วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) ชีวิตหลังเมฆฝน

 

ชีวิตหลังเมฆฝน

ตอนพระเพลิงลูบไล้พสุธากลายเป็นสีแดงฉานนั้น อรุโณทัยก็กรายเข้ามา

แต่เอี๊ยบไคยังคงไม่มา

เอี๊ยบไคเมาแล้ว!

น้อยครั้งนักที่เอี๊ยบไคจะเมา ยังมิเคยเห็นมีผู้ใดสามารถกรอกเอี๊ยบไคให้เมาได้ หนึ่งเดียวที่สามารถกรอกให้เมาคือตัวเอี๊ยบไคเอง

เอี๊ยบไคน้อยครั้งนัก ที่จะกรอกสุราตัวเอง

ดื่มสุราเมามิใช่เป็นเรื่องน่าสนุกสนานนัก โดยเฉพาะเช้าวันรุ่งขึ้นยิ่งไม่สนุกสนาน... ประการนี้ เอี๊ยบไคเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าทุกผู้คน

แต่เมื่อค่ำวาน เอี๊ยบไคกลับพยายามกรอกตัวเองให้เมามายจนสิ้นสติ ลืมเลือนทุกเรื่องราวไป

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคอย่างไรยังมิใช่ปราชญ์ลุโสดาบัน

เมื่อทราบว่าคนรักกำลังเข้าพิธีวิวาห์ แต่เจ้าบ่าวกลับมิใช่ตน ยังมีผู้ใดสามารถเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนหนทางด้วยสติที่คึกคักแจ่มใส จิตใจอิ่มเอิบยินดีได้?

ดังนั้น เมื่อเอี๊ยบไคเตร็ดเตร่มาถึงสถานที่แรกที่มีสุราขาย ก็หยุดเท้าลง หยุดเป็นเวลาชั่วยามเศษ

แต่ตอนออกจากร้าน เอี๊ยบไคยังไม่เมา

“สุราที่นี้คล้ายดั่งชืดเกินไป คล้ายดั่งผสมน้ำมากเกินไป”

ดังนั้น เอี๊ยบไคจึงเดินหาจนพบสถานที่ขายสุราแห่งที่สอง ใช้ฝีเท้าที่มีใคร่มั่นคงนัก วิ่งเข้าไปในร้าน

เอี๊ยบไคออกมาได้อย่างไร? ตัวเองก็จำไม่ได้ ภายหลังยังไปสถานที่สามหรือไม่ ไม่มีปัญญาจดจำแล้ว

หนึ่งเดียวที่ยังจำได้ คือฟาดศีรษะอันธพาลผู้หนึ่งที่พานางคณิกาไปดื่มสุราจนแตกเป็นโพรง

โพรงนั้นโตใหญ่เท่าใดแน่? เอี๊ยบไคจำไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ตอนได้สติฟื้นคืนมา พบเห็นตนถึงกับนอนอยู่ในกองขยะของตรอกตัน

ขยะที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นคลุคลุ้ง กระทั่งสุนัขยังไม่ยินยอมนอนในสถานที่

เอี๊ยบไคพอจะประกันได้ มิใช่ตนยินยอมมานอนสถานที่เช่นนี้เด็ดขาด เอี๊ยบไคไม่เคยมีนิสัยนอนในกองขยะมาเลย

ต้องเป็นอันธพาลที่ถูกตีศีรษะแตกเป็นโพรงผู้นั้น หาพวกพ้องมาแก้แค้น จัดการทุบตีตนพักหนึ่งแล้ว จึงลากมาทิ้งไว้ที่นี้

เอี๊ยบไคสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้รวดเร็วยิ่ง

เนื่องเพราะตอนผุดลุกขึ้น มิเพียงศีรษะปวดแปลบราวจะแตกเป็นเสี่ยงเท่านั้น กระดูทั่วร่างยังเจ็บปวดอย่างยิ่งด้วย

นั่นต้องเป็นหมัดจำนวนมากหลาย จึงสามารถต่อยจนเอี๊ยบไคกลายเป็นสภาพนี้ แต่เอี๊ยบไคยังมิทันฝึกต่อยตีคน ก็ฝึกถูกต่อยตีมาก่อน

มิว่าผู้ใด หากพบเห็นว่าถูกโยนอยู่ในกองขยะ ถูกทุบตีจนยับเยินเยี่ยงนี้ ต่างต้องไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะที่ระเบิด ต่างต้องมิอาจไม่เศร้าเสียใจได้

แต่เอี๊ยบไคกลับหัวร่อ

.... บางครั้งถูกคนทุบตีหนักหน่วงสักพัก ไยมิใช่เป็นเรื่องสนุกสนานสมใจยิ่ง!

อย่าว่าแต่เอี๊ยบไคยังเชื่อ บรรดาอันธพาลที่เตะต่อยตนเหล่านั้น ตอนนี้มือเท้าจะต้องเจ็บปวดอย่างยิ่งเช่นกัน

 

ออกจากตรอกตัน เป็นทางลาดเทสายหนึ่ง เฉกเช่นกับถนนทั่วๆ ไปในมหานครเชี่ยงอัน... เก่าชราจนคร่ำคร่า

ตรงข้ามตรอกเป็นสุราเล็กๆ ปากประตูแขวนน้ำเต้าสุราใบมหึมา เป็นน้ำเต้าเหล็ก

เอี๊ยบไคพลันนึกได้ การดื่มสุราและต่อยตีเมื่อค่ำวาน อยู่ในร้านสุราเล็กๆ นี้เอง

ด้านหลังร้านสุรา คล้ายดั่งมีประตูลับบานหนึ่ง สตรีที่อันธพาลผู้นั้นพาออกมา เป็นสตรีอยู่หลังประตูลับบานนั้นเอง

ออกจากที่นี้ เลี้ยวทางซ้ายไปอีกสองถนน ก็เป็นโรงเตี๊ยมฮ้งปิน

ชั่วชีวิตนี้ของเอี๊ยบไค น่ากลัวไม่ยอมไปโรงเตี๊ยมฮ้งปินอีกแล้ว เรื่องเสียดแทงใจในที่นั้น มีมากเกินไปจริงๆ

บัดนี้สมควรไปที่ใด? สมควรกระทำเรื่องราวใด? เอี๊ยบไคกระทั่งคิดยังมิยอมคิด

เอี๊ยบไคตกลงใจ ยังไม่ไปคิดชั่วคราว สมองตอนนี้ยังคงหนักอึ้งอยู่

เพียงแต่ทราบ ไม่อาจเลี้ยวซ้ายไปเด็ดขาด

วันนี้ถึงกับเป็นดินฟ้าอากาศแจ่มใสอีก แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนร่าง อบอุ่นอย่างยิ่ง สบายอย่างยิ่ง

ผู้คนบนถนนต่างสวมเสื้อผ้าใหม่ ใบหน้ามีรอยยิ้มแย้ม ด้วยจิตใจร่าเริงแจ่มใส พอพบคนรู้จัก เป็นประสานมือคารวะ กล่าวอวยพรกันมิหยุดปาก

เอี๊ยบไคจึงพลันนึกได้ วันนี้ยังคงเป็นชิวยี่ (ที่สองของปี)

ผู้คนอื่นๆ สมควรกระทำเรื่องราวใดในวันชิวยี่ของปี

...พาพวกบุตรธิดาไปอวยพรปีใหม่ที่บ้านญาติสนิทมิตรสหาย รับเงินแต๊ะเอียมาบ้าง จากนั้นค่อยกลับบ้าน เตรียมเงินทองไว้ให้ผู้อื่นมาคารวะอวยพร คืนเงินแต๊ะเอียให้กับบุตรธิดาของผู้อื่น

วันนี้ ทั้งปวงต่างถูกห้ามิให้กล่าววาจาอัปมงคล ยังห้ามมิให้เกิดเรื่องต่อยตี มีโทสะ

แต่เมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีมิตรสหาย เป็นเพียงคนพเนจรที่ร่อนเร่ไปทุกแห่งหน วันนี้พอจะกระทำเรื่องราวใด?

เอี๊ยบไคเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนหนทาง เหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลา แต่ความจริงไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น ในใจก็มิได้คิดกระไร... อาจบางทีคิดเพียงเรื่องเดียว

“เต็งฮุ้นลิ้มกำลังทำกระไร?”

ความจริงเอี๊ยบไคตกลงใจไม่ไปคิดถึงนางตลอดกาล แต่มิทราบเพราะกระไร ในสมองที่หนักอึ้งจนมึนงงนี้ คิดไปคิดมา พาลมีแต่นางเพียงลำพัง!

เอี๊ยบไคเมื่อครู่ยังตกลงใจ ไม่ไปที่โรงเตี๊ยมฮ้งปินอีกเป็นอันขาด แต่ตอนนี้พอเงิยหน้าก็พบเห็น ถึงกับยังเดินอยู่ในถนนสายนั้น

ประหลาดที่ว่า กลับไม่เห็นป้ายตัวทองที่แขวนอยู่สูงของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน เพียงเห็นคนกลุ่มใหญ่ล้อมอยู่ในบริเวณนั้น มีบ้างซุบซิบวิจารณ์กัน มีบ้างส่ายหน้าถอนใจ กระทั่งยังมีบ้าง ตีอกชกตัวร่ำไห้

“ที่นั้นเกิดเรื่องราวใดกันแน่?”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องเร่งฝีเท้า เบียดหมู่ผู้คนเข้าไป จากนั้นพลันตัวชาจนแข็ง คล้ายดั่งถูกผลักตกลงในหล่มน้ำแข็งที่ลึกไม่ถึงก้น

โรงเตี๊ยมฮ้งปิน ที่โอ่อ่าโอฬารที่สุดของนครเชี่ยงอัน ตอนนี้ถึงกับกลายเป็นซากปรักหักพัง!

 

คดีสยดสยองที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมฮ้งปินเมื่อค่ำวาน จนสว่างวันนี้จึงมีคนทราบ

เนื่องเพราะเมื่อค่ำวาน เป็นวันพิเศษอย่างยิ่ง... ชิวอิ้ดของปี

ค่ำคืนวันชิวอิ้ด ผู้คนทั้งหลายมักจะเสพสุขอยู่ในบ้าน ไม่มีผู้ใดยอมออกเตร็ดเตร่ตามท้องถนนเด็ดขาด

แม้นับว่ามีคน ก็ต้องเป็นบรรดาปิศาจนักพนัน ที่พนันจนหูอื้อตาลาย ไม่มีผู้ใดจะไปเที่ยวในโรงเต๊ยมแน่

ผู้ที่อยู่กับบ้าน ส่วนมากดื่มสุราเล่นการพนัน ยิ่งไม่มีผู้ใดไปสนใจเรื่องทางภายนอก

คนที่เจ้าของโรงเตี๊ยมชราเชิญไปดื่มสุรา อาจบางทีล้วนเป็นคนโสดโดดเดี่ยวที่ไม่มีบ้านช่อง เป็นคนโสดโดดเดี่ยวที่ไม่มีผู้กังวลสนใจ

เนื่องเพราะเป็นวันพิเศษ จึงเกิดเรื่องพิเศษเหล่านั้นขึ้น

นี่มิใช่เป็นบังเอิญ

แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ล้วนมีสาเหตุของมันทั้งสิ้น!

 

“ที่นี้เกิดเพลิงไหม้ในเวลาใด?”

“มิทราบ”

“เมื่อค่ำวานเราเล่นไพ่เก้าอยู่ ต่อให้เป็นฟ้าถล่มลงมาเราก็ไม่อาจทราบได้”

“ฟังว่าเมื่อค่ำวานมีคนประกอบพิธีวิวาห์ในที่นี้?”

“คล้ายดั่งใช่”

“พวกที่มาดื่มสุรามงคล ไฉนไม่เห็นเลยสักผู้เดียว?”

“มิทราบ”

“บ่าวสาวผู้นั้นเล่า?”

“มิทราบ”

“ที่นี้แม้ถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่กระทั่งกระดูกคนยังมีมีสักท่อน”

“เจ้าของโรงเตี๊ยมเล่า?”

“มิทราบ”

เมื่อค่ำวาน ที่นี้เกิดเรื่องราวใดบ้าง นับว่าไม่มีคนทราบเลยสักผู้เดียวจริงๆ

“เรื่องอื่นๆ เราไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงประหลาดที่บ่าวสาวมิได้อยู่ในห้องหอ กระทั่งเจ้าของชราก็ไม่เห็นแล้ว”

ทั้งปวงต่างวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งกล่าวยิ่งมาก

หรือที่นี้ เมื่อค่ำวานเกิดปิศาจผุดขึ้นมาทำลาย?

หากมิใช่ภูตผีปิศาจ โรงเตี๊ยมถูกเผาผลาญหมดสิ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมชราย่อมต้องมาดูบ้าง

เอี๊ยบไคทราบ ไม่มีภูตผี ทั้งมิเคยเชื่อเรื่องภูตผีมาเลย

แต่เรื่องนี้กลับคล้ายได้พบเห็นภูตผีจริงๆ แม้นับว่าฟาดศีรษะจนแตกเป็นโพรง ก็ไม่มีปัญญาครุ่นคิดสาเหตุออก

เอี๊ยบไคเพียงรู้สึก ตลอดร่างกลายเป็นไม้ท่อนหนึ่ง ไม้ที่ทั้งเย็นทั้งแข็ง

ที่นี้เกิดอัคคีภัยเพราะสาเหตุใดกันแน่?

เต็งฮุ้นลิ้มกับก้วยเต๋งไปที่ใดแล้ว?

เอี๊ยบไคต้องลอบถามร่องรอยของทั้งสองมาให้ได้ แต่มิทราบสมควรไปถามผู้ใด?

ขณะเวลานั้นเอง ในกลุ่มคนหนาแน่น มีผู้หนึ่งกระตุกชายเสื้อเอี๊ยบไคเบาๆ

เอี๊ยบไคพอก้มมองก็เห็น มือที่เรียวงามขาวผ่องข้างหนึ่ง... มือของสตรี

เป็นผู้ใดฉุดชายเสื้อ?

ใช่เต็งฮุ้นลิ้มหรือไม่?

เอี๊ยบไคเงยหน้า คนที่ฉุดชายเสื้อก็หันกายเบียดผู้คนออกจากวงไป

ร่างนางคลุมเสื้อคลุมสีดำ รวบผมยาวสยายไว้ ใช้ห่วงหยกรัดเป็นมวย

นางใช่เต็งฮุ้นลิ้มหรือไม่กันแน่?

เอี๊ยบไคดูไม่ออก

เอี๊ยบไคจึงจำต้องตามนางออกจากกลุ่มผู้คน ดูร่างที่อ้อนแอ้นแบบบางของนาง เอี๊ยบไคพลันบังเกิดรสชาติที่บอกไม่ถูก ทั้งหวังให้นางเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม ทั้งหวังให้นางมิใช่

หากนางเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม สองคนเมื่อพบกัน ในใจจะมีรสชาติใด? มีวาจาใดอีก?

หากนางมิใช่เต็งฮุ้นลิ้ม จะเป็นผู้ใดกัน?

ครั้งนี้เอี๊ยบไคถึงกับมิได้หวาดหวั่น และมิได้หลบหนี เอี๊ยบไคทราบ มิว่านางใช่เต็งฮุ้นลิ้มหรือไม่ ต่างต้องมีเรื่องราวบอกกับตนมากมายยิ่ง

นางเดินนำหน้าอยู่ช้าๆ ทั้งมิได้หยุดและมิได้เหลียวหลัง ผ่านถนนสายนี้ไปแล้ว ผ่านอีกสายหนึ่งจึงวกเข้าในตรอกขวาง

ตรอกที่แคบอย่างยิ่ง

ตอนเอี๊ยบไคไล่ตามไป เห็นเงาร่างนางเพียงถลันวูบเดียวก็หายเข้าไปในประตูแคบๆ

ประตูเพียงเปิดแง้มไว้มิได้ลงกลอน

ดูทางภายนอก เป็นเพียงประตูของครอบครัวธรรมดา เหนือประตูมีฝุ่นเกาะหนา คล้ายดั่งมิได้ปัดกวาดมานานอย่างยิ่ง

เมื่อเอี๊ยบไคถึงหน้าประตู หัวใจพลันเต้นถี่รัว

เอี๊ยบไคนึกได้ สถานที่นี้เคยมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้มิต้องเข้าไปก็ทราบนางเป็นผู้ใดแล้ว

ชุยเง็กจิน!

บ้านนี้คือสถานที่ซึ่งนางเคยพาเอี๊ยบไคมารักษาบาดแผล

นึกถึงเรื่องราวในสองวันนั้น หัวใจเอี๊ยบไคมีความรู้สึกประหลาดพิกล ประดังขึ้นจนบอกไม่ถูก มิทราบเป็นปีติยินดี เป็นหดหู่รันทด? หรือเป็นท้อแท้ผิดหวัง?

ยินดีที่ชุยเง็กจินยังมีชีวิตอยู่

หดหู่ที่อดีตกลายเป็นเรื่องผ่านพ้น ความฝันครั้งนั้น ไม่มีปัญญาสืบสาวคืนกลับมา

แล้วท้อแท้ผิดหวังในเรื่องอันใด?

หรือก้นบึ้งหัวใจ ยังหวังจะได้เห็นนางเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม ความหลังเก่าก่อน มิใช่ไม่มีทางสืบสาวโดยสิ้นเชิง อย่างน้อย ในลมหนาวเหน็บ ยังพอจะหานางได้จากความฝัน

สายลมโชยมาจากทางด้านหลังซึ่งเป็นห้องครัว โชยเข้าในลานตึกที่สงบเงียบ

ในสายลม มีกลิ่นหอมของข้าวต้มไก่

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องนึกถึงเช้าวันนั้น และได้กลิ่นหอมของข้าวต้ม กำลังต้องการข้าวต้มที่ร้อนๆ หอมหวนชวนรับทาน มีมือขาวสะอาดคู่หนึ่ง มือที่ทั้งสวยงามทั้งผุดผ่องประคองให้

มิคาด ข้าวต้มถึงกับลอยเข้ามาทางประตู

เอี๊ยบไคก็มิได้เห็นมือเรียวงามขาวผ่องคู่นั้น ที่ได้เห็นกลับเป็นมือโลหิตที่ฆ่าคน

เชียะม้อซิ้ว อีแม้เข่า!

หลังจากวันนั้นแล้ว เอี๊ยบไคก็มิได้พบนางอีก มิเคยคาดคิด ทั้งสองยังจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง

เอี๊ยบไคความจริงเข้าใจ ตนกับเต็งฮุ้นลิ้มต้องสามารถอยู่ร่วมกันชั่วกาลนาน มิคาด ตอนนี้ถึงกับไม่อาจพบพานกันอีก

การจำพรากตายจาก ทุกข์สุขดีร้ายของชีวิต มีผู้ใดสามารถคาดคิดได้? คำนวณได้?

เอี๊ยบไคถอนใจเบาๆ ผลักประตูเดินเข้าไป เตียงตัวนั้น ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ หลังนั้นยังคงเป็นปกติดั่งเดิม

กระทั่งแสงอาทิตย์ที่มุมห้อง ยังคงเป็นเช่นเช้าวันนั้นมิผิดเพี้ยน

เอี๊ยบไคมิทราบเป็นอ่อนล้าระโหย หรือเป็นท้อแท้ระทวย เมื่อเดินเข้าไปก็ล้มตัวลงบนเตียง

บนหมอนถึงกับคล้ายยังมีกลิ่นหอมของทรงผมนางเหลืออยู่

อย่างไรก็ตาม สองวันที่สุขสงบนั้น ได้จารึกอยู่ในความทรงจำไว้ชั่วกาลนานแล้ว

กระทั่งใจยังคิด หากวันนั้นนางมิได้ประสบภัยสุดวิสัย จวบจนบัดนี้ ตนยังจะอยู่ร่วมกับนางที่ห้องนี้อีกหรือไม่?

มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่หน้าประตู นางประคองชามข้าวต้มที่ร้อนควันกรุ่นเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มหยาดเยิ้มดั่งบัวแย้ม

มันเป็นสภาพที่ เช้าวันนั้นเอี๊ยบไคมุ่งหวังอยู่ เพียงแต่ว่า วันนี้ห่างกับเช้าวันนั้นมิทราบอีกเนิ่นนานเท่าใด? เกิดเรื่องราวมากอีกมากน้อยเท่าใด?

ตอนนี้ มาตรว่าสภาพยังคงเป็นเช่นเช้าวันนั้น แต่จิตใจของทั้งสองกลับผิดแปลกไป

ในโลก มีผู้ใดสามารถรั้งเวลาที่ผ่านไปให้คืนกลับมาได้อีก?

เอี๊ยบไคพยายามฝืนยิ้มทักทาย

“เช้า”

“เช้า (อรุณสวัสดิ์)”

ชุยเง็กจินรับคำแล้ว แย้มยิ้มนุ่มนวลกว่าเดิม กล่าวต่อไป

“ข้าวต้มเสร็จแล้ว ท่านนอนรับทานบนเตียงหรือไร?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ

ดังนั้นเอง ข้าวต้มที่ทั้งร้อนทั้งหอม ถูกมือเรียวงามขาวผ่องของนางประคองเข้ามา

ตอนนี้ เอี๊ยบไคต้องการข้าวต้มเช่นนี้เป็นอย่างยิ่งจริงๆ เพราะในกระเพาะว่างเปล่า ตลอดร่างว่างเปล่าอยู่แล้ว

รสของข้าวต้มก็ยังคงเป็นเช่นคราก่อน แต่ทว่าเอี๊ยบไคดื่มไม่กี่คำก็กลืนกินมิลงอีกแล้ว

ชุยเง็กจินเพ่งมองพลางกล่าวเบาๆ

“เมื่อค่ำวาน ท่านจะต้องเมาอย่างร้ายกาจยิ่ง?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“เมาจนคล้ายเป็นสุนัขตายตัวหนึ่งจริงๆ”

ชุยเง็กจินเพ่งมองอีกเนิ่นนาน จึงถอนใจเบาๆ กล่าว

“หากข้าพเจ้าเป็นท่าน ก็ต้องกรอกจนเมามาย”

“ท่านทราบเหตุการณ์เมื่อค่ำวาน?”

“ความจริงข้าพเจ้ายังไม่ทราบ”

ดวงตาคู่งามของนาง พลันปรากฏประกายรันทดหดหู่จนบอกมิถูก เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นช้าๆ

“เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าถูกอีแม้เข่าคุกคามให้กลับไปที่เง็กเซียว มันจึง... จึงห้ามิให้ข้าพเจ้าออกมาอีก”

เอี๊ยบไคหดหู่ยิ่ง ทราบว่านางจะต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อย แม้นางมิบอก เอี๊ยบไคก็ดูออก

“ความจริงข้าพเจ้าเข้าใจ ชีวิตชาตินี้สุดสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ถึง อสูรร้ายตัวนั้นก็มีวันตายกับมือผู้อื่น”

“เง็กเซียวพอตาย ท่านก็มาที่นี้”

ชุยเง็กจินผงกศีรษะตอบ

“พวกเจ๊ม่วยพอได้ยินข่าวตายของมัน คล้ายเป็นนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรง ต่างแค้นที่ไม่สามารถโบยบินให้สุดแสนไกล แต่ละคนแบ่งข้าวของมันมาเล็กน้อยๆ ไม่ถึงชั่วยามก็พากันกระจายไปหมดสิ้น มีแต่ข้าพเจ้า”

นางก้มศีรษะต่ำ มิได้เล่าต่อไป

... มีแต่นางมิได้ไป เนื่องเพราะนางไม่อาจลืมเอี๊ยบไคได้ ดังนั้นจึงย้อนมาที่นี่อีกครา คิดจะแสวงหาความฝันที่ผ่านพ้นไปในคราครั้งก่อนคืนมา

วาจานี้นางมิต้องบอก เอี๊ยบไคย่อมเข้าใจได้

“ข้าพเจ้าจับเจ่าอยู่ในห้องนี้เพียงลำพังมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งไม่ออกไป และนอนไม่หลับ”

นางหัวร่อ แต่เป็นเสียงหัวร่อที่ขมขื่นอย่างยิ่ง เล่าต่อไป

“ความจริงข้าพเจ้าก็ทราบ ท่านต้องไม่กลับมาที่นี้อีกแน่นอน”

ในใจของเอี๊ยบไค ไยมิใช่ขมขื่นจนบอกมิถูกเช่นกัน

เอี๊ยบไคพบเห็น ตนเป็นคนไร้น้ำใจจริงๆ เพราะมิเคยคิดจะย้อนกลับมาที่นี้อีกเลยจริงๆ

“จวบจนเมื่อเช้าวันก่อน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงประทัดทางด้านนอก จึงนึกได้ว่าเป็นชิวอิ้ดของปี”

หยุดเล็กน้อยแล้ว เล่าช้าๆ สืบไป

“ข้าพเจ้าไม่คิดจะอึดอัดอยู่ในห้องอีกต่อไป ข้าพเจ้ายังหิวโหยจนไม่อาจทนทาน อดมิได้ต้องคิดไปเดินเล่นทางภายนอกสักรอบ แต่ข้าพเจ้าคิดมิถึง พอเพิ่งออกไป ได้ยินข่าวร้ายที่น่ากลัวยิ่ง”

“ข่าวใด?”

“ข้าพเจ้าได้ยินเต็งโกวเนี้ยจะวิวาห์”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกว่าเดิมกล่าว

“ข่าวนี้มิได้น่ากลัวเลย”

“แต่ทว่า ตอนนั้นข้าพเจ้าเข้าใจนาง... นางจะวิวาห์กับท่าน”

ดรุณีที่แรกรัก หากได้ยินชายคนรักจะวิวาห์กับผู้อื่น ย่อมมีความเห็น ข่าวนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง

เอี๊ยบไคเข้าใจความรู้สึกของนาง เพราะตนก็เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นมา จึงอดมิได้ต้องถอนใจเบาๆ

ชุยเง็กจินก้มศีรษะเล่าต่อไป

“ข้าพเจ้าได้ยิน คนที่เต็งโกวเนี้ยจะวิวาห์ด้วยเป็นคนบาดเจ็บสาหัส ข้าพเจ้ายิ่งเข้าใจต้องเป็นท่าน ตอนนั้นมาตรว่าข้าพเจ้าเศร้าเสียใจยิ่ง แต่กลับหวังได้พบท่าน ในโต๊ะสุรามงคลอีกครั้ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้นำของขวัญชิ้นหนึ่ง ส่งไปที่โรงเตี๊ยมฮ้งปิน”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม

เอี๊ยบไคก็ส่งของขวัญไป ของขวัญที่พิเศษอย่างยิ่ง

หลังจากทราบข่าววิวาห์เต็งฮุ้นลิ้ม เอี๊ยบไคตกลงใจ ต้องหาทางรักษาอาการก้วยเต๋งให้ทุเลา

เสียดายที่ตัวเอี๊ยบไคเอง ไม่มีความสามารถเรื่องรักษาพยาบาล ดังนั้นใช้ช่วงเวลาคืนเดียว ไปกลับระยะทางเจ็ดร้อยลี้หาตัวกัวแป้มา

ชุยเง็กจินขบริมฝีปากแล้วเล่าต่อ

“แต่พอถึงค่ำคืน ข้าพเจ้าเกิดไม่กล้าไปดื่มสุรามงคลอีก”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“ท่านไม่กล้า? ท่านกลัวกระไร?”

“ข้าพเจ้า... พลันเกิดความกลัว จะได้พบท่านอีก”

“ตอนนั้น ท่านยังไม่ทราบเจ้าบ่าวมิใช่ข้าพเจ้า?”

“ยังมิทราบ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขังตัวเองอยู่ในห้องอีก ซื้อสุราอาหารมาเล็กน้อย หลบดื่มกินอยู่เพียงลำพัง ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าก็พอจะถือว่า กำลังดื่มสุรามงคลของพวกท่าน”

ชุยเง็กจินเล่าด้วยสีหน้าหม่นหมอง น้ำเสียงสั่นเครือ เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องกุมมือนางเบาๆ

ในโลกถึงกับมีดรุณีเช่นนี้? มีน้ำใจต่อตนลึกซึ้งปานนี้?

เอี๊ยบไคเองถึงกับมิทราบสักน้อยนิด

เอี๊ยบไครู้สึก หัวใจปวดแปลบจนต้องส่งเสียง

“หากข้าพเจ้าทราบท่านอยู่ที่นี้ ข้าพเจ้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแน่นอน”

ในที่สุด ชุยเง็กจินแย้มยิ้มขึ้นแล้ว อีกเนิ่นนานให้หลังจึงเล่าต่อ

“ข้าพเจ้าดื่มสุราไปเล็กน้อยแล้ว อดมิได้เกิดความต้องการจะไปดูท่านอีก”

“ท่านไปหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าลังเลนานอย่างยิ่ง จิตใจกลับๆ กลอกๆ โดยไม่อาจตัดสินใจ ข้าพเจ้าทั้งกลัวพบพวกท่านแล้วทนทานมิได้ แต่หากมิได้พบกันตลอดกาลในสภาพนั้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกมิยินยอม”

เอี๊ยบไคก็เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ ในโลกอาจไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้กระจ่างกว่าเอี๊ยบไค

ชุยเง็กจินเล่าต่อ

“สุดท้าย ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงใจได้”

“ตกลงใจอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าแม้นับว่ามิได้ไปดื่มสุรามงคลของพวกท่าน ก็ต้องลอลดูพวกท่านทางด้านนอกสักแวบหนึ่ง”

“ท่านไปแล้ว”

“ใช่ เมื่อวานเป็นชิวอิ้ดของปี พอถึงราตรีตามถนนหนทางแทบไม่มีผู้สัญจร ข้าพเจ้าเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนเนิ่นนานยิ่ง จึงสามารถปลุกปลอบใจให้เข้มแข็งได้ ลัดเลาะเข้าไปที่หลังโรงเตี๊ยม พอเข้าไป ข้าพเจ้าก็ทราบไม่ถูกต้องทันที”

“มีที่ใดไม่ถูกต้อง?”

“โรงเตี๊ยมที่ใหญ่โตปานนั้น กระทั่งไม่มีเสียงใดๆ สักน้อยนิด มิเพียงไม่ได้ยินเสียงคนกำลังประกอบพิธีเท่านั้น กระทั่งยังเงียบวังเวง ยิ่งกว่าบ้านช่องคนที่มีบนศพเสียอีก”

เอี๊ยบไคก็รู้สึกไม่ถูกต้องแล้ว รีบถามขึ้น

“ข้าพเจ้าทราบ คนไปดื่มสุรามงคลมีไม่น้อย ไฉนไม่มีเสียงเลยสักน้อยนิด?”

“ข้าพเจ้าหาจนพบ ห้องโถงที่ประกอบพิธีวิวาห์ ลอบมองจากหน้าต่างเข้าไป...”

ใบหน้านางพลันปรากฏแววหวาดหวั่นจนถึงที่สุด คล้ายดั่งได้เห็นสภาพที่สยดสยองจนไม่อาจทนดูนั้นอีกครา

หัวใจเอี๊ยบไคก็วาบหวิวลงทีละน้อย อดมิได้ต้องถามอีก

“ท่านเห็นกระไร?”

“ข้าพเจ้า.... ข้าพเจ้า...”

เสียงของนางสั่นสะท้าน จนเนิ่นนานให้หลัง จึงสามารถกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าเห็น ในห้องโถงมีแต่โลหิตเป็นลิ่มๆ ซากศพระเกะระกะ กระทั่งไม่มีคนเป็นๆ เลยแม้สักผู้เดียว”

เอี๊ยบไคตะลึงลานไป คล้ายดั่งถูกผลักลงในหุบเหวมืดมิดที่ไม่เห็นก้น!

“ตอนนั้น ข้าพเจ้าเข้าใจท่านก็อยู่ที่นั้น ดังนั้นข้าพเจ้าไม่คำนึงถึงเภทภัยใดๆ โถมเข้าไปทันที”

นางระบายลมจากปากเบาๆ เล่าต่อไป

“จวบจนตอนนั้นข้าพเจ้าจึงทราบ คนที่เต็งโกวเนี้ยจะวิวาห์ด้วยมิใช่ท่าน”

“ท่าน... ท่านแลเห็นเจ้าบ่าวผู้นั้น? .... มันก็ตายแล้ว?”

เสียงถามของเอี๊ยบไคก็สั่นสะท้านเช่นกัน ชุยเง็กจินผงกศีรษะ ตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“มันตายสยดสยองยิ่ง”

เอี๊ยบไคแม้มิกล้าถาม แต่ยังคงอดมิได้ต้องถามไป

“เต็งฮุ้นลิ้มเล่า? หรือนางก็....”

“นางมิได้ตาย นางตอนนั้นมิได้อยู่ในห้องพิธีด้วย”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องระบายลมจากปากเบาๆ แต่รู้สึกประหลาดใจยิ่ง

หลังจากนางแยกทางกับตนแล้ว หรือนางถึงกับมิได้กลับไป?

พวกก้วยเต๋งไฉนต้องตาย?

เป็นผู้ใดลงมืออำมหิต?

คนที่อยู่ในห้องพิธีค่ำคืนนั้นต้องมีไม่น้อย ผู้สามารถใช้ฝีมืออำมหิตเยี่ยงนี้กลับมีไม่มาก

ชุยเง็กจินเล่าต่อไป

“ข้าพเจ้าตอนนั้น แม้ทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นท่านไม่อยู่ในกองซากศพ ข้าพเจ้านับว่าระบายลมจากปากอย่างโล่งอกได้”

“ท่านเห็นศพที่ใส่เสื้อสีเหลืองทองสี่ซากหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ามิได้สนใจผู้อื่น และมิกล้าไปพิจารณาโดยละเอียด”

นางหยุดครุ่นคิดแล้วเล่าต่อ

“ในบรรดาซากศพเหล่านั้น คล้ายมีคนสวมเสื้อสีเหลืองทองอยู่หลายคน”

เอี๊ยบไคขมวดคิ้วถาม

“หากพวกมันก็ตายไป ฆาตกรเป็นผู้ใดกันแน่?”

“ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออก ในโลกไฉนยังมีคนใจดำอำมหิตปานนี้ ตอนนั้น ข้าพเจ้าเพียงต้องการรีบเร่งออกจากสถานที่นั้น มิคาด ข้าพเจ้าเพิ่งคิดจะไป พลันได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมแว่วขึ้นที่นอกหน้าต่าง”

หยุดเล็กน้อยแล้วนางเล่าต่อ

“เพราะสถานที่นั้นเงียบเกินไป ดังนั้นข้าพเจ้าได้ยินชัดเจนยิ่ง ผู้มามิเพียงท่าร่างรวดเร็วเท่านั้น ยังมีไม่เพียงหนึ่งคนอีกด้วย”

เอี๊ยบไคโพล่งด้วยความตื่นเต้น

“หรือบรรดาฆาตกรเหล่านั้นกลับมาอีก?”

“ตอนนั้นข้าพเจ้าก็เข้าใจเช่นนั้น จึงตระหนกจนกระทั่งหนีก็ยังไม่กล้า ยิ่งมิกล้ารีรออยู่ในที่นั้น หากถูกพวกมันพบเห็น ข้าพเจ้าไหนเลยจะมีชีวิตรอดได้? โชคดีที่ข้าพเจ้าพอมีวิชาฝีมืออยู่เล็กน้อย ในยามกระวนกระวาย วิชาฝีมือคล้ายดั่งสูงกว่าปกติมาบ้าง ถึงกับสามารถกระโดดได้สูงอย่างยิ่ง”

“ท่านคงกระโดดขึ้นไปบนขื่อกลางห้องกระมัง?”

“ใช่แล้ว ข้าพเจ้าหลบอยู่บนขื่อ กระทั่งลมหายใจยังมิกล้าระบาย แต่อดมิได้ต้องลอบดูลงจากเบื้องบน

“ท่านเห็นกระไรบ้าง?”

“ข้าพเจ้าเห็น คนสวมเสื้อเหลืองจำนวนหนึ่งกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง จัดการศพบนพื้นอย่างแคล่วคล่องเจนจัด โดยจับเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทีละซาก นอกหน้าต่างคล้ายมีคนใช้ของรองรับ เพียงครู่เดียว ซากศพในห้องถึงกับถูกพวกมันลำเลียงไปหมดสิ้น”

สีหน้าเอี๊ยบไคกลายเป็นเขียวคล้ำ กล่าวเบาๆ

“ท่านเห็นชัดว่า พวกมันต่างสวมเสื้อผ้าสีเหลือง?”

“ข้าพเจ้าเห็นชัดยิ่ง เนื่องเพราะสีเหลืองเสื้อผ้าของมันพิเศษอย่างยิ่ง ดูในแสงโคมไฟ คล้ายมีประกายทองแววาว”

เอี๊ยบไคกำหมัดแนบแน่นกล่าว

“เป็นพวกมันลงมืออำมหิตจริงๆ?”

“ข้าพเจ้าไม่เห็นพวกมันฆ่าคน”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อกล่าว

“หากคนมิใช่เป็นพวกมันฆ่า พวกมันไฉนต้องเก็บศพให้เหล่าฆาตกร?”

“หรือพวกมันฆ่าคนแล้ว ยังจะคิดทำลายซากเพื่อลบหลักฐาน?”

เอี๊ยบไคแค่นเสียงด้วยความชิงชัง

“ฆ่าคนปิดปาก ทำลายซากลบหลักฐาน คือพฤติการณ์ที่ชำนาญของพรรคกิมจี๊ปังอยู่แล้ว”

“กิมจี๊ปัง... กิมจี๊ปังเป็นพวกใดกัน?”

“พวกมันมิใช่มนุษย์”

ชุยเง็กจินดูสีหน้าดาลเดือดของเอี๊ยบไค มิกล้าถามสืบต่อไป ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงกล่าว

“ภายหลังข้าพเจ้าเห็นเต็งโกวเนี้ยอีก”

เอี๊ยบไคโพล่งด้วยความตื่นเต้น

“ท่านเห็นนางในที่นั้น?”

“ในห้องนั้นเอง”

“นางกลับไปอีก?”

“หลังจากคนชุดเหลืองลำเลียงซากศพไปหมดสิ้นแล้ว นางก็กลับเข้าไป”

“ท่านตอนนั้น ยังมิได้ไป?”

“ตอนนั้นทั้งร่างของข้าพเจ้าอ่อนระทวยด้วยความหวาดกลัว ซ่อนตัวบนขื่อเป็นครึ่งวัน เพิ่งหอบหายใจจนมีกำลังเล็กน้อย พวกนางก็มาแล้ว”

“พวกนาง? นางมิใช่ไปเพียงลำพัง?”

“ยังมีอีกผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด?”

“เป็นคนชราที่มีรูปลักษณะพิกลอย่างยิ่ง ดึกดื่นค่อนคืนยังถือร่มกันฝนด้ามหนึ่ง”

“อ้อ เป็นกัวแป้”

“ท่านรู้จักมัน?”

“มิเพียงรู้จัก ยังเป็นสหายเก่ากันด้วย”

ชุยเง็กจินอดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“อย่างนั้น ตอนนี้สหายเก่าของท่าน ก็น้อยไปอีกคนหนึ่งแล้ว”

“ไฮ้! มันตายแล้ว!

“ตายสยดสยองน่าอนาถยิ่ง”

“เป็นผู้ใดฆ่ามัน? เป็นผู้ใดใช้ฝีมืออำมหิตนั้น?”

“หลังจากพวกนางเห็นซากศพถูกลำเลียงหมดสิ้น ก็รู้สึกลำบากใจยิ่ง แต่ทว่านางมิได้รีรออยู่ต่อไป และมิได้พบเห็น ข้าพเจ้ายังซ่อนตัวอยู่บนขื่อ”

“ภายหลังเล่า?”

“พวกนางพอไป ข้าพเจ้าย่อมรีบหนีลงมาทันที พลันได้ยินมีคนเป่าขลุ่ยที่นอกหน้าต่าง พวกนางได้ยินเสียงขลุ่ยนั้น ก็ย้อนกลับมาอีก หากอยู่ในลานตึกชั่วครู่ กระโดดข้ามกำแพงไป”

“ท่านเล่า?”

“ข้าพเจ้าเห็น สีหน้าท่าทีพวกนางตื่นเต้นอย่างยิ่ง อดเกิดความรู้สึกประหลาด สงสัยมิได้”

“ดังนั้น ท่านจึงตามออกไป?”

“ข้าพเจ้ามิได้ตามออกไป เพียงแต่ซ่อนตัวบนกำแพง ดูไปทางด้านนอกเท่านั้น”

“ท่านเห็นกระไรอีก?”

“ด้านนอกมีต้นไม้ใหญ่ คล้ายดั่งแขวนโคมไฟดวงหนึ่ง ใต้โคมเป็นคนยืน ผู้หนึ่ง”

“เป็นคนใด?”

“ข้าพเจ้าอยู่ระยะไกลเกินไป ไม่อาจจะเห็นได้ชัดเจน โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีสรรพเสียงใดๆ ดังนั้นข้าพเจ้ากลับได้ยินเสียงสนทนาของพวกนางอยู่”

“พวกมันว่าเรื่องอันใดบ้าง?”

“หลังจากเต็งโกวเนี้ยเข้าไปแล้ว นางก็คล้ายร้องด้วยความตระหนก จากนั้น ถามคนผู้นั้นใช่ปู...”

เอี๊ยบไคโพล่งขึ้นด้วยความตื่นเต้น

“ปูตาลา!

ชุยเง็กจินผงกศีรษะรับ

“ถูกแล้ว ปูตาลา เต็งโกวเนี้ยกล่าวสามคำนี้จริงๆ”

“คนผู้นั้นว่าอย่างไร?”

“มันยอมรับ ยังว่าตัวมันเป็นยอดเขาที่สูงอย่างยิ่ง”

“ใช่ จ้าวฟ้ายอดเขาโดดเดี่ยว”

“ภายหลังข้าพเจ้าจึงทราบ มันผู้นั้นเป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า”

“กัวแป้ตายกับมือมัน?”

“กัวเล่าซิงแซเพราะต้องการช่วยเต็งโกวเนี้ย จึงถูกมันฟาดฝ่ามือทำร้าย แต่ทว่ามันก็ถูกอาวุธลับของกัวเล่าซิงแซ ข้าพเจ้าได้ยินกัวเล่าซิงแซบอกกับเต็งโกวเนี้ย นั่นเป็นอาวุธลับอาบยาพิษที่ร้ายกาจยิ่ง”

หยุดถอนใจแล้วเล่าต่อ

“แต่พลังฝ่ามือของมันยิ่งน่าสะพรึงกลัว กัวเล่าซิงแซเพียงถูกตบเบาๆ ฉาดเดียวก็ไม่มีทางช่วยเหลือได้”

เอี๊ยบไคตะลึงลานอีกครั้ง

เอี๊ยบไคทราบพลังฝีมือกัวแป้ และเข้าใจหลักวิชาการแพทย์ของกัวแป้

ด้วยพลังฝีมือและหลักวิชาการแพทย์ระดับนั้น แม้นับว่ามีคนสามารถทำอันตรายมันบาดเจ็บ มันก็สามารถช่วยชีวิตตัวเองได้

เอี๊ยบไคไม่อาจเชื่อเลยจริงๆ ในโลกถึงกับมีพลังฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวปานนี้ ถึงกับเพียงตบฉาดเดียว ก็สลายวิญญาณกัวแป้ไปได้

“แต่ข้าพเจ้าเห็นกับตาว่า กัวแป้ซิงแซล้มลงไป ล้มลงไปในสถานที่เดียวกับเจ้าบ่าวคนแรก”

แสดงว่าวาจาของนางยังมีความหมายอื่นแอบแฝง... นอกจากเจ้าบ่าวคนแรกแล้ว หรือยังมีเจ้าบ่าวคนที่สอง?

เรื่องเช่นนี้ ผู้อื่นกระทั่งคาดฝันก็ยังไม่มีทางคาดถึง

แต่เอี๊ยบไคกลับคาดคิดได้

เอี๊ยบไคเข้าใจเต็งฮุ้นลิ้ม คล้ายดั่งเข้าใจฝ่ามือของตัวเอง

ดังนั้น เมื่อชุยเง็กจินเล่าเรื่องที่นางพบเห็น เอี๊ยบไคไม่รู้สึกผิดคาดหมายเลย

ที่ผิดคาดหมายกลับเป็นชุยเง็กจิน

นางความจริงเข้าใจ มิว่าผู้ใดได้ยินเรื่องนี้แล้ว ต่างยากยิ่งจะไม่มีปฏิกิริยาที่พิเศษผิดธรรมดา

แต่เอี๊ยบไคเพียงถอนใจเบาๆ กล่าว

“ข้าพเจ้าทราบ นางต้องกระทำดั่งนั้นแน่”

ชุยเง็กจินอดมิได้ต้องถาม

“ท่านไม่ขุ่นเคืองนาง?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะตอบ

“หากท่านเป็นนาง ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านก็ต้องทำดังนั้น เนื่องเพราะพวกท่านต่างเป็นดรุณีที่มีจิตใจดีงามเปี่ยมการุษยธรรม พวกท่านต่างยินดียอมเสียสละตัวเอง ก็ไม่อาจหักใจไปเห็นผู้อื่นทนทุกข์ทรมาน”

เสียงของเอี๊ยบไคพลันกลับกลายเป็นนุ่มนวลอย่างยิ่ง เนื่องเพราะในใจเหลือแต่รักกับกังวล ไม่มีริษยาและเคียดแค้นเลยสักน้อยนิด

ชุยเง็กจินย่อมเข้าใจ นั่นเป็นความรักและกังวลที่มีต่อผู้ใด?

นางอดมิได้ต้องถอนใจเบาๆ ก้มศีรษะกล่าว

“เสียดายที่ข้าพเจ้ามิใช่นาง... ข้าพเจ้า...”

เอี๊ยบไคมิยอมให้นางกล่าวต่อ รีบสอดคำ

“ตอนท่านมา นางยังอยู่ในหล่มเพลิงนั้น?”

ชุยเง็กจินผงกศีรษะฝืนยิ้มตอบ

“แต่ท่านวางใจได้ นางตอนนี้จะต้องยังมีชีวิตเป็นปกติอยู่”

“เนื่องเพราะในเถ้าถ่านไม่มีศพนาง?”

“และก็เนื่องเพราะ นางเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงาม คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ข้าพเจ้าเชื่อ พวกท่านจะต้องได้พบกันในเร็ววันยิ่ง”

เอี๊ยบไคเบือนหน้า ไม่อาจหักใจไปดูสีหน้าของนาง

แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างเจิดจ้าแจ่มใส ฤดูใบไม้ผลิคล้ายใกล้จะกรายเข้ามาแล้ว

เอี๊ยบไคผุดลุกขึ้น เดินไปผลักหน้าต่างออก รำพึงเบาๆ

“จะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าพเจ้านับว่าแน่ใจเรื่องสองประการมาได้”

ชุยเง็กจินสงบฟัง เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“มิว่าปูตาลาผู้นั้นจะเป็นใคร ตอนนี้ต้องบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ข้าพเจ้าต้องหามันพบได้โดยไม่ยากนัก”

“ท่านจะต้องไปหามันให้ได้?”

“ใช่ แต่ข้าพเจ้ายังต้องไปหาอีกผู้หนึ่งก่อน”

“หาผู้ใด?”

“ฆาตกรที่ฆ่าคน”

ชุยเง็กจินขบริมฝีปากอีกครั้งจึงถาม

“ท่าน... จะไปในตอนนี้?”

เอี๊ยบไคตัดใจให้อำมหิตกล่าว

“ข้าพเจ้าต้องไปในบัดนี้ ท่าน... ท่านพอจะอยู่รอข้าพเจ้าที่นี่ ข้าพเจ้าต้องกลับมาแน่”

หัวใจเอี๊ยบไคมิกระด้างเท่าใด เสียงของเอี๊ยบไคแหบพร่าแล้ว

ชุยเง็กจินก้มศีรษะต่ำ มองปลายเท้าของตัวเองเป็นเวลาเนิ่นนาน พลันกล่าวขึ้น

“ท่านมิต้องกลับมาแล้ว”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้า... ต้องไม่อยู่รอท่านในที่นี้”

เสียงของนางก็แหบพร่าและสั่นเครือ

เอี๊ยบไคยังคงอดมิได้ต้องเหลียวไปถาม

“เพราะเหตุใด?”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม เน้นทีละคำ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิใช่นาง ข้าพเจ้า...”

นางมิได้กล่าวสืบต่อไป

แต่เพียงประโยคเดียว ก็บันดาลให้หัวใจนางแหลกสลายแล้ว

หัวใจเอี๊ยบไคก็ปวดแปลบอย่างยิ่ง

“ท่านจะไปที่ใด?”

“ข้าพเจ้ามีสถานที่ไปมากมายยิ่ง ข้าพเจ้าเคยมีความคิดอยู่ก่อน ไปเที่ยวในทุกแห่งหน ท่องเที่ยวที่ต่างๆ วันหน้า...”

นางพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ฝืนให้มีรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าไม่แน่ จะหาบุรุษที่สัตย์ซื่อสมถะสักคน แต่งให้มัน ให้กำเนิดบุตรธิดาแก่มันมากๆ และไม่แน่จะเปิดร้านสุราเล็กๆ เป็นเล่าปั้งเนี้ย (เถ้าแก่เนี้ย) ที่คุมกระทะเอง...”

หัวใจของนางแหลกสลายเป็นหมื่นๆ พันๆ ชิ้น แต่ละคำที่เปล่งไป เสียดแทงหัวใจที่แหลกละเอียดให้เป็นผุยผงกว่าเดิม

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ถึงตอนนั้น ข้าพเจ้าต้องไปเมาครั้งมโหฬารในร้านสุราของท่านให้ได้”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้ม มิอาจไม่แย้มยิ้ม เนื่องเพราะกัวหากตนหยุดยิ้ม น้ำตาจะหลั่งไหลออกมาได้

ชุยเง็กจินแย้มยิ้มกล่าว

“ถึงตอนนั้น ข้าพเจ้าจะต้องตุ๋นข้าวต้มไก่ให้ท่านอีกหม้อหนึ่ง ข้าวต้มไก่ที่ผสมรังนกนางแอ่น”

นางก็แย้มยิ้ม

แต่ทว่า... ตอนนางแย้มยิ้ม น้ำตาหลั่งไหลลงอาบแก้ม...

-------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น