วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ ฝีมือของสองสตรี

 

ฝีมือของสองสตรี

อรุณรุ่ง

ท้องฟ้าเป็นสีเทาครึ้ม ผู้คนยังหลับใหลอยู่

เต็งฮุ้นลิ้มคล้ายดั่งเป็นวัวป่าที่คลุ้มคลั่ง กระโดดโลดแล่นอยู่บนตับหลังคาเป็นชั้นๆ ยังแผดหัวร่อส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา

“เราฆ่าเอี๊ยบไคแล้ว... เราฆ่าเอี๊ยบไคแล้ว...”

นางถึงกับคล้ายรู้สึก เป็นเรื่องที่มีคุณค่าให้นางลิงโลดยินดีอย่างยิ่งก็ปาน

นางวิกลจริตแล้ว!

ก้วยเต๋งได้ทุ่มเทวิชาตัวเบาถึงขีดสุด ยังคงไล่ตามเป็นระยะไกลยิ่งจึงทันนาง

“เต็งโกวเนี้ย ตามข้าพเจ้ากลับไป”

เต็งฮุ้นลิ้มถลึงตาจ้องก้วยเต๋ง ถึงกับไม่รู้จักมันเป็นผู้ใด พลันแทงมีดในมือเข้าใส่ก้วยเต๋ง!

บนมีดยังมีโลหิต

โลหิตของเอี๊ยบไค!

ก้วยเต๋งขบกรรมแนบแน่น หันกลายพลิกข้อมือไปชิงมีดของนาง

ก้วยเต๋งมิเพียงชิงมีดจากมือนาง แต่มืออีกข้างหนึ่งกลับฟันใส่ก้านคอของนางด้วยความเร็วปานสายฟ้า

ตาของเต็งฮุ้นลิ้มพลันเหลือกค้าง ล้มฮวบลง

รอบข้างไม่มีผู้คน บนหลังคามีแต่หิมะขาวโพลง

เสียงร้องของเต็งฮุ้นลิ้ม ถึงกับมิได้ก่อกวนเง็กเซียวให้แตกตื่นมาลงมือ

ก้วยเต๋งแบกร่างเต็งฮุ้นลิ้ม เร่งรุดกลับไปเพื่อดูอาการเอี๊ยบไค จึงไม่คำนึงถึงประเพณีของบุรุษสตรีแล้ว

แต่ทว่า ในห้องไม่มีคน... ไม่มีคนเป็นๆ !

ฮั่นเจ็งที่หลับสนิทอยู่ตลอดมา ถูกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักตรึงตายอยู่บนเตียง!

โลหิตบนพื้นแข็งตัวแล้ว นั่นเป็นโลหิตของเอี๊ยบไค

บนโต๊ะก็มีคราบโลหิต เป็นโลหิตของเอี๊ยบไคเช่นกัน

แต่ตัวเอี๊ยบไคกลับไม่เห็นแล้ว ชุยเง็กจินก็ไม่เห็นด้วย!

เป็นกระบี่ยาวของผู้ใด? เป็นผู้ใดลงมืออำมหิต? ไฉนต้องลงมืออำมหิตต่อคนที่ร่อแร่ปางตายเช่นฮั่นเจ็ง?

เอี๊ยบไคไปที่ใด? หรือถูกชุยเง็กจินพาไป มอบแก่เง็กเซียวเพื่อรับความดีความชอบ

อย่างไรก็ตาม เอี๊ยบไคต้องมีเคราะห์มากกว่าโชคแน่นอน

------------------------

ห้องเล็กอย่างยิ่ง แต่เก็บกวาดไว้สะอาดเรียบร้อยอย่างยิ่ง

มุมห้องมีตู้เล็กๆ ใส่กุญแจอยู่ ข้างตู้เป็นโต๊ะเครื่องแป้ง มีกระจกทองเหลืองบานหนึ่ง

ลมหนาวโชยพัดจนกระดาษหน้าต่างสั่นระริก ประตูมีม่านผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน นอกประตูมีกลิ่นยาโชยมาเป็นระยะ

เอี๊ยบไคมิได้ตาย!

เอี๊ยบไคได้สติฟื้นมาแล้ว ตอนฟื้นก็พบเห็นตัวเองตกมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

จากนั้นเอี๊ยบไคจึงพบเห็น ตนเปลือยร่างอยู่บนเตียง มีผ้าห่มนวมสุมอยู่ถึงสามผืน

ปากแผลที่ทรวงอก ถูกคนใช้ผ้าขาวพันไว้แล้ว พันเรียบร้อยน่าดูยิ่ง

เป็นผู้ใดพันแผลให้? ที่นี้เป็นสถานที่ใด? เอี๊ยบไคคิดจะทรงกายขึ้นนั่ง แต่ที่ทรวงอกคล้ายยังมีมีดปักอยู่อีกเล่มหนึ่ง เพียงขยับตัว ร่างแทบแตกกระจายจากกัน

เอี๊ยบไคคิดจะร้อง แต่ตอนนั้นม่านประตูถูกเลิกขึ้น มีคนผู้หนึ่งประคองชามยาเดินเบาๆ เข้ามา

ชุยเง็กจิน!

นางเปลื้องเสื้อผ้านักพรตของนางออก เปลี่ยนเป็นเสื้อกระโปรงผ้าฝ้ายสีเขียว ใบหน้ามิได้แต่งแต้มประทิน หว่างคิ้วมีเค้าวิตกกังวลจนหม่นหมอง

เมื่อนางเห็นเอี๊ยบไคฟื้นมา คิ้วของนางก็คลายออก

“ข้าพเจ้าไฉนมาที่นี้ได้?”

เมื่อเอี๊ยบไคถามไปแล้ว พลันพบเห็นเป็นวาจาไร้สาระยิ่งนัก

ย่อมเป็นชุยเง็กจินช่วยมาไว้ในสถานที่นี้

ชุยเง็กจินเดินเข้าไป วางชามยาไว้บนโต๊ะเล็กๆ ที่ข้างเตียงเบาๆ

ทุกอากัปกิริยาบถของนาง ดูไปนุ่มนวลอย่างยิ่ง ไม่มีเค้าของนักพรตหญิงที่บิดเอวส่ายสะโพกตามเสียงขลุ่ยหลงเหลืออยู่เลยสักน้อยนิด

เอี๊ยบไคจ้องมองนาง พลางรู้สึกมีความปลอดภัยที่มั่นคง หัวใจก็เยือกเย็นลงได้อีกครั้ง

แต่ก็ยังอดมิได้ต้องถาม

“นี่เป็นสถานที่ใด?”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะเป่าชามยาเบาๆ จนอีกเนิ่นนานจึงตอบ

“เป็นบ้านของคนผู้หนึ่ง”

“บ้านผู้ใด”

“บ้านของคนขายใบชา”

“ท่านรู้จักมัน?”

ชุยเง็กจินมิได้ตอบคำถามนี้ แต่กล่าวเบาๆ

“ท่านบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ข้าพเจ้ากลัวพวกเง็กเซียวจะตามมา จำต้องรีบพาท่านหนีโดยเร็ว”

นางเป็นสตรีที่ละเอียดสุขุมยิ่ง ครุ่นคิดได้รอบคอบยิ่ง

หากเอี๊ยบไคยังอยู่ในห้องนั้น ไม่แน่ว่าถูกกระบี่ยาวปักตรึงให้ตายกับพื้นเสียนานแล้ว

ชุยเง็กจินกล่าวต่อ

“แต่ข้าพเจ้าเพิ่งมาเชี่ยงอันเป็นคราแรก ไม่รู้จักผู้ใดแม้สักคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาเพิ่งสว่าง ข้าพเจ้ามิทราบควรจะพาท่านไปสถานที่ใดเลยจริงๆ”

“ดังนั้นท่านจึงบุกเข้ามาในบ้านนี้?”

ชุยเง็กจินผงกศีรษะรับคำ

“นี่เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่ธรรมดาสามัญยิ่ง ต้องไม่มีผู้ใดคาดคิด ท่านจะมาหลบอยู่ในที่นี้”

“ท่านก็ย่อมไม่รู้จักเจ้าของบ้านนี้?”

ชุยเง็กจินจำต้องยอมรับ

“ข้าพเจ้าไม่รู้จัก”

นางบอกแล้ว นางไม่รู้จักผู้ใดในนครเชี่ยงอันแม้สักคนเดียว

เอี๊ยบไคถามอีก

“ตอนนี้พวกเจ้าของบ้านเล่า?”

ชุยเง็กจินลังเล อีกเนิ่นนานจึงกล่าวเบาๆ

“ถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว”

นางก้มศีรษะต่ำ มิกล้าเหลือบมองเอี๊ยบไค

นางกลัวเอี๊ยบไคดุด่านาง

แต่เอี๊ยบไคมิได้ส่งเสียงแม้สักครึ่งคำ

เอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนปั้นหน้าเคร่งเครียด ดุจดั่งบัณฑิตคงแก่เรียน ยิ่งมิใช่วางท่าดุจวิญญูชนจิตใจสูงส่ง เอี๊ยบไคทราบ หากมิใช่ชุยเง็กจิน ตอนนี้มิทราบตายกับฝีมือผู้ใดเสียนานแล้ว

ในนครเชี่ยงอัน คนที่จะฆ่าเอี๊ยบไค มีอยู่ไม่น้อยจริงๆ

สตรีที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ยอมเสี่ยงอันตรายของชีวิตช่วยตนมา ทั้งยังดูแลจนจดจ่อเพื่อความปลอดภัยของตน ถึงกับยอมฆ่าคนไปได้

ท่านจะให้เอี๊ยบไคหักใจไปตำหนินางได้อย่างไร? ดุด่านางได้อย่างไร?

ชุยเง็กจินพลันกล่าวอีก

“แต่ข้าพเจ้าความจริงมิได้มีความคิดสังหารพวกมันเลย”

เอี๊ยบไคสงบรอให้นางกล่าวต่อ

ชุยเง็กจินกล่าวต่อไป

“ตอนข้าพเจ้าบุกเข้ามา มีสองคนนอนอยู่บนเตียง ความจริงข้าพเจ้าเข้าใจพวกมันเป็นสามีภรรยากัน”

ในที่สุด เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“หรือพวกมันไม่ใช่?”

“ไม่ใช่ สตรีนางนั้นมีวัยสามสิบเศษแล้ว แต่บุรุษอย่างมากไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปด ข้าพเจ้าบีบบังคับถามพวกมัน ทารกผู้นั้นจึงบอกความจริง

ที่แท้สามีนางออกไปขายใบชาต่างเมือง ภรรยาจึงได้ยั่วยวนเด็กหัดงานในบ้านพวกนาง”

ใบหน้าชุยเง็กจินคล้ายดั่งแดงระเรื่อ กล่าวต่อไป

“สองคนนั้น ผู้หนึ่งทรยศต่อสามี ผู้หนึ่งทรยศต่ออาจารย์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงฆ่าพวกมัน ข้าพเจ้า... เพียงหวังให้ท่านอย่าได้เห็น ข้าพเจ้าเป็นสตรีใจดำอำมหิต...”

เอี๊ยบไคเพ่งมองนางแน่วนิ่ง บังเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลย

นางกระทำเรื่องเช่นนี้เพื่อตน เสียงอันตรายยิ่งใหญ่เพื่อตน แต่ทว่านางไม่หวังให้ตนขอบคุณนาง ยิ่งไม่หวังให้ตนตอบแทนพระคุณนาง

ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนาง ถึงกับหวังให้เอี๊ยบไคอย่าได้ดูแคลนนางเท่านั้น

ความเห็นของเอี๊ยบไค ถึงกับมีความสำคัญต่อนางถึงปานนี้?

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจยาว กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ข้าพเจ้าก็หวังให้ท่านได้เข้าใจเรื่องรายหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

“หากมีคนเข้าใจ ท่านทำเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เข้าใจท่านเป็นสตรีใจดำอำมหิต คนผู้นั้นก็ต้องเป็นวิญญูชนจอมปลอม เป็นตัวบัดซบยิ่งใหญ่”

แสร้งหัวร่อแล้วกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าหวังให้ท่านเชื่อ ข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนบัดซบเด็ดขาด”

ชุยเง็กจินหัวร่อ

ตอนนางหัวร่อ คล้ายดั่งเป็นฤดูหนาวผ่านพ้นจนมาถึงฤดูใบไม้ผลิก็ปาน

“ยาอุ่นพอดื่มได้แล้ว ท่านดื่มลงไปเป็นไร?”

นางประคองเอี๊ยบไคขึ้น ดุจดั่งเป็นมารดากำลังปลอบประโลมบุตรก็ปาน ป้อนยาชามนั้นให้เอี๊ยบไคดื่มลงไปทีละคำ

นางกล่าวอีก

“นี่เป็นยาที่ข้าพเจ้าไปซื้อมาเอง ข้าพเจ้าไม่กล้าไปหาหมอ ข้าพเจ้ากลัวผู้อื่นจะพบร่องรอยของพวกเราจากหมอคนนั้น”

นางเป็นสตรีที่มีจิตใจสุขุมรอบคอบอย่างยิ่งจริงๆ มิว่าเรื่องราวใหญ่ๆ เล็กๆ ต่างใคร่ครวญจนรอบคอบยิ่ง

เอี๊ยบไคจ้องมองนาง จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่นและตื้นตัน แย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าพบพานท่าน นับเป็นบุญวาสนาจริงๆ มิว่าเรื่องราวใด ท่านคล้ายดั่งใคร่ครวญได้สุขุมรอบคอบยิ่ง”

ชุยเง็กจินลังเลชั่วครู่ จึงกล่าวขึ้น

“แต่ข้าพเจ้ากลับยังคิดไม่ออก นางไฉนจึงต้องฆ่าท่าน?”

รอยยิ้มของเอี๊ยบไคชาค้างทันที ใบหน้ากลับกลายเป็นหม่นหมองรันทด

ชุยเง็กจินกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าทราบ ไม่สมควรรื้อฟื้นเรื่องนี้อีก แต่ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ออกจริงๆ ท่านยอมเสี่ยงอันตรายนานาไปช่วยนางออกมา นางไฉนจึงต้องใช้ฝีมืออำมหิตเยี่ยงนี้ต่อท่าน?”

เอี๊ยบไคกลับแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้ากลำงคิด... นางต้องมีสาเหตุอยู่”

“สาเหตุใด?”

“ในวงพวกนักเลง มีอวิชชาชั่วร้ายเปี่ยมอาถรรพ์อยู่มากหลาย ข้าพเจ้าบอกให้ท่านฟัง ท่านไม่แน่จะเข้าใจได้”

“หรือท่านไม่รู้สึกขุ่นเคืองนางสักน้อยนิด?”

“มิได้ ที่นางทำดั่งนี้ จะต้องเป็นเพราะถูกวิชาอาถรรพณ์ประเภทสยบจิตใจทำลายประสาท รอจนเมื่อนางได้สติแจ่มใส นางจะต้องยิ่งเจ็บปวดกว่าข้าพเจ้ามากหลาย ข้าพเจ้าไหนเลยขุ่นเคืองนางได้”

เสียงของเอี๊ยบไค เต็มไปด้วยความกังวลต่อนางจนเด่นชัด

ผู้อื่นแทบจะปลิดชีวิตมันในคมมีด แต่มันกลับยังกังวลความรู้สึกของคนผู้นั้นเมื่อได้สติคืนมา

สำหรับความเจ็บปวดของตัวมันเอง มันกลับไม่แยแสแม้สักน้อยนิด

ชุยเง็กจินจ้องมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง ดวงตาสุกใสพลันมีหยาดน้ำหลั่งไหลไม่ขาดสาย

“ท่านร่ำไห้?”

“..................”

“ท่านไฉนพลันเศร้าเสียใจ?”

ชุยเง็กจินซับจ้ำตาเบา ฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้ามิใช่เศร้าเสียใจ ข้าพเจ้าเพียงแต่คิด หากแม้มีสักวันพบผู้ใดมีใจเช่นนี้ต่อข้าพเจ้า คิดเห็นแทนข้าพเจ้าทุกที่ทาง ทุกเรื่องราว อย่างนั้นข้าพเจ้าก็...”

นางมิได้กล่าวจบความ น้ำตาของนางทะลักจนลำคอตีบตันไปแล้ว

เนื่องเพราะนางทราบ ชั่วชีวิตนี้ของนาง ไม่มีวันพบพานคนเช่นนั้นได้ตลอดกาล

เนื่องเพราะนางทราบ คนผู้นี้ตอนนี้แม้อยู่ในอ้อมแขนนาง แต่หัวใจกลับครุ่นคิดถึงผู้อื่น และจะพรากจากนางไปในเวลาเร็วยิ่งด้วย

นางมิใช่ริษยา และมิใช่เจ็บช้ำ เพียงแต่รู้สึกสะทกสะท้อนจนบอกไม่ถูก

นางเป็นสตรีที่เติบใหญ่เต็มสาวแล้ว แต่ชั่วชีวิตนางกลับว้าเหว่ยิ่ง

ว้าเหว่ ความว้าเหว่ที่น่าสะพรึงกลัวปานใด...

น้ำตาเย็นเฉียบ หยาดหยดลงใส่หน้าเอี๊ยบไคไม่ขาดสาย แต่หัวใจของเอี๊ยบไคกลับร้อนผะผ่าว ร้อนจนปวดแปลบ

เอี๊ยบไคเข้าใจความรู้สึก และความสะทกสะท้อนของนาง

เอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนใจแข็งแกร่งปานเหล็กศิลา และมิใช่เป็นท่อนไม้

แต่เอี๊ยบไคสามารถทำอย่างไรได้?

----------------------------

ห้องมืดลงทีละน้อย สนธยาได้กรายมาโดยเงียบเชียบ

สนธยาย่อมสวยตระการ สวยตระการจนจิตใจผู้คนต้องเจ็บปวด

ชุยเง็กจินตักข้าวเย็นที่เหลือในตอนเช้า ราดเต้าเจี้ยวรับทานไป แต่ตุ๋นข้าวต้มไก่ให้แก่เอี๊ยบไคหม้อหนึ่ง

นางกล่าวด้วยสีหน้าแดงฉาน

“ข้าพเจ้าความจริงคิดจะซื้อโสมมาตุ๋นให้ท่าน แต่ข้าพเจ้า...”

นางไม่มีเงิน!

เอี๊ยบไคก็ไม่มี เอี๊ยบไคจึงสนใจสังเกต ปิ่นหยกที่นางเคยเสียบอยู่บนมวยผมเสมอมา ตอนนี้หายไปแล้ว

“ข้าพเจ้าความจริงคิดจะงัดตู้นั้นออก ดูว่าภายในพอมีเงินทองหรือไม่? แต่ข้าพเจ้าไม่กล้า”

นางเป็นดรุณีที่มีจิตใจสัตย์ซื่อเปี่ยมคุณธรรมจริงๆ และยังมีความนุ่มนวลตามสัญชาตญาณของสตรีที่แท้จริงอีกด้วย

เอี๊ยบไคเคี้ยวข้าวต้มช้าๆ ในใจบังเกิดความรู้สึกที่พิสดารจนบอกมิถูก

หากแม้นตนเป็นคนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ หากแม้นทั้งสองเป็นสามีภรรยา หากแม้นทั้งสองต่างไม่มีอดีตเหล่านั้น ทั้งสองจะมีชีวิตที่ยิ่งสุขสมบูรณ์กว่านี้หรือไม่?....

แต่บัดนี้...

หากแม้นตอนนี้ทอดทิ้งทุกสรรพสิ่งไปได้ หากแม้นางก็ยินยอมอยู่เคียงข้างตนไปตลอดกาล หากแม้น...

เอี๊ยบไคมิได้คิดสืบไป และไม่อาจครุ่นคิดสืบไปด้วย

ชีวิตที่สุขสงบ เป็นความเย้ายวนอันรุนแรงต่อเอี๊ยบไค จนไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืนเสมอมา แต่เอี๊ยบไคกลับพาลไม่มีวันหลบหนี ออกจากชีวิตอันปั่นป่วนวุ่นวาย คล้ายดั่งว่าชะตาชีวิตถูกลิขิต ให้มีมีวันได้อยู่โดยสุขสงบเลย

ในโลก มีสักกี่คนที่สามารถเลือกวิถีชีวิตของตนเองตามความพอใจ?

--------------------------

วิกาลคล้อยผ่านทีละน้อย

ทั้งสองมิได้สนทนา คล้ายดั่งต่างกำลังปล่อยให้จิตใจ ไปดื่มด่ำกับความสงบที่เป็นสุข

เนื่องเพราะทั้งสองต่างทราบ วันเวลาสงบสุขเยี่ยงนี้ จะยุติในเวลารวดเร็วยิ่ง

เอี๊ยบไคมิได้ไปครุ่นคิดเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เพียงรู้สึก หนังตาหนักลงทีละน้อย โลหิตของเอี๊ยบไคหลั่งไหลมากเหลือเกิน มากจนรู้สึกอ่อนล้าระโหย และหนาวอย่างยิ่ง

ในความเคลิบเคลิ้ม รู้สึกว่าร่างได้เริ่มจมลงไปในหล่มน้ำแข็ง

เอี๊ยบไคหนาวจนตัวสั่นสะท้าน หนาวจนริมฝีปากซีดเขียว

แต่ทว่านางรวบรวมบรรดาผ้าห่มนวมทั้งมวลในบ้านนี้คลุมแก่เอี๊ยบไคแล้ว... ตอนนี้จะทำอย่างไร?

ใบหน้าของเอี๊ยบยิ่งนานยิ่งน่ากลัว สั่นงันงก ดุจดั่งเป็นใบไม้ในลมหนาว

มีวิธีใดจึงบันดาลให้เอี๊ยบไคอบอุ่นได้?

ขอเพียงให้เอี๊ยบไคอบอุ่น มิว่าต้องการให้นางทำกระไร นางต่างยินยอมพร้อมใจ

ใบหน้านางพลันแดงฉาน

นางได้คิดถึงวิธีหนึ่ง วิธีหาความอบอุ่นของมนุษย์ดึงดำบรรพ์ ซึ่งก็เป็นวิธีเก่าแก่ที่สุด

-------------------------

เอี๊ยบไคไม่สั่นระริกอีกแล้ว ใบหน้าเริ่มมีสีเลือด

จากนั้นจึงพบเห็น มีคนร่างเปล่าเปลือยนอนอยู่ด้านข้าง กำลังโอบรัดตนจนแนบแน่น

ร่างของนางเรียบลื่นนุ่มนิ่ม ร้อนผะผ่าวราวเป็นไฟกองใหญ่

พบเห็นดวงตาเอี๊ยบไคกำลังจ้องมองนาง ใบหน้านางคล้ายดั่งแดงฉาน ครางเบาๆ แล้วซุกศีรษะเข้าไปในผ้าห่อม

หัวใจเอี๊ยบไคมีรสชาติใด?

นั่นต้องมิใช่คำ “ขอบคุณ” สั้นๆ จะเปรียบเทียบได้ นั่นมิใช่เป็นวาจาใดจะเปรียบบรรยายได้ถูกต้องใกล้เคียง

เอี๊ยบไครู้สึก ร่างของนางกำลังสั่นระริกเบาๆ

แต่นั่นย่อมมิใช่เพราะความหนาว

นอกหน้าต่างเป็นความมืดมิด ลมหนาวกรรโชกอยู่ในความมืดดังหวีดหวิว แต่ความมืดและเหน็บหนาวได้ห่างจากทั้งสองไปไกลอย่างยิ่ง

ทั้งสองพลันมีโลกที่เป็นของทั้งสองเองโดนเฉพาะ เป็นโลกที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและสงบ

เสียดายที่ความสุขและสงบนี้ คล้ายเป็นภาพมายาในทะเลทราย แม้สวยงามแต่ไม่มีความจริง และก็คล้ายเป็นดาวตก มาตรว่าสวยงาม แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น

ทันใด ประตูถูกผลักออก มีคนผู้หนึ่งบุกเข้ามา

เป็ฯคนที่ทั้งสองคาดคิดไม่ถึงเด็ดขาด

โคมยังไม่ดับ

แสงโคมสาดส่องใบหน้าคนผู้นั้น ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำ ดวงตาก็มีประกายแวววาวด้วยความเคียดแค้น ถลึงจ้องทั้งสองคล้ายดั่งแค้นจนใคร่ฟันทั้งสองให้ตายอยู่บนเตียงทันที

ทั้งสองกลับไม่รู้จักคนผู้นี้ กระทั่งยังมิเคยเห็นมาก่อนเลย

ชุยเง็กจินร้องสุดเสียงด้วยความตระหนก

“ท่านเป็นผู้ใด? ไฉนบุกรุกเข้ามาที่นี้?”

คนผู้นั้นถลึงตาจ้องนางด้วยความเคียดแค้น แค่นหัวร่อกล่าว

“นี่เป็นบ้านของเรา เราไฉนไม่อาจมา?”

ชุยเง็กจินตะลึงลานไป เอี๊ยบไคก็ตะลึงลาน

เจ้าของบ้านนี้ถึงกับพลันกลับมา!

บุรุษเมื่อกลับมาถึงบ้านตัวเอง พลันพบเห็นมีบุรุษสตรีแปลกหน้านอนอยู่บนเตียงของมัน มิว่ามีความเดือดดาลปานใด ต่างน่าเห็นใจอภัยให้

ความจริงชุยเง็กจินก็ตระหนกอย่างยิ่ง แต่บัดนี้กลับคล้ายเป็นลูกหนังถูกปล่อยลม กระทั่งวาจายังมิกล่าวได้

ผู้มาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำราม

“เราเพิ่งไปเพียงสองเดือน เจ้าก็กลับคบชู้มานอนได้ หรือเจ้าไม่กลัวเราจะฆ่าเจ้า?”

ชุยเง็กจินต้องโพล่งด้วยความตระหนก

“ท่าน.... ว่ากระไร?”

“เราถามเจ้า เจ้าไฉนกระทำเรื่องไม่อาจพบเห็นผู้คนเช่นนี้? บุรุษเถื่อนผู้นี้เป็นใคร?”

หรือนัยน์ตาคนผู้นี้ผิดปกติ ถึงกับถือนางเป็นภรรยาของมันได้?

ชุยเง็กจินร้องขึ้น

“ท่าน... ดูคนผิดกระมัง?”

ผู้นั้นยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม คำรามเสียงก้อง

“เราดูคนผิด? เจ้าอายุสิบหกก็แต่งกับเรา แม้เผาเป็นเถ้าถ่านเรายังจำเจ้าได้”

ชุยเง็กจินอดมิได้ต้องร้องสุดเสียง

“ท่านวิกลจริตแล้ว เรากระทั่งท่านยังมิเคยเห็นมาเลย”

“หรือเจ้ากล้าไม่ยอมรับเราเป็นภรรยาเรา?”

“ย่อมไม่ใช่”

“หากเจ้ามิใช่ภรรยาเรา ไฉนมานอนอยู่บนเตียงเรา?”

ชุยเง็กจินส่งเสียงไม่ออกอีกครั้ง

คนผู้นั้นหันไปถลึงจ้องเอี๊ยบไค คำรามดังๆ

“เจ้าเป็นตัวกระไร? ไฉนมานอนบนเตียงกับภรรยาเรา?”

เอี๊ยบไคก็มิทราบควรกล่าวกระไร พลันพบเห็น ตนพบพานเรื่องเหลวไหลที่สุด เลวร้ายที่สุดแล้ว

เอี๊ยบไคเองก็มิทราบ เป็นเรื่องราวใดกันแน่?

คนผู้นั้นคำรามต่อ

“ดีที่เราเป็นคนใจกว้างเปี่ยมมุทิตา มิว่าพวกเจ้ากระทำเรื่องราวใด เราต่างอภัยให้พวกเจ้าได้ แต่บัดนี้เมื่อเรากลับมาแล้ว เจ้าย่อมควรลุกขึ้น คืนที่นอนอบอุ่นแก่เรา”

มันถึงกับเดินเข้าไปจริงๆ คล้ายดั่งเตรียมเปลื้องผ้าขึ้นเตียง

          ชุยเง็กจินร้องสุดเสียงอีกครั้ง รัดเอี๊ยบไคแนบแน่น

“เรามิใช่ภรรยามัน เรามิรู้จักมันเลย ท่านไม่อาจลุกขึ้นให้มันนอนแทนเป็นอันขาด”

เอี๊ยบไคย่อมไม่อาจลุกขึ้น แต่จะให้ทำอย่างไร?

คนที่เปลืองจนเปลือยเปล่า นอนอยู่บนเตียงผู้อื่น เมื่อพบเรื่องเช่นนี้ ท่านว่าเอี๊ยบไคควรทำอย่างไร?

ขณะเวลานั้นเอง มีเสียงหัวร่อดังก้องที่ปากประตู แล้วคนผู้หนึ่งเดินกุมท้องหัวร่อเข้ามา

เมื่อเห็นคนผู้นี้ เอี๊ยบไคยิ่งหัวร่อไม่ออก

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน!

คนที่ร้ายกาจกว่าพญายม ถึงกับพาลมาปรากฏตัวในเวลากระอักกระอ่วนได้!

 

มีคนบางประเภท ยามท่านต้องการคิดหามัน วิ่งเต้นจนรองเท้าขาดก็หาไม่พบ แต่ยามไม่ต้องการพบมัน มันพาลพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้าท่าน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคล้ายเป็นคนประเภทนั้น !

นางมือหนึ่งกุมท้อง มือหนึ่งชี้เอี๊ยบไค หัวร่อคิกคักกล่าว

“ท่านยึดครองบ้านผู้อื่น และยังยึดครองเตียงผู้อื่น ผู้อื่นกลับมาแล้ว มิกล่าววาจาอื่นใด เพียงต้องการให้ท่านไสหัวไป ท่านก็ยังไม่ยอม ? นี่ออกจะไร้เหตุผลเกินไปกระมัง ?”

วาจามิทันขาดคำ นางหัวร่อจนน้ำตาหลั่งไหล หัวร่อจนตัวงอไปงอมา

เอี๊ยบไคกลับหนักแน่นเยือกเย็นลงได้

ตอนนี้ย่อมเข้าใจ เป็นเรื่องราวใดกันแล้ว

สตรีนางนี้มิเพียงเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เท่านั้น นับว่าเป็นปิศาจอีกด้วย มิว่าเรื่องราวใดต่างกระทำได้ มิว่าลวดลายใดต่างคิดออกมาได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังหัวร่อไม่หยุดยั้ง คล้ายดั่งมิเคยพบเรื่องน่าหัวร่อเยี่ยงนี้มาก่อนเลย

ชุยเง็กจินเบิ่งตาดูนางด้วยความตระหนก อดมิได้ต้องถาม

“นางเป็นผู้ใด ?”

“นางมิใช่มนุษย์”

เมื่อเอี๊ยบไคตอบเช่นนั้น เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อพลางกล่าว

“ถูกแล้ว ข้าพเจ้าความจริงมิใช่มนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นเซียนผู้วิเศษ มิว่าท่านซ่อนอยู่ในที่ใด ข้าพเจ้าต่างหาท่านพบได้”

เอี๊ยบไคมิได้ถามนาง หามาได้อย่างไรกัน

แสดงว่านางลอบคุมเชิงเอี๊ยบไคอยู่ตลอดเวลา ดุจเป็นเงาปิศาจก็ปาน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แต่ข้าพเจ้ากลับนึกไม่ถึงจริงๆ โกวเนี้ยนักพรตท่านนี้จะหาสถานที่เช่นนี้ให้ท่านได้ หากมิใช่นางเร่งร้อนไปซื้อยาให้ท่าน ครั้งนี้พวกเราแทบหาท่านไม่พบจริงๆ”

นางเดินเข้าไป หยิบชามยาบนเตียงขึ้นดมแล้วแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“แต่เสียดาย ที่นางมิใช่เป็นหมอดีได้เลยจริงๆ ยาเช่นนี้แม้ท่านจะดื่มลงไปอีกแปดร้อยชาม ก็ไม่มีประโยชน์ใดเลย”

ชุยเง็กจินขุ่นเคืองจนหน้าแดงฉาน แต่อดมิได้ต้องถาม

“ท่านสามารถรักษาอาการมันได้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“เราก็มิใช่เป็นหมอชั้นเยี่ยม แต่เรากลับหาหมอเยี่ยมที่สุดมารักษามันได้”

สามีที่เดือดดาลอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้กระทั่งเพลิงโทสะสักน้อยนิดก็ไม่มี กำลังแย้มยิ้มมองพวกนี้อยู่

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านผู้นี้คือทายาทเพียงคนเดียวของเมื่ยวชิ้วซิ่งอุย (แพทย์เพทยดามือวิเศษ) ในกาลก่อนมีนามฮั้วจือเช็ง ฉายาเมี่ยวชิ้งนึ้งตง (หมอมือวิเศษ) ท่านมีความรอบรู้กว้างขวาง คิดว่าต้องรู้จักมันแน่?”

เอี๊ยบไครู้จักจริงๆ

บิดากับบุตรตระกูลฮั้ว นับเป็นแพทย์เทพยดาในบู๊ลิ้มจริงๆ รักษาบาดแผลต่างๆ ยิ่งมีความชำนาญเป็นพิเศษ

แต่บิดากับบุตรผู้นี้ ต่างมีโรคเดียวกัน

โรคขโมย !

คนที่ไปหาพวกมันรักษาโรค มักจะถูกพวกมันขโมยจนเกลี้ยงเกลา

ฉายา “เมี่ยวชิ้ว” ได้มาเพราะฝีมือขโมยมันนี่เอง

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“นึกมิถึง ท่านไม่เพียงมีวิชาการแพทย์ยอดเยี่ยมเท่านั้น ยังแสดงละครได้เยี่ยมยอดอีกด้วย”

ฮั้วจือเช็งหัวร่อพลางกล่าว

“ประการนี้ท่านก็ไม่เข้าใจแล้ว จะหัดขโมยต้องหัดแสดงบทบาทได้ก่อน”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะท่านจะต้องฝึกปลอมเป็นคนแบบฉบับต่างๆ จึงสามารถไปขโมยของต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ”

หยุดหัวร่อแล้วกล่าวต่อ

“สมมติเช่น หากท่านจะไปขโมยคัมภีร์ในวัดวาอาราม ท่านจะต้องปลอดเป็นหลวงจีนนักพรต หากจะไปขโมยซ่องคณิกา ท่านจะต้องปลอมเป็นนักเที่ยวชั้นโชกโชน”

เอี๊ยบไคกล่าว

“หากคิดจะไปขโมยของในร้านใหญ่ ก็ต้องปลอมเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ไปสืบเสาะลาดเลาก่อน?”

ฮั้วจือเช็งปรบมือกล่าว

“ท่านชาญฉลาดจนปราดเปรื่องจริงๆ ยกตัวอย่างเพียงหนึ่งก็รู้ซึ้งไปถึงสาม หากมาฝึกหลักวิชานี้ข้าพเจ้ากล้าประกันไม่เกินสามเดือน ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญได้”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าวบ้าง

“มันตอนนี้เป็นผู้ชำนาญแล้ว ดังนั้นตอนท่านไปรักษาบาดแผลให้มัน ควรระวังตัวไว้จึงจะประเสริฐ มิเช่นนั้นท่านอาจจะกลับถูกมันขโมยจนเกลี้ยงเกลา”

ฮั้วจือเช็งแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าขโมยผู้อื่นมานานหลายสิบปี บางครั้งถูกผู้อื่นขโมยสักครา กลับเป็นที่น่าสนุกสนานอยู่”

มันเดินแย้มยิ้มเข้าไปพลางกล่าวต่อ

“ขอเพียงในมีดไม่มีพิษ ข้าพเจ้ากล้าประกันไม่เกินสามวัน ท่านต้องพอจะไปฆ่าผู้อื่นได้แล้ว”

ชุยเง็กจินพลันร้องสุดเสียง

“ช้าไว้ก่อน”

ฮั้วจือเช็งถาม

“ยังรอกระไร?”

“ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างไรว่า ท่านมารักษาบาดแผลให้มันจริงๆ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“โกวเนี้ยนักพรตท่านนี้ กลับมีความละเอียดสุขุมยิ่ง แต่เสียดาย สมองกลับมิใคร่แจ่มใสนัก หรือถูกเอี๊ยบกงจื้อท่านนี้ของพวกเรา ล่อจนลุ่มหลงงมงาย?”

ชุยเง็กจินหน้าแดงฉาน ส่งเสียงเถียงไป

“แล้วแต่ท่านจะว่ากระไร ข้าพเจ้าต่าง...”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสอดคำด้วยเสียงเย็นชา

“หากเราจะฆ่ามันในตอนนี้ นับว่าง่ายดายยิ่งกว่ากินเต้าหู้เสียอีก เราไยต้องเปลืองเรื่องราวยุ่งยากมากหลาย?”

ชุยเง็กจินแค่นหัวร่อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถาม

“ท่านไม่เชื่อ?”

ชุยเง็กจินยังคงแค่นหัวร่อ

ร่างเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน พลันลอยพลิ้วขึ้นจากพื้นดุจดั่งเป็นปุยนุ่นในสายลมลอยข้ามศีรษะทั้งสองไป

ชุยเง็กจินรู้สึก มีมือเย็นยะเยียบสอดเข้ามาในผ้าห่อม บีบอกที่อวบอูมของนางเบาๆ

เหลียวมองอีกครั้ง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนได้ลอยกลับไปละลิ่วยืนที่เดิม จ้องมองนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ฟังว่าน่ำไฮ้เง็กเซียวชำนาญการดูดเชื้อจากสตรีบำรุงมัน แต่ร่างของท่านยังเต่งตึงอย่างยิ่ง ดูท่าท่านก็ต้องมีฝีมือจัดการกับบุรุษอยู่”

ชุยเง็กจินเดือดดาลจนใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงฉาน บัดเดี๋ยวเขียวคล้ำ แทบจะร่ำไห้ออกมาแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่งเสียงอ้อยอิ่ง

“นี่เป็นเรื่องที่สตรีควรหยิ่งภาคภูมิ มีที่ใดน่าละอายด้วย? มีเวลาว่างเมื่อใด ไม่แน่ว่าเรายังต้องขอฝึกจากท่านมาบ้าง”

ใบหน้าชุยเง็กจินซีดขาว

นางทราบ สตรีนางนี้กำลังจงใจหยามประณามนาง แต่ทว่านางมีแต่ต้องอดกลั้นไว้

ไฉนมีมนุษย์บางประเภท ต้องให้ผู้อื่นรู้สึกเจ็บช้ำ ตัวมันจึงยิ่งรู้สึกเบิกบาน?

น้ำตาชุยเง็กจินหลั่งไหลลงแล้ว แต่ใบหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับมีรอยยิ้มของผู้พิชิต

เอี๊ยบไคส่งเสียง

“ไสหัวออกไป”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนคล้ายดั่งตระหนกยิ่ง ร้องโพล่งขึ้น

“ท่านให้ผู้ใดไสหัวออกไป?”

“ท่าน!

“ข้าพเจ้าหวังดีต่อท่าน เชิญคนมารักษาบาดแผลให้ท่านด้วยกุศลจิต ท่านกลับให้ข้าพเจ้าไสหัวไป?”

เอี๊ยบไคหน้าเครียดเย็นชา ส่งเสียงกระด้าง

“ใช่! ข้าพเจ้าให้ท่านไสหัวออกไปโดยด่วน”

สีหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แค่นหัวร่อกล่าว

“หรือท่านไม่กลัวข้าพเจ้าฆ่าท่าน?”

“ท่านเข้าใจสามารถฆ่าข้าพเจ้าจริงๆ?”

“ท่านก็ไม่เชื่อ?”

“ข้าพเจ้าเพียงต้องการเตือนสติท่านเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

“เรื่องนี้”

มือของเอี๊ยบไคยื่นออกจากใต้ผ้าห่มช้าๆ ในมือถึงกับมีมีดเล่มหนึ่ง!

มีดที่ยาวสามนิ้วเจ็ดหุน!

มีดบิน! !

 

ตัวมีดที่บางและคม ในแสงโคมไฟ เป็นประกายแวววับจับตา

ใบหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถูกประกายมีดสะท้อนจนเป็นสีเขียวคล้ำ ใบหน้าฮั้วจือเช็งก็เป็นสีเขียว

เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) ! !

นี่คือมีบินของเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย ที่ถ่ายทอดให้แก่ทายาทเพียงผู้เดียว

นี่ก็คือมีดบินที่ไม่เคยผิดเป้ามาเลย!

มิว่ายอดฝีมือที่น่ากลัวปานใดของบู๊ลิ้ม ต่างไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดจากมีดที่ถูกซัดออกจากมือ

เอี๊ยบไคส่งเสียงเย็นชา

“ข้าพเจ้าความจริงไม่ต้องการฆ่าคน แต่ท่านควรอย่าได้บีบบังคับข้าพเจ้าจึงประเสริฐ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นหัวร่อกล่าว

“ท่านตอนนี้ยังสามารถฆ่าคนได้?”

“ท่านต้องการทดลอง?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่ต้องการ และไม่กล้าด้วย ไม่มีคนกล้า!

ไม่มีผู้ใดกล้าใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน ไปพนันในเรื่องที่แทบต้องเพลี่ยงพล้ำเด็ดขาด!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสูดลมหายใจลึกๆ ฝืนยิ้มกล่าว

“หรือท่านไม่ต้องการ รักษาบาดแผลให้ทุเลาโดยเร็ว?”

“ข้าพเจ้าเพียงต้องการ ให้ท่านรีบไสหัวออกไป”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจอีกครั้งกล่าว

“ข้าพเจ้าไม่ต้องไสหัว ข้าพเจ้าเดินออกไปได้หรือไม่?”

นางบอกไปก็ไปจริงๆ ฮั้วจือเช็งย่อมยิ่งเดินเร็วกว่านาง

เมื่อถึงปากประตู นางกลับหันไปกล่าว

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าแทบลืมบอกกับท่าน”

“เรื่องอันใด?”

“ท่านต้องการทราบ ร่องรอยของเต็งโกวเนี้ย ตอนนี้อยู่ที่ใดหรือไม่?”

เอี๊ยบไคไม่ส่งเสียงแล้ว เพราะย่อมต้องการทราบ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“นางตอนนี้กำลังอยู่กับก้วยเต๋ง และก็เป็นเช่นดั่งท่าน นอนอยู่บนเตียง”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อกล่าว

“ท่านไฉนมากล่าววาจาเยี่ยงนี้ต่อหน้าข้าพเจ้า ท่านทราบแน่ว่าไม่มีประโยชน์เลย”

“ท่านไม่เชื่อว่า พวกมันจะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้?”

เอี๊ยบไคย่อมไม่เชื่อ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่งเสียงอ้อยอิ่งต่อ

“ความจริงพวกมันอาจจะภักดีต่อท่านอย่างยิ่ง แต่ทว่าหากแม้นเต็งโกวเนี้ยก็หนาวแทบตาย ก้วยเต๋งก็มีจิตใจเช่นโกวเนี้ยนักพรตท่านนี้ หากแม้นส่วนสัดในร่มผ้าของเต็งโกวเนี้ยถูกเข็มอาบยาพิษใด ก้วยเต๋งเพราะต้องการช่วยนาง จะเปลื้องผ้าออกดูดให้นางหรือไม่?”

สีหน้าเอี๊ยบไคเปลี่ยนแปรไป

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับมีรอยยิ้มของผู้พิชิตอีกครา คว้ามือฮั้วจือเช็งแล้วแย้มยิ้มกล่าว

“มาตรว่ามันไม่มีน้ำใจต่อข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามิอาจไม่มีน้ำใจต่อมัน ทิ้งยาให้มันสักห่อ พวกเราไปกัน

 

ครั้งนี้นางนับว่าไปจริงๆ แล้ว

เอี๊ยบไคผุดลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้พลันหงายลงไปอีกครา

ชุยเง็กจินร้องด้วยความตระหนก

“ท่าน... เป็นไรแล้ว?”

เอี๊ยบไคถอนใจยาว ฝืนยิ้มกล่าว

“โชคดีที่ท่านซ่อนมีดของข้าพเจ้าอยู่ใต้หมอน โชคดีที่นางมิได้ทดลอง”

“ท่านเมื่อครู่ไม่มีกำลังพอจะทำอันตรายนางเลย?”

เอี๊ยบไคมองมีดสั้นในมือ ใบหน้ากลับกลายเป็นเคร่งขรึมสำรวม กล่าวช้าๆ

“มีดนี้มิใช่เพียงใช้มือก็สามารถซัดไปได้ จะต้องใช้ประสาทความรู้สึก และพละกำลังทั้งตัว จึงสามารถซัดออกไปได้มีดหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าตอนนี้...”

เอี๊ยบไคในตอนนี้ กระทั่งกล่าววาจายังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง

ชุยเง็กจินจับตามองแน่วนิ่ง น้ำตาหลั่งไหลลงอีกครา กล่าวเสียงเครือ

“ข้าพเจ้าทราบ ท่านเพราะข้าพเจ้าจึงชับไล่นางไป แต่ท่านไยต้องเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้เพราะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าความจริงเป็นคนสมควรถูกหยามประณามอยู่แล้ว”

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ไม่มีผู้ใดสมควรถูกหยามประณาม และไม่มีผู้ใดมีสิทธิไปหยามประณามผู้อื่น”

เสียงของเอี๊ยบไคแม้นุ่มนวล แต่หนักแน่นอย่างยิ่ง

“ที่ท่านผู้เฒ่าถ่ายทอดมีดนี้แก่ข้าพเจ้า เพราะต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนของท่านผู้เฒ่า ให้คนทั้งแผ่นดินเข้าใจเหตุผลนี้ และอย่างได้ลืมด้วย!

ดวงตาชุยเง็กจินเป็นประกายสุกใส กล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านผู้เฒ่าต้องเป็นยอดคนที่เลอเลิศสุดสูง”

เอี๊ยบไคเหม่อมองไปในทิศทางสุดแสนไกล สีหน้ามีแววเคารพเทิดทูนจนบอกมิถูก

“ท่านผู้เฒ่ามักบอก ท่านเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น แต่เรื่องที่ท่านผู้เฒ่ากระทำ กลับไม่มีผู้ใดสามารถกระทำได้เด็ดขาด”

นี่คือความยิ่งใหญ่ของลี้คิมฮวง

ดังนั้น มิว่าลี้คิมฮวงอยู่แห่งหนใด ต่างดำรงอยู่ในหัวใจผู้คนทั้งหลายไปชั่วกาลนาน

 

แสงโคมสลัวลงทีละน้อย คล้ายน้ำมันเหือดแห้งแล้ว

ชุยเง็กจินถอนใจเบาๆ กล่าว

“ข้าพเจ้าตอนนี้เพียงกังวลอยู่เรื่องเดียว

“ท่านกังวลนางจะบอกร่องรอยของข้าพเจ้าแก่ผู้อื่น? ท่านกังวลนางจะย้อนมาอีก?”

“ใช่แล้ว”

“นางต้องไม่ทำดั่งนี้เด็ดขาด นางเพียงหวังให้อาการของข้าพเจ้าทุเลาโดยเร็ว”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะนางต้องการให้ข้าพเจ้าไปช่วยรับมือผู้อื่นแทนนาง”

ชุยเง็กจินยังคงไม่เข้าใจ เอี๊ยบไคจึงอธิบาย

“วันนั้นนางแสร้งล่อให้เง็กเซียวไปหาข้าพเจ้า จุดประสงค์เพียงเพื่อให้ข้าพเจ้ากับมัน ปะทะกันจนแตกหักกันข้างหนึ่ง นางหวังให้ข้าพเจ้าช่วยนางฆ่าก้วยเต๋ง ฆ่าอีแม้เข่า ฆ่าบรรดาผู้คนที่อาจจะเป็นอุปสรรคขวางทางของนาง”

“แต่ทว่า นางก็ต้องทราบ ท่านไม่ยอมฆ่าคนเพื่อนางเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าแม้ไม่ไปฆ่าคนแทนนาง แต่พวกเหล่านั้นกลับจะต้องมาฆ่าข้าพเจ้าให้ได้”

“ขอเพียงพวกท่านปะทะกัน มิว่าผู้ใดมีชัยผู้ใดพ่ายแพ้ นางต่างพอจะตักตัวงผลประโยชน์ได้?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะรับคำ

“ดังนั้น นางจึงไม่หวังให้ข้าพเจ้าบาดเจ็บ ยิ่งไม่หวังให้ข้าพเจ้าต้องตายโดยเร็ว”

ชุยเง็กจินรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ นึกไม่ถึง ในโลกจะมีสตรีที่กลอกกลิ้งเลือดเย็นถึงปานนี้

เอี๊ยบไคครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มชั่วครู่ จึงกล่าวอีก

“ดังนั้นมีเรื่องหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ายิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ”

“เรื่องอันใด?”

เอี๊ยบไคกล่าวเบาๆ

“คนที่บังคับให้ท่านไปเป่าขลุ่ยในอุทยานแนเฮียงฮึ้ง อาจบางทีเป็นคนที่เง็กเซียวใช้ไปก็ได้”

“ไฮ้! มันไฉนต้องกระทำเรื่องเยี่ยงนั้น?”

“เนื่องเพราะมันทราบอยู่ก่อน ท่านเป็นสตรีที่มีจิตใจประเสริฐดีงาม ทราบอยู่ก่อนว่า ท่านไม่พอใจมัน มีความคิดจะตีจากมันไป”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะต่ำ กล่าวเบาๆ

“ระหว่างนี้ ข้าพเจ้ามีความคิดหาวิธีหนีมันอยู่จริงๆ”

“และมันก็ทราบ ข้าพเจ้าต้องไปหาที่แนเฮียงฮึ้ง ดังนั้นจึงแสร้างบังคับให้ท่านไปรออยู่ในที่นั้น แสร้งให้ท่านแพร่งพรายข่าวเต็งฮุ้นลิ้มแก่ข้าพเจ้า”

“หรือมันจะแสร้งต้องการให้ท่านไปช่วยเต็งโกวเนี้ยออกมา?”

“ถูกแล้ว เนื่องเพราะมันได้ใช้วิชาอาถรรพ์สามารถสะกดจิตใจเต็งฮุ้นลิ้มอยู่ในอำนาจมัน เรียกให้เต็งฮุ้นลิ้มพอเห็นข้าพเจ้าก็ฆ่าข้าพเจ้าทันที”

“ไฮ้! ถูกทีเดียว ดังนั้นมันจึงแสร้างไปตั้งเหมยที่นอกหน้าต่างถึงสามกระถาง จุดประสงค์เพียงเพื่อให้ท่านหาพบได้ง่าย”

“แต่มันเพราะกลัวข้าพเจ้าเกิดระแวงแคลงใจ ดังนั้น จึงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าประสบผลโดยง่ายดายเกินไป”

“ดังนั้น มันจึงแสร้งก่อนกวนเลศนัยขึ้นอีกมากหลาย ให้ท่านไม่มีวันได้คิดถึงเลศนัยประการนี้ตลอดไป?”

“ที่มันคร่าตัวเต็งฮุ้นลิ้มไป ความจริงมิใช่เพราะเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเลย แต่เพราะต้องการชีวิตข้าพเจ้าเท่านั้น?”

ชุยเง็กจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวด้วยความเคียดแค้น

“ก่อนนี้ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ถึง มันจะเป็นคนอำมหิตชั่วร้ายจนเลือดเย็นปานนี้”

“แต่มันกลับมิใช่คนของกิจี๊ปังเด็ดขาด เนื่องเพราะเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ไม่ต้องการชีวิตข้าพเจ้า และไม่ทราบมันใช้อุบายเยี่ยงนั้น ดังนั้นข้าพเจ้ายิ่งคิดไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจเรื่องอันใด?”

“ไม่เข้าใจ มันไฉนรู้จักวิชาสะกดจิตที่ชั่วร้ายมีอาถรรพณ์”

“หรือคนที่รู้จักวิชาอาถรรพณ์นี้น้อยอย่างยิ่ง?”

“คนที่เป็นมีไม่น้อย แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงกลับมีไม่มาก ในจำนวนนั้นส่วนมากเป็นคนของม้อก้า”

“ไฮ้ ม้อก้า?”

“ท่านก็เคยได้ยิน?”

“ข้าพเจ้ายังคงเข้าใจอยู่เสมอ เป็นเพียงเรื่องเล่าลือกันเท่านั้น นึกมิถึง ในโลกจะมีม้อก้าอยู่จริงๆ”

“ท่านมิเคยได้ยินเง็กเซียวเอ่ยถึงม้อก้ามาเลย?”

“มิเคย”

“ท่านอยู่กับมันนานเท่าใดแล้ว?”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะต่ำ ส่งเสี้ยงอ้อยอิ่ง

“ร่วมสองปีแล้ว”

ใบหน้านางปรากฏแววเคียดแค้นรันทดจนบอกมิถูกอีกครา คิดว่าในสองปีนี้นางต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานปานอยู่ในอเวจีเป็นแน่

เอี๊ยบไครอนจนอารมณ์นางสงบลงทีละน้อยจึงถาม

“ในสองปีนี้ ปกติมันอยู่สถานที่ใด?”

“มันมีเรือทะเลลำใหญ่อย่างยิ่ง ปกติมันอยู่ในเรือ แต่ทุกประมาณสองเดือนจะต้องหาปากน้ำสักแห่งจอดพัก เติมเสบียงและน้ำจืด”

นางครุ่นคิดแล้วกล่าวต่อ

“แต่เมื่อหลายเดือนก่อน มันกลับไปจับเจ่าอยู่บนเกาะร้างไม่มีผู้คนถึงหกเจ็ดวัน ทั้งมิได้พาผู้อื่นขึ้นเกาะ และห้ามมิให้พวกเราลงจากเรือด้วย”

ดวงตาเอี๊ยบไคเป็นประกายทันที พลันนึกถึงวาจาทิโกว

.... ครั้งนี้ นิกายเราเปิดประชุมบนยอดเขาเทพเจ้า ตกลงตั้งนิกายขึ้นใหม่อีกครา สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ กับกงจู๊ที่คัดเลือกใหม่...

ชุยเง็กจินถาม

“ท่านกำลังครุ่นคิดเรื่องอันใด?”

เอี๊ยบไคถอนใจยาวกล่าวตอบ

“ข้าพเจ้าความจริงยังสงสัย แต่มิกล้าเชื่ออยู่เสมอมา”

“สงสัยกรำร?”

“สงสัยเง็กเซียวก็เข้าม้อก้า และอาจจะเป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้าด้วย”

สีหน้าชุยเง็กจินซีดขาวทันที คว้ามือเอี๊ยบไคกำแนบแน่น พลางกล่าว

“บาดแผลของท่านเจ็บหรือไม่?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ชุยเง็กจินกล่าวต่อ

“ฟังว่ามีดที่ม้อก้าใช้ต่างอาบยาพิษร้ายทั้งสิ้น?”

“ถูกแล้ว”

“หากบนมีดมีพิษ บาดแผลของท่านไหนเลยจะรู้สึกเจ็บได้?”

หากมีดมียาพิษก็ต้องไม่รู้สึกเจ็บ เพียงรู้สึกชาๆ คันๆ เท่านั้น

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“มาตาว่าในมีดมีพิษ ก็ไม่อาจปลิดชีวิตข้าพเจ้าได้”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเป็นคนพิสดารอย่างยิ่ง ในโลหิตของข้าพเจ้า มีปฏิกิริยาต่อต้านพิษอยู่ โดยเฉพาะสลายพิษของม้อก้าได้”

ชุยเง็กจินเบิ่งตาด้วยความตระหนก ร้องโพล่งขึ้น

“นี่เป็นตามธรรมชาติ?”

“มิได้ เพิ่งเป็นเมื่อเร็วๆ นี้เอง”

“ไฉนจึงเป็นได้?”

“มารดาข้าพเจ้า ก่อนนี้ความจริงเป็นตั้วกงจู๊ของม้อก้า”

“ไฮ้ ! บัดนี้เล่า?”

“บัดนี้นางเป็นเพียงหญิงชรา ที่ธรรมดาจนสามัญยิ่ง กำลังอยู่ในสถานที่สุขสงบแห่งหนึ่ง เสพสุขกับบั้นปลายในชีวิตนาง นางหวังเพียงให้บุตรของนาง มักมีโอกาสกลับไปเยี่ยมนางบ่อยครั้งเท่านั้น”

“แต่ท่านมิใคร่ได้กลับไปนัก?”

“เนื่องเพราะนางยังมีบุตรอยู่ปรนนิบัติอีกผู้หนึ่ง”

ดวงตาเอี๊ยบไคคล้ายเหม่อมองไปในทิศทางสุดแสนไกลอีกครั้ง กล่าวช้าๆ

“บุตรคนนั้น แม้มิใช่นางให้กำเนิด แต่เปรียบกับข้าพเจ้าที่เป็นสายเลือดของนาง บุตรคนนั้นยังกตเวทีมากกว่านัก”

“ผู้นั้นก็คล้ายดั่งท่าน?”

“มันก็เป็นดั่งข้าพเจ้า เป็นคนพิกลอย่างยิ่ง แต่น่าดูกว่าข้าพเจ้ามากนัก วาจาไร้สาระก็ไม่มากเท่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหวังอย่างยิ่ง ภายหน้าท่านได้เห็นมันสักครั้ง”

ชุยเง็กจินแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าก็หวังมีโอกาสได้พบมัน ในเมื่อมันเป็นเฮียตี๋ของท่าน อย่างนั้น มันต้องเป็นคนประเสริฐเช่นเดียวกับท่าน”

ในใจนางเต็มตื้นไปด้วยความสุขของอนาคต อดมิได้ต้องถามอีก

“มันมีนามใด?”

เอี๊ยบไคบอกนามคนผู้นั้นทีละคำ

“โป้วอั้งเสาะ (หิมะแดง)”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น