรัตนกุล

ฝ่ายบัญชี : สินพร รุ่งลิขิตวิวัฒน์

สุกัญญา สนิทธรรม, ปรียามน วิเวกวินย์

หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่าย : สุวิทย์ ตั้งดำรงธรรม

ฝ่ายจัดจำหน่าย : ธนากร พงษ์ประเสริฐ

สมศิล ภูห้องเพชร, เชาวเรชน์ ภูผานิล

เรียงพิมพ์ที่ โมดิฟาย คอมพิวท์ กราฟฟิค

พิมพ์ที่ เรือนแก้วการพิม์

 

สองเล่มจบ

ราคาชุดละ (รวมสองเล่ม) 265 บาท

 

 

คำนำสำนักพิมพ์

ถามว่า หลังจากลี้คิมฮวงถอนตัวจากบู๊ลิ้ม คนที่ตอแยยากที่สุดในแผ่นดิน น่าสะพรึงกลัวที่สุดในบู๊ลิ้มคือใคร?

คำตอบคือ เอี๊ยบไค แซ่เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้ นามไคที่แปลว่าเบิกบานใจ

เนื่องเพราะมันมิเพียงสืบทอดวิชามีดบินจากอัจฉริยะมีดสั้นลี้คิมฮวง หากยังสืบสารเจตนารมณ์และจิตวิญญาณอันงดงาม เปี่ยมคุณธรรม ของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย ไว้อย่างเต็มเปี่ยม !

คุณค่าที่แท้จริงของมีดสั้น มิใช่อยู่ที่ตัวมันเอง แต่อยู่ที่เรื่องที่มันไปกระทำ ว่ามีคุณค่าหรือไม่! หากเรื่องที่มันกระทำไม่ละอายต่อฟ้า ไม่ละอายต่อมวลมนุษย์ อย่างนั้นมันย่อมไม่พ่ายแพ้เด็ดขาด!

พลานุภาพของมีดสั้นนี้ คือรัก มิใช่แค้น!

มีดสั้นหลุดออกจากมือเอี๊ยบไค เป็นช่วยคนมากกว่า ฆ่าคนน้อยกว่า

ฟังว่า ด้วยจิตใจที่ดีงาม เปี่ยมความเมตตา สัตย์ซื่อถือคุณธรรม ของเอี๊ยบไค ถึงกับทำให้เซี่ยวลี้ปวยตอเพิ่มพูนพลานุภาพขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว!

เซี่ยวลี้ปวยตอที่ถูกจัดวางอยู่ อันดับสาม ในตำราอาวุธยุคลี้คิมฮวง กลับได้รับเลื่อนขั้นเป็น อันดับหนึ่ง ในยุคเอี๊ยบไค โดยเอี๊ยบไค!

พลังและความเร็วของมีดบินยาวสามนิ้วเจ็ดหุนนี้ ไม่มีผู้ใดในใต้หล้าจะเปรียบเทียบบรรยายได้เด็ดขาด!

กระทั่งพอเอ่ยนาม เอี๊ยบไค ผู้คนต่างมีสีหน้าพิกลพิสดาร บ้างเคารพเทิดทูน บ้างเคียดแค้นชิงชัง บ้างหวาดหวั่นพร่นพรึง!

 

ยามนี้ เมฆร้ายดำทะมื่นก่อตัวปกคลุมบู๊ลิ้มอีกครั้งแล้ว!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน บุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง และลิ่มเซียนยี้ กำลังรื้อฟื้นอิทธิพลอำนาจของพรรคเหรียญทอง (กิมจี๊ปัง) ให้เกริกไกรอีกครั้ง ความงามและความมั่งคั่งของนาง มิเพียงสามารถกวดต้อนยอดฝืมือบู๊ลิ้มไว้ในร่มเงาเท่านั้น กระทั่งพรรคอสูร (ม้อก้า) ที่ยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่ในอำนาจของนาง

นางมิเพียงสืบทอดหัวใจของลิ่มเซียนยี้ที่ชั่วร้ายอำมหิตไว้เท่านั้น ยังสืบทอดพลังฝีมือของเซี่ยงกัวกิมฮ้งที่ กราดเกรี้ยวดุดัน เลอเลิศพิสดาร ไว้ในตัวนางด้วย แผนการร้ายของนาง มิเพียงแนบเนียนไม่มีจุดอ่อนช่องว่าง ยังซับซ้อนจนไม่มีภูตผีเทพยดาหยั่งคำนวณได้ กระทั่งเอี๊ยบไคยังถูกหลอกล่อจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว!

เอี๊ยบไคยามนี้ ถึงกับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอก ที่ถูกฝูงเหยี่ยวเดือนเก้ากลุ้มรุมไล่ล่า!

 

                                                            ด้วยจิตคารวะ

                                                            สำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ

อำมหิตจนสามานย์

ใบหน้าเอี๊ยบไคไม่มีแววเจ็บช้ำ เนื่องเพราะเอี๊ยบไคทราบ หากตนยิ่งแสดงความเจ็บช้ำออกไป มันยิ่งไม่ยอมปล่อยตนผ่านมือ

ในการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หากมีปัญญาทรมานคู่มือของตน มิว่าผู้ใดต่างไม่ยอมปล่อยผ่าน

ลู่เต๊กแค่นเสียงเย็นชาต่อไปจริงๆ

“พละกำลังของท่าน ไม่มีปัญญาทนทานสืบไปได้ จะเร็วจะช้าต้องพังทลาย ดังนั้นท่านมิต้องลงมือข้าพเจ้าก็ทราบ ท่านพ่ายแพ้แน่แล้ว”

ขณะเวลาที่วาจาคำสุดท้ายของลู่เต๊กเปล่งมา เอี๊ยบไคก็ได้ลงมือไป!

นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เท่าที่เอี๊ยบไคสามารถหามาได้

ลู่เต๊กเพิ่งกล่าววาจาจบคำ เป็นเวลาที่ประสาทและกล้ามเนื้อผ่อนคลายที่สุด

ตลอดร่างของลู่เต๊ก แม้ยังไม่มีช่องว่างจุดอ่อน แต่เอี๊ยบไคก็มีโอกาสสังเกตจุดอ่อนช่องว่างมันมาได้

 

เอี๊ยบไคไม่มีมีดสั้น

แต่ความรวดเร็วของมือที่จู่โจม มิได้ช้ากว่ามีดสั้น!

มือซ้ายของเอี๊ยบไค กางดุจเป็นกรงเล็บเสือดาว กรงเล็บเหยี่ยว ห้านิ้วในมือขวาเหยียดตรง มิว่าผู้ใดก็ดูไม่ออก เอี๊ยบไคจะใช้หมัด? ใช้ฝ่ามือ? ใช้พลังกรงเล็บเหยี่ยว? หรือใช้พลังดรรชนีเหล็ก?

การลงมือของเอี๊ยบไค ก็พลิกแพลงสับสนจนไม่มีผู้ใดสามารถดูออก เอี๊ยบไคจะจู่โจมเข้าส่วนสัดใดของคู่ต่อสู้?

เอี๊ยบไคจำเป็นต้องล่อให้ลู่เต๊กแสดงท่าร่างออกมา

ขอเพียงร่างมันเคลื่อนไหว โครงว่างเปล่าควรจะกลายเป็นสสารให้เห็นได้ ซึ่งก็ต้องปรากฏจุดอ่อนช่องว่างมา

ลู่เต๊กเคลื่อนไหวจริงๆ แล้ว

ช่องว่างของมันอยู่ที่ขม่อม!

สองหมัดของเอี๊ยบไคต่อยออกพร้อมกัน จู่โจมใส่กลางศีรษะมันปานสายฟ้า! นี่เป็นการจู่โจมที่ถึงแก่ชีวิต!

แต่หัวใจของเอี๊ยบไคเองกลับวูบต่ำลง!

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคพบเห็นแล้ว กระบวนท่านี้ของตนพอจู่โจมไป ช่องว่างที่ทรวงอกก็เปิดกว้างเช่นกัน

ทรวงอกของเอี๊ยบไค นับเป็นจุดอ่อนที่เปราะบางที่สุดในร่าง... เพราะทรวงอกมีแผลอยู่แล้ว

มิว่าผู้ใดต่างทราบ เมื่อจุดอ่อนที่สุดในร่างกายอาจจะถูกผู้คนจู่โจม หัวใจจะต้องวาบหวิว มือจะต้องอ่อนไป

การจู่โจมของเอี๊ยบไค ไม่เข้มแข็งดั่งปกติอีกแล้ว ระดับความเร็วก็เชื่องช้ากว่าปกติมากมายนัก

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก ช่องว่างนี้เป็นลู่เต๊กจงใจเปิดออกเพื่อล่อตน!

ลู่เต๊กแสร้งเปิดโอกาสให้เอี๊ยบไคลงมือก่อน จึงแสร้งเปิดจุดอ่อนนี้ออกมาเพียงเพื่อต้องการให้เอี๊ยบไคเปิดจุดอ่อนเปราะบางที่สุดในร่างกายของตน ให้แก่มันจู่โจมปลิดชีวิต!

นี่จึงเป็นหลุมอุบายที่ร้ายกาจ บัดนี้เอี๊ยบไคถึงกับกระโดดลงไปดั่งคนตาบอด!

เอี๊ยบไคคิดจะช่วยเหลือ ไม่ทันท่วงทีแล้ว!

มือของลู่เต๊กพลันมาถึงทรวงอกของเอี๊ยบไค

นั่นมิใช่มือ!

มันเป็นอาวุธร้ายที่ปลิดชีวิตคนได้!

ไต้เกากังตาเหลือกค้างปากอ้ากว้าง

จนบัดนี้มันจึงทราบ เมื่อครู่มันดูผิดไป และมันก็ดูออก นั่นเป็นการจู่โจมที่ไม่มีปัญญากระโดดหลบหลีกพ้น เป็นการจู่โจมที่ปลิดชีวิตได้ชัดๆ!

มิคาด ขณะเวลานั้นเอง ร่างเอี๊ยบไคพลันแฉลบขึ้นอากาศ ดุจดั่งถูกลมกรรโชกลอยขึ้นก็ปาน

ไม่มีผู้ใดสามารถใช้ช่วงเวลาและสถานการณ์เยี่ยงนี้ ท่าร่างเยี่ยงนี้ ทะยานกายขึ้นอากาศได้ มันแทบจะเป็นเรื่องไม่อาจเป็นไปได้เลย!

แต่วิชาตัวเบาของเอี๊ยบไค ได้ถึงระดับไม่อาจเป็นไปได้แล้ว!

ไต้เกากังอดมิได้ต้องร้องสุดเสียง

“วิชาตัวเบายอดเยี่ยม”

ลู่เต๊กก็อดมิได้ต้องร้องชมเชย

“วิชาตัวเบายอดเยี่ยม”

วาจาของทั้งสองเปล่งออกพร้อมกัน แต่ยังมิทันขาดคำ ร่างเอี๊ยบไคก็ร่วงหล่นลงจากอากาศ

มือของลู่เต๊กฟาดใส่กระดูที่ขาอ่อนของเอี๊ยบไค

ตอนเอี๊ยบไคใช้กระบวนท่าช่วยชีวิตออกไป เอี๊ยบไคก็ทราบ หลบกระบวนท่าแรกของลู่เต๊กพ้น อย่างไรต้องไม่อาจหลบกระบวนท่าที่สองของมันพ้น

ตอนร่างเอี๊ยบไคทะยานขึ้นอากาศ ครึ่งท่อนล่างก็กลายเป็นช่องว่างไปหมดสิ้น

แต่เอี๊ยบไคจำต้องทำดั่งนั้น เนื่องเพราะทรวงอกไม่มีทางทนทานการฟาดจู่โจมของลู่เต๊กได้อีกแล้ว

แต่ถูกฟาดใส่กระดูกขาอ่อน ก็มิใช่น่าทนทานเช่นกัน

เอี๊ยบไครู้สึก มือของลู่เต๊กคล้ายเป็นเหล็กแหลม (สว่าน) ทะลวงเข้าไปในช่องกระดูกของตน

เอี๊ยบไคกระทั่งยังได้ยิน เสียงกระดูกของตนแตกออกจากกัน

 

พื้นก็แข็งแกร่ง

เอี๊ยบไคคาดคิดไม่ถึง พื้นดินที่มีโคลนอยู่เต็มก็แข็งแกร่งดั่งเป็นแผ่นเหล็กได้

เนื่องเพราะส่วนที่ร่วงลงมากระทบพื้นก่อน คือขาอ่อนข้างที่ถูกฟาดกระดูกแตก!

เอี๊ยบไคเจ็บปวดแทบสลบไสลไป

เอี๊ยบไคได้สติอีกครั้ง เนื่องเพราะพลันพบเห็นมือของลู่เต๊กได้มาถึงที่ทรวงอกตนอีก

การจู่โจมนี้ เอี๊ยบไคจึงไม่มีปัญญาหลบหลีกโดยแท้จริง และไม่มีปัญญาลงมือต่อต้านอีกด้วย

มือของเอี๊ยบไคคือมือ

แต่มือของลู่เต๊ก เป็นอาวุธร้ายที่ปลิดชีวิตคน!

ตายเป็นรสชาติใด?

เอี๊ยบไคยังมิทันเริ่มคิด พลันได้ยินไต้เกากังร้องสุดเสียง

“ออมมือไว้ไมตรี”

ลู่เต็กชะงักมือไว้ แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าฆ่ามันในที่นี้?”

ไต้เกากังถอนใจกล่าว

“ท่านไยจะต้องฆ่ามันให้ได้?”

“ผู้ใดว่าข้าพเจ้าจะฆ่ามัน?”

“แต่ว่าท่าน...”

ลู่เต๊กแค่นหัวร่อสอดคำ

“หากข้าพเจ้าต้องการจะฆ่ามันจริง อาศัยวาจาท่านเพียงประโยคเดียว ก็สามารถขัดขวางข้าพเจ้าได้?”

ไต้เกากังฝืนยิ้ม มันทราบว่าตัวมันไม่มีทางห้ามปรามขัดขวาง ในโลกนี้ อาจบางทีไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางได้

ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“หากข้าพเจ้าต้องการฆ่ามันจริง มันตายไปไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว”

นี่มิใช่เป็นคำอวดโอ่

เอี๊ยบไคจับตามองบุรุษหนุ่มที่ทระนงโอหัง มาตรว่าเจ็บปวดจะบันดาลให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยว แต่ดวงตาของเอี๊ยบไคกลับเยือกเย็นผิดธรรมดา กระทั่งยังมีแววยิ้มแย้มอีกด้วย

เอี๊ยบไคไฉนต้องยิ้ม?

ถูกคนจู่โจมพ่ายแพ้ หรือเป็นเรื่องสนุกสนานน่าสนใจ?

ลู่เต๊กหันหน้ามาจ้องมองเอี๊ยบไคพลางถาม

“ท่านทราบ ไฉนข้าพเจ้าจึงไม่ฆ่าท่าน?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะท่านบาดเจ็บอยู่แล้ว มิเช่นนั้นด้วยความสูงส่งในวิชาตัวเบาของท่าน มาตรแม้นไม่สามารถพิชิตข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาไล่ท่านทัน”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ท่านไม่มีความจำเป็นต้องไล่ตามเลย เนื่องเพราะแม้ข้าพเจ้าไม่อาจพิชิตเอาชัยท่าน ก็ต้องไม่หลบหนีเด็ดขาด”

ลู่เต๊กเขม้นมองอีกเนิ่นนาน จึงผงกศีรษะช้าๆ

“ข้าพเจ้าเชื่อ”

ดวงตาของมันก็มีประกายเช่นเดียวกับเอี๊ยบไค กล่าวสืบไป

“ข้าพเจ้าเชื่อ ท่านต้องมิใช่คนประเภทนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงยิ่งไม่อาจฆ่าท่าน เนื่องเพราะข้าพเจ้ายังต้องรอให้บาดแผลของท่านทุเลาแล้ว มาพิสูจน์ผลแพ้ชนะกับข้าพเจ้าอีกครา”

“ท่าน....”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า ท่านต้องไม่หลบหนี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทราบ ท่านต้องมาแน่”

“รอจนถึงวันนั้น หากข้าพเจ้าพ่ายแพ้กับฝีมือท่าน ท่านก็จะฆ่าข้าพเจ้าแล้ว?”

“ใช่ เมื่อถึงวันนั้น หากท่านเอาชัยข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็ยินดีตายกับมือท่าน โดยไม่ตัดพ้อ”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“เรื่องราวในโลกดุจเป็นหมากรุก เปลี่ยนแปรมิแน่นอน ท่านไหนเลยจะแน่ใจ พวกเราสามารถรอจนถึงวันนั้นได้?”

“ข้าพเจ้าแน่ใจ”

พลันมีคนถอนใจที่นอกกำแพง แล้วกล่าว

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านยังไม่เข้าไจ”

ลู่เต๊กเงยหน้ามองไป แต่มิกล่าวกระไร

คนนอกกำแพงส่งเสียงช้าๆ ต่อ

“หากวันนี้ท่านคิดฆ่ามันจริง ตอนนี้ท่านก็กลายเป็นคนตายแล้ว ในตัวมันมิใช่มีมีดสั้นเพียงเล่มเดียว!

แก้วตาลู่เต๊กพลันหดลงทันที

พริบตาที่แก้วตาหดลง ร่างทะยานปราดออกนอกกำแพงดั่งสายฟ้า

ไต้เกากังมิได้ตามออกไป ร่างรีบปราดเข้ามาประคองเอี๊ยบไค ถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้านึกไม่ถึงจริงๆ ท่านถึงกับพ่ายแพ้ได้”

เอี๊ยบไคถึงกับแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าก็นึกมิถึง ท่านถึงกับช่วยข้าพเจ้าได้”

ไต้เกากังฝืนยิ้มกล่าว

“มิใช่ข้าพเจ้าช่วยท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญญาช่วยท่านได้”

“ขอเพียงท่านมีจิตเจตนาเยี่ยงนี้ เป็นที่เกินพออยู่แล้ว”

ไต้เกากังฝืนยิ้มแล้ว ผุดลุกขึ้นส่งเสียงดังๆ

“เตรียมรถม้า”

----------------------------

รถกว้างใหญ่อย่างยิ่ง นุ่มนิ่มสบายอย่างยิ่ง

นี่ความจริงเป็นรถสำหรับบรรทุกเจ้าของสินค้าไปหนทางไกล

โป้ยฮึงเปียเก๊กมิเพียงมีชื่อเสียงดีเยี่ยมเท่านั้น ยังมีความคิดเห็นเพื่อเจ้าของสินค้าอย่างรอบคอบยิ่ง

เอี๊ยบไคคาดคิดไม่ถึง ไต้เกากังถึงกับเป็นคนมีความคิดสุขุมรอบคอบ

มันปูผ้าห่มนวมอยู่ในตัวรถจนหนาอย่างยิ่ง จึงประคองเอี๊ยบไคขึ้นรถ

“อาการของท่านสาหัสไม่น้อย ต้องรีบเร่งไปหาหมอรักษาโดยด่วน”

ความรอบคอบและกังวลของมัน บันดาลให้เอี๊ยบไคมิอาจไม่ตื้นตันพระคุณมันได้

เอี๊ยบไคถอนใจเบาๆ ฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านความจริงไม่ควรต้อนรับข้าพเจ้าเยี่ยงนี้เลย ทีท่าที่ข้าพเจ้ามีต่อท่าน มิใคร่มีมารยาทนัก”

“มิว่าผู้ใด เมื่อมีอารมณ์เช่นท่านในตอนนั้น ทีท่าต่างไม่น่าดูทั้งสิ้น”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ดูท่าข้าพเจ้ามิเพียงประเมินลู่เต๊กต่ำเท่านั้น ยังดูท่านผิดไปด้วย”

ไต้เกากังถอนใจกล่าว

“มันนับเป็นยอดฝีมือที่ข้าพเจ้ามิเคยพบเห็นมาก่อนเลยจริงๆ แต่กลับไม่แน่ จะสามารถทัดเทียมท่านได้”

“ข้าพเจ้าพ่ายแพ้แล้ว”

“แต่หากท่านต้องการปลิดชีวิตมันจริง ตอนนี้มันต้องตายกับมือท่านไปแล้ว”

“ท่านก็เชื่อวาจานั้น?”

ไต้เกากังผงกศีรษะ

เอี๊ยบไคเพ่งมองมันแน่วนิ่ง พลันถามขึ้น

“ท่านทราบหรือไม่? ผู้ส่งเสียงที่นอกกำแพงคือผู้ใด?”

“ข้าพเจ้ากำลังต้องการถามท่าน คิดว่าท่านต้องทราบมันเป็นผู้ใด?”

“เพราะเหตุใด?”

“ข้าพเจ้าคิด มันต้องเป็นสหายของท่าน”

“อ้อ?”

“เนื่องเพราะมันมิเพียงช่วยกล่าววาจา ที่ท่านไม่ปรารถนากล่าวเท่านั้น ยังกลัวลู่เต๊กจะลงมืออำมหิตอีก ดังนั้นแสร้งล่อมันออกไป”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ท่านครุ่นคิดได้รอบคอบสุขุมยิ่งจริงๆ แต่กลับคิดผิดแล้ว”

“คนผู้นั้นมิใช่สหายของท่าน?”

“ข้าพเจ้าความจริง ก็คิดว่ามันเป็นสหายข้าพเจ้า”

“ตอนนี้เล่า?”

“ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงหวัง ก่อนนี้มิเคยพบเห็นนางมา ภายหน้าก็อย่าได้พบนางอีกตลอดกาลจึงประเสริฐสุด”

“ท่านรู้จักนางเป็นผู้ใด?”

เอี๊ยบไคมิได้ตอบ แต่ย้อนถาม

“ท่านจะพาข้าพเจ้าไปหาหมอผู้ใด?”

“หมอผู้นี้ก็เป็นคนพิกลอย่างยิ่ง แต่ฝีมือกลับสูงส่งอย่างยิ่ง”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าเมื่อวานก็รู้จักคนพิกลอย่างยิ่ง แต่ฝีมือรักษาพยาบาลกลับสูงส่งอย่างยิ่ง”

ไต้เกากังก็หัวร่อกล่าว

“หมอที่มีวิชาฝีมือสูงส่ง คล้ายดั่งต่างมีนิสัยพิกลผิดธรรมดาอยู่บ้าง เฉกเช่น กับยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่แท้จริง ก็มีอารมณ์และนิสัยผิดกว่าคนธรรมดาบ้าง”

“แต่นิสัยของท่านไม่พิกล”

“ข้าพเจ้าไหนเลยนับเป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มได้”

“แต่ข้าพเจ้ากลับทราบ ระยะหลายปีมานี้ สินค้าที่โป้ยฮึงเปียเก๊กคุ้มกัน ไม่เคยเกิดเรื่องราวมาเลยสักครั้ง”

“นั่นเพียงเนื่องเพราะข้าพเจ้ามีโชคช่วยวาสนาอำนวย และยังมีสหายรักอีกมากหลายคอยช่วยดูแล”

เอี๊ยบไคผงศีรษะช้าๆ กล่าว

“ข้าพเจ้าเชื่อ ท่านต้องมีสหายมากหลายอย่างยิ่ง”

ไต้เกากังยังคิดจะกล่าวกระไร แต่เอี๊ยบไคได้พริ้มตาลงแล้ว

เอี๊ยบไคดูไปคล้ายเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง อ่อนล้าจนระโหยยิ่ง

เพราะร่างเอี๊ยบไคมิใช่หลอมหล่อจากเหล็กไหล ไต้เกากังดึงผ้าห่อมนวมขึ้นอีกผืนหนึ่ง คลุมไปบนร่างเอี๊ยบไคเบาๆ แต่สีหน้ากลับประหลาดจนพิกลยิ่ง

ดูสีหน้าเยี่ยงนั้นของมัน คล้ายดั่งแค้นจนใคร่ใช้ผ้าห่มนวมคลุมศีรษะไว้ให้หายใจไม่ออก ตายทั้งเป็นไป

แต่มันกลับเพียงคลุมผ้าห่มนวมให้เอี๊ยบไคเท่านั้น

เอี๊ยบไคคล้ายหลับแล้ว

ในเมื่อทราบ แม้คนคิดจะใช้ผ้าห่มนวมรัดให้อึดอัดตายจริงๆ เอี๊ยบไคก็ไม่อาจทราบ ยิ่งไม่อาจต่อต้านขัดขืน

ดังนั้น เอี๊ยบไคจึงหลับไปจริงๆ...

----------------------

อาทิตย์อยู่กึ่งกลางท้องฟ้า เที่ยงตรง

รถม้ายังห้อตะบึงต่อไป ระยะทางคล้ายดั่งยังไกลอย่างยิ่ง

... ท่านจะต้องรีบเร่งไปหาหมอฝืมือดี

แต่ทว่าหมอดีที่ไต้เกากังจะหา ออกจะอยู่ไกลเกินไปบ้าง

ตามันมองเอี๊ยบไคที่หลับสนิท ปากมันกำลังเคี้ยวน่องไก่

มันได้ตระเตรียมอยู่ก่อน เตรียมเดินทางระยะยาวไกล ดังนั้นกระทั่งอาหารกลางวันก็เตรียมอยู่ในรถ

มันความจริงเป็นคนรอบคอบสุขุมอย่างยิ่ง

แต่มันกลับกินอาหารกลางวันเพียงลำพัง มีเพียงน่องไก่ข้างเดียว เนื้อวัวชิ้นเดียว ขนมเปี๊ยะแผ่นเดียว สุราป้านเดียว

มันถึงกับคล้ายคำนวณได้ก่อนว่า เอี๊ยบไคต้องนอนหลับ เนื่องเพราะก่อนขึ้นรถ มันให้เอี๊ยบไคดื่มน้ำโสมที่มีสรรพคุณบำรุงไปชามใหญ่

เนื้อวัวหมักได้ไม่เลว รสของน่องไก่ก็โอชะอย่างยิ่ง มาตรว่าไม่อาจเปรียบอาหารกลางวันตามปกติของมัน แต่ยามปฏิบัติตามหน้าที่ ทุกประการก็มิอาจพิถีพิถันเกินไปนัก

มันมาตรแม้นพิถีพิถันเรื่องดื่มกินอย่างยิ่ง ตอนนี้ยังรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง

อย่าว่าแต่หน้าที่ของมันตอนนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว ผ่านอีกเพียงชั่วยามเศษ ก็จะมอบเอี๊ยบไคออกไป มันยังพอรีบเร่งกลับไป เสพสุขกับอาหารค่ำที่อุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่ง

ดื่มสุราอึกสดท้ายแล้ว มันพลันรู้สึกระโหยอย่างยิ่ง

มันความจริงไม่มีนิสัยนอนตอนเที่ยง แต่ตอนนี้ฉวยโอกาสหลับพักผ่อนตอนเที่ยงสักชั่วยามหนึ่งก็ไม่เลว ออมกำลังให้คึกคักเข้มแข็งไว้ หลังอาหารค่ำ ยังพอจะจัดรายการที่สนุกสนานอีกสักหนึ่งหรือสองรายการ

รถโคลงเคลงเบาๆ คล้ายดั่งอยู่ในเปล

มันพริ้มตาลง สมองเริ่มขบคิด ค่ำคืนนี้สมควรไปหาผู้ใด?

เป็นปิศาจน้อยที่มีจริตจะก้านเง้างอนวอนกอดรัด หรือนางปิศาจเฒ่าที่มีฝีมือเยี่ยมเป็นพิเศษ

รายการเหล่านี้ต่างต้องเปลืองเงินทองมากหลาย แต่มันมีเวลาไม่ต้องวิตกถึงเรื่องเงินทองมาสองปีแล้ว

อาจบางทีสมควรเรียกมาทั้งสองนาง เปรียบเทียบกันดูก็ประเสริฐอยู่

เมื่อมันได้คิดเช่นนั้น ตอนนี้มันจึงจำเป็นต้องพักผ่อนออมกำลังไว้

มันมีรอยยิ้มด้วยความสุข ในที่สุด หลับไปบ้างแล้ว

----------------------------

มันคล้ายดั่งหลับเพียงครู่เดียว แต่เมื่อมันตื่นมา เอี๊ยบไคถึงกับหายไป !

ประตูรถยังเปิดอยู่ รถม้ายังคงห้อตะบึง

แต่เงาร่างเอี๊ยบไคกลับหายไปจากรถ

ใบหน้าไต้เกากังพลันเผือดขาวราวซากศพ แผดสุดเสียง

“หยุดรถ”

มันโถมลงจากรถ คว้าอกเสื้อสารถีพลางคำราม

“ท่านเห็นผู้แซ่เอี๊ยบลงจากรถหรือไม่?”

“ไม่เห็น”

“ตัวมันเล่า?”

“เฮอะ เฮอะ ท่านอยู่ในรถกับมัน ท่านไม่ทราบ เราจะทราบได้อย่างไร?”

แสดงว่าสารถีนี้มิใช่เป็นบริวารของมัน มีทีท่ามิใคร่นับถือมันเท่าใดนัก

ไต้เกากังพลันรู้สึกกระเพาะหดเล็ก แทบอดมิได้ต้องอาเจียนน่องไก่ที่กลืนกินเมื่อครู่

มันคิดจะหาสถานที่อาเจียนสักแห่ง

สารถีเขม้นมองมันแน่วนิ่ง แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านยังควรรีบขึ้นรถไปประเสริฐกว่า ติดตามข้าพเจ้าไปรายงานคำสั่งด่วน”

ไต้เกากังไม่ได้คิดหลบหนี มันทราบ มิว่าหนีไปในสถานที่ใด ต่างไม่มีประโยชน์เลย

รถม้าเริ่มห้อออกไป มันก็ฟุบอยู่ที่หน้าต่างรถ อาเจียนไม่หยุดยั้ง

ความหวาดกลัวคล้ายดั่งเป็นปลาเน่าก็ปาน มักจะบันดาลให้ผู้คนอาเจียนเสมอ

รถม้าอ้อมเข้าไปในหลืบเขาหนึ่ง เบื้องหน้ามีป้ายไม้แผ่นใหญ่เขียนอักษรไว้

ภูเขานี้มีพยัคฆ์ โปรดเปลี่ยนเส้นทาง

แต่รถม้ามิได้เปลี่ยนเส้นทาง ทางยิ่งนานยิ่งแคบ กว้างพอให้รถม้าวิ่งเฉียดผนังเขาไปเท่านั้น

อ้อมพ้นหลืบเขาอีกแห่ง เบื้องหน้าถึงกับเป็นถนนสายยาว

เป็นถนนคล้ายกับเมืองใหญ่คึกคักจอแจ สองฟากข้างมีร้านรวงขายของต่างๆ ตามถนนนก็มีคนลักษณะต่างๆ สัญจรไปมา

หากท่านพิจารณากลับจะพบเห็น ถนนสายนี้กับถนนสายครึกครื้นที่สุดในเมือง ถึงกับมิผิดเพี้ยนกันสักน้อยนิด กระทั่งร้านรวงสองฟากข้าง ต่างมียี่ห้อเช่นเดียวกันอีกด้วย

เมื่อถึงที่นี้ มิว่าผู้ใดต่างต้องเข้าใจ พลันกลับไปในมหานครเชี่ยงอันอีกครา

แต่เมื่อสุดถนนสายนี้ เบื้องหน้าเป็นป่าเขารกร้างวังเวง

ตอนนี้ ระดับของรถม้าชะลอช้าลงแล้ว

ผู้คนที่สัญจรในถนน มีทีท่าคล้ายปลอดโปร่งอย่างยิ่ง คล้ายมิได้สนใจรถม้าคันใหญ่นี้อย่างไรเลย

เนื่องเพราะพวกมันรู้จักรถม้าคันนี้ และรู้จักสารถีที่ขับรถ

หากเป็นคนแปลกหน้าขับรถม้าเข้ามาถนนสายนี้ มิว่ามันผู้ใด ไม่เกินพริบตามันต้องตายอยู่ในถนนสายนี้

ถนนสายนี้ย่อมไม่มีพยัคฆ์ร้าย แต่มีมนุษย์ที่ยังน่ากลัวยิ่งกว่าพยัคฆ์ร้ายเสียอีก

รถม้าได้วกเข้าไปในลานตึกของโรงเตี๊ยมหนึ่ง

ยี่ห้อของโรงเตี๊ยมนี้คือฮังปิน (อาคันตุกะทรงเกียรติ) ซึ่งก็เป็นยี่ห้อเดียวและสร้างในแบบเดียวกับที่เอี๊ยบไคพักแรมในนครเชี่ยงอันมิผิดเพี้ยน

ผู้รับใช้ที่พาดผ้าเช็ดโต๊ะบนไหล่คนหนึ่ง มือหิ้วกาน้ำใบใหญ่ ปราดเข้ามารับหน้า พลางถาม

“จ้งเปียเท้ามาเพียงลำพัง?”

ไต้เกากังฝืนยิ้มตอบ

“มาคนเดียว”

ใบหน้าผู้รับใช้ไม่มีความรู้สึกใด กล่าวเสียงราบเรียบ

“ห้องได้เตรียมไว้ให้จ้งเปียเท้าเรียบร้อยแล้ว เชิญตามข้าพเจ้ามา”

ในลานตึกช่วงหลัง มีห้องที่กว้างขวางอยู่ถึงเจ็ดห้อง เช่นเดียวกับเป็นตึกที่เง็กเซียวเต้าหยินเช่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน

ในห้องโถงทางด้านหน้า บนโต๊ะมีสุราอาหารที่อุดมสมบูรณ์ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว

คนผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้ประตู รินเองดื่มเองอยู่

เป็นสตรีเกล้าผมมวยสูง ประดับอัญมณีเต็มศีรษะ สวมเสื้อผ้าสีสวยงามล้ำค่า

ไต้เกากังเดินก้มศีรษะเข้าไป หยุดยืนก้มศีรษะอยู่ที่ด้านหลังนาง กระทั่งลมหายใจแรงๆ ยังมิกล้าระบาย

นางมิได้หันมา หยิบจอกขึ้นช้าๆ จิบเบาๆ แล้วจึงถาม

“ท่านมาเพียงลำพัง?”

“ใช่แล้ว”

“ยังมีอีกคนหนึ่งเล่า?”

“ไปแล้ว”

เสียงของไต้เกากังสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

โฉมสะคราญที่งามสุดหล้าฟ้าดินหันช้าๆ มา ใบหน้าที่คล้ายเทพธิดามีรอยยิ้มเล็กน้อย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน!

นางย่อมเป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนนั่นเอง!

ไต้เกากังเมื่อเห็นสตรีที่สะคราญปานเทพธิดาจุติ กลับมีความหวาดกลัวยิ่งกว่าเห็นภูตผีปิศาจมากนัก

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมองมันพลางส่งเสียงนุ่มนวล

“หรือท่านจะว่า เอี๊ยบไคหนีไปแล้ว?”

ไต้เกากังผงกศีรษะ ฟันกระทบกันถี่เร็ว คล้ายดั่งไม่มีปัญญาเปล่งเสียงได้อีกแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถาม

“น้ำโสมที่ท่านเตรียมให้มันชามนั้น มันมิได้ดื่ม?”

“มัน..มันดื่ม...”

“จากนั้นเล่า?”

“จากนั้น ข้าพเจ้าประคองมันขึ้นรถ”

มาตรว่าเป็นฤดูหนาว แต่ใบหน้าของมันมีเหงื่อโซมเป็นเส้นสาย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามอีก

“ตอนอยู่ในรถ มันหลับหรือไม่?”

“หลับอยู่”

“อาการของมันเป็นอย่างไร?”

“สาหัสไม่น้อย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“นี่เราก็ไม่เข้าใจแล้ว คนที่บาดเจ็บสาหัส และยังนอนหลับไม่ได้สติ ท่านไฉนจึงปล่อยมันหนีพ้นมือไปได้!

ไต้เกากังปาดเหงื่อพลางตอบ

“ข้าพเจ้า... มิได้ปล่อยมันหนี”

“เราทราบว่ามันต้องการหนีเอง แต่หรือท่านมิอาจรั้งมันไว้?”

เหงื่อกาฬของไต้เกากัง โซมจนชุ่มโชกทั้งร่าง ตะกุกตะกักตอบ

“ตอนมันไป ข้าพเจ้ามิทราบเลย”

“ท่านมิใช่อยู่ในรถกับมัน?”

“ข้าพเจ้าอยู่”

“นี่ก็ประหลาดอีกแล้ว ท่านอยู่ในรถคันเดียวกับมัน ตอนมันหนีไป ท่านไฉนไม่ทราบได้”

“เนื่องเพราะ... เนื่องเพราะ... เนื่องเพราะข้าพเจ้าก็หลับ”

ในที่สุด รวบรวมความกล้ากล่าววาจานั้นออกไปจนได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันหัวร่อด้วยสีหน้านุ่มนวลจนหยาดเยิ้ม กล่าวต่อไป

“เราทราบ ท่านจะต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ระหว่างนี้ท่านมีงานยุ่งอย่างยิ่ง”

ไต้เกากังหวาดกลัวจนหน้าเผือดขาว ละล่ำละลัก

“ข้าพเจ้า... ไม่เหนือย... ไม่เหนื่อยสักน้อยนิด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ท่านมีการต้อนรับที่มาเยี่ยงนั้น มิว่าผู้ใดต้องต้อนรับอาคันตุกะแล้ว ยังไปต้อนรับนางปิศาจใหญ่ๆ เล็กๆ อีกมากหลาย ไหนเลยไม่เหน็ดเหนื่อยได้?”

นางถอนใจเบาๆ กล่าวต่อไป

“เราคิดว่า ท่านสมควรพักผ่อนให้สบายสักระยะหนึ่ง เราจะให้ท่านได้พักผ่อนสักยี่สิบปี”

ไต้เกากังร้องสุดเสียง

“ยี่... ยี่สิบปี?”

“ยี่สิบปีให้หลัง ท่านจะต้องเป็นชายฉกรรจ์ที่คึกคัดเข้มแข็งดั่งพยัคฆ์มังกร”

ตะเกียบงาเลี่ยมเงินในมือนาง พลันซัดใส่คอหอยไต้เกากังอย่างไม่คาดหมาย!

ไต้เกากังมิได้หลบหลีก

มันไม่กล้าหลบหลีก และมีมีความสามารถหลบหลีกพ้นเลย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนลงมือ ทั้งพิภพจบแดน น้อยคนนักที่จะสามารถหลบหลีกพ้น!

แต่ทว่า พริบตาเดียวกันนั้น พลันมีประกายมีดวูบขึ้น

เสียงติงดังเบาๆ ตะเกียบงาหุ้มเงินในมือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหักกลางไป!

พลังของมีดยังไม่โทรม พุ่งไกลออกไปอีกสองวาเศษ ปักฉึกอยู่บนผนังปูน

มีดที่มีความยาวเพียงสามนิ้วเจ็ดหุน!

มีดบิน! !

 

มีดบินตรึงกับผนังปูน คมมีดถึงกับจมหายหมดสิ้น เหลือแต่ด้ามโผล่อยู่เท่านั้น

คนผู้หนึ่งเกาะกรอบประตู เดินช้าๆ เข้ามา

เอี๊ยบไค!

เอี๊ยบไคถึงกับมาแล้ว!

ปกติมีดสั้นหลุดออกจากมือเอี๊ยบไค เป็นช่วยคนมาก ฆ่าคนน้อยกว่า

ใบหน้าเอี๊ยบไคก็ไม่มีสีเลือด ตะเกียกตะกายเข้าไป ตบบ่าไต้เกากังพลางกล่าว

“ท่านช่วยข้าพเจ้ามาครั้ง ข้าพเจ้าก็ช่วยท่านครั้งหนึ่ง บัดนี้ น้ำใจของเราสองสุดสิ้นลงได้แล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าว่าไม่ผิด ในตัวท่านมิเพียงมีมีดสั้นเล่มเดียวจริงๆ”

เอี๊ยบไคก็แย้มยิ้มถาม

“ลู่เต๊กเล่า?”

“มันไหนเลยตามข้าพเจ้าทัน”

นางจ้องมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง แย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกว่าเดิม พลางกล่าว

“นอกจากท่านแล้ว ในโลกยังมีบุรุษใด สามารถไล่ตามข้าพเจ้าทัน?”

เป็นวาจาหยอดล้อที่มีความหมายสองชั้น น่าสนใจมาก

แต่เอี๊ยบไคกลับไม่เข้าใจ

... แสร้งเป็นโง่เขลา ก็เป็นความสามารถประการหนึ่งของเอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคมองรอบข้างแล้ว ถอนใจยาวกล่าวขึ้น

“ที่นี้เป็นสถานที่ประเสริฐจริงๆ”

“ท่านชอบสถานที่นี้หรือไม่?”

“หากข้าพเจ้าหลับตลอดมา บัดนี้จึงเพิ่งตื่น จะต้องยังเข้าใจว่าอยู่ในเมือง ต้องคิดไม่ถึง สำนักใหญ่ของกิมจี๊ปังจะมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“เสียดายที่ท่านมักจะไม่ยอมนอนให้สบายสักตื่นหนึ่งเสมอ”

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

“ข้าพเจ้ามิได้มีการต้อนรับมากนัก นางปิศาจที่รู้จักก็มีเพียงคนเดียว ดังนั้นข้าพเจ้ามักมิใคร่เหน็ดเหนื่อยนัก”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนย่อมทราบ “นางปิศาจ” ของเอี๊ยบไคเป็นผู้ใด แต่ความสามารถในการแสร้งเป็นโง่งมของนางมิได้ด้อยกว่าเอี๊ยบไคเด็ดขาด

นางหัวร่อคิกคิกกล่าว

“ข้าพเจ้าความจริงเข้าใจ ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง เนื่องเพราะในระหว่างนี้ ข้าพเจ้าพบท่านคราใด ท่านมักจะนอนอยู่บนเตียงเสมอ นางปิศาจที่บนเตียง กลับไม่มีเพียงหนึ่งคน ดังนั้นจึงได้ให้มันเตรียมน้ำโสมแก่ท่านเป็นพิเศษ เพื่อบำรุงรักษากำลังท่านไว้ มิคาดท่านถึงกับไม่ยอมรับน้ำใจนี้”

“ข้าพเจ้ารับน้ำใจนี้ไว้แล้ว”

“ท่านดื่มน้ำโสมชามนั้นลงไปจริงๆ?”

“แต่เสียดาย ที่ยาบำรุงในน้ำโสมชามนั้นยังไม่เพียงพอ หากต้องการให้ข้าพเจ้าหลับสักตื่นจริงๆ อย่างน้อยต้องใช้ยาบำรุงถึงสิบกว่าชั่งจึงจะได้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“นี่ต้องตำหนิข้าพเจจ้า ถึงกับลืมว่าท่านคือตั้วเซี่ยวเอี๊ย (ตั้วเสี่ย) ของตั้วกงจู๊ในม้อก้า”

“ดังนั้น ท่านไม่อาจตำหนิไต้จ้งเปียเท้า ข้าพเจ้าเชื่อ กระทั่งตัวมันเองก็ไม่ทราบไฉนจึงได้เคลิ้มหลับไป”

“แต่ท่านทราบ?”

“ตอนข้าพเจ้าขึ้นรถก็พบเห็น มันเตรียมสุราอาหารของมันเพียงลำพังเท่านั้น”

“หรือมันกลัวท่าน มักจะมียาบำรุงที่บันดาลให้คนนอนหลับอยู่เสมอ?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าเพียงแต่ ถ่มน้ำลายลงไปที่น่องไก่มันเล็กน้อยเท่านั้น”

“น้ำลายของท่านยังมีน้ำโสมผสม?”

“ดังนั้น รสของน่องไก่จะต้องโอชะผิดธรรมดา”

ไต้เกากังก้มศีรษะต่ำ สีหน้าของมันคล้ายดั่งพลันถูกคนยัดโคลนเข้าเต็มปากก็ปาน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านไฉนจึงทราบ ไต้จ้งเปียเท้าผู้นี้คิดจะพาท่านมาหาข้าพเจ้า?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ในน้ำลายยังมีน้ำโสมเล็กน้อย สามารถบันดาลให้คนหลับใหล น้ำโสมเยี่ยงนั้น นอกจากท่านแล้ว ยังมีผู้ใดผสมได้?”

“ในเมื่อท่านไปแล้ว ไฉนยังมาอีก?”

เอี๊ยบไคก็ถอนใจตอบ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้า คล้ายไม่มีสถานที่อื่นใดพอจะไปได้อีก”

นี่เป็นวาจาสัตย์จริง

เอี๊ยบไคทราบ อาคารบาดเจ็บของตน หากยังอยู่ในนครเชี่ยงอัน อาจไม่รอดถึงวันนี้ก็ได้

...เอี๊ยบไคคล้ายดั่งเป็นจิ้งจอกที่ถูกพวกนายพรานไล่ล่า บนท้องฟ้านครเชี่ยงอัน ตอนนี้ มีฝูงเหยี่ยวโบยบินจนหนาแน่นแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“นับว่าท่านยังมีมโนธรรมประจำใจอยู่บ้าง นับว่ายังทราบ ข้าพเจ้าเป็นคนที่หวังดีต่อท่านโดยจริงใจ”

“ดังนั้น ความจริงข้าพเจ้าไม่คิดจะหนีเลย ข้าพเจ้ายังคงอยู่ในรถตลอดมา”

ไต้เกากังอดมิได้ต้องเงยหน้าถาม

“ท่านมิได้ไป?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ในรถสบายอย่างยิ่ง ที่นั่งก็กว้างอย่างยิ่ง ใต้ที่นั่งเป็นช่องว่าง คนที่มิใคร่อ้วนเช่นข้าพเจ้า พอที่จะนอนอย่างสุขสบายในที่นั้นได้”

ไต้เกากังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว

“แต่ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจอีกประการหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

ไต้เกากังแค่นเสียงจากไรฟัน

“ในเมื่อท่านตั้งใจจะมา ไฉนต้องใช้ลวดลายนี้ด้วย?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลา มิว่าข้าพเจ้าจะไปสถานที่ใด ต่างต้องสะสางให้กระจ่างก่อน ว่าที่นั้นเป็นสถานที่ใดกันแน่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ตอนนี้นับว่าท่านทราบ ที่นี้เป็นสถานที่ใดแล้ว?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าบอกแล้ว นี่เป็นสถานที่ประเสริฐจริง กระทั่งข้าพเจ้ายังคิดไม่ถึง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“โชคดีที่ข้าพเจ้าตอนนี้ ก็เข้าใจความเรื่องหนึ่ง”

“อ้อ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนชายตามองไต้เกากังแล้วกล่าว

“นับว่าข้าพเจ้าทราบ ผู้ที่โง่เขลาโดยแท้จริงเป็นผู้ใด?”

“ข้าพเจ้า...”

ไต้เกากังเพิ่งเอ่ยปากกล่าวได้คำเดียว พลันมีประกายสีเงินวูบขึ้น พุ่งเข้าไปในปากที่อ้าอยู่ของมันอย่างแม่นยำ

มันรู้สึก ในปากทั้งหวานทั้งเย็น ดถจดั่งได้กินก้อนน้ำแข็งก็ปาน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“เราทราบว่าท่านตะกรามชอบกิน อาวุธลับฆ่าคนในแผ่นดิน ต้องไม่มีชนิดใดจะหวานเทียบเท่ากับไหมเงินหุ้มน้ำตาลกรวดของเรา ทั้งหวานทั้งน่ารับทานยิ่ง ท่านว่าใช่หรือไม่?”

ไต้เกากังมิได้ตอบ

ใบหน้าของมันพลันกลายเป็นสีดำคล้ำ คอหอยพลันตีบตัน คล้ายดั่งมีมือมองไม่เห็นเค้นคอหอยมันไว้ก็ปาน

ลมหายใจของมันพลันขาดห้วงไป

ตอนมันตาย ในปากยังหวานอยู่

ไหมเงินหุ้มน้ำตาลกรวดนี้ หวานอย่างยิ่ง หวานแทบตาย หวานจนให้คนตายได้

ตัวของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ไยมิใช่หวานอย่างยิ่งเช่นกัน!

 

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงยิ้มแย้มจนหยาดเยิ้ม ยังหวานยิ่งกว่าน้ำตาลกรวดเสียอีก

แต่เอี๊ยบไคมิได้ยิ้ม และยิ้มไม่ออกด้วย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถาม

“ท่านไม่พอใจ?”

เอี๊ยบไคเม้มปาก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามอีก

“มันช่วยท่านไว้ ท่านก็ช่วยมันไว้ บัญชีของสองท่านไยมิใช่เสร็จสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าฆ่ามัน ไยมิใช่ไม่มีพันธะเกี่ยวข้องกับท่าน?”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องกล่าว

“แต่ท่านอย่างน้อย ไม่สมควรฆ่ามันต่อหน้าข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าจะต้องฆ่ามันต่อหน้าท่าน”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการให้ทราบความสองเรื่อง”

เอี๊ยบไคสงบฟัง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“หากท่านคิดจะให้คนโง่บัดซบ กลายเป็นไม่โง่กว่าผู้อื่น นั่นมีเพียงวิธีเดียว”

นางแย้มยิ้มชายตามองไต้เกากังบนพื้นแล้วกล่าวต่อ

“บัดนี้ มันไยมิใช่ไม่โง่ยิ่งกว่าผู้อื่นได้อีกแล้ว!

คนตายก็เป็นคนตาย คนตายมีประเภทเดียวเท่านั้น ทั้งไม่มีคนตายที่ชาญฉลาดเป็นพิเศษ และไม่มีคนตายที่โง่บัดซบ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวช้าๆ สืบไป

“ข้าพเจ้ายังต้องให้ท่านเข้าใจ หากข้าพเจ้าจะฆ่าผู้ใด มันผู้นั้นต้องตายแน่นอน ในโลกต้องไม่มีผู้ใดสามารถช่วยมันไว้ได้ กระทั่งท่านก็ไม่สามารถ!

เอี๊ยบไคเม้มปากอีกครั้ง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามอง แย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“ท่านตอนนี้ยังมีชีวิต เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่เคยคิดปลิดชีวิตท่านมาเลย และต้องไม่ให้ไหมเงินหุ้มน้ำตาลกรวดแก่ท่านรับทาน ท่านไยต้องเม้มปากไว้ด้วย?”

นี่กลับมิใช่เป็นวาจามดเท็จ

หากนางมีความต้องการฆ่าเอี๊ยบไคจริง โอกาสของนางมีมากอย่างยิ่ง

แต่เอี๊ยบไคกลับแค่นหัวร่อ แสดงว่าไม่ยอมรับน้ำใจของนาง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ความจริงท่านบางครั้งก็โง่เขลาอย่างยิ่ง ท่านไฉนไม่ใช้มีดของท่านไปรับมือลู่เต๊ก?”

เอี๊ยบไคอึ้งอีกเนิ่นนานจึงกล่าวช้าๆ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการยืนยันความเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

“ข้าพเจ้าต้องการทราบ ฮั่นเจ็งตายกับกระบี่ของมันหรือไม่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“หากท่านตายกับมือมัน แม้นับว่าทราบ ก็จะมีประโยชน์ใด?”

เอี๊ยบไคก็อดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“ความจริงข้าพเจ้าประเมินมันต่ำเกินไป”

“พลังฝีมือของมันยังสูงกว่าที่ท่านคำนวณไว้?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“บัดนี้ท่านทราบแล้ว ฮั่นเจ็งมิใช่ตายกับกระบี่ของมัน?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะอีกคราจึงกล่าว

“หากมันฆ่าฮั่นเจ็งจริง ย่อมต้องฆ่าข้าพเจ้าด้วย”

“หากมันคิดจะฆ่าท่าน ท่านจะทำอย่างไร?”

“ท่านบอกเองแล้ว ในตัวข้าพเจ้ามิเพียงมีมีดสั้นเล่มเดียว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้าก็บอกแล้ว โชคดีมันมิได้มีความคิด ต้องการปลิดชีวิตท่านจิรงๆ”

“สำหรับกับท่าน นี่มิใช่ประเสริฐนัก?”

“มีที่ใดไม่ประเสริฐ?”

“ในเมื่อฮั่นเจ็งมิใช่ถูกมันฆ่า ก็ต้องถูกท่านฆ่า ท่านฆ่าฮั่นเจ็งแล้ว จึงป้ายผิดแก่มัน จุดประสงค์ของท่านเป็นต้องการให้ข้าพเจ้าไปเสี่ยงกับมัน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ในดวงตาคู่งามมีประกายพิสดารจนไม่มีผู้ใดสามารถคำนวณออก เนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“ท่านมีความเห็น เป็นข้าพเจ้าฆ่าฮั่นเจ็งจริงๆ?”

เอี๊ยบไคก็ประสานตานางพลางกล่าว

“นอกจากท่าน ข้าพเจ้านึกบุคคลที่สองไม่ออก”

“แต่ทว่า ข้าพเจ้าไม่ฆ่ามันจริงๆ”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถาม

“ท่านไม่เชื่อ?”

นางถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าทราบท่านต้องไม่ยอมเชื่อ บัดนี้ มิว่าข้าพเจ้ากล่าวกระไร ท่านต่างไม่ยอมเชื่อแน่”

เอี๊ยบไคยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แต่หากข้าพเจ้าสามารถยืนยันมิได้ฆ่ามัน ท่านจะทำอย่างไร?”

“ท่านสามารถยืนยัน? ยืนยันเยี่ยงไร?”

“ข้าพเจ้าย่อมมีวิธี”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อกล่าว

“ข้าพเจ้าทราบท่านมีวิธี ท่านกระทั่งยังพอหาวิธีมายืนยันว่า ฮั่นเจ็งเป็นข้าพเจ้าฆ่าเองได้”

“ข้าพเจ้ามีหลักฐาน”

“ข้าพเจ้าเพียงมีหลักฐานเดียว ข้าพเจ้านำหลักฐานนี้ออกมายืนยัน หากท่านยังไม่เชื่อถือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายินยอมให้ท่านฆ่าข้าพเจ้า ล้างแค้นแทนฮั่นเจ็ง”

นางกล่าวหนักแน่นเหลือเกิน มีความมั่นใจเหลือเกิน

เอี๊ยบไคแทบถูกนางว่ากล่าวจนหวั่นไหว แต่แล้วรีบบอกกับตัวเอง ไม่อาจเชื่อถือนางเป็นอันขาด

“มิว่าท่านนำหลักฐานใดออกมา ข้าพเจ้าต่างไม่ยอมเชื่อ”

“หากแม้นท่านยอมเชื่อ?”

“หากท่านสามารถนำหลักฐานมายืนยัน จนข้าพเจ้ายอมเชื่อท่านมิได้ฆ่าฮั่นเจ็ง ข้าพจเก็จะ...”

“ท่านจะทำอย่างไร?”

“แล้วแต่ท่าน ทำอย่างไรก็ได้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ท่านทราบข้าพเจ้าต้องไม่ทำอย่างไรต่อท่าน ในเมื่อข้าพเจ้าไม่คิดฆ่าท่าน และไม่คิดทำลายหัวใจท่าน ข้าพเจ้าเพียงต้องการ ให้ท่านรับปากข้าพเจ้าเรื่องเดียว”

“เรื่องอันใด?”

“เรื่องที่ทั้งไม่ไปทำร้ายผู้อื่น และไม่เป็นภัยแก่ตัวท่านเองด้วย”

“ตกลง ข้าพเจ้ารับปาก”

เอี๊ยบไคไม่เชื่อเด็ดขาด เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจะหาหลักฐานใดมายืนยันได้ ในโลกแทบไม่มีเรื่องราวใด ไม่มีผู้ใด สามารถบันดาลให้เอี๊ยบไคเชื่อถือวาจาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอีก

แต่เอี๊ยบไคคิดผิดไปแล้ว ในโลกยังมีอีกผู้หนึ่งสามารถยืนยันว่า เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิได้ฆ่าฮั่นเจ็งจริงๆ

คนผู้นี้เป็นใคร...

ผู้นั้นก็คือตัวฮั่นเจ็งเอง !

 

ฮั่นเจ็งมิได้ตาย มันถึงกับมาปรากฏตัวต่อหน้าเอี๊ยบไค ในสภาพกระปรี้กระเปร่าคึกคัก

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปรบมือเบาๆ มันก็เดินออกมาจากด้านหลัง ในมือยังประคองสุราอีกไหหนึ่ง แย้มยิ้มส่งแก่เอี๊ยบไคพลางกล่าว

“นับว่าข้าพเจ้าหาสุราให้ท่านได้แล้ว หากยังไม่พอ ข้าพเจ้ายินดีไปหาให้ท่านอีก”

เอี๊ยบไคตะลึงลานไป !

ครั้งนี้ เอี๊ยบไคตะลึงลานจริงๆ ....

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“คนผู้นี้ใช่ฮั่นเจ็งหรือไม่?”

ย่อมใช่แน่นอน

เอี๊ยบไคดูออก ดั้งจมูกของมันยังมีบาดแผลที่ตนต่อยเหลืออยู่

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“มันใช่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

มันย่อมยังมีชีวิต

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ในเมื่อฮั่นเจ็งยังมีชีวิต ข้าพเจ้าก็มิได้ฆ่าฮั่นเจ็ง”

เหตุผลนี้ เฉกเช่นกับหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง รวบรัดง่ายดาย และแน่นอนเช่นเดียวกัน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนระบายลมจากปากเบาๆ แย้มยิ้มกล่าว

“ตอนนี้ท่านย่อมเชื่อถือ ข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนฆ่ามันแล้วกระมัง?”

เอี๊ยบไคไม่มีวาจาโต้แย้ง

เอี๊ยบไคตอนนี้ย่อมเข้าใจ คนที่ตายไปมิใช่เป็นฮั่นเจ็ง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านรู้จักฮั่นเจ็ง หากข้าพเจ้าไปหาคนผู้หนึ่งมาปลอมเป็นมัน ต้องไม่มีทางตบตาท่านได้เด็ดขาด”

ความจริงในโลกไม่มีวิชาปลอมแปลงโฉม ที่เลอเลิศถึงปานนั้นเด็ดขาด

หากผู้หนึ่งคิดจะปลอมเป็นอีกผู้หนึ่ง โดยที่ญาติสนิทมิตรสหายของตัวเองก็ไม่มีปัญญาพิสูจน์แยกแยะจริง นั่นต้องมิใช่เป็นวิชาปลอดแปลงโฉมโดยเด็ดขาด

นั่นต้องเป็นเทพนิยาย ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ และเป็นเทพนิยายที่เหลวไหลอย่างยิ่ง เป็นปรากฏการณ์พิสดารที่ไม่อาจเกิดขึ้นเด็ดขาด

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แต่ฮั่นเจ็งที่ท่านพบเห็นในค่ำคืนนั้น หน้าของมันถูกต่อยและผิดรูป ดังนั้นจึงตบตาท่านได้”

เอี๊ยบไคได้แต่ฝืนหัวร่อกล่าว

“ดูท่า คนมีความสามารถของกิมจี๊ปังมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ”

“ไม่น้อยจริงๆ”

“ท่านหาคนผู้หนึ่งมาปลอมโฉมหน้าเป็นฮั่นเจ็งก่อน ค่อยต่อยหน้ามันให้แหลกเละ เรียกมันมาหลอกลวงข้าพเจ้า?”

เอี๊ยบไคกล่าว

“แต่ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออก ไฉนมีคนยอมกระทำเรื่องเช่นนี้ให้ท่าน ยอมถูกทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังไปหลอกลวงผู้อื่นให้ท่าน?”

“เมื่อครู่ตอนท่านออกจากตัวรถ เห็นคนที่อยู่ทางด้านนอกหรือไม่?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ขอเพียงข้าพเจ้าสั่งไปคำเดียว มิว่าเป็นเรื่องราวใด พวกมันต่างยินยอมกระทำแทนข้าพเจ้าทั้งสิ้น”

“รอเรื่องราวของพวกมันกระทำสำเร็จ ท่านยังคงต้องฆ่าพวกมันเช่นกัน?”

“ข้าพเจ้าความจริงเป็นสตรีที่ใจดำอำมหิตอยู่แล้ว ชีวิตของพวกเหล่านี้ ในสายตาของข้าพเจ้า ไม่มีคุณค่าแม้แต่อีแปะเดียวเลย”

นางเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ดวงตาคู่งามเป็นประกายพิกลพิสดารอีกครั้ง กล่าวช้าๆ สืบไป

“แต่กับท่าน... ข้าพเจ้าเป็นอย่างไรต่อท่าน ตัวท่านควรจะเข้าใจได้”

เอี๊ยบไคแค่นเสียง

“ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการทราบ เรื่องที่ท่านจะให้ข้าพเจ้ากระทำ เป็นเรื่องราวใดกันแน่?”

เพราะต้องการให้เอี๊ยบไคเชื่อว่า ฮั่นเจ็งตายกับกระบี่ลู่เต๊ก นางยินยอมเสียสละชีวิตบริวารไปคนหนึ่ง

บัดนี้ เพราะต้องการให้เอี๊ยบไคเชื่อ นางมิได้ฆ่าฮั่นเจ็ง นางยินยอมให้ฮั่นเจ็งมีชีวิตมาปรากฏตัวอีกครั้ง

และต้องการให้เอี๊ยบไคเชื่อว่า ฮั่นเจ็งเป็นสหายเอี๊ยบไค นางมิทราบได้ทุ่มเทความคิดไปมากน้อยเพียงใด

แต่บัดนี้ ความคิดที่นางเพียรสร้างขึ้นทั้งมวลล้วนแล้วเปลืองเปล่าไปสิ้น

บัดนี้เอี๊ยบไคทราบแล้ว ฮั่นเจ็งก็เป็นคนของกิมจี๊ปัง

ทุกประการที่นางกระทำ เพียงเพื่อต้องการให้เอี๊ยบไครับปากนางเรื่องเดียว เรื่องกระไรกันแน่?

เอี๊ยบไคกระทั่งคิดยังมิกล้าคิด เนื่องเพราะทราบว่า เป็นเรื่องประหลาดพิกลเยี่ยงไร เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต่างสามารถคิดค้นมาได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง กล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าเพียงต้องการ ให้ท่านรับปากอยู่ที่นี้ อยู่จนบาดแผลของท่านตกสะเก็ดแล้วค่อยไป”

“เรื่องนี้เท่านั้น?”

“เรื่องนี้เท่านั้น”

เอี๊ยบไคตะลึงลานอีกครา

นางก็ยอมรับว่า ตัวนางเป็นสตรีใจดำอำมหิต ชีวิตผู้อื่นในสายตาของนาง ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียวเลย

นางทุ่มเทความคิดและผู้คนมากหลายปานนั้น เสียสละใหญ่หลวงปานนั้น เพียงเพื่อต้องการให้เอี๊ยบไครับปากนางเรื่องเดียว เรื่องเช่นนี้ มิเพียงไม่เป็นภัยถึงผู้อื่นเท่านั้น กับเอี๊ยบไค ยังมีแต่ประโยชน์อีกด้วย

นางคำนวณไปคำนวณมา ที่ต้องการถึงกับมิใช่ตัวนางเอง แต่เป็นประโยชน์ของเอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคจับตามองนางแน่วนิ่ง บังเกิดความรู้สึกที่กระทั่งตัวเองก็ไม่มีปัญญาเข้าใจ

... ข้าพเจ้ากับผู้อื่น มาตรว่าใจดำอำมหิต แต่ทว่าข้าพเจ้ากับท่านเป็นเช่นไรนั้น ในใจท่านก็สมควรเข้าใจกระจ่าง

----------------------------

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น