วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า โลหิตในวังมังกร

 

โลหิตในวังมังกร

ไซมึ้งจับซาย่อมยิ่งไม่กล้าเอ่ยปาก แต่รู้สึกประหลาดสงสัยกว่าเดิมมากนัก

          มันรู้สึก แต่ละคนเมื่อเอ่ยถึงนามเอี๊ยบไค ต่างมีสีหน้าที่พิสดาร มิว่าเป็นเคารพเทิดทูน เป็นเคียดแค้นชิงชัง เป็นหวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่างแสดงออกได้เด่นชัดถนัดตายิ่ง

          บุรุษหนุ่มที่แปลกหน้า ไฉนจึงมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ปานนี้? ไยมิใช่เป็นเรื่องที่คนไม่มีทางหยั่งคำนวณถูก?

          ไซมึ้งจับซาเพียงรู้สึก ตัวมันมีโชคดีอย่างหนึ่ง เนื่องเพราะมันมิใช่เอี๊ยบไค มันรู้สึก เป็นคนธรรมดาที่สามัญ บางครั้งยังนับเป็นเรื่องมีโชคอย่างยิ่ง

          อุ้ยเทียนพ้งอึ้งเป็นเนิ่นนาน จึงกล่าวช้าๆ

          “เมื่อปีเศษนี้ เรายังมิเคยได้ยินนามเอี๊ยบไคมาเลย”

          “เมื่อหนึ่งปีก่อนนั้น ในวงพวกนักเลง ไม่เคยมีผู้ใดได้ยินนามเอี๊ยบไคมาเลย”

          “แต่บัดนี้ มันคล้ายพลันกลายเป็นยอดคน มีชื่อเกรียงไกรที่สุดในวงพวกนักเลงแล้ว”

          “คนผู้นี้ปรากฏตัวในวงพวกนักเลง ด้วยพฤติการณ์ที่คล้ายปาฏิหาริย์”

          “คิดจะสร้างปาฏิหาริย์ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “มิใช่เด็ดขาด”

          “มันน่าสะพรึงกลัว ดั่งคำกล่าวขวัญกันจริงหรือไร?”

          ฮั่นเจ็งตอบช้าๆ

          “มันมิเคยฆ่าผู้ใด กระทั่งยังน้อยครั้งนักที่จะลงมือ ชนชาวนักเลงยุคนี้ แทบไม่มีผู้ใดทราบตืนลึกหนาบางของหลักวิชาบู๊มัน”

          “อาจบางที นี่จึงเป็นที่น่าสะพรึงกลัวของมัน”

          “แต่ที่น่ากลัวที่สุด ยังคงเป็นมีดของมัน”

          “มีดใด?”

          “มีดบิน!

          ใบหน้าฮั่นเจ็งต้องปรากฏความรู้สึกที่พิกลพิสดารขึ้นอีกครา เน้นทีละคำ

          “ฟังว่ามีดสั้นของมันเพียงหลุดจากมือ ไม่เคยผิดเป้าเลยสักครั้ง”

          สีหน้าอุ้ยเทียนพ้งก็แปรเปลี่ยนไป พลันนึกถึงคำเล่าขาน

          เซี่ยวลี้ปวยตอ มิเคยผิดเป้า!’

          ในความหมายของวาจาประโยคนี้ คล้ายเป็นคำสาปแช่งอสูร ที่พอจะชิงขวัญคร่าวิญญาณของผู้คนอย่างรุนแรง

          หลายสิบปีแล้ว ไม่มีชนชาวนักเลงใด เคยคลางแคลงสงสัยต่อวาจานี้ ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าไปทดลองด้วย

          กระทั่งสี่หลวงจีนใหญ่แห่งเสียวลิ้ม ที่เมื่อกาลก่อนมีอานุภาพสยบแผ่นดินไว้ใต้อำนาจก็ยังไม่กล้า

          เมื่อยี่สิบปีก่อน เซี่ยวลี้ถ้ำฮวยขึ้นซงซัวเพียงลำพัง ถึงกับถือวัดเสียวลิ้มยี่ที่ไม่เคยม่ชนชาวบู๊ลิ้มใดกล้าย่างกรายเข้าไป เป็นดินแดนรกร้างไม่มีผู้คน ยอดฝีมือที้งสูงทั้งต่ำของวัดเสียวลิ้มยี่เป็นจำนวนพัน ถึงกับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือได้!

          หรือเอี๊ยบไคในปัจจุบัน ก็มีเกียรติภูมิระดับนั้น? มีความห้าวหาญระดับนั้น?

          แม้นับว่าเอี๊ยบไคมีความสามารถระดับนั้นจริง แต่ฝีมือของเตียงจูเซี้ยจู๊กับน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ ต้องมิใช่พวกบรรพชิตเหล่านั้น จะสามารถทัดเทียมได้

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าวช้าๆ

          “นครเตียงจูเซี้ยอยู่ไกลถึงโพ้นทะเล ความเลิศล้ำสุดสูงในพลังฝีมือของเฮียม่วยแซ่อาวเอี๊ยง กระทั่งแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง (ผู้รอบรู้... เคยจัดอันดับอาวุธในแผ่นดินเป็นตำราได้รับการเห็นพ้องจากชนชาวบู๊ลิ้มทั้งหลาย) ยังมาทราบตื้นลึกหนาบาง ดังนั้นมิได้จัดอันดับเฮียม่วยอยู่ในตำราอาวุธมัน”

          ฮั่นเจ็งกล่าว

          “นั่นอาจบางทีเนื่องเพราะศิษย์ของเกาะไขว้จื้อเต้า ล้วนแล้วเป็นเฮียตี๋เจ๊ม่วยร่วมสายเลือดเดียวกัน ดุจดั่งเป็นตะเกียบที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ดังนั้นตำราอาวุธจึงมิได้บันทึกนามพวกมันไว้”

          อุ้ยเทียนพ้งผงกศีรษะกล่าว

          “ในตำราอาวุธ มิได้บันทึกนามยอดฝีมือของนิกายอสูรอยู่ด้วย แต่กระทั่งแป๊ะเฮี่ยวเซ็งเองก็มิอาจไม่ยอมรับ หากวิจารณ์พลังฝีมือสังหารพิชิตผุ้คน ในม้อก้า (นิกายอสูร) อย่างน้อยมีเจ็ดคน ที่สามารถถูกจัดอันดับอยู่ในยี่สิบคนแรกของตำราอาวุธมัน”

          ฮั่นเจ็งกล่าว

          “คนในนิกายม้อก้า ต่างระแวงแคลงใจในกันและกัน เข่นฆ่าสังหารกันและกัน ยอดฝีมือวังม้อเก็ง ฟังว่าใกล้จะตายหมดสิ้นแล้ว”

          “แต่น่ำไฮ้เนี่ยจื้อปลอมแปลงเป็นร้อยๆ พันๆ วิชามารอันลึกลับสูงส่ง ต้องไม่ต้อยไปกว่าเจ็ดจ้าวฟ้าของม้อก้าเด็ดขาด”

          ฮั่นเจ็งหัวร่อพลางกล่าว

          “กระบองจับฮึงยู่อี้ฮ่ง (สมปรารถนาทั้งสิบทิศ) ในมือท่านผู้เฒ่า น่ากลัวพอจะเปรียบกับเทียนกีฮ่ง (กระบองเทพนิมิต) ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง ของตำราอาวุธเมื่อครั้งกระโน้นได้โดยไม่ด้อยกว่าแน่”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “หากเอี๊ยบไคทราบ มีพวกเราเหล่านี้รอมันอยู่ที่นี้ มันยังกล้ามา?”

          พลันมีคนผู้หนึ่งส่งเสียงขึ้น

          “มันจะต้องมาแน่ เนื่องเพราะมันมิอาจไม่มาได้”

          เป็นเสียงไพเราะและลึกลับ ผู้ส่งเสียงคล้ายอยู่ข้างกายพวกมัน และก็คล้ายอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง!
         

          เสียงหัวร่อของอุ้ยเทียนพ้งชะงักหาย แต่สีหน้าต้องแปรเปลี่ยนไป อีกเนิ่นนานให้หลัง จึงเลียบเคียงถาม

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ?”

          “คนรู้จักเก่าก่อนนานปี หรือกระทั่งเสียงข้าพเจ้าก็จำไม่ได้แล้ว?”

          เสียงคล้ายยิ่งใกล้ แต่ไม่เห็นเงาร่างคน

          หน้าผากอุ้ยเทียนพ้งคล้ายมีเหงื่อซึมออกมา ฝืนยิ้มกล่าว

          “ในเมื่อมาแล้ว ไยไม่ปรากฏตัวมาพบกัน?”

          “ท่านต้องการพบข้าพเจ้าจริงๆ?”

          “กระหายมานานปี หวังได้พบเพียงสักครั้ง”

          “ก็ได้ เชิญตามข้าพเจ้ามา”

          เสียงคล้ายกลับไปอยู่ในความมืดที่สุดแสนไกลอีกครั้ง ในความมืด พลันมีแสงโคมสว่างขึ้นจุดหนึ่ง

          โคมที่มีแสงเขียวเรืองคล้ายดั่งไฟปิศาจ วูบวาบอยู่ในลมหนาว แต่ไม่เห็นผู้คน

          อุ้ยเทียนพ้งลังเลชั่วขณะ จึงตบบ่าฮั่นเจ็ง

          “ท่านก็ตามเราไป”

------------------------------

          ในที่สุด ไซมึ้งจับซานั่งลงแล้ว แต่หัวใจกลับปวดแปลบยิ่งกว่าตอนยืนเมื่อครู่มากนัก

          ในแผ่นฟ้าแผ่นดิน คล้ายเหลือมันเพียงลำพังเท่านั้น

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยเป็นซือแป๋มัน แต่กลับพาฮั่นเจ็งที่ปากมากไป คล้ายดั่งลืมว่ายังมีคนเช่นดั่งมันอยู่ที่ข้างกายอีกผู้หนึ่ง

          ถึงกับคล้าย ผู้คนทั้งโลกต่างไม่เห็นความสำคัญของมัน ไม่มีผู้ใดยอมแยแสมันในสายตา

          ... หากคนเรากระทั่งยังดูแคลนตัวเองแล้ว ยังจะหวังให้ผู้อื่นมาเห็นความสำคัญของมันได้อย่างไร?

          มันกำหมัดกัดฟันแนบแน่น จิตใจเต็มไปด้วยความคับแค้นและเดือดดาล มันสาบาน ต้องกระทำเรื่องแตกตื่นสะท้านแผ่นดินสักหลายราย ให้ผู้คนทั้งหลายต่างทราบ มันไซมึ้งจับซามิใช่คนไม่รักดี ไม่มีความสามารถ ให้ผู้คนทั้งหลายต่างคุกเข่าที่เบื้องหน้ามัน จูบเท้าของมัน

          แต่ทว่า ต้องเยี่ยงไรจึงสามารถกระทำเรื่องแตกตื่นสะท้านฟ้าดิน มันยังไม่มีเค้ามูลพอจะสืบสาวสักน้อยนิด

          นี่ก็บันดาลให้มันรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง

          มิสู้ยังคงไปหาสถานที่สักแห่ง ดื่มให้สาสมใจสักพัก รอจนเมื่อเมามาย ก็จะพบเห็น มันเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ที่ปราบได้ทั้งแผ่นดินโดยไม่มีผู้ใดต่อต้าน

          แต่เสียดาย วีรบุรุษยิ่งใหญ่ตอนนี้ยังต้องไปผูกม้าเทียมรถขับรถเอง

          มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทรงกายขึ้นอย่างท้อแท้รันทด พลันได้ยินมีคนส่งเสียงทางนอกรถ

          “ท่านนั่งอยู่ที่นี้เพียงลำพัง ไม่รู้สึกเงียบเหงาบ้างหรือไร?”

          ยังคงเป็นเสียงนุ่มนวลไพเราะ และลึกลับของเมื่อครู่ แต่กระแสเสียงกลับนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่มากนัก

          ไซมึ้งจับซาต้องรู้สึก ขนทั้งร่างลุกชี้ชันด้วยความหวาดหวั่น ร้องโพล่งสุดเสียง

          “ท่านเป็นผู้ใด? ท่านอยู่ที่ใด?”

          “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี้เอง หรือท่านไม่เห็นข้าพเจ้า?”

          ที่นอกรถมืดเลือนราง พอจะเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อยาวแพรเนื้อนุ่ม ผมดำขลับสยายประหลังไหล่

          ตลอดร่างไซมึ้งจับซาเย็นเฉียบไปทันที คล้ายดั่งถูกผลักร่วงหล่นลงใส่หล่มน้ำแข็งที่ลึกไม่เห็นก้น

          มันเห็นคนผู้นี้แล้ว เห็นถนัดชัดเจนยิ่ง!

          ใบหน้าของนางเป็นสีเทาซีด เสื้อยาวแพรเนื้อนุ่มมีโลหิตเกรอะกรัง คอหอยยังมีแผลเป็นโพรงโลหิต นางถึงกับเป็นเจ้เจ๊ที่เมื่อครู่ตายกับสว่านของฮั่นเจ็ง!

          ใบหน้าสีเทาซีดของนาง ไม่มีความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ดวงตาที่สวยงามถลนออกมาดั่งตาปลาตาย มุมปากยังมีคราบโลหิต มองในความมืดเลือนราง ยิ่งลี้ลับพิสดารจนน่ากลัวบอกมิถูก!

          ไซมึ้งจับซาขาอ่อนระทวย เหงื่อเย็นยะเยียบทะลักชุ่มโชก มันไม่มีความกล้าจะดูต่อไปแล้ว แต่มิทราบเพราะเหตุใด สายตาถึงกับพาลไม่มีปัญญาเบือนห่างจากใบหน้านางได้!

          “ท่านดูข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องดูข้าพเจ้าแน่”

          นี่ความจริงมิใช่เสียงตอนนางมีชีวิต แต่เสียงนี้คล้ายกลับเปล่งออกจากปากนางก็ปาน

          “ข้าพเจ้าความจริงพอใจท่านโดยจริงใจ ความจริงตกลงใจอยู่กับท่านไปตลอดกาลนาน แต่พวกของท่านกลับอำมหิตมาฆ่าข้าพเจ้า ให้ท่านต้องว้าเหว่เดียวดาย ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย”

          กระแสเสียงแปรเปลี่ยนเป็นรันทดหดหู่ ตาที่ถลนดั่งปลาตาย ถึงกับคล้ายมีหยาดน้ำหลั่งไหลลงสองสาย

          ไซมึ้งจับซารู้สึก หัวใจของมันแหลกสลายไปแล้ว ความหวาดหวั่นขวัญฝ่อของเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเศร้ารันทดจนสุดซึ้ง

          ในโลกนี้ อย่างไรยังคงมีคนเห็นความสำคัญของมันอยู่ผู้หนึ่ง แต่คนผู้นี้ตายไปแล้ว และตายอยู่ที่เบื้องหน้ามันนี่เอง

          ส่วนมัน มีแต่เบิ่งตาดูนางตายไปเท่านั้น

          “พวกมันอำมหิตยิ่งนัก ถึงกับฆ่าข้าพเจ้าต่อหน้าท่านได้ พวกมันมิได้ถือท่านเป็นคนเช่นเดียวกับพวกมันมาเลย”

          เสียงของนางยิ่งรันทด

          “แต่ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องไม่ยอมให้ข้าพเจ้าตายโดยคับแค้นแน่ ท่านต้องล้างแค้นแทนข้าพเจ้า ให้พวกมันทราบ ท่านมิใช่เป็นคนอ่อนแอ ที่ขี้ขลาดขวัญฝ่อ”

          ไซมึ้งจับซากำหมันดแนบแน่น ผงกศีรษะช้าๆ เค้นเสียงด้วยความขุ่นแค้น

          “ข้าพเจ้าต้องให้พวกมันทราบ ช้าพเจ้าต้องให้พวกมันได้ทราบแน่”

          “ที่นี้มีมีดเล่มหนึ่ง ท่านไฉนไม่ไปฆ่าพวกมัน?”

          พลันมีวัตถุร่วงหล่นลงจากอากาศดังตึง ถึงกับเป็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งจริงๆ

          “ท่านเพียงสามารถฆ่าฮั่นเจ็งกับอุ้ยเทียนพ้ง ท่านก็ต้องเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ในวงพวกนักเลงยุคนี้ นับแต่นี้ไป ต้องไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนท่าน ข้าพเจ้าในปรภพ ก็หลับตาโดยสุขสงบได้แล้ว”

          เสียงกลายเป็นละลิ่วแผ่วพลิ้ว ไกลออกไปทุกขณะ

          “นี่เป็นการขอร้องครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า ท่านต้องรับปากข้าพเจ้า ต้องรับปากข้าพเจ้า...”

          เสียงยิ่งดังยิ่งไกล ในที่สุดเลือนหายไปในหมอกบางเย็นยะเยียบ

          จากนั้น ร่างนางจึงล้มลงไป

          มืดสนิท เป็นความมืดมิดที่เวิ้งว้างไร้ขอบเขต

          ไซมึ้งจับซาพลันโถมออกจารถ คว้ามือนางขึ้นกุม

          มือนางเข็งไปนานแล้ว แสดงว่าตายนานอย่างยิ่ง แต่เมื่อครู่นางส่งเสียงอยู่จริงๆ บนพื้นเบื้องหน้านาง มีมีดสั้นเป็นประกายแวววาวอยู่เล่มหนึ่งจริงๆ

          ไซมึ้งจับซาใช้มมือที่ชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็นยะเยียบของมัน เก็บมีดเล่มนั้นขึ้น

          ท่านเพียงสามารถฆ่าอุ้ยเทียนพ้ง ท่านก็เป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ยุคนี้...

          ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวด้วยความลิงโลดยินดี แต่ดวงตากลับเวิ้งว้างว่างเปล่าดุจดั่งเป็นคนตายก็ปาน

          มันกำมีดแนบแน่น ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เดินช้าๆ ออกไป

          หมอกยะเยียบขาวเลือนราง แผ่นดินขาวเลือนราง

          ลมยิ่งเหน็บหนาว

          แต่ไซมึ้งจับซาไม่รู้สึกหนาวเหน็บสักน้อยนิด ในใจเหลือแต่ความคิดเพียงหนึ่งเดียว

          ใช้มีดเล่มนี้ไปฆ่าอุ้ยเทียนพ้ง!

------------------------------

          ไร้เดือน ไร้หิมะ แต่มีกลิ่นหอมลอยมาตามสายลม หอมซาบซ่านซึ้งใจ

          ไฟเขียวเรืองวูบวาบแวววับอยู่ในสายลมทางเบื้องหน้า อุ้ยเทียนพ้งกับฮั่นเจ็งเดินเคียงคู่กันบนทางน้อยที่มีหิมะสุมหนา

          ทั้งสองต่างทราบ ตอนนี้สมควรหุบปากไว้ ตอนสมควรหุบปาก ทั้งสองต้องไม่เอ่ยปากเด็ดขาด

          ทางลื่นอย่างยิ่ง หิมะผนึกตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว

          ในอุทยานที่กว้างใหญ่สุดสายตา มีแต่แสงไฟไม่กี่จุดแต้ม น้อยนิดดั่งดวงดาวคราวอรุณ

          ทางน้อยทอดผ่านป่าเหมย บนดอกเหมยมีหิมะค้างอยู่ หิมะก็มีกลิ่นหอม

          ทันใด เบื้องหน้ามีไฟปิศาจปรากฏขึ้นจุดหนึ่ง คนชุดขาวเป็นแถวยาวราวสิบกว่าคน เดินติดตามอยู่หลังไฟปิศาจดุจวิญญาณร้าย แล้วลับหายไปโดยสิ้นเชิงอีกครา

          อุ้ยเทียนพ้งเดินออกพ้นป่าเหมย จึงเห็นที่เบื้องหน้ามีตึกแถวชายคาเตี้ยก่อสร้างด้วยลักษณะพิเศษพิสดารยิ่ง

          คนชุดขาวที่คล้ายวิญญาณเหล่านั้น คงเข้าไปในตึกแถวนี้แล้ว ตอนนั้นไฟปิศาจที่นำทางก็ดับหาย ในสายลม กลับมีเสียงไพเราะและลึกลับดังขึ้น

          ครั้งนี้ นางกล่าวเพียงสองคำ

          “เชิญเข้า”

 

          เมื่อเข้าไปแล้วจึงพบเห็น ภายในตึกมิเพียงไม่เตี้ยเท่านั้น ยังทั้งกว้างทั้งสูงเป็นพิเศษ

          พื้นปูไว้ด้วยเสื่อใหม่เอี่ยมไม่มีฝุ่นละออง ฉากที่กั้นอยู่ทางเบื้องหน้า วาดภูเขาสูงมีหิมะสุมหนา ต้นไม้มีดอกแดงฉานสดใส ดูไปไม่คล้ายเป็นทิวทัศน์ของแผ่นดินต้งง้วน

          เมื่อดูอักษรที่เขียนอยู่บนภาพวาดจึงทราบ เป็นภาพของเกาะพู้ซึ้ง (ญี่ปุ่น) ทางโพ้นทะเล ดอกไม้แดงฉานนั้น คือดอกไม้เลื่องชื่อของพู้ซึ้ง จนถูกยกเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ...เอ็งฮวย (ซากุระ)

          เอ็งฮวยมาตรแม้นงามสดในเช่นเดียวกับดอกเหมย แต่ยังขาดธาตุของงามสง่าทระนงเช่นดั่งเหมยอยู่หลายส่วน

          (อากาศยิ่งหนาวหิมะยิ่งหนัก ดอกเหมยยิ่งงาม)

          ตึกแถวชายคาเตี้ยนี้ แสดงว่าสร้างเลียนเยี่ยงสิ่งก่อสร้างบนเกาะพู้ซึ้ง ในบ้านถึงกับไม่มีโต๊ะเก้าอี้ เพียงตั้งโต๊ะเตี้ยอยู่หลายตัวบนโต๊ะเตี้ยมีเชิงเทียนดีบุก แสงเทียนรุบรู่สลัว ในบ้านยังมีกระถางกำยาน แต่กลิ่นกำยานกลับฉุนอย่างยิ่ง

          บนโต๊ะยาวที่อยู่ด้านตรง มีรูปเจ้าแม่กวนอิมที่สูงสามเชียะตั้งอยู่ หัตถ์ประคองกิ่งหลิว ใบหน้ามีรอยยิ้มแย้ม

          โฉมสะคราญสุดหล้าฟ้าดิน ในอาภรณ์ขาวสะอาดปานหิมะสองนาง ยืนหลุบคิ้วพริ้มตาอยู่ที่สองฟากข้าง นางที่มีวัยสูงกว่า บุคลิกสง่างามเปี่ยมราศี นางที่มีวัยเยาว์กว่า ยิ่งสวยสะคราญ สะคราญจนเหนือโลกียวิสัย สะคราญจนผู้คนไม่คาดคิดว่ามนุษย์จะงามเพียงนี้ได้

          พวกนางย่อมเป็นทิโกวกับซิมโกว

          พวกชุดขาวทั้งสิบกว่าคน ขัดสมาธิอยู่บนเสื่อแล้ว แต่ละคนยังคงหน้าตายด้านไร้ความรู้สึก สายตาคล้ายเหม่อมองไปในสุดแสนไกลดั่งเดิม

          พวกมันแม้นั่งอยู่ในห้อง แต่กลับไม่คล้ายเป็นคนที่อยู่ในโลกนี้เลย

          ควันกำยานอบอวล ในห้องมีบรรยากาศที่ลี้ลับและสงบจนบอกมิถูก

          บัดนี้ ยังเป็นเวลาไม่สมควรกล่าววาจา

          อุ้ยเทียนพ้งก็ทรุดกายนั่งขัดสมาธิบนเสื่อ จากนั้นจึงได้เห็น ที่หลังฉากมีบุรุษหนุ่มเสื้อแพรรัดกุม หน้าตาหล่อเหล่าคมคายอีกสองคน ยืนกุมด้ามกระบี่ด้วยทีท่าโอหัง ฝักกระบี่ยังฝังอัญมณีโตประมาณลำไยอยู่หลายลูก แต่ละลูกล้วนมีค่าควรเมือง นับเป็นอัญมณีที่ยากจะพบเห็นในโลกนี้

          พวกมันมิเพียงมีเค้าคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งเท่านั้น หว่างคิ้วยังมีความผยองลำพองคุกคามผู้คนเช่นเดียวกัน ถึงกับคล้ายมิแยแสผู้คนในห้องอยู่ในสายตาพวกมันก็ปาน

          อุ้ยเทียนพ้งกับฮั่นเจ็งเหลือบตาสบกันแวบหนึ่ง ต่างทราบแล้ว บุรุษหนุ่มรูปงาม ทีท่ายโสโอหังทั้งสองนี้ ต้องมาจากนครไข่มุก (เตียงจูเซี้ย) แน่

          เงียบงันกันอีกเนิ่นนาน หนึ่งในสองเฮียตี๋ที่มีรูปกายสูงกว่าเล็กน้อยพลันถามขึ้น

          “น่ำไฮ้ฮูหยินอยู่ที่ใดกันแน่? เมื่อเรียกพวกเรามาแล้วไฉนไม่ออกมาพบกัน?”

          วาจามันเพิ่งขาดคำ เสียงไพเราะและลึกลับนั้นดังขึ้นทันที

          “เราอยู่ที่นี้แล้ว หรือสองท่านไม่เห็น?”

          เสียงถึงกับเปล่งออกมาจากรูปเจ้าแม่กวนอิม ริมฝีปากของทิโกวกับซิมโกวต่างมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวสักน้อยนิด

          สีหน้าสองเฮียตี๋เปลี่ยนแปรทันที ผู้หนึ่งแค่นเสียงเย็นชา

          “พวกเราเฮียตี๋ดั้นด้นทางไกลเป็นพันลี้มา มิใช่ต้องการดูรูปสลักที่ไร้สาระ”

          “คนทีพวกท่านต้องการเป็นก็คือเรา”

          “ท่านคือเชยมิ่นกวนอิม น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ?”

          “เราใช่”

          สองเฮียตี๋พลันแค่นหัวร่อ ชักกระบี่ออกพร้อมกัน ประกายกระบี่พุ่งวาบราวรุ้งยาว แทงเข้าใส่รูปกวนอิมทันที

          การลงมือ กระบวนท่า ท่าร่างของทั้งสองถึงกับเป็นเช่นเดียวกันมิผิดเพี้ยนดุจดั่งอีกผู้หนึ่งคือเงาของอีกผู้หนึ่งก็ปาน

          เพลงกระบี่ของทั้งสอง แคล่วคล่องปราดเปรียว กระบี่แทงออกแล้ว ทิศทางพลันแปรเปลี่ยน ประกายแวววับวูบวาบดุจเป็นสายฟ้าคะนองฝน พลันมีเสียงฉาดเบาๆ ประกายกระบี่ทั้งสองสายถึงกับคล้ายประกบเป็นหนึ่งเดียว พุ่งวาบเข้าใส่หน้ารูปเจ้าแม่กวนอิมดุจสายฟ้า!

          ในพริบตานั้นเอง พวกมันพลันพบเห็น สีหน้าเทวรูปกวนอิมถึงกับเปลี่ยนแปรไป เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเย็นชา และในพริบตาเดียวกันนั้น หญิงงามกลางคนที่สวยสะคราญปานหยาดฟ้า พลันลงมือเช่นกัน

          เสียงฉาดดังสดใส กระบี่คมกริบทั้งสอง ถูกนางประกบไว้ในฝ่ามือ จากนั้นเสียงเป๊าะดังตามติด กระบี่ถึงกับถูกหักออกไปท่อนหนึ่ง!

          สองเฮียตี๋มีทีท่าเนื่องเพราะ สีหน้าเจ้าแม่กวนอิมผิดไป จึงแตกตื่นจนลืมตัวชั่ววูบ ตอนนี้ถึงกับอยู่ในวาระคับขันยังไม่ลนลาน พากันสลับเท้าถลาร่าง ถอยหลังไปแปดเชียะพร้อมกับกลับสู่ที่หลังฉากอีกครั้ง สอดกระบี่หักสองเล่มเข้าฝักอีก

          พวกมันแม้มีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง แต่สีหน้ายังคงมีแววแตกตื่นสงสัยโดยมิอาจข่มกลั้น!

          เนื่องเพราะพวกมันได้เห็น โฉมสะคราญปานหยาดฟ้านางนั้น ถึงกับบิกระบี่พวกมันหัก เคี้ยวกลืนลง

          พวกมันแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ความคมของกระบี่สองเล่มนั้น พวกมันย่อมเข้าใจกระจ่างกว่าผู้อื่น

          หรือกระเพาะลำไส้ของสตรีนางนี้ หลอมหล่อขึ้นจากเหล็กกล้าเช่นกัน? !

          เสียงลี้ลับของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ คล้ายถอนใจเบาๆ แล้วกล่าว

          “อาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊ไม่ควรเรียกพวกท่านมาเลย”

          สองเฮียต๋เตียงจูเซี้ยมีแต่ต้องสงบฟัง น่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าวต่อ

          “ด้วยคนเช่นดั่งสองเฮียตี๋ท่าน ไหนเลยรับมือเอี๊ยบไคได้?”

          ในที่สุด สองเฮียตี๋ไม่อาจข่มกลั้นได้แล้ว ผู้หนึ่งส่งเสียงเถียงขึ้น

          “เอี๊ยบไคก็เป็นเพียงมนุษย์เช่นเดียวกัน”

          เฮียตี๋ทั้งสองมาตรว่ามีผู้หนึ่งเอ่ยปาก แต่อีกผู้หนึ่งคล้ายดั่งเขยื้อนริมฝีปากด้วย

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าว

          “ใช่ เอี๊ยบไคก็เป็นมนุษย์ แต่ต้องมิใช่เป็นมนุษย์ธรรมดาเด็ดขาด”

          สองเฮียตี๋หัวร่อแค่นๆ มีสีหน้าไม่ยินยอมนับถืออยู่เด่นชัด

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าวเสียงราบเรียบต่อ

          “หากวิจารณ์ตามวิชาบู๊ พวกเราในที่นี้ อาจบางทีไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมมันได้”

          เฮียตี๋เตียงจูเซี้ยแค่นหัวร่อสวนคำ

          “หากมันมา เราเฮียตี๋จะขอเป็นคนแรก ไปรับทราบฝีมือมัน”

          เสียงของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อคล้ายถอนหายใจอีกครั้งจึงกล่าว

          “ตอนนี้ไม่แน่ว่า มันได้มาถึงแล้ว”

          วาจานี้พอกล่าวไป มิเพียงอุ้ยเทียนพ้งมีสีหน้าตื่นเต้นเท่านั้น กระทั่งใบหน้าที่ชาด้านคล้ายคนตายของพวกเฮ็กแป๊ะ ก็มีความรู้สึกพิกลพิสดารเกิดขึ้น

          เฮียตี๋เตียงจูเซี้ยร้องโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

          “มันตอนนี้มาแล้วจริงๆ?”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อตอบ

          “ในเวลาที่พวกท่านมาที่นี้ รถม้าของมันได้แล่นเข้ามาในแนเฮียงฮึ้งแล้ว”

          “เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเล่า?”

          “หากเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่มา เอี๊ยบไคไหนเลยจะมา?”

          ที่แท้เอี๊ยบไคมาเพราะเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน

          เฮียตี๋เตียงจูเซี้ยถามอีก

          “นางเป็นบุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้งกับลิ่มเซียนยี้จริงๆ?”

          “เป็นความจริง”

          “ตอนเซี่ยงกัวกิมฮ้งมีชีวิต เป็นศัตรูไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกับเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยบุตรีของมัน ไหนเลยติดตามเอี๊ยบไคได้?”

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อตอบ

          “เนื่องเพราะอาฮุยมอบนางแก่เอี๊ยบไค ต้องการให้เอี๊ยบไคคุ้มกันนางมาที่นี้”

          “เรื่องนี้เกี่ยวข้องใดกับฮุยเกี้ยมแขะ (คำยกย่องอาฮุยที่เป็นมือกระบี่แท้จริง)?”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าว

          “ลิ่มเซียนยี้เป็นโฉมสะคราญอาภัพ บั้นปลายชีวิตยากเข็ญลำเค็ญในชั่วชีวิตนาง มีผู้ที่ยอมเชื่อถืออย่างแท้จริงอยู่เพียงคนเดียวก็คืออาฮุย ดังนั้นก่อนนางจะตายจากไป นางเรียกบุตรีไปหาอาฮุย”

          “นางจะยืนยันได้อย่างไรว่า นางเป็นบุตรีของลิ่มเซียนยี้?”

          “นางย่อมมีวิธียืนยันที่ประเสริฐยิ่ง มิเช่นนั้นอาฮุยไหนเลยยอมเชื่อ”

          หยุดเล็กน้อยแล้ว นางจึงถามบ้าง

          “สองเฮียตี๋ท่าน คล้ายดั่งทราบเรื่องราวนี้มิใคร่มากนัก?”

          “พวกเราเพียงทราบเรื่องเดียว”

          “อ้อ?”

          “พวกเราเพียงทราบ เซี้ยจู๊ต้องการให้พวกเรามาพาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับไป”

          “ดังนั้น พวกท่านจึงจะพานางกลับไป?”

          “ถูกแล้ว”

          “ในเมื่อนางตอนนี้มาแล้ว พวกท่านไฉนยังไม่ไป?”

          เฮียตี๋ทั้งสองมิส่งเสียงอีก ดีดกายตีลังกาโฉบผ่านฉากออกไป หายลับไปในพริบตาเดียวเท่านั้น

          อุ้ยเทียนพ้งต้องโพล่งชมเชยโดยไม่รู้ตัว

          “ท่าร่างยอดเยี่ยมยิ่ง”

          เสียงของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ แปรเปลี่ยนเป็นกระด้างเย็นชา

          “ส่งโลงสองใบไปที่เพียวเฮียงอี้ (ตึกกลิ่นหอมอบอวล) จัดการเก็บศพมันเฮียตี๋ทั้งสอง”

-----------------------------

          มาตรว่ากระบี่ของสองเฮียตี๋เตียงจูเซี้ยถูกหัก แต่กระบี่ที่ลงมือ ทั้งพลังฝ่าอากาศ กระบวนท่าที่แปรเปลี่ยน บวกกับท่าร่างปราดเปรียวแคล่วคล่อง ผสานกันได้กลมกลืนสวยงามยิ่ง นับเป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในบู๊ลิ้มยุคนี้ได้ โดยมิต้องคลางแคลงสงสัย

          โดยเฉพาะกระบวนท่าที่สองกระบี่ผนึกกัน เป็นรุ้งพุ่งหาดวงอาทิตย์นั้น ความเข้มแข็งของอานุภาพ กระทั่งอุ้ยเทียนพ้งเองยังไม่แน่จะมีความมั่นใจต่อต้านได้

          แต่ในสายตาน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ คล้ายดั่งพวกมันเพียงไปหาเอี๊ยบไคประมือ พวกมันก็ต้องกลายเป็นคนตายอย่างแน่นอน

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อย่อมไม่มีทางผิดเด็ดขาด

          ในห้องใหญ่ กลับกลายเป็นเงียบวังเวงดั่งใต้ฮวงซุ้ย แต่ละคนคล้ายกำลังรอคอยดูซากศพสองเฮียตี๋เตียงจูเซี้ยที่จะถูกหามกลับมา

          มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด อุ้ยเทียนพ้งจึงกล่าวอย่างครุ่นคิด

          “ตอนเซี่ยงกัวกิมฮ้งอาละวาดในแผ่นดิน พรรซิ่งตอตั้งยังมิได้ก่อเกิด ทายาทของซิ่งตอตั้งก็ยังมิได้เกิด บัดนี้ทายาทของซิ่งตอตั้งต่างเติบใหญ่แล้ว วัยของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคงไม่เยาว์เท่าใด?”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อตอบมา

          “นับในปีนี้ นางอย่างน้อยควรจะยี่สิบเศษแล้ว”

          “สตรีที่มีวัยยี่สิบเศษ หรือยังมิได้วิวาห์อีก?”

          “หากนางวิวาห์มีสามี ไหนเลยยังต้องการให้เอี๊ยบไคมาคุ้มครองนาง?”

          “ลิ่มเซียนยี้ได้รับการยกย่องเป็นโฮมสะคราญอันดับหนึ่งในแผ่นดินยุคก่อน บุตรีของนางสมควรต้องไม่อัปลักษณ์นัก”

          “มิเพียงไม่อัปลักษณ์เท่านั้น ยังพอนับเป็นนางงามที่ไม่เคยมีในแผ่นดินอีกด้วย”

          “ในเมื่อเป็นนางงามสะคราญปานนั้น ไฉนยังหาสามีไม่ได้?”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อถอนใจกล่าว

          “เนื่องเพราะนาง แม้สวยสะคราญปานเทพธิดาหยาดฟ้า แต่ภูมิปัญญาของนางยังด้อยกว่าทารกวัยเจ็ดแปดขวบปีเสียอีก”

          อุ้ยเทียนพ้องขมวดคิ้วถาม

          “หรือโฉมสะคราญเยี่ยงนั้น จะเป็นคนปัญญาอ่อนได้?”

          “นางมิใช่เด็กปัญญาอ่อนแต่กำเนิด ฟังว่าเนื่องเพราะตอนนางอายุเจ็ดขวบ ได้รับปาดเจ็บสาหัสมาครั้ง สมองถูกกระทบกระเทือนหนักหน่วงเกินไป ดังนั้นสติปัญญาของนางจึงชะงักงันอยู่ในวัยเจ็ดขวบ”

          “อ้อ?”

          “แต่ทว่าความงามของนาง เพียงพอจะสั่นหัวใจบุรุษทั้งหลายในแดนดินให้หวั่นไหวได้”

          อุ้ยเทียนพ้งถอนใจอีกคราจึงกล่าว

          “ฟ้าริษยาโฉมสะคราญ สวรรค์กลั่นแกล้งผู้คน ดูท่าชะตาชีวิตของนาง ถึงกับอาภัพยิ่งกว่ามารดานางเสียอีก”

          “ใช่ สตรีที่มีรูปโฉมเช่นนาง หากไม่มีคนคุ้มกันดูแล มิทราบจะถูกบุรุษย่ำยีไปมากมายเพียงใดแล้ว”

          “ดังนั้น ตอนก่อนลิ่มเซียนยี้จะตาย ยังคงไม่คลายกังวลถึงบุตรีโทนของนางหาฮุยเกี้ยมแขะมาพิทักษ์ดูแลนาง?”

          เสียงนำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าว

          “แต่อาฮุยมีนิสัยร่อนเร่พเนจร จนบัดนี้ยังไม่มีบ้านช่องแน่นอน ดังนั้นตอนฮุยเกี้ยมแขะพบเอี๊ยบไคในกังหนำ จึงได้มอบภาระนี้แก่เอี๊ยบไครับแทน”

          “หรือฮุยเกี้ยมแขะก็มีความเชื่อถือเอี๊ยบไค เช่นเดียวกับที่ลิ่มเซียนยี้เชื่อถือท่าน?”

          “มิว่าผู้ใดต่างพอเชื่อถือเอี๊ยบไคได้ คนผู้นี้แม้ปล่อยตัวไม่สำรวม มิถือสากิริยามารยาท แต่กับเรื่องที่มิตรสหายไหว้วาน มันแม้จะบุกน้ำลุยไปก็มิบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ”

          เฮ็กแป๊ะที่สงบฟังอยู่ตลอดมา ตอนนี้จึงร้องขึ้น

          “ประเสริฐ ชายชาตรีอันประเสริฐ บุรุษที่ประเสริฐ”

          เสียงนำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าวอีก

          “เนื่องเพราะมันรับปากดูแลเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน เต็งฮุ้นลิ้มที่เป็นคนรักมันจึงขุ่นใจจนเกิดบาดหมางสะบัดหน้าไปด้วยความเดือดดาล จวบจนบัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวใด?”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อเบาๆ กล่าว

          “ข้าพเจ้าก็เคยได้ยิน โกวเนี้ยคนเล็กสุดของตระกูลเต็งเป็นไหน้ำส้ม (ขี้หึง) มหึมาที่สุด”

          เสียงนำไฮ้เนี่ยจื้อถอนใจกล่าว

          “สตรีในโลก มีสักกี่นางที่ไม่หึงหวง?”

          จวบจนบัดนี้ เสียงของนางจึงคล้ายเป็นสตรี จึงมีน้ำใจของมนุษย์อยู่บ้างเล็กน้อย

          อุ้ยเทียนพ้งครุ่นคิดพลางกล่าว

          “กาลก่อนตอนกิมจี๊ปัง (พรรคเหรียญทอง) มีอิทธิพลอำนาจครอบคลุมแผ่นดินใต้เจ็ดเหนือหกทั้งสิบสามมณฑล ต่างอยู่ในอำนาจของพวกมัน ทรัพย์สมบัติในพรรคมหาศาลปานท้องพระคลัง แต่ตัวเซี่ยงกัวกิมฮ้งเองกลับอดออมเป็นอย่างยิ่ง”

          เสียงนำไฮ้เนี่ยจื้อตอบ

          “มันมิใช่อดออมตระหนี่ เพียงแต่ว่าชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อสำราญ ความสุขทั้งหลายในโลกนี้ ต่างไม่อาจโยกหัวใจมันให้หวั่นไหวได้เท่านั้น”

          นอกจากอิทธิพลอำนาจแล้ว ในโลกต้องไม่มีเรื่องราวใดสามารถบันดาลให้เซี่ยงกัวกิมฮ้งหวั่นไหวได้จริงๆ

          กระทั่งลิ่มเซียนยี้ ที่เป็นโฉมสะคราญปานเทพธิดาแห่งยุค ในสายตาของมันเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าวอีก

          “ฟังว่าตอนเซี่ยงกัวกิมฮ้งยังมีชีวิต ได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติทั้งมวล และคัมภีร์ฝีมือของมัน ไปซ๋อนอยู่ในสถานที่เร้นลับอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง”

          “ในวงพวกนักเลง มีผู้คนเล่าลือเช่นนี้อยู่นานแล้วจริงๆ”

          “แต่หลังจากเซี่ยงกัวกิมฮ้งตายไปจนบัดนี้ เป็นเวลานานกว่ายี่สิบปี กลับไม่เคยมีผู้ใดสามารถหาทรัพย์สมบัติรายนั้นพบ”

          “มิเคยมีจริงๆ”

          ดวงตาอุ้ยเทียนพ้งเป็นประกายแวววาว กล่าวช้าๆ ต่อไป

          “แต่สถานที่ซ่อนขุมทรัพย์รายนี้ มิใช่ไม่มีคนทราบโดยสิ้นเชิง”

          “อ้อ?”

          “ที่ทราบความลับนี้ มีจิ้นบ้อเมี่ยเพียงคนเดียว แต่มันเป็นคนที่ไม่มีเรื่องราวใดสามารถโยกคลอนจิตใจหวั่นไหวได้ ดังนั้นยี่สิบกว่าปีที่ผ่าน จึงไม่เคยมีความละโมบต่อสมบัติมหาศาลรายนี้อยู่เลย”

          “มันความจริง เป็นเงาร่างของเซี่ยงกัวกิมฮ้งอยู่แล้ว”

          “เพลงกระบี่ของมันเหี้ยมอำมหิต ลงมือกราดเกรี้ยวดุดันไร้น้ำใจ ผู้อื่นต้องไม่กล้าไปมีอกุศลจิตต่อมัน อย่าว่าแต่ร่องรอยของมันยังลี้ลับมิแน่นอน แม้นับว่ามีคนต้องการหามัน ก็หาไม่พบ”

          “แม้นับว่าหาพบ ก็ต้องตายกับกระบี่มัน”

          “แต่บัดนี้ มันกลับบอกความลับนั้นแก่คนผู้หนึ่ง”

          “อ้อ?”

          “จิ้นบ้อเมี่ยได้บอกความลับ ให้แก่เลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง”

          “ท่านหมายถึงเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน?”

          “ถูกแล้ว ดังนั้นนางตอนนี้มิเพียงเป็นสตรีงามที่สุดในแผ่นดินเท่านั้น ยังเป็นสตรีรุ่มรวยที่สุดในแผ่นดินด้วย บวกกับหลักวิชาฝีมือ ที่เซี่ยงกัวกิมฮ้งจดเป็นคัมภีร์ไว้ มิว่าผู้ใดเพียงสามารถได้นาง มิเพียงจะกลายเป็นมหาเศรษฐี รุ่มรวยที่สุดในแผ่นดินทันทีเท่านั้น วันหน้ายังต้องเป็นผู้มีฝีมือเลอเลิศสุดสูงในแผ่นดินด้วยความเย้ายวนนี้มิอาจว่าเล็กน้อยได้”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าว

          “เสียดายที่นางเองมิทราบเลย นางเป็นเพียงทารกที่มีวัยเจ็ดแปดขวบปีเท่านั้น”

          “ดังนั้น มิว่าผู้ใดไปคุ้มครองคนเช่นนนาง แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย”

          “เป็นไปได้”

          “เป็นไปไม่ได้?”

          “ผู้อื่นเป็นไปไม่ได้ เอี๊ยบไคต้องเป็นไปได้”

          อุ้ยเทียนพ้งแค่นหัวร่อกล่าว

          “แม้นับว่ามันเป็นอัจฉริยะสุดยอดของพิภพจบแดน พลังฝีมือบรรลุจุดสุดสูงไม่มีผู้ใดในแผ่นดินต่อต้านได้ แต่อาศัยมันเพียงลำพัง หรือยังสามารถต้านทานยอดฝีมือบู๊ลิ้มจำนวนมากมายหลายสิบคนได้?”

          “มันมิใช่โดดเดี่ยวลำพัง”

          “มิใช่?”

          “คนที่ตั้งอกตั้งใจฆ่ามันเพื่อชิงตัวเซี่ยงัวเซี่ยวเซียนนั้น มีไม่น้อยก็จริง แต่คนที่เห็นแก่พระคุณในครั้งกาลก่อน ตกลงใจทุ่มเทกำลังเข้าคุ้มครองเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็มีอยู่ไม่น้อย”

          “พระคุณในกาลครั้งก่อน?”

          “ใช่ อย่าลืมว่าเอี๊ยบไคเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย คนที่เคยรับพระคุณจากเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยในกาลกระโน้นมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว”

          อุ้ยเทียนพ้งแค่นเสียงเย็นชา

          “เหตุการณ์ผ่านนานปีปานนี้ พวกเหล่านั้นแม้ยังไม่ตาย แต่ก็น่ากลัวลืมพระคุณไปหมดสิ้นเสียนานแล้ว พระคุณอย่างไรย่อมลืมได้เร็วกว่าความแค้นมากนัก”

          “อย่างน้อย มีอีกผู้หนึ่งที่มิเคยลืมเลย”

          “ผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้า!

          พอวาจานี้ของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อเปล่งมา ทุกผู้คนต่างต้องมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อกล่าวต่อไป

          “หากพวกท่านเข้าใจ เราก็มาเพราะมีอกุศลจิตต่อเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน พวกท่านก็ผิดแล้ว”

          ดวงตาอุ้ยเทียนพ้งเป็นประกายแวววับ กล่าวสวนคำ

          “ที่พวกท่านให้พวกเรามาคราวนี้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่?”

          “เราเพียงแต่คิดจะให้พวกท่าน เห็นแก่หน้าเรา เลิกล้มความตั้งใจคราวนี้ไป”

          “ท่านต้องการให้พวกเราปล่อยเอี๊ยบไค?”

          “ถูกแล้ว”

          “หากพวกเราไม่รับปาก?”

          เสียงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อกลายเป็นยะเยียบเย็นชา

          “อย่างนั้น พวกท่านมิเพียงเป็นศัตรูของเอี๊ยบไคเท่านั้น ยังเป็นศัตรูของเราด้วย หากพวกท่านวันนี้ คิดจะรอดชีวิตออกจาที่นี้ น่ากลัวมิใช่ง่ายดายนัก”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ข้าพเจ้านับว่าเข้าใจได้แล้ว”

          “ท่านเข้าใจกระไร?”

          เสียงหัวร่อของอุ้ยเทียนพ้งชะงักหาย กล่าวช้าๆ

          “ท่านต้องการให้เราเลิกล้มความตั้งใจนี้ เนื่องเพราะท่านคิดจะฮุบไว้เพียงลำพัง ท่านแสร้างระบายสีเอี๊ยบไค จนเลอเลศสุดสูงปานเทพยดา แต่ความจริง ท่านคิดหาวิธีรับมือเอี๊ยบได้แล้ว”

          เสียงของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อก็เปลี่ยนไป

          “อุ้ยโป้ว ท่านดูเรา”

          แต่อุ้ยเทียนพ้งกลับเบือนหน้าไปมองภาพวาดบนฉากกั้น แค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านคิดจะใช้หลักวิชาล่าวิญญาณสยบหัวใจของนิกายอสูร มาจัดการข้าพเจ้า? ท่านหาคนผิดแล้ว”

          “เราเพียงแต่คิดจะเตือนสติท่าน เมื่อสามสิบปีก่อน เราเคยปล่อยท่านมาครั้ง”

          “ใช่ สามสิบปีก่อน ข้าพเจ้าแทบตายกับมือของท่าน”

          “ตอนนั้น ท่านเคยสาบานเป็นคำสาหัส ขอเพียงเราพบท่านอีกครา มิว่าเราต้องการให้ท่านทำอย่างไร ท่านต่างไม่มีขัดขืนปฏิเสธเด็ดขาด มิเช่นนั้นขอให้ตายกับอาวุธที่ทะลวงทรวงอก”

          เสียงของนางแปรเปลี่ยนเป็นยะเยียบน่าสะพรึงกลัว เค้นสืบไป

          “วาจาเหล่านั้น ท่านยังจำได้หรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าย่อมจำได้ แต่ทว่า....”

          “แต่ทว่ากระไร?”

          “วาจาเหล่านั้น เป็นข้าพเจ้าลั่นปากให้น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ”

          “เราก็คือน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ!

          “ท่านไม่ใช่”

          มุมปากของอุ้ยเทียนพ้งมีรอยยิ้มที่พิกลอย่างยิ่ง เน้นทีละคำสืบไป

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อตายไปนานแล้ว ท่านเข้าใจข้าพเจ้ายังไม่ทราบ?”

          วาจานี้พอกล่าวไป กระทั่งเฮ็กแป๊ะยังมีสีหน้าตื่นเต้นโดยมิอาจข่มบังคับ

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าวต่อ

          “ตอนอยู่กระท่อมทางด้านหลังอุทยาน ท่านถามข้าพเจ้าไฉนจำเสียงท่านไม่ได้ ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ทราบแล้ว ท่านมิใช่น่ำไฮ้เนี่ยจื้อเด็ดขาด และก็ทราบนางตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าไหนเลยกล้ามาเสนอหน้า”

          เสียงลึกลับอึ้งเป็นเนิ่นนาน จึงกล่าวช้าๆ

          “ท่านไฉนทราบได้?”

          “เนื่องเพราะท่านไม่ควรมีคำถามนั้น”

          “เพราะกระไร?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินเสียงของนางมาเลย มาตรว่าข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่เคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง แต่กลับไม่เคยได้ยินนางเปล่งเสียงกล่าววาจาแม้สักคำ”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อด้วยสีหน้าพิกลอย่างยิ่ง กล่าวต่อไป

          “มาตาว่าท่านทราบ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่เคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนางที่ยังสามารถรอดชีวิตอยู่ได้จนบัดนี้ แต่ท่านต้องไม่ทราบเรื่องระหว่างเราทั้งสอง เนื่องเพราะนางต้องไม่บอกเรื่องราวนั้นแก่ท่านแน่”

          เสียงนั้นอึ้งไปอีกเนิ่นนาน จึงอดมิได้ต้องถาม

          “เพราะกระไร?”

          “เนื่องเพราะนั่นเป็นความลับ ในโลกต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้เด็ดขาด”

          ใบหน้าของชายชราพลันมีประกายของวัยฉกรรจ์เปล่งปลั่ง ถึงกับคล้ายได้ย้อนกลับสู่อดีตเมื่อนานปี สมัยที่มันยังเป็นวัยฉกรรจ์เปี่ยมความเพ้อฝันอีกครั้ง

          จากนั้นจึงได้เล่านิยายที่ทั้งพิสดารทั้งสวยงาม... สวยงามจนคล้ายเทพนิยายออกมา

          “เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ข้าพเจ้ายังคงเป็นบุรุษหนุ่มที่ชมชอบตอแยหาเรื่องราว มีครั้งหนึ่งไปก่อกวนภัยในดินแดนชาวแม้ว เตลิดหนีเข้าในป่าเขารกทึบ และหลดทางอยู่ในป่าเขานั้น...

          ภูเขาดินแดนชาวแม้ว มิเพียงจะพบกับสัตว์ร้าย อสรพิษในทุกเวลาเท่านั้นยังมีเชื้อไข้พิษรุนแรงอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเพราะหลีกหนีเชื้อพิษดอกท้อ ที่จะต้องเกิดขึ้นในเวลาสนธยาของทุกวัน เข้าไปในถ้ำลึกอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง...

          ถ้ำนี้ความจริงเป็นถ้ำจิ้งจอกก ข้าพเจ้าคิดจะล่าจิ้งจอกมาเป็นอาหารสักตัว เพราะไล่ตามจิ้งจอกตัวนั้น ข้าพเจ้าพบพานเรื่องที่สลักใจข้าพเจ้า ไม่อาจลืมเลือนได้ในชั่วชีวิตนี้...”

          สายตาที่คมกล้าราวประกายอาวุธของมัน เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลทีละน้อยจากนั้นเล่าสืบต่อไป

          “ข้าพเจ้าไล่จิ้งจอกตัวนั้นเข้าไปจนถึงก้นถ้ำ จึงพบเห็นผนักก้นถ้ำ ยังมีทางออกที่เร้นลับอีกสายหนึ่ง...

          ข้าพเจ้าแหวกเถาวัลย์เดินออกไป ไม่นานให้หลัง ได้ยินเสียงลำธารน้ำไหล ข้าพเจ้ามุ่งไปตามต้นเสียงน้ำ แสงสว่างเริ่มกระจ่างจ้า ด้านนนอกถึงกับเป็นวิมานแมนในแดนมนุษย์ที่ไม่คาดหมาย...

          ตอนนั้นเป็นเวลาปลายฤดูชุนเทียน บุปฟานานาพันธุ์เบ่งบานสพรั่ง หญ้าเขียวขจีสดใสดั่งพรมกำมะหยี่ บนภูเขามีน้ำตกโกรกไหล ถึงกับเป็นน้ำอุ่นที่ไม่เคยพบในแห่งหนอื่น...

          จานั้น ข้าพเจ้าพลันพบเห็น ในสระน้ำอุ่นถึงกับมีดรุณีโฉมสะคราญนางหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่”

          เล่าถึงตอนนี้ ทุกผู้คนย่อมทราบ ดรุณีที่มันหมายถึงเป็นผู้ใด?

          ดวงตาอุ้ยเทียนพ้งมีประกายนุ่มนวล เหม่อมองไปทิศทางสุดแสนไกล คล้ายดั่งได้กลับสู่หุบเขาที่สวยตระการปานวิมานแมนอีกครั้ง ได้เห็นโฉมสะคราญที่แหวกว่ายในสระน้ำอุ่นอีกครา

          “ตอนนั้นนางก็ยังมีวัยเยาว์ ผมดำขลับเป็นประกายของนาง ทั้งนุ่มทั้งสลวยคล้ายดั่งเป็นไหมเส้นเล็กละเอียด โดยเฉพาะดวงตานาง ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นดวงตาที่งามปานนั้นมาก่อนเลย...

          ข้าพเจ้าจึงเหม่อมองนางดุจดั่งเป็นคนไม่มีวิญญาณ มองจนเคลิบเคล้มซึมเซาไป...

          นางตอนแรกคล้ายดั่งแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง จนภายหลังจึงค่อยสงบลงได้บ้าง และก็จ้องมองข้าพเจ้าโดยสงบเช่นกัน...

          พวกเราจึงจ้องมองกันเยี่ยงนั้น จนมิทราบอีกเนิ่นนานปานใด ใบหน้านางเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย บุปผานานานพันธุ์ในใต้หล้า คล้ายดั่งพลันเบ่งบานขึ้นมาในพริบตานั้นก็ปาน...

          ข้าพเจ้าเดินเข้าหานางโดยไม่รู้ตัว ถึงกับลืมที่เบื้องหน้าเป็นสระน้ำ  และก็ลืมในร่างยังสวมเสื้อผ้ารองเท้าครบครัน ข้าพเจ้าลืมทุกสิ่งอันไปจริงๆ เพียงคิดจะเดินเข้าไปโอบกอดนางเท่านั้น...”

          ฟังถึงตอนนี้ ใบหน้าแต่ละคนต่างมีความนุ่มนวลลงโดยไม่รู้ตัว คล้ายดั่งต่างคำนึงไปถึงความสุขที่ดื่มด่ำซาบซึ้งในช่วงเลานั้น

          อีกเนิ่นนานให้หลัง อุ้ยเทียนพ้งจึงถอนใจเล่าช้าๆ

          “พวกเรามิเคยเอ่ยปากมาเลยแม้สักคำเดียว และมิเคยถามชื่อแซ่ความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามด้วย...

          เรื่องราวทุกประการ ต่างเกิดขึ้นโดยไม่ฝืนใจบังคับ คล้ายดั่งสวรรค์จงใจบันดาลให้พวกเราสองคนไปพบกันในสถานที่นั้นอยู่ก่อนก็ปาน..

          จวบจนยามราตรีที่มืดมิดกรายมา นางจะจากไป ข้าพเจ้าจึงทราบนางเป็นผู้ใด...

          เนื่องเพราะจวบจนตอนนั้นข้าพเจ้าจึงเห็น มุมหน้าผากที่มีผมปรกของนางสักรูปดอกบัวสีดำอยู่ดอกหนึ่ง...

          นั่นคือสัญลักษณ์ของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ ข้าพเจ้าในยามแตกตื่น ถึงกับกระทำเรื่องที่บันดาลให้ข้าพเจ้าต้องสำนึกเสียใจจวบชั่วชีวิตขึ้น...

          คือข้าพเจ้าร้องนามนางโพล่งออกไป ในพริบตานั้น นางพลันแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ดวงตาที่สวยงามนุ่มนวล มีประกายอำมหิตลุกวาว ถึงกับใช้หัตถ์อสูรฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดของนิกายอสูรออกมา ดุจดั่งจะควักหัวใจข้าพเจ้าก็ปาน...

          ข้าพเจ้าไม่คิดหลดหลีก และไม่อาจหลบหลีกด้วย ข้าพเจ้าตอนนั้นรู้สึก มีโอกาสตายกับมือนาง นับเป็นเรื่องที่สุขสมใจอย่างยิ่ง...

          บางทีเนื่องเพราะประกานั้น นางจึงไม่อาจหักใจลงมือจริงๆ ข้าพเจ้ากระทั่งยังรู้สึก นิ้วของนางแทงเข้าในทรวงอกข้าพเจ้าแล้ว มือที่นุ่มนิ่มราวไร้กระดูกของนางถึงกับพลันกลับกลายเป็นกระบี่คมกริบ ข้าพเจ้ากระทั่งยังพริ้มตาเตรียมรอความตาย...

          แต่นางกลับพลันชักมือกลับ รอจนข้าพเจ้าลืมตา นางก็ได้สาบสูญไปแล้ว...”

          “ม่านวิกาลที่คลุมหุบเขาสวยตระการ ในหุบเขายังคงงามตาดั่งเดิม แต่นางกลับคล้ายสาบสูญไปในสายลมปลายฤดูชุนเทียน...

          ข้าพเจ้าคล้ายดั่งเพิ่งตื่นจากความฝัน หากมิใช่ที่ทรวงอกยังมีโลหิตหลั่งไหล ข้าพเจ้าไม่อาจเชื่อเลยว่าเป็นความจริง..

          ข้าพเจ้าคุกเข่าวิงวอนให้นางกลับมา ให้ข้าพเจ้าได้เห็นนางอีกครั้ง แต่ข้าพเจ้าก็ทราบ นางไม่มีวันกลับมาอีกแล้วตลอดกาล...

          ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสาบาน ขอเพียงได้พบนางอีกครั้ง มิว่านางต้องการให้ข้าพเจ้าทำกระไร ข้าพเจ้าต่างไม่ขัดใจนางอีก”

          “แต่หลังจากวันนั้นมา ข้าพเจ้าก็มิได้พบนางอีกเลย มิได้พบตลอดกาลนาน...”

          เสียงของมันยิ่งกล่าวยิ่งเบา ในที่สุดกลายเป็นเสียงทอดถอนใจยาว...

          นับเป็นนิยายที่ทั้งสวยงามรันทด และเปี่ยมความฝันอันลี้ลับ

          นิยายนี้ สวยงามจนคล้ายเป็นเทพนิยาย

          แต่ทุกคนต่างทราบ มิใช่ความฝัน และมิใช่เทพนิยาย

          ขอเพียงได้เห็นสีหน้าทิโกวกับอุ้ยเทียนพ้งก็ต้องทราบ นิยายนี้เป็นความสัตย์จริงทุกถ้อยคำ

          ใบหน้าที่สวยสะคราญแต่กระด้างของทิโกว ถึงกับคล้ายแประเปลี่ยนไป เพราะความเศร้ารันทด แตกตื่นตระหนก

          สีหน้าซิมโกวก็แปรเปลี่ยนไป

          มีแต่เทวรูปกวนอิมที่สลักจากท่อนไม้เท่านั้น ยังคงประคองกิ่งหลิวแย้มยิ้มอยู่ในม่านควันกำยาน

          มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด อุ้ยเทียนพ้งจึงมีสติแจ่มใสคืนมา แค่นเสียงเย็นชา

          “ดังนั้นข้าพเจ้าทราบ น่ำไฮ้เนี่ยจื้อตายไปแล้ว และข้าพเจ้าก็ทราบ ในม้อก้ามีวิชาเร้นลับที่สามารถเปล่งเสียงออกจากท้อง พวกท่านใช้รูปสลักจากท่อนไม้เยี่ยงนี้ก็คิดจะขู่ขวัญข้าพเจ้าเตลิดหนีไป ออกจะเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาแล้ว”

          ซิมโกวพลันกล่าวขึ้น

          “ใช่ วาจานี้ล้วนเป็นพวกเราอาศัยปากของเทวรูปกวนอิมเปล่งไป แต่วาจาที่ข้าพเจ้ากล่าว ยังคงมีประสิทธิภาพเช่นกัน”

          “อ้อ?”

          ซิมโกวกล่าวต่อ

          “หากท่านยืนกรานจะมีอกุศลจิต่อเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนให้ได้ ข้าพเจ้าประกันท่านต้องสำนึกเสียใจภายหลัง”

          อุ้ยเทียนพ้งต้องหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “ข้าพเจ้าอุ้ยโป้ย นับแต่เข้าสู่วงพวกนักเลงในอายุสิบสาม จวบจนบัดนี้ก็คลุกคลีมาห้าหกสิบปีแล้ว ยังไม่เคยมีเรื่องราวใดบันดาลให้รู้สึกสำนึกเสียใจได้”

          “เฮอะ ท่านยืนกรานไม่ยอมปล่อยพวกมัน?”

          “ข้าพเจ้าเพียงหวัง พวกท่านยินยอมแบ่งข้าวชามนี้ให้แก่พวกทั้งหลายรับทานอย่างได้ฮุบไว้เพียงลำพัง”

          “เฮอะเฮอะ ประเสริฐมาก เห็นแก่น้ำใจที่ท่านเคยมีกับปรมาจารย์ของสำนักเราในกาลกระโน้น ข้าพเจ้าตอนนี้พอจะยอมให้ท่านมีชีวิตออกไป”

          “ภายหลังเล่า?”

          ซิมโกวแค่นเสียงเย็นชา

          “ขอเพียงท่านเดินออกจากห้องนี้ นับแต่นี้ก็เป็นศัตรูของสำนักน่ำไฮ้เรา ท่านควรรีบไปตระเตรียมเรื่องหลัง (งานศพ) ของท่านโดยเร็วจึงประเสริฐสุด เนื่องเพราะท่านไม่แน่จะตายในเวลาใดก็ได้”

          อุ้ยเทียนพ้งส่งเสียงราบเรียบ

          “เห็นแก่น้ำใจที่ข้าพเจ้าเคยมีกับน่ำไฮ้เนี่ยจื้อในอดีต ข้าพเจ้าตอนนี้ก็ไม่อาจเป็นผู้อาวุโสรังแกผู้เยาว์ ลงมือใส่พวกท่านก่อนได้ แต่ทว่า...”

          “แต่ทว่ากระไร?”

          “หากพวกท่านต้องการเป็นศัตรูกับข้าพเจ้าให้ได้ มิแน่ว่าพวกท่านจะสามารถมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าใด”

          มันหัวร่อแค่นๆ แล้วผุดลุกขึ้น หันไปหัวร่อให้เฮ็กแป๊ะ กล่าวต่อ

          “บุญคุณความแค้นของพวกเราในกาลก่อน ก็เลิกล้มไปได้ มิต้องสืบสาวนับแต่บัดนี้ ระหว่างเรา จะเป็นสหายหรือศัตรูก็ต้องดูท่านแล้ว”

          วาจานี้พอจบคำสะบัดหน้าเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังอีกเลย

------------------------------------

          นอกประตู หมอกหนาวเหน็บเลือนราง วิกาลยิ่งดึก ลมยิ่งหนาว 

          อุ้ยเทียนพ้งสูดลมหายใจในลมหนาวลึกๆ แล้วส่งเสียง

          “ฮั่นเจ็ง”

          ฮั่นเจ็งรีบปราดเข้าไปรับคำ อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “ท่านทราบหรือไม่ ตึกเพียวเฮียงอี้อยู่ที่ใด!

          “พวกเราจะไปในตอนนี้?”

          “ลงมือก่อนมีเปรียบ ท่านย่อมเคยได้ยินวาจานี้มา”

          “แต่เอี๊ยบไคผู้นั้น...”

          “เอี๊ยบไคเป็นไร?”

          “เอี๊ยบไคตอนนี้ต้องมีการระมัดระวังอยู่ หากพวกเราไปปะทะกับมัน โดยหักโหมตรงๆ ในตอนนี้ มิว่าผู้ใดมีชัยผู้ใดพ่ายแพ้ ทั้งสองฝ่ายต่างยากจะไม่บาดเจ็บบอบช้ำ ไยมิใช่เป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้อื่นตักตวงผลประโยชน์”

          “ผู้ใดว่าพวกเราจะไปต่อยตีกับมัน?”

          “มิใช่?”

          “ย่อมมิใช่”

          มุมปากของมันมีรอยยิ้มดั่งจิ้งจอกเฒ่าอีกครา กล่าวว่า

          “พวกเราไปบอกข่าวมันด้วยกุศลเจตนา ไปเพื่อคบมันเป็นมิตรสหาย”

          ดวงตาฮั่นเจ็งเป็นประกายสุกใสทันที แย้มยิ้มกล่าว

          “เนื่องเพราะเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยเมื่อกาลก่อน ก็เคยมีพระคุณต่อพวกเรา ที่พวกเรามาในครั้งนี้ มิใช่เพราะมีอกุศลจิตคิดร้ายต่อมัน แต่มาเพื่อทดแทนพระคุณ!

          “มิผิดแม้แต่น้อย”

          “ในเมื่อน่ำไฮ้เนี่ยจื้อตายไปแล้ว อื่นๆ ก็ไม่ต้องกริ่งเกรงกังวล พวกเราต้องเตือนมันให้ฉวยโอกาสนี้ ลงมือกำจัดบรรดาผู้มีอกุศลจิตต่อมันไปสักหลายคนก่อน”

          “มันเป็นคนชาญฉลาด ต้องเข้าใจแน่”

          “อย่าว่าแต่มันยังมีพวกเราเป็นกำลังหนุน มันมิว่าฆ่าผู้ใด พวกเราต่างพอจะช่วยมันถือดาบได้”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “ประเสริฐ ท่านตอนนี้ยิ่งรู้ความแล้วจริงๆ ไม่เสียทีที่เรามานะพยายามสร้างท่าน”

          ทั้งสองเดินเข้าไปในป่าต้นแป๊ะ กลิ่นหอมของดอกเหมยอบอวลอยู่ในสายลม แต่ในหมอกบางที่เลือนราง พลันมีเงาร่างหนึ่งละลิ่วเข้ามาดั่งวิญญาณร้าย

          อุ้ยเทียนพ้งตวาดเบาๆ

          “ผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้าเอง”

          ผู้นั้นเดินก้มศีรษะเข้ามา ถึงกับเป็นไซมึ้งจับซา

          อุ้ยเทียนพ้งหน้าเครียดทันที กล่าวเสียงกระด้าง

          “ผู้ใดให้เจ้ามาที่นี้?”

          ไซมึ้งจับซาก้มศีรษะตอบ

          “ศิษย์มีเรื่องสำคัญยิ่งรายหนึ่ง จะเรียนต่อท่านผู้เฒ่า?”

          “เรื่องอันใด?”

          ไซมึ้งจับซาลังเลเล็กน้อย จึงเดินเข้าใกล้กว่าเดิม กล่าวเบาๆ

          “ข้าพเจ้าทราบเอี๊ยบไค...”

          เสียงของมันพลันเบากว่าเดิมอีกมากหลาย

          อุ้ยเทียนพ้งจึงจำต้องชะโงกเข้าไป เพื่อหมายพังใฟ้ชัดเจน

          ในชั่วชีวิตมัน ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน มีความระวังผู้อื่นจะฆ่ามันอยู่ทุกเวลา แต่ในตอนนี้ กลับคาดฝันไม่ถึงเด็ดขาด ศิษย์ที่มันรักที่สุดผู้นี้ ถึงกับได้กำมีดเตรียมจะแทงเข้าใส่ทรวงอกมันได้!

          ร่างของทั้งสองแทบประกบอยู่ด้วยกัน อุ้ยเทียนพ้งถาม

          “มีวาจารีบบอกโดยเร็ว”

          ไซมึ้งจับซากล่าว

          “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านตาย”

          พอได้ยินคำตอบ อุ้ยเทียนพ้งจึงตระหนก แต่กระโดดหลบหลีกไม่ทันแล้ว!

          มันเพียงสามารถรู้สึก คมมีดที่เย็นยะเยียบ แทงเข้าไปในเสื้อขนสัตว์ของมัน แทงเข้าไปในทรวงอกมัน!

          มันกระทั่งยังสามารถรู้สึก รสชาติของความตาย!

          ขณะที่ร่อแร่ปานชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ไซมึ้งจับซาพลันแผดร้องแล้วล้มฮวบลง

          มือมันยังถือมีดฆ่าคนเล่มนั้นอยู่ มีดเป็นประกายในความมืด คมมีดยังมีคราบโลหิตติดอยู่

          เป็นโลหิตของอุ้ยเทียนพ้ง!

          จนบัดนี้ร่างอุ้ยเทียนพ้งจึงเพิ่งสั่นระริก จึงเพิ่งรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของความตาย

          ไซมึ้งจับซานอนหงายอยู่บนพื้นหิมะ ดวงตาถลนออกนอกเบ้า หู จมูก ตา ปาก ถึงกับมีโลหิตทะลักออกมาพร้อมกัน

          โลหิตถึงกับเป็นสีดำ!

          อุ้ยเทียนพ้งเหลียวไปมองฮั่นเจ็ง ฮั่นเจ็งตระหนกจนยืนตัวแข็ง ปากอ้าตาค้างอยู่กับที่

          แสดงว่าไซมึ้งจับซามิใช่ถูกฮั่นเจ็งฆ่า

          เป็นผู้ใดลอบช่วยชีวิตอุ้ยเทียนพ้งไว้?

          อุ้ยเทียนพ้องไม่มีเวลาครุ่นคิดอีกแล้ว ในป่าต้นแป๊ะที่มีหมอกครอบคลุม แฝงอันตรายอยู่ทุกฝีก้าวจริงๆ มันขยี้เท้าร้องขึ้น

          “รีบถอยออกไป”

          ทันใดนั้น มีเสียงคนดังสวนคำ

          “ท่านยืนไว้ไม่อาจเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นพิษของมีดพอกำเริบ ท่านต้องตายแน่นอนเด็ดขาด”

--------------------------- 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น