วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า เล่ห์กลที่ซับซ้อน

 

เล่ห์กลที่ซับซ้อน

ในสายลมวิกาล มีเสียงเพลงแว่วอยู่เลือนราง นั่นคือเพลงที่ร้องกล่อมทารกให้หลับนอน

          หมอกยิ่งหนากว่าเดิม

          แสงไฟในหน้าต่างยังสว่างไสว เอี้ยเทียนจึงเคาะประตู

          “ผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้าเอี้ยเทียน เป็นก้วงสื่อในที่นี้”

          “หรือเอี้ยก้วงสื่อไม่ทราบในตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว?”

          เป็นเสียงของบุรุษ มิใคร่เกรงใจเท่าใดด้วย

          มิว่าผู้ใดได้ยินเสียงเคาะประตูในเวลาค่อนคืน ต่างต้องไม่เกรงใจเท่าใดนัก

          เอี้ยเทียนกล่าว

          “ข้าพเจ้าทราบเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ทว่ามีอาคันตุกะท่านหนึ่ง ยืนกรานจะต้องได้พบเอี๊ยบกงจื้อโดยด่วน”

          “ผู้ใดมาหาข้าพเจ้า?”

          “เป็นโกวเนี้ยแซ่เต็งนามฮุ้นลิ้ม”

          วาจานี้เพิ่งขาดคำ ประตูเปิดออกทันที

          ผู้ที่มาเปิดประตูต้องเป็นเอี๊ยบไค

          เอี้ยเทียนได้บอกกับเต็งลิ้งเยี่ยงนั้น เต็งลิ้งกำลังยืนที่ปากประตู

          แสงไฟในห้องพอดีสาดส่องอยู่ที่ตัวมัน

          บุรุษที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ใบหน้าหล่อเหล่าคมคายอย่างยิ่ง พอเปิดประตูออก ก็ตะลึงลานในที่นั้น สีหน้านั้นทั้งแตกตื่นสงสัย ทั้งปีติยินดี

          “เป็นท่านจริง?”

          เต็งลิ้งก้มศีรษะตอบ

          “เป็นข้าพเจ้าจริงๆ”

          เอี๊ยบไคหัวร่อเสียงก้อง หัวร่อพลางกระโดดออกมารวบร่างมันไว้ ร้องต่อไป

          “ท่านไม่ขุ่นเคืองข้าพเจ้าแล้ว?”

          “ข้าพเจ้าไม่ขุ่นเคืองท่านแล้ว”

          มันตอบแล้วกอดเอี๊ยบไคเช่นกัน แต่มือกลับจี้ไปที่จุดเง็กจิ้นฮวกตรงท้ายทอยของเอี๊ยบไค

          เอี๊ยบไคอุทานด้วยความตระหนก คลายมมือถลาถอยไป จ้องมองเต็งลิ้งด้วยความแตกตื่น

          “ท่านไม่สมควรตีจากข้าพเจ้า เพราะสตรีชั่วร้ายเลย”

          เอี๊ยบไคถอนใจ ล้มลงไป

          เอี๊ยบไคล้มลงกับพื้น

          บุคคลที่ถูกบู๊ลิ้มทั้งแผ่นดิน มีความเห็นว่ารับมือยากที่สุด พลันล้มลงแล้ว แน่วนิ่งไม่อาจเคลื่อนไหว!

          ทันใด เรื่องรายนี้ก็ยุติลง

          เอี้ยเทียนดูอยู่ที่ด้านข้าง มีทีท่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง มันคล้ายดั่งคาดคิดไม่ถึงเรื่องราวจะยุติง่ายดายปานนี้

          ตามเหตุการณ์นี้ ก่อนๆ นี้พวกทั้งหลายไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นถึงปานนั้นเลย

          เต็งลิ้งก้มศีรษะมองเอี๊ยบไคบนพื้น ใบหน้ามีความรู้สึกงุนงงเลื่อนลอย

          ขณะเวลานั้นเอง มีผู้โถมออกมาจากห้องคนหนึ่ง... สตรีที่สวยสะคราญปานหยาดฟ้า ในมือยังโอบตุ๊กตาอยู่ตัวหนึ่ง

          นางเห็นเอี๊ยบไคบนพื้น ดวงตามีประกายเดือดดาล และแตกตื่นสงสัยเป็นอย่างยิ่ง พลันร้องสุดเสียง

          “พวกท่านตีมันตายแล้ว มันเป็นคนดี พวกท่านไฉนต้องตีมันตาย?”

          เอี้ยเทียนอดมิได้ต้องถาม

          “ท่านก็คือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะตอบ

          “ท่านตีมันตาย ท่านต้องเป็นคนเลว”

          เต็งลิ้งพลันร้องสุดเสียง

          “ท่านจึงเป็นสตรีเลวร้าย...”

          มันร้องพลางโถมเข้าไป คล้ายดั่งจะบีบคอสตรีนางนั้น

          แต่มือของมันกลับถูกฉุดไว้... ถูกทิโกวคว้าไว้ทัน

          “เรื่องราวของท่านสำเร็จแล้ว ตอนนี้จะต้องเหน็ดหนื่อยอย่างยิ่ง ไฉนไม่เอนกายลงนอนหลับสักตื่น”

          กระแสเสียงยังคงเร้นลับ และไพเราะน่าฟังดั่งเดิม

          ดวงตาเต็งลิ้งเหม่อค้าง ผงกศีรษะช้าๆ กล่าว

          “ข้าพเจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าพเจ้าจะนอนแล้ว”

          มันถึงกับเอนตัวลงนอนไปจริงๆ นอนที่พื้นหิมะทางนอกประตู คล้ายดั่งนอนอยู่บนเตียงสุขสบายที่สุดก็ปาน

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเหม่อมองมันด้วยความแตกตื่น พลางร้องสุดเสียงอีกครั้ง

          “เรามิใช่สตรีเลวร้าย เราเป็นเด็กว่าง่าย นางจึงเป็นสตรีเลวร้าย ดังนั้นนางตอนนี้จึงตายไป”

          ทิโกวกล่าวเสียงนุ่มนวล

          “ใช่ มันจึงเป็นสตรีเลวร้าย เอี๊ยบไคก็เป็นบุรุษเลวร้าย”

          “เอี๊ยบไคเป็นคนดี”

          “มันมิใช่คนดี มันไม่ยอมให้ท่านป้อนนมป้อป๋อเสมอมาใช่หรือไม่?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนครุ่นคิดแล้วตอบ

          “ใช่ มันไม่ยอมให้เราป้อนนมป๋อป้อกินเสมอมา”

          ทิโกวจ้องตานางแน่วนิ่งพลางกล่าว

          “ป๋อป้อตอนนี้จะต้องหิวโหยที่สุดแล้ว”

          “ใช่ ป๋อป้อหิวนานแล้ว ป๋อป้อไม่ร่ำไห้ ม่าม้าป้อนนมเจ้ากิน”

          นางถึงกับแก้อกเสื้อออก เผยเห็นอกที่อวบอูมชูชัน ขาวผุดผ่องเป็นยองใย

          ลมหายใจของเอี้ยเทียนชะงักทันที หัวใจเต้นถี่เร็วอีกสามเท่า

          ทิโกวถอนหายใจยาว แต่ดวงตามีประกายยิ้มแย้มกล่าว

          “ดูท่านางกระทั่งยังไม่มีอายุถึงเจ็ดขวบ”

          ซิมโกวแค่นหัวร่อกล่าว

          “นั่นก็ต้องดูท่านดูนางในที่ใด”

          ทิโกวหัวร่อเบาๆ ซิมโกวกล่าวต่อไป

          “ท่านดูทรวงอกนาง ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่านางยังมิเคยถูกบุรุษสัมผัสมา”

          นางขบริมฝีปากแนบแน่น ดวงตามีประกายริษยาแวววาว

          มิว่าสตรีนางใด เมื่อได้เห็นทรวงอกเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ต่างต้องริษยาอย่างยิ่ง

          ทิโกวเดินไปข้างกายเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน โอบไหล่นางไว้พลางกล่าว

“ป่อป๋อของท่านสวยอย่างยิ่ง”

ใบหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน มีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาขึ้นทันที ตอบด้วยความปีติ

“มันความจริงเป็นป๋อป้อที่น่ารักยิ่ง”

“ท่านให้เราอุ้มบ้างได้หรือไม่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนลังเลแล้วตอบ

“แต่ท่านต้องระวัง ไม่อาจรัดมันแน่นเกินไป ป๋อป้อกลัวเจ็บ”

“เราทราบ เราก็มีป๋อป้อคนหนึ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนลังเลอีกชั่วครู่ ในที่สุดยื่นตุ๊กตาให้แก่ทิโกว

ทิโกวรับมาแล้ว พลันหันกายวิ่งออกไปอย่างไม่คาดหมาย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนร้องสุดเสียงทันที

“ท่านไฉนต้องลักป๋อป้อเราหนีไป ท่าน... ท่านเป็นสตรีเลวร้าย”

ทิโกววิ่งนำอยู่หน้า เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไล่ตามอยู่หลัง

ทั้งสองคนวิ่งหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ออกไปจาบริเวณนั้นโดยเร็วยิ่ง

เอี้ยเทียนยังยืนซึมเซาในที่เดิม คล้ายดั่งแตกตื่นสงสัย และก็คล้ายดั่งสมเพชอย่างยิ่ง

ซิมโกวถลึงจ้องมันพลางแค่นเสียงเย็นชา

“ตั้วโกวเนี้ยที่ป้อนนมไปแล้ว ท่านยังตะลึงลานไปไย?”

เอี้ยเทียนฝืนหัวร่อตอบ

“ข้าพเจ้า... เพียงรู้สึก เรื่องนี้คล้ายดั่งรวบรัดเกินไป ง่ายดายเกินไป”

“มิว่าเป็นเรื่องยุ่งยากปานใด ขอเพียงท่านวางแผนล่วงหน้าไว้ได้รอบคอบสุขุมตอนลงมือก็รวบรัดง่ายดายอย่างยิ่ง”

เอี้ยเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ มิอาจไม่ยอมรับว่า เรื่องนี้วางแผนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

ซิมโกวจับตามองมันพลางแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“ความจริงทรวงอกของข้าพเจ้า ยังน่าดูกว่านางมากนัก ท่านเชื่อหรือไม่?”

เอี้ยเทียนตะลึงลานไป ใบหน้ากลายเป็นแดงฉาน ตะกุกตะกัก

“ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้า...”

ซิมโกวเนี้ยยิ้มยียวนพลางกล่าวต่อ

“ภายหน้าข้าพเจ้าต้องให้ท่านได้เห็นแน่ ตอนนั้นท่านก็ต้องเชื่อถือแล้ว”

หัวใจเอี้ยเทียนเต้นถี่เร็วกว่าเดิม ซิมโกวกล่าวต่อ

“ตอนนี้ จัดการลากตัวผู้แซ่เอี๊ยบกลับไปก่อน”

“แล้วเต็ง... เต็งโกวเนี้ยเล่า?”

“มันติดตามข้าพเจ้าไปได้”

นางเตะเต็งลิ้งฉาดหนึ่งแล้ว จึงหันไปแย้มยิ้มให้เอี้ยเทียน กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ขอเพียงท่านยินยอมเป็นทารกว่าง่าย ม่าม้าจะต้องป้อนนมให้ท่านกินเช่นกัน”

-------------------------------

ทิโกววิ่งเข้าไปในห้องพระ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็ไล่ตามเข้าไปพลางร้อง

“คืนป๋อป้อให้เรา รีบคืนให้เรา”

“ท่านจงนั่งอย่างว่าง่าย เราจึงจะคืนให้ท่าน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนทรุดกายนั่งบนเบาะทันที ทิโกวกล่าวต่อ

“เรามีวาจาหลายคำต้องการถามท่าน ท่านต้องตอบให้เราโดยดี”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ ทิโกวถาม

“ท่านมีนามใด?”

“เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

“ปาปาเจ้าเป็นผู้ใด?”

“ปาปาเราเป็นเทพเจ้า เรามิเคยเห็นหน้าปาปามาเลย”

“ม่าม้าของท่าน?”

“ม่าม้านอนหลับ”

“นอนหลับในที่ใด?”

“นอนหลับในกล่องไม่ยาวๆ กลับมาเป็นเวลาเนิ่นนานอย่างยิ่ง”

ใบหน้านางถึงกับมีแววรันทด กล่าวต่อไป

“นางบอกว่านางจะตื่นมาโดยเร็ว แต่นางก็นอนตลอดมามิเคยตื่นเลย”

“หลังจากม่าม้าท่านนอนหลับแล้ว ท่านอยู่กับผู้ใด?”

“เราอยู่กับเจ็กเจ่ก (อา) ที่บินได้ ม่าม้าบอกให้เราเรียกท่านเป็นฮุยเจ็กเจ่ก”

“ภายหลังเล่า?”

“ภายหลังฮุยเจ็กเจ่กไปหาเอี๊ยบไค เรียกให้เราตามเอี๊ยบไค”

ดวงตาทิโกวมีประกายพึงพอใจยิ่ง ถามอีกว่า

“ฮุยเจ็กเจ่กผู้นั้น ต้องดีต่อท่านอย่างยิ่ง?”

“ท่านรักเราอย่างยิ่ง ท่านดีต่อเราอย่างยิ่ง”

“มันให้ของเล่นแก่ท่านมากมายใช่หรือไม่?”

“ท่านซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เรา ซื้อของดีๆ ให้เรารับทาน”

“ยังมีเจ๊กเจ่กที่แขนข้างเดียวเล่า? ก็ให้ของน่ารับทานแก่ท่านมากหลายหรือไม่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขมวดคิ้วย้อนถาม

“เจ๊กเจ่กแขนเดียว?”

“หรือท่านไม่รู้จักมัน? ในตัวมันมักสวมเสื้อยาวสีเหลือง ทีท่าดูไปดุร้ายอย่างยิ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันหัวร่อ พลางปรบมือกล่าว

“เรานึกได้แล้ว มีวันหนึ่งมันไปหาฮุยเจ๊กเจ่ก เมื่อพบเรายังพาเราไปจับผีเสื้อ”

“มันมิได้ให้ของแก่ท่าน?”

“มันจับผีเสื้อให้เรามากมายหลายตัว ผีเสื้อที่สวยงามน่าดูมากมายเป็นกองใหญ่”

“นอกจากผีเสื้อแล้ว มันยังให้ของใดแก่ท่านอีก?”

“ไม่มีแล้ว”

ทิโกวหน้าเครียดทันที ถามเสียงกระด้าง

“ไม่มีจริงๆ?”

“เป็นความจริง”

ดวงตาทิโกวเป็นประกายแวววาว พลางกล่าว

“มันได้บอกเรื่องราวใดแก่ท่านหรือไม่?”

“บอก”

“มันบอกว่ากระไร?”

“ท่านบอกมีสถานที่แห่งหนึ่ง มีของเล่นที่สวยงามมากมายยิ่งนัก รอให้เราเติบใหญ่แล้ว จะพาเราไปนำมา”

ดวงตาทิโกวเป็นประกายสุกใสอีกครั้ง ถามต่อไป

“มันบอกกับท่านหรือไม่? สถานที่นั้นอยู่แห่งหนใด?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ ทิโกวถาม

“ท่านจำได้?”

“ท่านได้ย้ำหลายครั้งครา จะต้องให้เราจำให้ได้”

ทิโกวหัวร่อพลางส่งเสียงนุ่มนวล

“เราทราบว่า ท่านเป็นทารกที่ทั้งฉลาดปราดเปรื่องทั้งว่าง่าย ขอเพียงท่านบอกวาจาของมันแก่เรา เราก็คือป๋อป้อให้ท่าน”

“แต่เจ็กเจ่กผู้นั้นสั่ง ห้ามิให้เราบอกต่อกับผู้อื่นอีกเป็นอันขาด”

“ท่านบอกเรามิเป็นไร เราก็เป็นสหายรักยิ่งของมัน มันต้องไม่ตำหนิท่านแน่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนลังเลแล้วตอบ

“แต่ว่าเจ๊กเจ่กผู้นั้นบอก หากเราบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่นอีก ม่าม้าเราจะต้องไม่ตื่นจากหลับไปตลอดกาล”

ทิโกวหน้าเครียดอีกครั้ง กล่าวเสียงกระด้าง

“หากท่านไม่บอก เราจะฟาดป๋อป้อให้ตาย”

สีหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแปรเปลี่ยนไป ร้องสุดเสียง

“ท่านไม่อาจขว้างป๋อป้อเราตายไป มันเป็นป๋อป้อที่ว่าง่ายยิ่ง”

ทิโกวแค่นเสียงเย็นชา

“เราทราบว่ามันทั้งว่าง่ายทั้งฉลาด แต่เพียงเราขว้างมันกับพื้น ท่านภายหน้าก็ไม่อาจเห็นมันอีกแล้ว และไม่มีคนเป็นเพื่อนเล่นกับท่านอีก”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนร่ำไห้เสียงดัง หลั่งน้ำตาร้อง

“วิงวอนท่าน....วิงวอนท่าน....”

“ท่านวิงวอนเราก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากท่านบอกสถานที่แห่งนั้นกับเรา”

“ขอเพียงเราบอกกับท่าน ท่านก็คืนป๋อป้อให้เรา?”

“และยังจะซื้อของที่น่าเล่นน่ากินแก่ท่านอีกมากหลาย พาท่านไปตัดเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ อีกมากหลาย”

“ตกลง เราบอกกับท่าน สถานที่นั้นคือ...”

นางยังมิทันบอก ทิโกวพลันร้องสุดเสียง

“รอสักครู่ค่อยบอก”

“เพราะเหตุใด?”

ทิโกวแค่นหัวร่อกล่าว

“เนื่องเพราะเรื่องนี้ ท่านบอกกับเราได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่อาจให้ผู้อื่นได้ยินเป็นอันขาด”

          มีเสียงกระแอมเบาๆ ดังขึ้นที่นอกประตู เอี้ยเทียนอุ้มเอี๊ยบไคเดินเข้ามา

          ซิมโกวก็เดินเข้ามาในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของนางยังมีเต็งลิ้งติดตาม

          ทิโกวหน้าเครียดเย็นชา กล่าวเสียงเกรี้ยวกราด

          “ผู้ใดสั่งให้ท่านพาพวกมันกลับมา?”

          ซิมโกวตอบ

          “ไม่พากลับมาจะทำอย่างไร?”

          “หรือท่านไม่รู้จักฆ่าพวกมัน?”

          “ฆ่าทั้งสองคน?”

          “ท่านยังคิดจะเหลือผู้ใดไว้?”

          “ฆ่าในตอนนี้?”

          “ฆ่าในตอนนี้!

          เอี๊ยบไคนอนขดอยู่บนพื้น ดูไปคล้ายเป็นคนตาย เต็งลิ้งแม้ยังมีชีวิต แต่สองตาเหม่อลอย ผู้อื่นบอกจะฆ่ามัน มันคล้ายดั่งไม่ได้ยิน

          ซิมโกวถอนใจกล่าว

          “บุรุษที่น่าดูเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจตัดใจลงมือเลยจริงๆ”

          เอี้ยเทียนแค่นเสียงเย็นชา

          “ข้าพเจ้าตัดใจได้”

          ซิมโกวชม้ายตามองแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านหึงหวง?”

          “ข้าพเจ้าไม่หึงหวงคนตาย”

          “ก็ได้ ข้าพเจ้าให้มีดแก่ท่าน”

          เสียงฉึกดังเบาๆ มีดเล่มหนึ่งร่วงหล่นลงกับพื้น

          เอี้ยเทียนก้มลงเก็บขึ้นมา จับตามองเต็งลิ้งพลางแค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านฆ่าเรามาครั้ง ตอนนี้เราก็ต้องฆ่าท่านครั้งหนึ่ง บัญชีรายนี้ยุติลงในบัดนี้แล้ว ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า”

          เต็งลิ้งเหม่อมองดูมีดในมือมัน ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาสักน้อยนิด

          ดวงตาเอี้ยเทียนเป็นประกายอำมหิตแวววาว กรีดมีดแทงสวบไป

          พลันมีคนตวาดเสียงก้อง

          “ช้าไว้!

          เอี้ยเทียนหดมือขมวดคิ้ว เหลียวมองจึงเห็น ผู้ส่งเสียงห้ามันถึงกับเป็นอุ้ยเทียนพ้ง

          อุ้ยเทียนพ้งมิทราบตื่นตั้งแต่เมื่อใด กำลังยันกายขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า

          ทิโกวขมวดคิ้วถาม

          “ท่านไฉนต้องห้ามมันไว้?”

          “ท่านต้องฆ่าสองคนนี้แน่”

          “ต้องฆ่าแน่นอน”

          “ฆ่าในที่นี้?”

          “ถูกแล้ว ฆ่าในที่นี้”

          “ห้องพระก็ฆ่าคนได้?”

          “พระพุทธรูปที่พวกเรากราบไหว้บูชา คือพระพุทธรูปฆ่าคน”

          อุ้ยเทียนพ้งถอนใจกล่าว

          “เราก็ทราบ ท่านต้องไม่ยอมไว้ชีวิตเอี๊ยบไค แต่ผู้แซ่เต็ง...”

          “ท่านคิดจะไว้ชีวิตมัน?”

          “มันตอนนี้เท่ากับเป็นคนพิการไร้ประโยชน์แล้ว ไยต้องไปปลิดชีวิตมันอีก?”

          เอี้ยเทียนแค่นเสียงเย็นชาทันที

          “หรืออุ้ยโป้ยเอี๊ยเกิดมีใจรักถนอมบุปผา คิดจะรับมันกลับไปเป็นภรรยากำเนิดบุตรธิดา?”

          อุ้ยเทียนพ้งตวาดด้วยโทสะ

          “ท่านเป็นผู้ใด? ถึงกับกล้ามาก้าวร้าวสามหาวต่อเราปานนี้?”

          เอี้ยเทียนสวนคำ

          “ข้าพเจ้าเพียงแต่เตือนสติท่านเท่านั้น เพื่อมิต้องให้ท่านผิดหวัง”

          “ผิดหวัง?”

          “โกวเนี้ยท่านนี้ ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรธิดาได้ดอก”

          “ท่านเข้าใจเรามิทราบมันเป็นผู้ใด?”

          “ในเมื่อทราบ ไฉนยังต้องไว้ชีวิตมัน?”

          “รอท่านมีวัยเทียบเท่าเราท่านก็ทราบ คนที่พอจะไม่ฆ่ายังคงอย่างฆ่าประเสริฐกว่า”

          หยุดถอนหายใจ กล่าวช้าๆ สืบไป

          “ตอนวัยฉกรรจ์ฆ่าคนมากเกินไป เมื่อถึงวัยชรายากยิ่งที่จะไม่สำนึกเสียใจได้”

          เอี้ยเทียนแค่นหัวร่อตอบ

          “หัวใจของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยเปลี่ยนแปรเป็นอ่อนปานนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด?”

          “เมื่อครู่”

          “เมื่อครู่?”

          “คนเราเมื่อทราบตัวเองมีบุตรธิดา หัวใจก็ต้องผิดกว่าในกาลก่อนๆ”

          ทิโกวพลันแค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านมีบุตรธิดา! ท่านเข้าใจข้าพเจ้าเป็นบุตรีท่านจริงๆ?”

          อุ้ยเทียนพ้งโพล่งด้วยความสงสัย

          “ท่านไม่ใช่?”

          ทิโกวแค่หัวต่อตอบ

          “ในชั่วชีวิตน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ มิทราบมีบุรุษมากน้อยปานใด แต่พาลไม่มีบุตรธิดามาสักครึ่งคน”

          “ท่านเล่า?”

          “ข้าพเจ้าทั้งมิใช่เป็นบุตรีท่าน และมิใช่เป็นบุตรีของนาง”

          “ท่าน... ท่านเป็นผู้ใดกันแน่?”

          ทิโกวเอื้อนเบาๆ

          “อสูรฟ้าไร้ลักษณ์ หมื่นพิสดารไร้ขอบเขต ขึ้นฟ้าลงดิน มีเราเป็นเอกเพียงหนึ่งเดียว”

          สีหน้าอุ้ยเทียนพ้งแปรเปลี่ยนไปทันที ร้องโพล่งขึ้น

          “ท่านเป็นบริวารของม้อก้า (นิกายอสูร) ?”

          ซิมโกวส่งเสียงอ้อยอิ่ง

          “ยินดีเรียนให้อุ้ยโป้ยเอี๊ยได้ทราบ นางคือซากงจู๊ (ราชธิดาองค์ที่สาม) ของสี่จ้าวฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ (ซี่ไต้เทียนอ๊วง) !

          ใบหน้าอุ้ยเทียนพ้งเผือดขาวราวซากศพ กระทั่งเสียงก็ไม่อาจเปล่งออกได้อีกแล้ว ทิโกวกล่าวต่อ

          “ความจริงน่ำไฮ้เนี่ยจื้อเป็นศิษย์ทรยศของนิกาย มีความเห็นว่านางปีกกล้าขาแข็ง พอจะแก่งแย่งชิงดีกับก้าจู๊ (ประมุขนิกาย) พวกเรา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแสร้งไปสวามิภักดิ์ต่อนาง ฝึกหลักวิชาอสูรจากนางก่อน จึงได้ใช้วิชาที่นางสอนให้ข้าพเจ้าฆ่านางไป”

          ซิมโกวกล่าวต่อ

          “นี่ก็คือหลักวิชาใช้เลือดคืนเลือด มังกรเทพยดาไร้ลักษณ์ของนิกายเรา”

          ใบหน้าอุ้ยเทียนพ้งเผือดขาวราวซากศพ รำพึงเบาๆ

          “ที่แท้ท่านมิใช่บุตรีเรา... ที่แท้เราไม่มีบุตรี...”

          มันทวนแต่สองคำนั้นอยู่ไปๆ มาๆ ถึงกับคล้ายเซื่องซึมใจลอย แสดงว่าความกระทบกระเทือนในในเรื่องนี้ ยังสร้างความเจ็บแก่มัน ยิ่งกว่าฟันใส่มันดาบหนึ่งเสียอีก

          ซิมโกวกล่าวต่อไป

          “ที่เมื่อครู่พวกเราแสร้งช่วยท่าน เนื่องเพราะฆ่าท่านในตอนนั้น มิได้มีคุณประโยชน์ต่อพวกเราเลย”

          ทิโกวกล่าวบ้าง

          “แต่ตอนนี้ ฮั่นเจ็งทราบว่าเราเป็นบุตรีของท่านแล้ว หากบิดาเคราะห์ร้ายตายไป ทรัพย์สมบัติย่อมเป็นบุตรธิดามารับช่วงต่อ”

          ซิมโกวกล่าวบ้าง

          “ดังนั้น พวกเราจึงยังให้ฮั่นเจ็งมีชีวิตอยู่”

          ทิโกวกล่าวอีก

          “ระยะนี้ นิกายเรามีอัจฉริยะแขนงต่างๆ เพิ่มมากหลาย กาลเวลาจะจรรโลงเกียรติภูมิให้รุ่งเรืองเกรียบไกร มีเราเป็นเอกเพียงหนึ่งเดียวใกล้จะมาถึงแล้ว ที่ยังขาดอยู่เป็นเพียงเงินทองค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเท่านั้น”

          ซิมโกวกล่าวบ้าง

          “แต่เมื่อมีทรัพย์สมบัติของท่านกับเซี่ยงกัวกิมฮ้งแล้ว พวกเราก็มีครบสมบูรณ์ทุกสิ่งอัน”

          ปากอุ้ยเทียนพ้งยังคงทวนสองคำนั้นดั่งเดิม ทันใดแผดร้องดังก้อง กระอักโลหิตออกจากปากเป็นลำยาว

          จากนั้น ร่างจึงฮวบลง

          ทิโกวกระทั่งหางตายังไม่เหลือบมอง แค่นเสียงเย็นชา

          “เอี้ยเทียน ตอนนี้ท่านยังไม่ลงมือ?”

          เอี้ยเทียนหน้าเผือดขาวอยู่นางแล้ว ความน่ากลัวของม้อก้า ก่อนๆ นี้มันเพียงเคยได้ยินผู้คนเล่าลือเท่านั้น บัดนี้มันได้มาเห็นกับตา ประสบกับตัวแล้ว

          มันกำมีดอสูรที่เป็นประกายเขียวเรืองแนบแน่น แทงสวบเป็นครั้งที่สอง!

-------------------------------

          เต็งลิ้งยืนแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว ทั้งไม่รู้จักหวาดกลัว และไม่รู้จักหลบหลีก

          ขณะเวลานั้นเอง ที่นอกประตูพลันมีเสียงแผดร้องดังโหยหวน

          เสียงนี้กราดเกรี้ยวโหยหวน ถึงกับคล้ายมีคนร้องพร้อมกัน และยิ่งคล้ายมีสุนัขจิ้งจอกหิวโหยจำนวนมากหลาย ถูกคนเชือดคอขาดไปในเวลาพร้อมกัน

          เสียงกราดเกรี้ยวโหยหวน พลันดังขึ้นแล้วพลันหยุดลงอีกครา!

          เอี้ยเทียนสะท้านเฮือกใหญ่ กระทั่งมีดอสูรก็ไม่อาจกำไว้ได้ ซิมโกวพลันหันขวับ กระชากประตูออก

          คนชุดขาวผู้หนึ่ง ยืนแน่วนิ่งที่หน้าประตู เสื้อยาวสีขาวปานหิมะ มีโลหิตสดๆ กระเซ็นเป็นจุดแต้มดั่งดอกเหมย หลังสะพายม้วนเสื่อ มือถือกระบองสั้น

          เฮ็กแป๊ะมาแล้ว!

          ซิมโกวมิเพียงหน้าไม่เปลี่ยนสีเท่านั้น กลับแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มทักทาย

          “ในเมื่อท่านมาแล้ว ไฉนยังยืนที่ปากประตู รีบเชิญท่านมานั่งทางในเถิด”

          เฮ็กแป๊ะส่งเสียง

          “ยืนอยู่ประเสริฐยิ่ง”

          “ที่ท่านมา หรือเพียงเพื่อต้องการยืนดูทางปากประตูเท่านั้น?”

          “เราก็มิใช่เพราะเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

          “มิใช่จริงๆ?”

          “มิใช่”

          “ฟังว่าในภูเขาแชเซี้ยซัวซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกท่าน มีการใช้จ่ายที่สูงอย่างยิ่ง ร่อยหรอจนต้องการเพิ่มโดยด่วนที่สุด”

          “พวกเรามีรายได้ทางอื่น”

          ซิมโกวกระพริบตาแย้มยิ้มถาม

          “อย่างนั้น หรือท่านมาเพราะข้าพเจ้า?”

          นางที่ปกติกระด้างเย็นชา คล้ายดั่งสูงส่งจนไม่อาจกล้ำกรายให้เป็นราคี แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนคล้ายเป็นสตรีที่บุรุษทุกผู้คน ต่างปรารถนาแต่ต้องย่ำยีสักครั้ง

          มิคาด เฮ็กแป๊ะกลับไม่หวั่นไหวสักน้อยนิด ยังคงส่งเสียงเย็นชา

          “เราก็มิใช่มาเพราะสตรี”

          “มิใช่มาเพราะสตรี ท่าน... ท่านพอใจบุรุษ?”

          “เรามาเพราะเอี๊ยบไค”

          “ท่านพอใจมัน”

          “เราพอใจฆ่ามัน”

          “ท่านมีความอาฆาตแค้นกับมัน?”

          “มี”

          “มันฆ่าบิดาท่าน? หรือชิงภรรยาของท่าน?”

          ใบหน้าเฮ็กแป๊ะเครียดลงทันที กล่าวเสียงกระด้าง

          “เราเพียงหวังให้พวกท่าน ยอมมอบมันแก่เราพากลับไป”

          “ความจริงพวกรกำลังจะฆ่ามันอยู่ ท่านจะชิงลงมือก็มิเห็นเป็นไร เพียงแต่ว่า....”

          “เพียงแต่ว่ากระไร?”

          “ข้าพเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านจะฆ่ามัน ไม่แน่ว่าท่านคิดจะช่วยมัน?”

          เฮ็กแป๊ะกล่าวอย่างครุ่นคิด

          “เราพอจะฆ่ามันต่อหน้าพวกท่าน”

          ทิโกวพลันกล่าวขึ้น

          “ก็ได้ ให้มีดมัน ให้มันลงมือ”

          เอี้ยเทียนสะบัดมือเหวี่ยงมีดอสูรออกไป ร่วงหล่นอยู่ที่แทบเท้าเฮ็กแป๊ะดังติง

          เฮ็กแป๊ะใช้ปลายเท้าเขี่ยมีดขึ้นรวบไว้ เดินช้าๆ เข้าไป จับตามองเอี๊ยบไคบนพื้น พลันแทงสวบไป

          มันลงมือรวดเร็วยิ่ง!

          แต่มีดนี้มิใช่แทงใส่เอี๊ยบไค ประกายเขียวเรืองวูบขึ้น ถึงกับแทงใส่ทิโกว!

          ทิโกวคล้ายคิดคิดไม่ถึงมันจะมีไม้นี้ ถึงกับหลบหลีกไม่ทัน

          มีดของเฮ็กแป๊ะแทงใส่ทรวงอกนาง

          ใบหน้าทิโกวมิได้แประเปลี่ยน แต่ใบหน้าเฮ็กแป๊ะกลับเปลี่ยนไป

          มันพลันรู้สึก คมมีดเล่มนี้ถึงกับเคลื่อนไหวได้ พอมีดสัมผัสเป้า คมมีดถึงกับหดเข้าไปในด้ามมีด

          ขณะเวลานั้นเอง มีเสียงดังติงเบาๆ ปลายด้ามมีดถึงกับมีประกายแวบวับสามจุด พุ่งออกมาใส่ทรวงอกเฮ็กแป๊ะ!

          ร่างมันสะท้านเฮือกใหญ่ ดวงตาคล้ายถลนออกมานอกเบ้า ใบหน้าที่กระด้างเย็นชา บิดเบี้ยวไปด้วยความแตกตื่นและหวาดกลัว!

          ทิโกวจับตาเย็นชามองมันพลางกล่าว

          “นี่เป็นมีดอสูร มีดอสูรไม่ฆ่าเจ้าของ”

          ที่แท้ตอนมีดร่วงลงสัมผัสพื้น เสียงติงนั้นบ่งบอกว่าขดลวด (สปริง) ในด้ามมีดเปลี่ยนไป

          ใบหน้าเฮ็กแป๊ะเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง แล้วกลับกลายเป็นสีเทาซีด ขบกรามคำราม

          “ท่านฆ่าเรามิเป็นไร เจ้านายเราต้องไม่ยอมปล่อยท่านแน่นอน”

          ทิโกวขมวดคิ้วถาม

          “ท่านยังมีเจ้านาย.. เจ้านายท่านเป็นผู้ใด?”

          ในลำคอเฮ็กแป๊ะมีเสียงครอกครอก แต่ไม่อาจกล่าวกระไรได้อีก พลันคำรามสุดเสียง โถมเข้าใส่ทิโกวอีกครั้ง

          ทิโกวแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว

          เห็นว่ามือของเฮ็กแป๊ะจะต้องเค้นใส่คอนางเป็นแน่ แต่ทว่า ตัวมันกลับล้มลงไปเสียก่อน

          ทิโกวถอนใจกล่าว

          “คนในที่นี้ คล้ายดั่งตายหมดสิ้นแล้ว”

          ซิมโกวกล่าวบ้าง

          “เหลือแต่เอี๊ยบไคกับเต็งฮุ้นลิ้มสองคนเท่านั้น”

          เอี้ยเทียนกล่าว

          “พวกเราไฉนไม่ให้มันสอง ไปครองชีวิตคู่ในปรภพ?”

          ซิมโกวกล่าว

          “หากท่านลงมือเร็วกว่านี้บ้าง พวกมันตอนนี้ไม่แน่มิต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตอีกแล้ว”

          เอี้ยเทียนพลันชักมีดออกจากแขนเสื้อเล่มหนึ่ง แทงสวบใส่เอี๊ยบไคพลางส่งเสียง

          “ครั้งนี้เราฆ่ามันก่อน”

          ทันใด มีผู้หนึ่งตวาดสุดเสียง

          “ช้าไว้!

          ผู้ส่งเสียงตวาดห้ามมันในครานี้ ถึงกับเป็นทิโกว!

          เอี้ยเทียนอดมิได้ต้องถาม

          “ไฉนยังต้องช้าไว้ก่อน?”

          เฮ็กแป๊ะมาเพราะมันชัดๆ และยังยอมเสี่ยงอันตรายของชีวิต ต้องการพามันกลับไปด้วย”

          ซิมโกวกล่าว

          “หากมันมีความอาฆาตแค้นกับเอี๊ยบไคจริง มันพอจะลงมือในที่นี้ได้”

          ทิโกวกล่าว

          “เพียงแต่ว่า ดูไปมันคล้ายจะต้องพาเอี๊ยบไคกลับให้ได้”

          “มันไฉนต้องทำดั่งนั้น?”

          “เฮ็กแป๊ะมิใช่คนโง่เขลา ที่มันทำดั่งนี้ ย่อมมีจุดมุ่งหมายของมัน”

          ซิมโกวกลอกตาไปมากล่าว

          “หรือในตัวเอี๊ยบไคมีความลับใด?”

          “เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

          ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “ประเสริฐมาก ข้าพเจ้าค้นตัวมันดูก่อน”

          เอี้ยเทียนกล่าว

          “มันเป็นบุรุษ มิสู้ให้ข้าพเจ้าลงมือเหมาะสมกว่า”

          ซิมโกวถลึงจ้องมันพลางกระชากเสียง

          “เราไฉนไม่อาจค้นตัวบุรุษ? เราความจริงพอใจค้นตัวบุรุษอยู่แล้ว โดยเฉพาะบุรุษที่สง่างาม”

          เอี้ยเทียนขบกรามแนบแน่น เม้มปากมิยอมส่งเสียง

          ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าวไป

          “หากท่านหึงหวง? สักครู่เราพอจะค้นตัวท่านบ้าง”

          นางแย้มยิ้มพลางก้มลงไป สอดมือเข้าในอกเสื้อเอี๊ยบไค

          แต่ทว่า มือนางพอสอดไป พลันร้องด้วยความตระหนก หดกลับโดยฉับไวดุจดั่งถูกอสรพิษร้ายฉกใส่ก็ปาน

          ทิโกวขมวดคิ้วถาม

          “มีเรื่องใดน่าแตกตื่นตกใจปานนี้? หรือท่านไม่เคยสัมผัสตัวบุรุษมา?”

          ซิมโกวมีสีหน้าแตกตื่นปานพบภูตผี ร้องเสียงสะท้าน

          “แต่มันกลับเป็นสตรี!

          ทิโกวโพล่งด้วยความตื่นเต้น

          “สตรี? ท่านว่าเอี๊ยบไคผู้นี้เป็นสตรี?”

          “เป็นสตรีที่จริงแท้แน่นอน ทรวงอกคล้ายยังโตใหญ่กว่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเสียอีก!

          ทิโกวตาลุกวาว แค่นหัวร่อกล่าว

          “เต็งฮุ้นลิ้มเป็นบุรุษ เอี๊ยบไคกลับเป็นสตรี เรื่องนี้เป็นที่สนุกสนานยิ่งจริงๆ”

          ทิดกวกระชากเสียง

          “มิว่ามันเป็นบุรุษหรือสตรี ตัดมือทั้งสองของมันออกก่อนค่อยว่ากล่าว”

          ซิมโกวชิงมีดจากมือเอี้ยเทียนมา ฟันฉับลงไป!

          มีดเล่มนนี้ประกายแวววาววูบวาบ แสดงว่าคมอย่างยิ่ง จะฟันมือของคนออกมา นับว่ายังง่ายดายกว่าตัดเต้าหู้เสียอีก

          มิคาด ขณะเวลานั้นเอง เอี๊ยบไคที่ความจริงแน่นิ่งไม่อาจเคลื่อนไหว พลันพลิกตัวเตะเข้าใส่ท้องน้อยซิมโกวฉาดหนึ่ง!

          ซิมโกวตระหนกยิ่ง รีบถอยหลังไป พอดีถอยไปที่เบื้องหน้าเอี้ยเทียน

          เอี้ยเทียนรอคอยนางอยู่ก่อนแล้ว มือขวาจี้ปราดๆ เข้าใส่จุดสำคัญทางกลางหลังของนางถึงห้าแห่งดั่งประกายไฟ ส่วนมือซ้ายรวบเอวนางมารัดไว้

          สีหน้าทิโกวเปลี่ยนแปรไปทันที

          เอี้ยเทียนแค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านควรอย่างได้เคลื่อนไหวจึงประเสริฐสุด มิเช่นนั้นข้าพเจ้าสังหารธิดาสุดรักของท่านก่อนทันที”

          ทิโกวมิได้เคลื่อนไหว

          นางย่อมมิใช่เป็นคนเคลื่อนไหวโดยวู่วามหุนหันเด็ดขาด

          ตอนนั้นเอี๊ยบไคได้ผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นรอยยิ้มที่ทั้งงามทั้งหวาน

          ทิโกวอดมิได้ต้องถาม

          “ท่าน... เป็นสตรีจริงๆ?”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

          “เป็นสตรีที่จริงแท้แน่นอน”

          “ท่านมิใช่เอี๊ยบไค?”

          เอี๊ยบไคผู้นั้นแย้มยิ้มตอบ

          “เอี๊ยบไคเป็นบุรุษที่จริงแท้แน่นอน ข้าพเจ้าไหนเลยจะเป็นเอี๊ยบไคได้?”

          “แล้วท่านเป็นผู้ใด?”

          “เต็งฮุ้นลิ้ม!

          “ไฮ้ ท่านคือเต็งฮุ้นลิ้ม? !

          “ข้าพเจ้าคือเต็งฮุ้นลิ้มตัวจริง ที่ไม่แปลกปลอมเด็ดขาด”

          ทิโกวตะลึงลานไปแล้ว

          สีหน้าของนางตอนนี้ ดูไปคล้ายพลันถูกคนงับเข้าคำใหญ่ก็ปาน

          ส่วนเต็งฮุ้นลิ้มผู้นั้น ยังยืนแน่วนิ่งในที่เดิม

          เต็งฮุ้นลิ้มเดินเข้าไปแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านไม่คล้ายข้าพเจ้าสักน้อยนิดเลย ข้าพเจ้ามีเค้าที่สวยงามกว่าท่านมากนัก”

          ทั้งสองไม่คล้ายกันเลยสักน้อยนิดจริงๆ

          ทิโกวอดมิได้ต้องถาม

          “หากท่านเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม เอี๊ยบไคเล่า?”

          “เอี๊ยบไคมาอยู่นานแล้ว”

          “มันมานานแล้ว?”

          “มิเพียงมานานเท่านั้น ยังอยู่ที่เบื้องหน้าท่านตลอดมาอีกด้วย”

          “หรือมันคือเอี้ยเทียน?”

          เอี้ยเทียนแย้มยิ้มตอบ

          “เอี้ยเทียนก็คือเอี้ยเทียน มิใช่เอี๊ยบไค”

          ทิโกวแทบคลุ้มคลั่งไปแล้ว อดมิได้ต้องแผดสุดเสียง

          “เอี๊ยบไคเป็นผู้ใดกันแน่!

          มีคนผู้หนึ่งส่งเสียงอ้อยอิ่ง

          “ข้าพเจ้าเอง”

          “ผู้ใดเป็นเอี๊ยบไคกันแน่?”

          “ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คือเอี๊ยบไค”

          เป็นเสียงเปล่งออกจากปากเต็งลิ้ง สีหน้าที่เคลิบเคลิ้มซึมเซาปลาสนาการหมดสิ้นแล้ว ดวงตาก็ไม่เหม่อค้างจนเซื่องซึมอีก

          ในทันใด มันได้กลับกลายไปเป็นอีกผู้หนึ่งโดยสิ้นเชิง!

          ทิโกวจับตามอง กระทั่งยังไม่มีสีหน้าแตกตื่นสงสัย ไม่มีความรู้สึกอย่างไรโดยสิ้นเชิง

          ตลอดร่างนางแข็งกระด้างปานท่อนไม้ นางเองก็รู้สึก ตัวของนางคล้ายเป็นไม้ท่อนหนึ่ง

          ในชั่วชีวิตนาง ยังมิเคยแตกตื่นถึงปานนี้มาก่อนเลย

          เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่อคิกคิก ล้วงผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดออกจากอกเสื้อ โดยให้เอี๊ยบไคแล้วกล่าว

          “รีบเช็ดชาด เช็ดลิ้นจี่ออกจากหน้าให้หมดสิ้น มิต้องให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วสะอิดสะเอียน”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

          “ท่านสะอิดสะเอียน แต่พาลมีคนมาหลายที่เห็นข้าพเจ้าสวยสะคราญยิ่ง”

          “สวยอุบาทว์ใด?”

          “หากไม่สวยงาม ไหนเลยมีคนเห็นว่าข้าพเจ้าคล้ายเต็งฮุ้นลิ้ม”

          เต็งฮุ้นลิ้มเชิดหน้ายืดอกกล่าว

          “เยี่ยงข้าพเจ้ามีที่ใดไม่ประเสริฐ?”

          “ก็ไม่มีที่ใดมิประเสริฐ เพียงแต่ทรวงอกตั้งสูงเกินไปบ้าง ดังนั้นจึงถูกผู้คนสังเกตพิรุธออก”

          ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแดงฉานด้วยความกระดาก

          พลันยื่นมือไปแก้อกเสื้อซิมโกว

          ซิมโกวที่ก้มศีรษะอยู่ตลอดมา คล้ายดั่งร่อแร่ปางตาย แต่ตอนนี้อดมิได้ต้องร้องสุดเสียง

          “ท่านคิดจะทำกระไร?”

          เต็งฮุ้นลิ้มกล่าว

          “ก็ไม่คิดทำกระไร เพียงแต่เมื่อครู่ท่านค้นตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอนนี้ก็ต้องค้นตัวท่าน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบเสมอมา”

          เอี้ยเทียนโพล่งขึ้น

          “จะค้นก็ควรเป็นเวรข้าพเจ้าค้น”

          เต็งฮุ้นลิ้มย้อน

          “แต่นางเป็นสตรี?”

          เอี้ยเทียนแย้มยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้าไฉนไม่อาจค้นตัวสตรี ข้าพเจ้าพอใจค้นตัวสตรีเสมอมา โดยเฉพาะสตรีที่สวยงาม”

          เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่อสุดเสียง เอี้ยเทียนก็หัวร่อดังก้อง

          พวกมันมีคุณสมบัติหัวร่อ เนื่องเพราะเรื่องที่พวกมันกระทำในครานี้ นับว่ายอดเยี่ยมสุดสูง เลอเลิศไม่อาจหยังคำนวณจริงๆ

          แต่ทิโกวดูไปคล้ายดั่งกระทั่งร่ำไห้ก็ยังไม่มีเสียง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันเดินเข้าไป ชิงตุ๊กตาจากมือนางมาพลางร้อง

          “ป๋อป้อน่ารัก ป๋อป้อว่าง่าย ม่าม้าไม่ให้คนเลวทรามชิงเจ้าไปอีกแล้ว”

          ตุ๊กตาจึงเป็นที่นางกังวลสนใจที่สุด มิว่าผู้อื่นเกิดเหตุเภทภัยใด นางต่างไม่แยแสสนใจ และไม่เกี่ยวข้องด้วย

          บรรดาทารกไยมิใช่มักเข้าใจ วิมานในฝันของตัวเองเป็นความจริง แต่วิมานในฝันของทิโกว กลับพังทลายไปแล้ว

          นางความจริงเข้าใจ ผู้คนทั้งหลายต่างตกลงไปในหลุมอุบายของนาง จนบัดนี้นางจึงทราบ ที่แท้ตัวนางตกอยู่ในวงจรอุบายของเอี๊ยบไคอยู่ก่อนแล้ว แสดงบทบาทอยู่ในหล่มอุบายนี้ตลอดมา... วิมานในฝันของนาง ไยมิใช่คล้ายตุ๊กตาในมือสตรีปัญญาอ่อน?

          นางเหม่อมองเอี๊ยบไค อดมิได้ต้องถอนใจยาวกล่าวขึ้น

          “ข้าพเจ้าตอนนี้เชื่อถือแล้ว”

          เอี๊ยบไคถาม

          “เชื่อถือกระไร?”

          ทิโกวฝืนยิ้มตอบ

          “เชื่อถือท่านคือคนที่ตอแยยากที่สุดในแผ่นดิน คนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในบู๊ลิ้ม”

          เอี๊ยบไคถอนใจฝืนยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้ายอมรับ ข้าพเจ้าไม่อาจนับเป็นวิญญูชนได้จริงๆ”

          “ยอมรับตัวเองมิใช่วิญญูชน ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “ยิมยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ ยิ่งมิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “ท่านทราบอยู่ก่อนแล้วว่า พวกเราจะมารอท่านในที่นี้?”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ทิโกวกล่าวต่อ

          “จากนั้น ท่านจึงใช้คราบของเต็งลิ้งมาปรากฏตัว จงใจให้ข้าพเจ้าจับท่านไว้?”

          “ข้าพเจ้าความจริงก็คือเต็งลิ้ง”

          “ท่านเป็นเอี๊ยบไคหรือเป็นเต็งลิ้งกันแน่?”

          “เอี๊ยบไคก็คือเต็งลิ้ง”

          ทิโกวยิ่งไม่เข้าใจ เอี๊ยบไคจึงอธิบาย

          “เต็งลิ้งเป็นเพียงนามหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยใช้ออกคลุกคลีในวงพวกนักเลงยุคต้น”

          ในที่สุดทิโกวก็เข้าใจได้ นางฝืนยิ้มกล่าว

          “ท่านเคยใช้นามมาเท่าใดกันแน่?”

          “ไม่มาก”

          “นามที่ท่านเคยใช้ ล้วนแล้วมีชื่อเสียงเกรียงไกร?”

          “โชคของข้าพเจ้าไม่เลวอยู่เสมอมา”

          ทิโกวถอนใจกล่าว

          “ดูท่า ข้าพเจ้าไม่สมควรเลือกคนเช่นท่านมาเป็นคู่มือเลยจริงๆ”

          เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มกล่าวบ้าง

          “ท่านเลือกผิดแล้ว แต่ข้าพเจ้ามิได้เลือกผิด”

          นางหันไปมองเอี๊ยบไค ดวงตาคู่งามเต็มตื้นไปด้วยประกายรักและเคารพเทิดทูน

          ทิโกวกล่าวต่อ

          “หรือท่านความจริงมิเคยทุ่มเถียงจนแตกหักกับมันมาเลย?”

          เต็งฮุ้นลิ้มตอบ

          “ผู้ใดว่าข้าพเจ้ามิเคย ข้าพเจ้ามิทราบทุ่มเถียงจนแตกหักกับมันมามากเท่าใดครั้งแล้ว”

          นางหน้าแดงระเรื่อด้วยความกระดาก แย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “แต่ทว่า หลังจากเราทุ่มเถียงจนแตกหักแล้ว ไม่เกินสามวัน ข้าพเจ้าถึงกับยอมกลับไปหามันอีก”

          ทิโกวถอนใจ

          “ความจริงข้าพเจ้าสมควรได้คิดแต่แรกจึงถูก”

          “คิดกระไร?”

          “บุรุษเช่นดั่งมันมีไม่มากเลย หากข้าพเจ้าเป็นท่าน ข้าพเจ้าก็ต้องมิยอมไม่แยแสมันจริงๆ”

          เต็งฮุ้นลิ้มสวนคำ

          “ดังนั้น ข้าพเจ้าต้องดูแลมันให้ดี มิยอมให้ผู้อื่นไปแทะเล็มมัน ช่วงชิงมันไปจากข้าพเจ้า”

          เสียงหัวร่อของนาง ฟังแล้วคล้ายเป็นเสียงของจิ้งจอกอยู่บ้างเล็กน้อย

          ทิโกวถอนใจอีกครากล่าว

          “มิว่าอย่างไร ข้าพเจ้าคาดฝันไม่ถึงเด็ดขาด ท่านจะปลอมตัวเป็นเอี๊ยบไคได้”

          “มาตรว่าเอี๊ยบไคไม่อยู่ ย่อมต้องมีคนคุ้มครองเซี่ยวเซียนนี้สักผู้หนึ่ง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้คุ้มครองนาง ไยมิใช่ปลอดภัยที่สุด?”

          “ใช่ นับว่าไม่มีผู้ใดปลอดภัยกว่าท่านจริงๆ... ให้ท่านเป็นผู้ดูแลนาง มิเพียงผู้อื่นแตะต้องนางไม่ได้เท่านั้น เอี๊ยบไคเองก็แตะต้องไม่ได้ด้วย”

          “แต่เอี๊ยบไคไม่เคยมีความคิดอกุศลต่อนางมากเลย”

          “ท่านคล้ายดั่งมั่นใจอย่างยิ่ง?”

          “ใช้ ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งเสมอมา ดังนั้นมิว่าผู้ใดก็อย่าหมายยุแหย่ให้เราสองกินใจกันได้”

          ทิโกวมีแต่ต้องฝืนหัวร่อ หันไปถามเอี๊ยบไค

          “ข้าพเจ้าก็นึกไม่ถึง วิชาคร่าวิญญาณของข้าพเจ้า ถึงกับไม่มีอำนาจต่อท่านเลยสักน้อยนิด”

          “มีอำนาจไม่มากจริงๆ”

          “ความจริงข้าพเจ้าควรได้คิดแต่แรกจึงถูกต้อง”

          “ได้คิดกระไร?”

          “ฟังว่ามารดาท่านเมื่อกาลก่อน ก็เป็นคนในนิกายเรา แต่เพราะบุรุษแซ่แป๊ะคนหนึ่ง นางจึงทรยศไปจากนิกาย ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น”

          ดวงตาเอี๊ยบไคมีประกายเจ็บช้ำขึ้นวูบ แสดงว่าไม่ปรารถนาได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก

          ทิโกวจึงพาลกล่าวต่อไป

          “ในม้อก้า มีสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ สี่กงจู๊ยิ่งใหญ่ มารดาท่านเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่ง ดังนั้นท่านสมควรเรียกข้าพเจ้าเป็นโกวโกว (อาหญิง) จึงถูก”

          เอี๊ยบไคหน้าเครียดลงกว่าเดิม กล่าวเสียงกระด้าง

          “ท่านกลับต้องการฆ่าข้าพเจ้า นี่ย่อมเป็นสาเหตุหนึ่งในการนี้?”

          ทิโกวก็ปั้นหน้าเครียดเช่นกัน กล่าวเสียงกระด้าง

          “ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ ศิษย์ทรยศของนิกาย ไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดจากกฎที่ตามไปลงโทษ”

          “อ้อ?”

          “มิเพียงตัวนางต้องรับโทษทัณฑ์ของนิกายเท่านั้น ทายาทรุ่นหลังของนางก็เป็นเช่นกัน”

          “ข้าพเจ้าเพียงหวังให้ท่าน ก็สามารถเข้าใจความเรื่องหนึ่ง”

          “ท่านบอกมา”

          “มารดาข้าพเจ้า มิใช่คนของม้อก้าท่านมานานแล้ว และมิได้มีความสัมพันธ์กับพวกท่านแม้สักน้อยนิดด้วย”

          “เฮอะ มิว่าผู้ใด เพียงเข้านิกายเราสักวัน ก็ต้องเป็นคนของนิกายไปชั่วชีวิต ความสัมพันธ์นี้ไม่มีทางสะบั้นได้ตลอดกาลนาน”

          “ในเมื่อท่านเป็นคนชาญฉลาด ท่านตอนนี้ไม่สมควรกล่าววาจานี้เลย”

          “เพราะเหตุใด?”

          “ท่านตอนนี้คล้ายดั่งมีแต่รอคอยให้พวกเราจัดการท่านเท่านั้น”

          “ที่ข้าพเจ้ากล่าววาจาเหล่านั้น เพียงเพื่อต้องการให้ท่านเข้าใจ ในโลหิตของท่านก็มีโลหิตของพวกเรา ขอเพียงท่านยินยอมกลับมา พวกเรายินดีต้อนรับท่านทุกเวลา”

          “ข้าพเจ้าจำได้แล้ว”

          เต็งฮุ้นลิ้มโพล่งขึ้น

          “แต่มันต้องไม่กลับไปแน่นอน”

          ทิโกวกล่าว

          “อย่างนั้นท่านทั้งสองต่างต้องสำนึกเสียใจภายหลัง”

          เอี๊ยบไคร้องอ้อเป็นเชิงถาม

          ทิโกวจึงกล่าว

          “ครั้งนี้ นิกายเราได้ขึ้นทำพิธีที่ยอดเข้าเทพเจ้า ประกาศตั้งนิกายอีกครั้ง ในสามประการ ที่สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่กับสี่กงจู๊ตกลงกัน มีประการหนึ่งคือ จัดการลงโทษศิษย์ทรยศ”

          “ดังนั้น ท่านจึงต้องการให้ข้าพเจ้าระวังตัว?”

          ทิโกวแค่นเสียงเย็นชา

          “ห้าสิบปีที่ผ่าน นิกายเรามีศิษย์ทรยศเพียงห้าคน บัดนี้ตายไปสี่คนแล้ว”

          “บวกกับข้าพเจ้าเป็นห้าคน?”

          “ใช่”

          “แต่เสียดายที่ข้าพเจ้าคล้ายมิใช่คนตายโดยง่ายดาย”

          “ท่านหนีพ้นครั้งแรก ไม่แน่จะสามารถหนีพ้นครั้งที่สอง แม้นับว่าหนีครั้งที่สองพ้น ยังมีครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ขอเพียงท่านไม่ตาย ท่านก็ต้องระวังตัวทุกลมหายใจ ดังนั้นแม้นับว่าท่านมีชีวิต ก็อย่าหมายได้ผ่านวันเวลาสุขสงบเลยแม้สักอึดใจ”

          “ข้าพเจ้าทราบแล้ว”

          “ท่านไม่วิตก?”

          “ข้าพเจ้าวิตกยิ่ง และหวาดกลัวยิ่ง”

          “อย่างนั้นท่านตอนนี้ก็ควรปล่อยให้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนตามข้าพเจ้ากลับไป ใช้ความดีความชอบนี้ลบล้างความผิด”

          เอี๊ยบไคหัวร่อเบาๆ ทิโกวจึงถาม

          “วาจาที่ข้าพเจ้ากล่าว ไม่น่าหัวร่อแต่อย่างไร”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้ากลัวถูกสุนัขกัดอย่างยิ่ง หรือข้าพเจ้าก็ควรกินอุจจาระเช่นเดียวกับสุนัข?”

          เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่อคิกคัก หัวร่อจนตัวงอ

          แต่สีหน้าทิโกวกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ

          เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

          “ข้าพเจ้าทราบแต่แรกแล้วว่า พวกท่านจะมาจัดการข้าพเจ้า แต่ที่ข้าพเจ้าทำดั่งนี้ กลับมิใช่เพราะต้องการตอบโต้กับพวกท่าน”

          “อ้อ?”

          “หากเพราะต้องการรับมือพวกท่าน ข้าพเจ้าความจริงไม่จำเป็นต้องเปลืองเรื่องราวมากปานนี้”

          ทิโกวแค่นหัวร่อสวนคำ

          “ท่านย่อมทราบ อุ้ยเทียนพ้งกับเฮ็กแป๊ะก็มาเพื่อจัดการท่าน ดังนั้นท่านจึงแสร้งให้พวกเราได้ผลก่อน เพื่อให้พวกมันมาปะทะกับพวกเรา รอพวกเราสังหารกันจนย่อยยับก่อน ท่านจึงฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “หากเพราะต้องการรับมืออุ้ยเทียนพ้งและเฮ็กแป๊ะ ข้าพเจ้ายิ่งไม่ต้องเปลืองเรื่องราวมากปานนี้”

          เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มกล่าวบ้าง

          “ต้องการให้มันยินยอมปลอมเป็นสตรี นับว่ามิใช่เรื่องง่ายดายจริงๆ”

          ทิโกวอดมิได้ต้องถาม

          “ที่ท่านทำดั่งนี้ เพราะต้องการรับมือกับผู้ใดกันแน่?”

          “เป็นอีกผู้หนึ่ง คนผู้นั้นยังมีความน่ากลัวยิ่งกว่าพวกท่านทั้งหลายรวมกันเสียอีก”

          ทิโกวแค่นหัวร่อ นางไม่เชื่อ เอี๊ยบไคจึงกล่าวต่อ

          “ที่พวกเรามาที่นี้ ความจริงพวกท่านไม่ทราบเลย”

          ประการนี้ ทิโกวกลับมิอาจไม่ยอมรับ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

          “แต่คนผู้นั้นกลับทราบ ดังนั้นมันจึงแสร้งแพร่งพรายความลับนี้ไป ให้พวกท่านมาหาข้าพเจ้าในที่นี้”

          ทิโกวกล่าว

          “มันก็มีความคิดให้พวกเราปะทะกับพวกท่านก่อน มันจะได้ฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์”

          “ถูกแล้ว”

          ทิโกวมีทีท่าถูกเอี๊ยบไคว่ากล้าวจนเห็นพ้องด้วยแล้ว นางครุ่นคิดพลางส่งเสียง

          “เมื่อหลายเดือนก่อน พวกเราเคยได้รับจดหมายไม่มีชื่อ (บัตรสนเท่ห์) ฉบับหนึ่งจริงๆ ในจดหมายบอก เป็นความลับระหว่างท่านกับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจริงๆ หากมิใช่เพราะจดหมายฉบับนั้น พวกเราไม่มีการมาประสงค์ร้ายต่อท่านในที่นี้เลย”

          “ที่พวกท่านได้รับจดหมายพิกลเยี่ยงนั้น หรือไม่รู้สึกประหลาดใจสักน้อยนิด?”

          “เนื่องเพราะในจดหมายมันบอก มันเป็นศัตรูของท่าน ที่เขียนจดหมายให้พวกเรา เพียงเพราะต้องการอาศัยมือพวกเรากำจัดท่าน ล้างแค้นแทนมันเท่านั้น”

          “นี่กลับมิอาจนับว่าไม่สมเหตุสมผลได้”

          “ผ่านการสืบเสาะยืนยันของพวกเราแล้ว พบเรื่องที่มันบอกมิใช่โป้ปด ดังนั้นพวกเราจึงตกลงใจมาลงมือ”

          “เฮ็กแป๊ะ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย กับเตียงจูเซี้ยจู๊ คิดว่าคงเนื่องเพราะได้รับจดหมายเช่นเดียวกันฉบับหนึ่ง ดังนั้นจึงพากันมาลงมือ”

          “คนที่มาหาเรื่องรังควานท่าน ยิ่งมากย่อมยิ่งประเสริฐ”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะรับ

          “นับว่าท่านคิดออกแล้ว?”

          “ท่านทราบหรือไม่? เป็นจดหมายผู้ใดเขียน?”

          “กระทั่งข้าพเจ้าเดายังเดาไม่ออก”

          “ร่องรอยของพวกท่าน มันล้วนทราบกระจ่างดั่งนิ้วในฝ่ามือ แต่พวกท่านกระทั่งมันเป็นผู้ใดก็ยังไม่ทราบ?”

          “เนื่องเพราะเช่นนี้เอง ข้าพเจ้าจึงรู้สึกมันน่ากลัวยิ่ง”

          ทิโกวถอนใจเฮือกใหญ่ กล่าวเสียงอ้อยอิ่ง

          “เช่นนี้เป็นว่า ท่านก็มีความปรารถนาใคร่ได้เห็นมันอย่างยิ่งแล้ว”

          “ข้าพเจ้าความจริงคำนวณแน่ใจ หลังจากพวกท่านประสบผลสำเร็จ มันจะต้องปรากฏตัวมาทันที”

          “ดังนั้น ท่านจึงรอคอยอยู่เสมอมา?”

          “ข้าพเจ้าก็มีความปรารถนาใคร่ได้เห็นมันอย่างยิ่ง”

          “เสียดายที่พวกเราถึงกับไปเปิดเผยความลับท่านโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นท่านจึงไม่อาจรอคอยต่อไป

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ความจริงท่านควรปล่อยให้ข้าพเจ้าได้รออีกสักระยะหนึ่ง”

          “ท่านแน่ใจ มันตอนนี้ไม่มาแล้ว?”

          เอี๊ยบไคถอนใจอีกครั้งจึงกล่าว

          “มันคล้ายไม่ยินยอมเผชิญหน้ากับข้าพเจ้า มิเช่นนั้นไยต้องรอจนถึงบัดนี้?”

          “ดังนั้นแม้ตอนนี้ท่านจะรอคอยต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใด?”

          เอี๊ยบไคยอมรับ ทิโกวหัวร่อกล่าว

          “อย่างนั้น ท่านไฉนตอนนี้ยังไม่ไป?”

          “จะเร็วจะช้าย่อมต้องไปแน่”

          “ท่านควรรีบไปจึงประเสริฐ”

          “อ้อ?”

          “พาสตรีสองนางของท่านไปด้วย ข้าพเจ้าประกัน นับแต่นี้ไม่ไปหาพวกท่านอีกเป็นอันขาด”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “หรือท่านจะให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยงนี้เอง?”

          “เฮอะเฮอะ ท่านไม่ไปก็จะทำอย่างไรได้ หรือยังสามารถฆ่าข้าพเจ้า?”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มถาม

          “คนของม้อก้าต่างไม่อาจฆ่าได้จริงหรือไร?”

          ทิโกวแค่นเสียงเย็นชา

          “หากท่านจะตั้งตัวเป็นศัตรูนิกายเราให้ได้ ข้าพเจ้าก็ไม่หวั่นวิตก เพียงแต่ว่าข้าพเจ้าก็ประกัน มิว่าผู้ใดเป็นศัตรูกับนิกายเรา ต่างไม่มีคุณประโยชน์ใดเด็ดขาด”

          เอี๊ยบไคถอนใจอีกครั้ง

          “นี่กลับเป็นความจริง”

          “หากท่านฆ่าผู้ใดในนิกายเรา ข้าพเจ้าประกัน นับแต่นี้พวกท่านต้องสำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต”

          “หากปล่อยท่านไป?”

          “ข้าพเจ้าเมื่อครู่รับปากแล้ว นับแต่นี้มิว่าพวกท่านไปที่ใด คนของนิกายเราต่างไม่ไปหาท่านอีกเป็นอันขาด”

          เอี๊ยบไคครุ่นคิดพลางกล่าว

          “เงื่อนไขนี้คล้ายดั่งไม่เลวนัก”

          “ดังนั้น ท่านสมควรไตร่ตรองให้สุขุมรอบคอบ”

          “แต่ท่านเมื่อครู่ยังต้องการให้พวกเราตามท่านกลับไป”

          “ตอนนี้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดแล้ว?”

          “ในเมื่อความคิดของท่านเปลี่ยนได้ทุกเวลา ข้าพเจ้าไหนเลยเชื่อถือวาจาท่านได้?”

          “ท่านจำต้องเชื่อ”

          เอี๊ยบไคหัวร่ออีก ทิโกวกล่าวต่อ

          “ข้าพเจ้ายังต้องเตือนสติท่าน กระทั่งลี้คิมฮวง (เซี่ยวลี้ถ้ำฮวย... เซี่ยวลี้ปวยตอ) ก็ยังไม่ยินยอมเป็นศัตรูกับนิกายเรา อย่าว่าแต่ท่าน”

          นางหยุดแค่นหัวร่อแล้วกล่าวต่อ

          “อย่าลืมว่าท่านยังพาทารกวัยหกเจ็ดขวบติดตามอีกผู้หนึ่ง นับว่าท่านดูและตัวเองได้ แต่หากนางบังเอิญเกิดเรื่องผิดคาดหมายอย่างไร ท่านต้องไม่อาจว่ากล้าวแก้ตัวกับอาฮุยได้”

          เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องเหลือบมองเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแวบหนึ่ง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกำลังตบหัวตุ๊กตาในอ้อมแขนเบาๆ เงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มให้เอี๊ยบไคแล้วกล่าว

          “ป๋อป้อหลับแล้ว เมื่อครู่ท่านช่วยมันไว้ ตอนนี้เราพอจะให้ท่านอุ้มมันสักครู่ ท่านมิได้อุ้มมันมานานแล้ว”

          เอี๊ยบไคเบิ่งตากล่าว

          “มันจะปัสสาวะใส่ตัวข้าพเจ้าหรือไม่?”

          “ป๋อป้อไม่เป็นดอก ป๋อป้อทั้งว่าง่าย ทั้งน่ารัก”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวแล้ว เดินแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสาเข้ามา ยัดตุ๊กตาให้แก่เอี๊ยบไค

          เอี๊ยบไคจำต้องรับไว้ ฝืนยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าเพียงอุ้มชั่วขณะก็พอ ข้าพเจ้าเป็นคนรู้จักพอง่ายดายยิ่ง”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคว้ามือเต็งฮุ้นลิ้มขึ้นแล้ว แย้มยิ้มกล่าว

          “รอมันอุ้มแล้ว ท่านก็อุ้มได้สักครู่”

          เต็งฮุ้นลิ้มรีบสั่นศีรษะแย้มยิ้มปฏิเสธ

          “ข้าพเจ้าเมื่อวานอุ้มมาแล้ว เรื่องที่เบิกบานใจเยี่ยงนี้ไม่อาจกระทำทุกวัน ดุจดั่งรับทานขนมหวาน หากรับทานทุกวัน...”

          เสียงนางพลันชะงักลงกลางคัน ใบหน้าแประเปลี่ยนไปจากเดิม เบิ่งตามองเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนด้วยความแตกตื่น พลางร้องสุดเสียง

          “ท่าน...”

          เพิ่งเปล่งได้คำเดียว ร่างนางทรุดฮวบลงกับพื้น!

          ขณะเวลานั้นเอง ในท้องตุ๊กตามีเสียงตูมเบาๆ สีหน้าเอี๊ยบไคก็แปรเปลี่ยนไปพลันงอตัวลง คล้ายดั่งถูกคนต่อยเข้าใส่ท้องน้อยสุดแรงหมัดหนึ่งก็ปาน!

          มือของเอี๊ยบไคคลายออก ตุ๊กตาจึงร่วงหล่นลงกับพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

          มีวัตถุแวววาวชิ้นหนึ่งกลิ้งออกมาจากท้องตุ๊กตาที่แตกกระจาย ถึงกับเป็นกระบอกเหล็กที่มี่ขดลวดภายในอันประณีตสวยงาม เอี๊ยบไคกดท้องทั้งสองมือ เจ็บปวดจนเหงื่อหลั่งไหลเป็นทาง คิดจะส่งเสียง แต่ไม่อาจกล่าวได้เลยสักครึ่งคำ

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเชิดปากน้อยๆ ของนางกล่าว

          “ท่านดู ท่านทิ้งป๋อป้อข้าพเจ้าจนแตกกระจาย มิน่าเล่าท้องท่านจึงต้องเจ็บปวด”

          เอี๊ยบไคจ้องมองดูนาง ในดวงตามีประกายแตกตื่นและหวาดกลัวสุดขีดพลันคำรามสุดเสียง

          “ท่าน....”

          เสียงพอดัง ร่างก็ล้มฮวบลง

          ใบหน้าทิโกวแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน เหตุการณ์เปลี่ยนแปรนี้ กระทั่งนางยังต้องตระหนกจนสะดุ้งเฮือกใหญ่

          มีแต่เอี้ยเทียนเท่านั้นกลับยังแย้มยิ้มอยู่ มือยังคงโอบเอวซิมโกวไว้

          ทิโกวเหลือบมองมันแวบหนึ่งแล้ว จึงเบือนไปมองเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนด้วยความแตกตื่นตระหนก

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สะคราญปานบุปผาแย้มบาน สีหน้าเคลิบเคลิ้มซึมเซาปลาสนาการไปหมดสิ้นแล้ว

          ทิโกวอดมิได้ต้องถอนใจยาว ฝืนยิ้มกล่าว

          “ท่านเอง ที่แท้ท่านเอง!

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มถาม

          “กระทั่งท่านยังนึกไม่ถึง?”

          “ข้าพเจ้ากระทั่งฝันก็ยังฝันไม่ถึง”

          “ท่านก็นับถือข้าพเจ้า!

          “ดูท่าข้าพเจ้าคิดจะไม่นับถือก็ยากยิ่ง”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปรบมือกล่าว

          “นึกมิถึงว่ายังมีคนนับถือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเบิกบานใจแทบตายแล้ว”

          “เอี๊ยบไคจะต้องยิ่งนับถือท่านมากกว่า”

          “อ้อ?”

          “ที่มันตั้งอกตั้งใจคุ้มครองคือท่าน นึกมิถึงว่าท่านความจริงไม่ต้องให้มันมาคุ้มครองเลย มันที่ตั้งอกตั้งใจจะเสาะหาผู้วางแผนประทุษร้ายท่านมาให้ได้ นึกไม่ถึงคนผู้นั้นจะเป็นตัวท่านเอง”

          หยุดถอนหายใจอีกครา จึงกล่าวต่อ

          “เอี๊ยบไคเอยเอี๊ยบไค ท่านเข้าใจตัวเองว่าชาญฉลาดสุดยอด เข้าใจว่าตัวเองเยี่ยมจนหาผู้ทัดเทียมมิได้ ความจริงท่านยังไม่อาจเปรียบกระทั่งปลายนิ้วก้อยของผู้อื่นเลย”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “หรือท่านลืมข้าพเจ้าเป็นบุตรผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้าสมควรได้คิดแต่แรกจริงๆ”

          “บุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้งกับลิ่มเซียนยี้ ไหนเลยจะเป็นคนปัญญาอ่อนได้?”

-----------------------------

          ม่านสนธยาคลี่คลุมลงมาแล้ว แสงโคมสลัวลงกว่าเดิม

          แต่ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งสุกใส ตอนนี้มิว่าเป็นผู้ใดต่างดูออก นางต้องมิใช่เป็นคนปัญญาอ่อนเด็ดขาด

          ทิโกวกล่าว

          “ดูกระทั่งอาฮุย ยังถูกท่านตบตาจนหลงเชื่อ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

          “บุรุษถูกธรรมชาติบันดาลให้ต้องหลงกลสตรีอยู่แล้ว”

          “พวกมันต่างเข้าใจ ท่านเป็นคนโง่เขลาปัญญาอ่อน กลับมิทราบ ที่โง่เขลาปัญญาอ่อนมิใช่ท่าน ในสายตาของท่าน พวกมันจึงเป็นคนโง่เขลาปัญญาอ่อนที่แท้จริง”

          “บุรุษที่ไม่โง่เขลามีอยู่ไม่มาก”

          “เอี้ยเทียนมิใช่?”

          “มันย่อมมิใช่”

          “มีแต่มันทราบความลับของท่านเพียงผู้เดียว?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนชายตามองเอี้ยเทียนแวบหนึ่ง แย้มยิ้มตอบ

          “สตรีแต่ละนาง อย่างน้อยต้องหาบุรุษที่มีคุณสมบัติให้นางพึ่งพาสักผู้หนึ่ง มิเช่นนั้น นางไยมิใช่เงียบเหงาว้าเหว่เกินไป”

          ทิโกวแค่นหัวร่อกล่าว

          “ดูท่าท่านมิได้หาคนผิด บุรุษเช่นมัน มีไม่มากเลยจริงๆ”

          รอยยิ้มเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งหยาดเยิ้มกว่าเดิม

          “สายตาข้าพเจ้าไม่เลวมาแต่ไหนแต่ไร”

          “จดหมายฉบับนั้น เป็นท่านเขียนหรือมันเขียน?”

          “ย่อมเป็นมัน ลายมือของมันงามกว่าข้าพเจ้ามากนัก”

          “ท่านต้องการให้พวกเรามาที่นี้ เสี่ยงชีวิตกับเอี๊ยบไคแทนท่าน รอจนพวกเราพ่ายแพ้จนย่อยยับทั้งสองฝ่าย ท่านจึงจะได้ผลประโยชน์โดยมิต้องลงแรง?”

          “ข้าพเจ้ารู้สึก โลกนี้เบียดเสียดเกินไป ตายสักหลายคนก็มิเห็นเป็นไร”

          “โอ... แผนนี้ของท่าน นับว่าแนบเนียนจนไม่มีจุดอ่อน เลอเลิศพิสดาร จนไม่มีภูตผีเทพยดาหยั่งคำนวณจริงๆ มิน่าเล่า กระทั่งเอี๊ยบไคยังหลงกล”

          “ต้องการให้มันหลงกล มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายจริงๆ”

          ทิโกวแค่นหัวร่อกล่าว

          “แต่เสียดาย ที่ท่านยังกระทำเรื่องผิดไปรายหนึ่ง”

          “เรื่องอันใด?”

          “ท่านไม่สมควรพลอยลากพวกเราเข้ามาในปลักน้ำนี้ด้วย”

          “อ้อ?”

          “ข้าพเจ้าบอกแล้ว มิว่าผู้ใดตั้งตัวเป็นศัตรูกับนิกายเรา ต่างไม่มีผลประโยชน์ใดเด็ดขาด ท่านก็มิได้นอกเหนือจากนี้”

          “ผู้ใดว่าข้าพเจ้าจะเป็นศัตรูกับพวกท่าน? ข้าพเจ้าไม่เคยมีความคิดนี้เลย”

          “ไม่มีจริงๆ?”

          “ข้าพเจ้าย่อมไม่มี”

          “แต่ว่าท่าน...”

          “ท่านทราบหรือไม่? ก้าจู๊คนใหม่ของพวกท่าน ระหว่างนี้มีการนัดหมายลับๆ กับคนผู้หนึ่ง?”

          สีหน้าทิโกวเปลี่ยนแปรอีกครั้ง

          นางย่อมทราบ แต่นางกลับคิดไม่ถึง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไฉนทราบได้ เพราะมันเป็นความลับสุดยอดของนิกายนาง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “ท่านทราบหรือไม่ มีผู้นัดกับฮึงอ๊วงก้าจู๊พวกท่านคือผู้ใด?”

          ดวงตาทิโกวพลันสุกใสทันที ร้องโพล่งขึ้น

          “หรือคนผู้นั้นคือท่าน?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ความจริงท่านสมควรคิดได้แต่แรกแล้ว”

          “ข้าพเจ้ากระทั่งฝันก็ยังฝันไม่ถึง”

          “แต่ท่านอย่างน้อยสมควรทราบ ฮึงอ๊วงก้าจู๊ของพวกท่านเป็นคนปราดเปรื่องหลักแหลมจนร้ายกาจปานใด”

          ทิโกวยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อไป

          “หากมิใช่พวกเรามีการนัดหมายลับๆ กันอยู่ก่อน มันไหนเลยจะยอมระดมกำลังมาเพราะจดหมายลึกลับฉบับเดียว?”

          “หรือก้าจู๊ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า ผู้เขียนจดหมายนั้นคือท่าน?”

          “ความจริงเรื่องนี้ เป็นพวกเราปรึกษากันตกลงกันอยู่ก่อน มันไหนเลยไม่ทราบได้”

          ทิโกวหัวเราะแล้วกล่าว

          “เรื่องที่ท่านกระทำ คล้ายดั่งต่างไม่มีผู้ใดสามารถคาดฝันได้เลย”

          “หากข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนเช่นนี้ ฮึงอ๊วงก้าจู๊ของพวกท่านไหนเลยยอมลอบตกลงเป็นพวกพ้องกัน”

          ซิมโกวอดมิได้ต้องกล่าวขึ้นบ้าง

          “ในเมื่อพวกเราเป็นมิตรสหาย ท่านไฉนยังไม่ปล่อยข้าพเจ้า?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

          “ท่านดู ข้าพเจ้าถึงกับแทบลืมท่านไปแล้ว”

          ซิมโกวก็แย้มยิ้มกล่าว

          “ขอเพียงท่านตอนนี้ยังนึกได้ก็ประเสริฐ”

          “เอี้ยเทียน ท่านไฉนยังไม่ตบคลายจุดให้โกวเนี้ยท่านนี้?”

          เอี้ยเทียนรับคำทราบแล้ว ยกมือตบฉาดไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

          แต่ซิมโกวพลันแผดร้องเสียงโหยหวน โลหิตทะลักออกจากปากมาพร้อมกับเสียงร้อง ร่างสั่นสะท้านระทวยลง กระดูกสันหลังถึงกับถูกฝ่ามือนี้ฟาดหักออกจากกัน?

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขมวดคิ้วกล่าว

          “ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านตบคลายจุดนาง ผู้ใดให้ท่านใช้กำลังรุนแรงปานนี้?”

          เอี้ยเทียนตอบด้วยสีหน้าชาด้าน

          “ข้าพเจ้าไยมิใช่ตบคลายจุดแก่นางแล้ว?”

          “แต่นางกลับถูกท่านฟาดตายคามือ”

          “ข้าพเจ้าเพียงสนใจตบคลายจุดแก่นาง ตัวนางจะเป็นหรือตาย ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องสนใจ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “วาจานี้กลับมิใช่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง”

          ทิโกวพลันตีลังกาขึ้นอากาศ คิดจะโถมออกจากห้องไป

          แต่ทว่าทางออกของนางถูกเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขวางไว้ นางจึงขบกรามแนบแน่น ปล่อยมวยผมนางให้สยายลง พลิกข้อมือชักดาบออกมาเล่มหนึ่ง

          ประกายดาบวูบขึ้น ถึงกับมิใช่แทงใส่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน กลับแทงใส่ไหล่ของนางเอง!

          มิคาด ในแขนเสื้อเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน มีสายแพรพุ่งวาดออกไป รัดเข้าใส่ข้อมือทิโกวดั่งอสรพิษร้าย

          ทิโกวร้องเสียงเกรี้ยวกราด

          “ข้าพเจ้าคิดจะฆ่าตัวตายก็ไม่ได้?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

          “ท่านย่อมตายได้ แต่ข้าพเจ้ากลับไม่คิดจะตายกับมือท่าน”

          “ข้าพเจ้ามิได้ฆ่าท่าน”

          “ข้าพเจ้าทราบ ท่านเพียงแต่คิดจะใช้ ชิ่งตอฮ้วยห่วย (ดาบเทพเจ้าสลายโลหิต) ซึ่งเป็นหลักวิชาเลือดอสูรมาจัดการต่อข้าพเจ้าท่านั้น ตอนโลหิตท่านกระเซ็นออกมา ข้าพเจ้าเพียงถูกหยดเดียว กลับมิสู้ถูกท่านสังหารในดาบเดียวจะรวบรัดตัดความกว่า”

          “ท่านก็รู้จักหลักวิชาเลือดอสูร?”

          “ในสิบสุดยอดวิชาอสูรของนิกายท่าน ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักกลับมีอยู่ไม่มาก”

          ทิโกวพลันอ้าปาก คล้ายดั่งจะกัดลิ้นตัวเอง

          แต่คางของนางพลันถูกสายแพรตวัดม้วนไว้

          การลงมือของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ถึงกับคล้ายยังเร็วกว่าความคิดของนางเสียอีก

          ทิโกวเย็นเฉียบทั้งร่างแล้ว เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าบอกแล้ว สิบสุดยอดวิชาอสูรของพวกท่าน อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ไม่มีประโยชน์แม้สักน้อยนิด ข้าพเจ้ากระทั่งยังพอแสดงให้ท่านได้เห็นสักสองสามวิชา”

          นางพลันปล่อยคางทิโกวออกไป ชิงดาบงอเล่มนั้นมายัดเข้าไปในปากของนาง เคี้ยวดาบงอดั่งเคี้ยงต้นอ้อย กัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกลืนลงไป

          จากนั้น นางแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านดู นี่ก็คือหลักวิชากินเหล็กของนิกายท่าน ข้าพเจ้าไยมิใช่สามารถใช้เช่นกัน?”

          ดวงตาทิโกวถลนออกนอกเบ้าด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด ร้องเสียงสะท้าน

          “ท่าน... คิดจะทำอย่างไรกันแน่?...”

          “ตัวท่านสมควรทราบอยู่แล้ว ไฉนยังต้องถามข้าพเจ้า?”

          “ในเมื่อท่านเป็นพวกพ้อง ร่วมดำเนินงานกับฮึงอ๊วงก้าจู๊ ไฉนยังจะใช้ฝีมืออำมหิตต่อพวกเรา?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าร่วมมือกับมัน ดังนั้นมันจึงนึกไม่ถึง ข้าพเจ้าจะลงมืออำมหิตต่อพวกท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงฆ่าพวกท่านได้โดยวางใจอย่างยิ่ง ไม่ต้องกังวลจะถูกมันล่วงรู้”

          นางหยุดหัวร่อแล้วกล่าวต่อ

          “ท่านเองก็เคยบอก เรื่องของพวกเรา ผู้อื่นกระทั่งคาดฝันก็ยังไม่มีปัญญา”

          วาจานี้มิทันจบคำ นางพลันซัดดาบงอที่ถูกกินไปครึ่งเล่มเข้าใส่คอหอยทิโกวอย่างแม่นยำ

          ดวงตาทิโกวถลนออกนอกเบ้าทันที มิทันส่งเสียงสักครึ่งคำก็หงายตึงลงไป

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามองนางที่แน่นิ่งกับพื้นแล้ว ถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้ามิเคยรู้สึก ฆ่าคนก็เป็นเรื่องน่าสนุกสนานมาเลย ไฉนกลับมีคนมากหลาย พอใจฆ่าคนเสียได้”

          เอี้ยเทียนแย้มยิ้มกล่าว

          “เนื่องเพราะผู้คนในโลกนี้เบียดเสียดเกินไป”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ดูท่า ในโลกมีแต่ท่านเพียงคนเดียว ที่รู้ใจข้าพเจ้า”

          “ข้าพเจ้าความจริงเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง จิ้งจอกที่บินได้”

          “ฉายานี้ตั้งได้ไม่เลวจริงๆ”

          “นามของคนอาจจะตั้งผิดพลาดได้ แต่ฉายาไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด”

          “แต่ทว่าเฮียตี๋สองคนนั้นกลับมิใช่เตียงจู (ไข่มุก) อย่างมากที่สุด เป็นเพียงถั่วยี่สงเท่านั้น”

          เอี้ยเทียนหัวร่อเสียงก้อง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ใด?”

          “เมื่อครู่พวกมันต้องการให้ข้าพเจ้าพาพวกมันไปเพียวเฮียงอี้ ข้าพเจ้าจึงพาพวกมันเข้าโลงไป”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

          “เสียดายโลงทั้งสองใบนั้นยิ่ง”

          “จากนั้นข้าพเจ้าหักกระบี่พวกมัน ทิ้งอยู่บนพื้นหิมะนอกตึกเพียวเฮียงอี้ จงใจให้ฮั่นเจ็งเห็น ผู้อื่นจะได้เข้าใจผิดว่าพวกมันถูกเอี๊ยบไคทำลายไป”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านนับเป็นจิ้งจอกได้จริงๆ”

          “หากพวกมันไปเพียวเฮียงอี้จริง บีบบังคับให้เต็งฮุ้นลิ้มที่ปลอมตัวเป็นเอี๊ยบไคลงมือ ละครฉากนี้ไยมิใช่ถูกเปิดเผยความจริงออกมา?”

          “ท่านอย่าได้ดูแคลนเต็งโกวเนี้ยเป็นอันขาด พลังฝีมือของนางไม่เลวอย่างยิ่ง”

          เอี้ยเทียนแย้มยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้ามิเคยกล้าดูแคลนสตรีนางใดมาก่อนเลย”

          “ฮั่นเจ็งเล่า?”

          “คิดว่ามันยังคงยืนอยู่ในป่าเหมย รอซิมโกวไปช่วยเหลือมัน”

          “คิดว่ามันคงรอจนกระวนกระวายแทบตายแล้ว”

          “คนที่ยืนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในน้ำแข็งหิมะ เป็นรสชาติที่ไม่น่าทนทานจริงๆ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลอกตาไปมากล่าว

          “ท่านไฉนไม่ไปคลายความเจ็บช้ำของมัน?”

          “มิต้องให้ข้าพเจ้า ตัวมันย่อมรู้จักคลี่คลายให้มันเอง”

          “แต่ท่านไฉนไม่ไปให้มันลดทอนความทุกข์ทรมานเสียบ้าง คนเราบางครั้งคราวควรจะกระทำเรื่องดีงามสักรายสองรายอยู่”

          “ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าไป?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

          “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านไป ข้าพเจ้าพอใจคนที่มักกระทำเรื่องคุณธรรมความดี”

          เอี้ยเทียนถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าความจริงตั้งกฎให้แก่ตัวเอง แต่ละวันอย่างมากไม่อาจฆ่าเกินกว่าหนึ่งคน วันนี้ดูท่าทีกลับต้องละเมิดกฎแล้ว”

          เอี้ยเทียนเดินออกจากห้องไป แสงอรุโณทัยเริ่มลูบไล้กระดาษหน้าต่าง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเหลือบมองดูศพพวกเฮ็กแป๊ะ อุ้ยเทียนพ้ง ซิมโกว กับทิโกวที่นอนกับพื้น ใบหน้ามีรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม รำพึงเบาๆ

          “สถานที่นี้ ดูท่ากว้างขวางกว่าเดิมอีกมาจริงๆ...”

---------------------------------

          แสงอรุโณทัยสาดส่องเข้ามาในหน้าต่าง

          วิกาลแม้ยาวนาน นับว่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก้มตัวลงเขย่าเอี๊ยบไคเบาๆ พลางส่งเสียงนุ่มนวล

          “ใกล้จะสว่างแล้ว ตัวหนอนเกียจคร้าน ท่านยังไม่ตื่นอีก?”

          เอี๊ยบไคครวญครางเบาๆ ถึงกับลืมตาขึ้นจริงๆ เหม่อมองไปรอบข้างด้วยความมึนงงชั่วครู่ คล้ายดั่งคิดจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ยังคงล้มลงอีกครา

          ตลอดร่างถึงกับไม่มีกำลังหลงเหลือสักน้อยนิด

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามอง ดวงตามีประกายกังวลจนเห็นได้ชัด กล่าวถามอีก

          “ท่านไม่สบาย?”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะฝืนยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าคล้ายดั่งป่วยแล้ว”

          “เป็นโรคใด?”

          “โรคโง่”

          “โง่ก็นับเป็นโรค?”

          “มิเพียงเป็นโรคเท่านั้น ยังเป็นโรคหนักหนาสาหัสยิ่ง”

          “อ้อ?”

          “ท่านทราบหรือไม่? ไหนไน่ (ย่าหรือยาย) ของวีรบุรุษบัดซบตายอย่างไร?”

          “ไม่ทราบ”

          “โง่ตาย”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อพลางถาม

          “ไฉนมีคนโง่ตาย ตายเพราะความโง่?”

          “ข้าพเจ้าความจริงก็มิเชื่อ จนบัดนี้จึงทราบ ชนชาวโลกที่ตายเพราะความโง่คล้ายมีไม่น้อย”

          “ท่านกลัวตัวท่านก็จะโง่ตายเช่นกัน”

          “ข้าพเจ้าป่วยจนหนักหนาสาหัสมากแล้ว”

          “โอ ความจริงท่านไม่โง่ เพียงแต่ใจอ่อนเกินไปเท่านั้น”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

          “หากมิใช่ใจอ่อน ไหนเลยจะช่วยอุ้มตุ๊กตาแทนผู้อื่น”

          “นั่นมิใช่ตุ๊กตา นั่นเป็นป๋อป้อของข้าพเจ้า ป๋อป้อที่ว่าง่าย”

          “มันคล้ายดั่งมิใคร่ว่าง่าย มันรู้จักกัดคน”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็หัวร่อตอบ

          “แต่มันมิได้กัดท่านตายไปจริง มิเช่นนั้นท่านไม่ต้องรอให้โง่ตาย ก็ถูกพิษตายไปก่อนแล้ว”

          “ตอนท่านมอบมันให้ข้าพเจ้า ได้เปิดปุ่มกลไกที่ท้องของมันแล้ว?”

          “มิได้เปิดกลไกหมดสิ้น เพียงเปิดครึ่งเดียวเท่านั้น”

          “รอจนเมื่อข้าพเจ้าเห็นเต็งฮุ้นลิ้มล้มลง มือบีบกำลังแรงกว่าเดิม กลไกมันก็เปิดออกหมดสิ้น?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

          “มันแม้จะกัดท่านครั้ง แต่ท่านก็ขว้างมันจนแหลกละเอียด”

          นางชี้เศษตุ๊กตาเคลือบบนพื้นแล้วกล่าวต่อ

          “ท่านดู มันตอนนี้ไยมิใช่ถูกท่านขว้างกระจายตายไปแล้ว”

          เอี๊ยบไคมิได้ไปเหลือบมองเศษตุ๊กตา

          หากมีอีกหลายคนนอนอยู่ทางด้านข้าง มิว่าผู้ใดก็ต้องไม่ไปมองเศษตุ๊กตา

          ดูซากศพบนพื้นแล้ว เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

          “ดูท่าท่านไม่เสียทีเป็นบุตรีเซี่ยงกัวกิมฮ้งกับลิ่มเซียนยี้เลย”

          “อ้อ?”

          “หัวใจของลิ่มเซียนยี้ชั่วร้ายอำมหิต ฝีมือของเซี่ยงกัวกิมฮ้งกราดเกรี้ยวดุดัน ปมเด่นทั้งสองนี้ ถูกท่านรับไว้ในลำพังตัวแล้ว”

          “ท่านจะค่อยๆ ได้พบเห็น ปมเด่นอื่นๆ ของข้าพเจ้ายังมีอีกมากนัก”

          “บัดนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการถามท่านคำเดียว”

          “ท่านถามมา”

          “ท่านเป็นคนหรือไม่?”

          สีหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงไม่เปลี่ยนแปร แย้มยิ้มตอบ

          “ย่อมเป็นคน เป็นสตรี และเป็นสตรีที่น่าดูอย่างยิ่งด้วย”

          “เสียดายที่ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่คล้ายเป็นคน เป็นคนต้องไม่กระทำเรื่องเช่นนี้มาได้”

          “เรื่องอันใด?”

          “ท่านจะประทุษร้ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจ เนื่องเพราะท่านต้องการล้างแค้น เนื่องเพราะข้าพเจ้าบังเอิญเป็นทายาทของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย”

          “โอ... นี่เป็นเรื่องบังเอิญจนประจวบเหมาะจริงๆ”

          “แต่พวกเหล่านั้นกลับไม่มีความอาฆาตแค้นกับท่านสักน้อยนิด ท่านไฉนจึงต้องฆ่าพวกมัน?”

          “เนื่องเพราะของสิ่งหนึ่ง”

          “ของใด?”

          “ท่านดูนี่เป็นของใด?”

          นางล้วงของออกมาสิ่งหนึ่งจริงๆ เป็นของสีเหลืองอร่ามมีประกายแวววาว

          เอี๊ยบไคถาม

          “เป็นเหรียญ?”

          “เหรียญใด?”

          “เหรียญทองคำ?”

          “ท่านดูออกหรือไม่? ในเหรียญมีอักษรใด?”

          เอี๊ยบไคย่อมดูออก ในเหรียญมีอักษรสี่ตัว

          “อิ๊กกุ้ย ทงซิ้ง (ใช้ปิศาจทำงานได้ ติดต่อให้เทพยาดาช่วยเหลือได้)”

          แสงทองลำแรกส่องเข้ามาในหน้าต่าง พอดีส่องอยู่บนเหรียญทองอันนั้น

          ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็มีประกายแวววาว กล่าวช้าๆ

          “เงินสามารถบงการให้ปิศาจทำงานแทน และก็สามารติดต่อให้เทพยดาช่วยเหลือ ท่านจะค่อยๆ ได้พบเห็น ในโลกนี้ไม่มีของใดประเสริฐกว่าเงินทองแล้ว”

          เอี๊ยบไคมีสีหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม ถามไปว่า

          “นี่ก็คือสัญลักษณ์ของพรรคกิมจี๊ปัง (เหรียญทอง.. เงินทองในอดีต)”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะตอบ

          “พรรคกิมจี๊ปังเป็นเซี่ยงกัวกิมฮ้งตั้งขึ้น ข้าพเจ้าบังเอิญเป็นบุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง”

          “นับว่าบังเอิญจนประจวบเหมาะจริงๆ”

          “มาตรว่าเซี่ยงกัวกิมฮ้งตายไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่ตาย”

          “ดังนั้นท่านจะฟื้นฟูพรรคกิมจี๊ปังขึ้นอีกครั้ง?”

          “ข้าพเจ้าอย่างน้อย ย่อมไม่อาจเห็นกิมจี๊ปังมอดมลายไปอย่างง่ายดายปานนั้น”

          “เรื่องนี้ท่านวางแผนมานานอย่างยิ่ง?”

          “มิเพียงวางแผนนานยิ่งเท่านั้น ยังวางแผนได้ประเสริฐเลิศสุดด้วย”

          “กระทั่งเอี้ยเทียนก็ถูกท่านซื้อไว้?”

          “มันความจริงเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง จิ้งจอกที่บินได้?”

          “มิเพียงบินได้เท่านั้น ยังรู้จักกัดคน กัดมิตรสหายโดยเฉพาะ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อเบาๆ กล่าว

          “โชคดีที่ข้าพเจ้ามิใช่มิตรสหายของมัน”

          “ท่านเป็นผู้ใดของมัน?”

          “เป็นเล่าปั้ง (เถ้าแก่) ของมัน เป็นปังจู๊ (ประมุขพรรค) ของมัน”

          “ไฮ้ ท่านเป็นประมุขพรรคกิมจี๊ปังแล้ว?”

          “รากฐานของบิดา ไยมิใช่ย่อมให้บุตรีสืบทายาทต่อ?”

          เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถามอีก

          “นอกจากเอี้ยเทียน ท่านยังมีบริวารอีกมากน้อยเท่าใด?”

          “บริวารชั้นต่ำมากจนนับไม่ถ้วน ชั้นสูงมีอยู่เพียงห้าคน”

          “ห้าคน?”

          “ตามกฎของกิมจี๊ปัง มีองครักษ์ใหญ่สองคน หัวหน้าตึกใหญ่สี่คน”

          “กฎนี้ ก่อนๆ นี้ข้าพเจ้าไฉนไม่เคยได้ยิน?”

          “เนื่องเพราะนี่เป็นกฎที่เพิ่งตราขึ้นใหม่”

          “ผู้ใดตรา?”

          “ข้าพเจ้า”

          เอี๊ยบไคได้แต่ฝืนยิ้ม เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “บัดนี้ หัวหน้าตึกใหญ่ทั้งสี่ ข้าพเจ้าหาได้ครบแล้ว เอี้ยเทียนก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น”

          “ยังมีอีกสามคนเป็นผู้ใด?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มอย่างเร้นลับพลางตอบ

          “วันหน้าท่านย่อมพอจะทราบได้เอง”

          “ตอนนี้ข้าพเจ้าเดาไม่ออก”

          “ท่านกระทั่งฝันก็ยังฝันไม่ถึง”

          เอี๊ยบไคถอนใจอีกครั้ง จึงกล่าว

          “สององครักษ์ใหญ่เล่า?”

          “สององครักษ์เท่ากับเป็นแขนซ้ายขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจมิเลือกเฟ้นโดยพินิจพิเคราะห์”

          “ดังนั้นท่านจึงหาได้เพียงคนเดียว”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยเร้นลับกว่าเดิม

          “ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังหาคนที่สองอยู่”

          “หาผู้ใด?”

          “ท่าน!

          เอี๊ยบไคหัวร่อเสียงก้อง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง

          “ข้าพเจ้ามิใช่กำลังกล่าวเรื่องขบขัน ขอเพียงท่านรับปาก ท่านก็เป็นองครักษ์อันดับหนึ่งของพรรคกิมจี๊ปัง”

          เอี๊ยบไคหัวร่อพลางกล่าว

          “หากข้าพเจ้ารับปาก ท่านยอมเชื่อ?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็ถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าไม่เชื่อ”

          นางเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ถอนใจกล่าวต่อไป

          “ดูไป ท่านไม่คล้ายเป็นบุรุษที่สตรียินยอมเชื่อถือจริงๆ”

          “อย่างนั้นการแลกเปลี่ยนของพวกเรา ไยมิใช่ไม่มีทางตกลงกันได้?”

          “ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องเสียใจอย่างยิ่ง”

          “ดังนั้น ท่านมีแต่ต้องฆ่าข้าพเจ้า?”

          “ข้าพเจ้าไม่รุ่มร้อนนัก”

          “แต่ข้าพเจ้ากระวนกระวาย”

          “ท่านกระวนกระวายเรื่องอันใด?”

          “หากแม้นข้าพเจ้าพลันมีกำลัง กระโดดปราดขึ้นคว้าท่านไว้ เหวี่ยงท่านอย่างเหลวไหล โดยคิดว่าเป็นตุ๊กตาเคลือบ ไยมิใช่ไม่เกรงใจต่อท่านเกินไป?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “นั่นเป็นเรื่องที่อุกอาจก้าวร้าวยิ่งจริงๆ โชคดีที่ท่านไม่พลันมีกำลังมาได้ดอก”

          “อ้อ?”

          “เข็มที่ท่านถูก มาตรว่าไม่มีพิษ แต่มียาสลบ”

          “ยาสลบ?”

          “เป็นยาสลบที่ไม่ทำลายสติสัมปชัญญะ แต่ทำลายพละกำลังของคน ให้อ่อนเปลี้ยสูญสิ้นเรี่ยวแรง มีแต่ต้องดื่มสุรารวดเดียวห้าชั่ง จึงคลายฤทธิ์ยาออกได้”

          “ยานี้จะต้องเป็นปิศาจสุราคิดขึ้น บังเอิญข้าพเจ้าก็เป็นปิศาจสุรา”

          “แต่ที่ไม่บังเอิญคือ ละแวกใกล้เคียงนี้ไม่มีสุราแม้สักชั่งหนึ่ง”

          รอยยิ้มของเอี๊ยบไคกลายเป็นสุดฝืนอีกครา กล่าวต่อไป

          “ท่านมิใช่เป็นผู้เหย้าที่ดีเลยจริงๆ กระทั่งสุราก็ไม่เตรียมให้ผู้เยือนสักหยดหนึ่ง”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลอกตาไปมา แย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านสมควรทราบ ข้าพเจ้าเพียงรู้จักป้อนนมให้ผู้อื่นเท่านั้น”

          “เสียดายที่ข้าพเจ้ามิใช่ตุ๊กตาเคลือบ”

          “ผู้ใดว่าท่านไม่ใช่ ท่านภายหน้าก็จะกลายเป็นตุ๊กตาของข้าพเจ้าแล้ว”

          มาตรว่ารอยยิ้มของนางหวานหยาดเยิ้ม แต่หัวใจเอี๊ยบไคกลับเย็นเฉียบไป

          หากเป็นตุ๊กตาเคลือบของสตรีเยี่ยงนี้ เป็นรสชาติที่ต้องทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก

          ขณะเวลานั้นเอง เอี๊ยบไคเห็นเอี้ยเทียนเดินเข้ามา

-------------------------------------

          สีหน้าเอี้ยเทียนปั้นยากอย่างยิ่ง ดูไปคล้ายดั่งเป็นสามีขี้หึง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขมวดคิ้วเบือนหน้าไป พลันแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

          “ดูสีหน้าท่าน ไม่คล้ายเป็นคนเพิ่งฆ่าคนมา หลังจากท่านฆ่าคนแล้ว ย่อมปลอดโปร่งใจอยู่เสมอ”

          เอี้ยเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาให้ปลอดโปร่งจริงๆ”

          “เพราะกระไร?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่มีคนพอจะฆ่า”

          “คนเล่า?”

          “คนหายไปแล้ว”

          “คนหายไปแล้ว?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขมวดคิ้วทวนคำ

          “ท่านหมายความฮั่นเจ็งหายไป?”

          “ถูกแล้ว”

          “ตลอดตัวของมัน ต่างหายไปจากที่เดิม?”

          “หายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักท่อนหนึ่ง”

          “หรือมันพลันถูกสัตว์ประหลาดกลืนกินทั้งตัว?”

          “เป็นมันไปของมันเอง”

          “ท่านตรวจดูรอยเท้าบนพื้นหิมะแล้ว?”

          “ตรวจดูถึงสองรอบ”

          “รอยเท้ามุ่งหน้าไปทิศทางใด?”

          “ออกจากป่าเหมย รอยเท้าก็สาบสูญกลางคัน”

          “ท่านมิได้ตรวจดูละแวกใกล้เคียง?”

          “ตรวจดูสามรอบแล้ว”

          “ท่านหาไม่พบ?”

          “ไม่มีแม้แต่กระดูกสักท่อนหนึ่ง”

          “บนพื้นไม่มีรอยเท้าผู้อื่นอีก?”

          “เหลือแต่รอยเท้าของหลายคนเมื่อครู่นี้”

          “เหลือแต่รอยเท้าซิมโกว เต็งลิ้ง ข้าพเจ้ากับท่านเท่านั้น?”

          “ถูกแล้ว”

          “ดังนั้นมันก็ไม่อาจถูกผู้อื่นฆ่าหรือคร่าตัวไป?”

          “ไม่อาจเป็นไปได้เด็ดขาด”

          คนที่ทิ้งรอยเท้าอยู่ในพื้นหิมะบริเวณนั้น ตอนนี้ต้องไม่อาจไปฆ่าคนในที่อื่นได้เด็ดขาด เนื่องเพราะพวกมันต่างตายไปแล้ว

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนครุ่นคิดพลางกล่าว

          “มันถูกพิษแล้ว เพียงเคลื่อนไหว พิษก็จะกำเริบปลิดชีวิตมันทันที?”

          “ถูกแล้ว”

          “ดังนั้นความจริงพวกเราต่างเข้าใจ มันต้องไม่กล้าเคลื่อนไหวแน่”

          “ถูกแล้ว”

          “แต่ทว่ามันตอนนี้กลับหนีไปแล้ว”

          “ถูกแล้ว”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันถอนใจกล่าว

          “แต่พวกเรากลับผิดแล้ว พวกเราดูมันผิดโดยสิ้นเชิง”

          เอี้ยเทียนเห็นพ้อง

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “ที่แท้มันจึงเป็นคนรับมือยากที่สุดในบรรดาพวกประดานี้”

          เอี้ยเทียนก็เห็นพ้อง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “คิดว่ามันคงสังเกตเลศนัยของเรื่องราวนี้ออกแต่แรกแล้ว ดังนั้นแสร้งมารยาเป็นถูกพิษ ให้ผู้อื่นมิได้ระวัง มันจึงมีโอกาสหลักหนีโดยปลอดภัย”

          “ฉายามันเรียกว่าจุยจื้อ”

          “ฉายาของคน ไม่อาจมีการตั้งผิดเด็ดขาด”

          “ดังนั้น มิว่าท่านมีเปลือกนอกแข็งเพียงใด มันยังมีปัญญาทะลวงเป็นโพรงมาได้”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนครุ่นคิด พลางกล่าวช้าๆ

          “รับมือกับคนประเภทนี้ มีเพียงสองวิธี”

          เอี้ยเทียนสงบฟัง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “หากไม่สามารถเกลี้ยกล่อมมันมาเป็นสหายของพวกเรา ก็ต้องรีบเร่งสังหารมันทิ้ง”

          “แต่เสียดายมันตอนนี้หนีไปแล้ว”

          “ในโลกต้องไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด สามารถพลันสาบสูญไปได้ในบัดดล”

          “แต่ข้าพเจ้ากลับหามันไม่พบ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านหามันไม่พบ มิใช่แสดงว่าผู้อื่นก็หาไม่พบ”

          นางเดินเข้าไปตบบ่าเอี้ยเทียนเบาๆ แย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “อย่าลืมยังมีข้าพเจ้าอยู่”

          “ท่านจะไปหามัน?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

          “ท่านจงอยู่เป็นเพื่อนเอี๊ยบน้อยในที่นี้โดยสงบเสงี่ยม ข้าพเจ้าจะนำขนมหวานกลับมาให้พวกท่านรับทาน”

----------------------------------- 

          เอี้ยเทียนทรุดกายนั่ง นั่งอยู่ตรงช้ามเอี๊ยบไค

          มันนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในที่นั้น ดูไปคล้ายเป็นคนค้าขายที่เรียบๆ ร้อยๆ

          เอี๊ยบไคจ้องมองมัน พลันถอนใจกล่าว

          “นางว่านางจะนำขนมหวานกลับมาให้พวกเรากิน?”

          “อืมม์”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าวต่อ

          “หลังจากสามขวบ ข้าพเจ้าก็มิเคยกินขนมหวานอีกเลย”

          “อ้อ?”

          “ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการดื่มสุราเท่านั้น”

          “หากท่านไม่ต้องการดื่มสุรา นั่นจึงเป็นเรื่องพิกลยิ่ง”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านเข้าใจข้าพเจ้าจริงๆ พวกเราอย่างไรก็เป็นสหายเก่ากันมา”

          เอี้ยเทียนแค่นเสียงเย็นชา

          “สหายเยี่ยงข้าพเจ้า โชคของท่านยั้งดีอยู่ที่มีไม่กี่คน”

          “มิว่าท่านทำอย่างไรกับข้าพเจ้า พวกเราอย่างไรยังคงเป็นสหายเก่า สหายก็เป็นเช่นสุรา ต่างยิ่งเก่ายิ่งประเสริฐ”

          “ท่านกระหายใคร่ได้ดื่มถึงปานนี้?”

          “ท่านก็ทราบ อารมณ์ของข้าพเจ้าตอนนี้ หงุดหงิดอย่างยิ่ง”

          “มิว่าผู้ใดพบพานเรื่องเช่นกับท่าน อารมณ์ต่างไม่ปลอดโปร่งไปได้”

          “คนที่อารมณ์หงุดหงิด มักคิดจะดื่มสุรา”

          เอี้ยเทียนผงกศีรษะเห็นพ้อง

          “นอกจากดื่มสุราแล้ว ท่านไม่มีเรื่องอื่นใดน่ากระทำจริงๆ”

          “ดังนั้นหากท่านเห็นแก่ไมตรีที่มีมานาน โปรดหาสุราให้ข้าพเจ้าสักเล็กน้อย”

          เอี้ยเทียนครุ่นคิดแล้วผุดลุกขึ้นกล่าว

          “ก็ได้ ข้าพเจ้าไปหาสุราให้ท่าน ท่านควรนอนรอโดยสงบเสงี่ยมอยู่ในที่นี้ อย่าคิดหนีเป็นอันขาด”

          เอี๊ยบไคจับตามองมันจนเดินออกจากห้อง ดวงตาสุกใสกว่าเดิม

          มนุษย์ อย่างไรก็ยังมีสันดานของมนุษย์อยู่

          เอี๊ยบไคพลันมีความหวังต่อสันดานมนุษย์จนเปี่ยมล้น รู้สึกว่าเอี้ยเทียนมิอาจนับเป็นคนเลวทรามเกินไป

          เอี้ยเทียนถึงกับกลับมาเร็วอย่างยิ่ง มือยังหิ้วป้านทองเหลืองใบใหญ่ คล้ายดั่งมีน้ำหนักมากยิ่ง

          แม้สุราในป้านจะมีไม่เต็มเปี่ยม แต่อย่างน้อยก็ต้องหนักกว่าห้าหกชั่ง

          เอี๊ยบไคเป็นคนดื่มสุราเร็วอยู่เสมอมา ตอนนี้ตกลงใจ แม้นับว่ามีพละกำลังทุเลากลับมา ก็ต้องไม่แก้มือเอี้ยเทียนเด็ดขาด

          หากคนเรายังยินยอมไปหาสุราให้สหายเก่าดื่ม คนผู้นั้นย่อมยังพอมีทางเยียวยารักษาได้

          เอี้ยเทียนกล่าว

          “ท่านมิได้หนี?”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าทราบ หนีไม่รอด”

          “ประเสริฐมาก”

          มันวางป้านสุราลงบนพื้น

          เอี๊ยบไคกระทั่งยังไม่มีปัญญายันกายขึ้นนั่ง จึงกล่าวว่า

          “ท่านไม่ส่งเข้ามา?”

          “ข้าพเจ้ายังคงห่างกับท่านอีกระยะหนึ่งประเสริฐกว่า”

          เอี๊ยบไคถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จำต้องตะเกียกตะกายคลานเข้าไปดูที่จะงอยปากป้าน

          เอี๊ยบไคเพียงดูดคำเดียว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนแล้วร้องโพล่ง

          “นี่มิใช่สุรา”

          เอี้ยเทียนจับตาเย็นชามอง ใบหน้าไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด แค่นเสียงตอบ

          “พวกเราก็มิใช่มิตรสหาย”

          “ท่าน... ท่านไฉนต้องหลอกลวงข้าพเจ้า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการดู ตอนท่านคลานอยู่กับพื้นจะมีสารรูปใด?”

          เอี๊ยบไคเย็นวาบจนถึงปลายนิ้ว แค้นจนใคร่จะโถมเข้าไปคว้าป้านน้ำเย็นเฉียบนี้ กรอกเข้าใส่ปากมันให้หมดสิ้นทันที

          เอี้ยเทียนแค่นหัวร่อกล่าว

          “นั่นเป็นเพียงน้ำธรรมดาเท่านั้น ข้าพเจ้ามิได้ปัสสาวะใส่ป้านให้ท่านดื่ม นับเป็นโชคของท่านมากแล้ว”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าไม่เลวทรามเลย ท่านไฉนจึงแค้นข้าพเจ้าปานนี้?”

          “ข้าพเจ้าไม่พอใจตุ๊กตามาแต่ไหนแต่ไร”

          เอี๊ยบไคพลันเข้าใจความนัยมาได้ ร้องโพล่งขึ้น

          “ท่านกำลังหึงหวง? หรือท่านพอใจเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจริงๆ? หรือท่านไม่เข้าใจนางเป็นสตรีเยี่ยงไร!

          เอี๊ยบไคเบิ่งตามองเอี้ยเทียนด้วยความตระหนก แต่เอี้ยเทียนขุ่นแค้นจนกำหมัดกัดฟันคำรามทีละคำ

          “ข้าพเจ้าเพียงเข้าใจเรื่องเดียว”

          “ท่านบอกมา”

          ใบหน้าเอี้ยเทียนเขียวคล้ำไปแล้ว กล้ามเนื้อที่หางตากระตุกถี่เร็วๆ เน้นหนักๆ

          “เพียงท่านเอ่ยปากกล่าวอีกคำเดียว ข้าพเจ้าจะตบฟันท่านให้หลุดร่วงจากปาก”

          หากในปากไม่มีฟัน รสชาตินั้นก็มิน่าทนทาน

          เอี๊ยบไคจึงได้แต่ถอนหายใจ พลันพบเห็น มิว่าบุรุษที่ฉลาดปราดเปรื่องปานใด หากมีความพอใจสตรีนางใดโดยจริงจัง เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีนางนั้น จะกลายเป็นโง่เขลาทันที

          ตอนนี้สมควรทำอย่างไร?

          ไม่มีวิธีแม้แต่น้อย มิว่าผู้ใดเมื่อถึงเวลานี้ มีแต่นั่งรอเท่านั้น

          รอความตาย?

          เอี๊ยบไครู้สึกขมไปทั้งปาก ตอนนี้มีความกระหายใคร่ได้ดื่มสุราจริงๆ แล้ว

          เอี้ยเทียนลุกขึ้นช้าๆ ผลักหน้าต่างออก

          ลมทางนอกหน้าต่างเหน็บหนาวอย่างยิ่ง

          เอี้ยเทียนสูดลมหายใจลึกๆ พลันมีคนส่งเสียงเย็นชาขึ้นที่ด้านหลังมัน

          “ท่านกำลังหาข้าพเจ้า?”

-----------------------------------

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น