วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) หัวใจนางสลายแล้ว

 

หัวใจนางสลายแล้ว

เอี๊ยบไคไม่เข้าใจเสมอมา แม้นับว่าเข้าใจก็ต้องไม่อาจเชื่อ ไม่ยินยอมเชื่อ

แต่ทว่า บัดนี้มิอาจไม่เชื่อแล้ว

ความจริงเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพอจะฉวยโอกาสนี้ ใช้วิธีพิกลนานามาทรมานตน

ประกายตาที่นางมองเอี๊ยบไค หรือเป็นความจริงได้?

นั่นอย่างน้อย ย่อมมีความจริงอยู่หลายส่วน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่งเสียงอ้อยอิ่งอีกครั้ง

“ข้าพเจ้าความจริงมีวิธีอีกมากหลายพอจะรั้งท่านอยู่ที่นี้ แต่ข้าพจไม่ต้องการบังคับใจท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องการให้ท่านรับปากเอง”

ในที่สุด เอี๊ยบไคต้องถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าความจริงรับปากอยู่ก่อนแล้ว”

----------------------

ที่หลังลานตึกมีห้องครัวเล็กๆ ตอนนี้ในห้องครัวมีกลิ่นข้าวต้มโชยมาเป็นระยะๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกำลังเข้าครัว ตุ๋นข้าวต้มให้เอี๊ยบไค เป็นข้าวต้มตุ๋นไก่ผสมกับโสม

ข้าพเจ้าความจริงคิดจะใส่โสมลงไปในข้าวต้มสักเล็กน้อย แต่ข้าพเจ้า....

เอี๊ยบไคพลันนึกถึงชุยเง็กจิน นึกถึงข้าวต้มที่ชุยเง็กจินตุ๋นให้ต้น

นางเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามน่ารักยิ่ง แต่ชะตาชีวิตของนางกลับอาภัพอย่างยิ่ง ประสบการณ์พาลเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง

ตอนนี้ นางมิทราบประสบเภทภัยใดบ้าง?

ยังมีเต็งฮุ้นลิ้ม นางตอนนี้มีสติสัมปชัญญะฟื้นคืนมาหรือไม่? ก้วยเต๋งยังอยู่ดูแลนางหรือไม่? นางตอนนี้อยู่ที่ใด?...

หากนางทราบ นางแทงเอี๊ยบไคบาดเจ็บ ความเจ็บช้ำใจของนางจะต้องยิ่งลึก ยิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่าแผลของเอี๊ยบไคเสียอีก

เรื่องเหล่านี้ ความจริงเอี๊ยบไคไม่ต้องการไปครุ่นคิด แต่พาลมิอาจไม่ไปคิด

แต่ทว่า เอี๊ยบไคคิดแล้วจะทำอย่างไรได้?

เอี๊ยบไครับปากเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน และบาดแผลของเอี๊ยบไค ก็สาหัสยิ่งกว่าที่คิดคาดไว้มากนัก

เอี๊ยบไคเมื่อครู่ ยังเกร็งกำลังภายในอยู่ตลอดมา แต่พอเอนกายนอนจึงได้ทราบ เมื่อครู่ที่สามารถทนทานอยู่นานปานนั้น นับเป็นปรากฏการณ์พิสดารจริงๆ

เอี๊ยบไคมิเพียงเจ็บปวดที่บาดแผลเท่านั้น กระทั่งกระดูกทั้งร่างก็เจ็บปวด ทั้งปวดเมื่อยจนบอกมิถูก

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนประคองชามข้าวต้มเข้ามา แย้มยิ้มจนหยากเยิ้มกล่าว

“นี่เป็นข้าพเจ้าปรุงกับมือเอง ท่านชิมดูเป็นอย่างไรบ้าง?”

นางถึงกับรู้จักเข้าครัว? ถึงกับรู้จักตุ๋นข้าวต้ม?

“อีกสองวันเมื่อท่านทุเลากว่านี้ ข้าพเจ้าค่อยผัดกับข้าวให้แก่ท่านสักหลายจานข้าพเจ้าประกัน กระทั่งซือแป๋ (พ่อครัว) ใหญ่ของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน ยังไม่มีฝีมือเทียบเท่าข้าพเจ้าได้”

รสของข้าวต้มไม่เลวจริงๆ และเอี๊ยบไคก็หิวอย่างยิ่ง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ในข้าวต้มก็มียาบำรุง แต่มิใช่เป็นยาบำรุงที่ให้ผู้กลืนกินต้องนอนหลับ เป็นยาบำรุงที่แท้จริง๐

นางล้างเครื่องแต่งหน้าออกจนหมดสิ้น เปลี่ยนเป็นเสื้อกระโปรงผ้าฝ้ายสีเขียวที่สมถะ ตอนนี้มิว่าผู้ใดเห็นนาง ต้องคาดคิดไม่ถึงเด็ดขาด นางคือปังจู๊ของกิมจี๊ปัง ยิ่งไม่ยอมเชื่อ นางคือสตรีที่มีจิตใจอำมหิตชั่วร้าย

ตอนนี้ นางคล้ายดั่งเปลี่ยนเป็นอีกผู้หนึ่ง

นางเปลี่ยนจากคนปัญญาอ่อน กลายเป็นอสูรชั่วร้าย ตอนนี้กลับกลายเป็นภรรยาที่นุ่มนวล อยู่ในอำนาจสามี เป็นจูหู (แม่บ้าน) ที่มัธยัสถ์และเปรื่องปราดสามารถ

เอี๊ยบไคจ้องมองนาง บัดนี้กระทั่งตัวเองก็แยกแยะไม่ถูก นางเป็นสตรีเยี่ยงไรกันแน่?

อาจบางท แต่ละคนต่างมีโฉมหน้าอยู่สองเค้า

แต่ละคนต่างมีด้านดีงาม และด้านชั่วร้ายอย่างยิ่ง กระทั่งเอี๊ยบไคเองก็มิได้นอกเหนือกว่านี้ เพียงแต่ว่าเอี๊ยบไคมักสามารถข่มบังคับด้านชั่วร้ายของตนไว้ได้ดียิ่งเสมอมาเท่านั้น

และตนใช่จะสามารถ บันดาลให้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน คุมขังด้านชั่วร้ายของนางไว้ตลอดกาลหรือไม่?

เอี๊ยบไคไม่มีความมั่นใจ

แต่ตกลงใจขอทดลองดูสักครั้ง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนป้อนข้าวต้มหมดชามแล้ว กำลังตรวจดูบาดแผลที่ขาอ่อนของเอี๊ยบไค นางถอนใจเบาๆ กล่าว

“บาดแผลของท่านสาหัสไม่น้อยเลย ดูท่า มือข้างนั้นของลู่เต๊ก นับว่าคล้ายหลอมขึ้นจากเหล็กจริงๆ”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“มิคล้ายหลอมจากเหล็กแน่ เนื่องเพราะในโลกต้องไม่มีเหล็กน่ากลัวปานนั้น”

ครุ่นคิดพลางกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าความจริงมีเจตนาให้ท่านไปหาลู่เต๊กล้างแค้นแทนฮั่นเจ็งจริง ข้าพเจ้ามีความต้องการให้ท่านฆ่าพวกมันแทนข้าพเจ้า”

เอี๊ยบไคสงบฟัง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ปัจจุบันนี้ มาตรว่าเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย อาฮุยเกี้ยมแขะ และจิ้นบ้อเมี่ยยังอาจมีชีวิตอยู่ แต่พวกท่านต้องไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวงพวกนักเลงอีกเด็ดขาด”

สามคนนั้น นับว่ามิได้มีชีวิตอยู่ในโลกียวิสัยแล้วจริงๆ ร่องรอยของพวกท่านได้เข้าสู่เทพนิยายแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“นอกจากพวกท่านสามคนแล้ว ในโลกนี้ผู้ที่สามารถคุกคามข้าพเจ้าได้จริง ก็มีเพียงสามคนเช่นกัน”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“ท่านทายดู”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านก็ย่อมนับข้าพเจ้าอยู่ในจำนวนนั้นด้วย”

“ข้าพเจ้ามิได้”

เอี๊ยบไคงุนงงวูบ อดมิได้ต้องถาม

“หรือข้าพเจ้ายังไม่อาจนับเป็นยอดฝีมือ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มตอบ

“หากวิจารณ์วิชาฝีมือ ท่านย่อมเป็นสุดยอดของบู๊ลิ้มยุคนี้ หากวิจารณ์ตามภูมิปัญญาและปฏิภาณ ท่านยิ่งไม่ด้อยกว่าผู้อื่นใดเด็ดขาด มีดสั้นของท่าน หลังจากเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยแล้ว นับเป็นอาวุธน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกนี้ได้เต็มปากคำ”

นี่เป็นวาจาสัตย์จริง

เอี๊ยบไคมิเคยสอดแทรกวาจาสัตย์จริงของผู้อื่นมาเลย ยิ่งไม่ต้องการสอดแทรกวาจาที่ผู้อื่นกล่าวชมเชยตนด้วย

มิว่าอย่างไร ถูกผู้อื่นยกย่องชมเชย ย่อมเป็นเรื่องที่เบิกบานอย่างยิ่งอยู่

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แต่หัวใจของท่านไม่ดำเพียงพอ ฝีมือก็ไม่อำมหิตเพียงพอ มีดสั้นที่ท่านซัดออกจากมือ มักเป็นการช่วยคนมากกว่า ฆ่าคนน้อยกว่าอยู่เสมอ”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจคุกคามท่าน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนประสานตาแน่วนิ่ง กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านไม่อาจคุกคามข้าพเจ้า ปมสำเร็จสุดคือยังเนื่องเพราะ... เนื่องเพราะพวกเราเป็นมิตรสหาย ข้าพเจ้าต้องไม่ทำอันตรายท่านจริง ข้าพเจ้าก็เชื่อ ท่านต้องไม่อาจตัดใจอำมหิต มาทำอันตรายข้าพเจ้าจริง”

ประกายตานางนุ่มนวลและจริงใจ มิว่าผู้ใดยามกล่าววาจา ต้องไม่มีประกายตาที่จริงปานนี้ได้

หัวใจเอี๊ยบไคพลันบังเกิดความรู้สึกที่ตัวเองก็ไม่ปรารถนายอมรับ รีบเปลี่ยนเรื่องขึ้นทันที

“ในเมื่อข้าพเจ้าไม่นับ น่ำไฮ้เง็กเซียวนับเป็นหนึ่งในจำนวนนี้ได้หรือไม่?”

“ไม่ได้”

“ไฮ้ มันก็นับไม่ได้?”

“เมื่อสามสิบปีก่อน มันก็สามารถทะยานตัวเข้าเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของตำราอาวุธ แต่ตอนนี้มันเข้าสู่นิกายม้อก้าแล้ว พลังฝีมือของมัน ย่อมยิ่งน่าสะพรึงกลัว แต่กลับไม่อาจคุกคามข้าพเจ้าได้”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะมันชราไปแล้ว และมันยังมีจุดอ่อน”

เง็กเซียวงมงายในราคำ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อพลางตอบ

“ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่หวั่นเกรงมันสักน้อยนิด ขอเพียงเป็นคนงมงายในราคะ ข้าพเจ้าก็มีวิธีรับมือมัน”

นี่ก็เป็นวาจาสัตย์จริง

นางมิเพียงสวยสะคราญยิ่ง ฉลาดปราดเปรื่องยิ่งเท่านั้น ยังกราดเกรี้ยวอำมหิต ไร้น้ำใจ สตรีประเภทนี้พอดีเป็นดาวข่มคนงมงายในราคะได้

อย่าว่าแต่ดรุณีเยาว์วัยที่สวยสะคราญ ความจริงก็มีวิธีไปรับมือกับชายชราที่งมงายในราคะอยู่มากหลาย

โลกนี้ ความจริงมีชายชราที่ภูมิปัญญาปราดเปรื่องหลักแหลมมากมายยิ่ง ที่ถูกสตรีโง่เขลาเบาปัญญาหลอกลวงจนบ้านช่องพินาศ ทรัพย์สินมอดมลาย ชื่อเสียงย่อยยับ ชีวิตดับสูญ

หัวใจเอี๊ยบไคสะทกสะท้านจนบอกมิถูก

เอี๊ยบไคทราบ เง็กเซียวจะเร็วจะช้า ก็ต้องตายกับมือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ที่เห็นใจมิใช่เป็นเง็กเซียว แต่เป็นบรรดาชายชราที่ไม่ยอมรับตัวเองสูญเสียเสน่ห์ดึงดูดจิตใจดรุณีเหล่านั้น

“เง็กเซียวไม่อาจนับ ก้วยเต๋งเล่า?”

“ก้วยเต๋งก็ไม่อาจนบ”

เอี๊ยบไคไม่เห็นพ้อง ต้องคัดค้านทันที

“เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา ความสูงส่งในเพลงกระบี่ก้วยเต๋ง ถึงระดับมิด้อยกว่าซงเอี๊ยมทิเกี่ยมในอดีตแล้ว”

“เพลงกระบี่ของมัน อาจจะเหนือกว่าซงเอี๊ยงทิเกี่ยมเสียอีก น่ำเก็งเอี๊ยงพอจะนับเป็นยอดฝีมือกระบี่ในบู๊ลิ้มยุคนี้เต็มภาคภูมิ แต่ยังไม่อาจรับมันได้ถึงสิบกระบวนท่า”

“ท่านเห็นการต่อสู้ครั้งนั้นด้วย?”

“การต่อสู้ของสุดยอดฝีมือบู๊ลิ้มในยุคนี้ ข้าพเจ้าเพียงสามารถเร่งรุดเดินทางไปทันเวลา ต้องไม่ยอมให้ปล่อยให้ผ่านตาเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“มีบางครั้งท่านกระทั่งยังลอบดูอยู่ทางนอกกำแพง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“มันลงมือกราดเกรี้ยวดุดัน หนักแน่นเข้มแข็ง และยังพลิกแพลงได้รวดเร็วอย่างยิ่ง แทบจะถึงระดับ ไม่มีจุดอ่อนช่องว่างพอจะตีโต้ แต่ตัวมันก็มีจุดอ่อน”

“อ้อ?”

“มันมากน้ำใจเกินไป”

เอี๊ยบไคไม่อาจไม่ยอมรับ ก้วยเต๋งนับเป็นคนมีน้ำใจมากเกินไปจริงๆ

ดูตามเปลือกนอกของมัน มาตรว่าเข้มแข็งและเย็นชาอำมหิต แต่ความจริงมันเป็นคนมีน้ำใจฟุ่มเฟือยยิ่ง เป็นคนพลุ่งพล่านดาลใจง่ายดายยิ่ง บางครั้ง กระทั่งยังมีอารมณ์อ่อนไหวดั่งอิสตรี

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“คนที่มากน้ำใจ ก็ยากจะไม่เปราะบาง หากแม้นในตัวคนเราเปราะบางอย่างยิ่ง มิว่าเพลงกระบี่ของมันกราดเกรี้ยวดุดันปานใด ต่างไม่เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว”

เอี๊ยบไคถอนใจเบาๆ

เอี๊ยบไคนึกถึงก้วยเต๋ง พลอยนึกไปถึงเต็งฮุ้นลิ้มด้วย เต็งฮุ้นลิ้มมิเพียงมากน้ำใจเท่านั้น ยังงมงายในความรักอีกด้วย

เอี๊ยบไคไม่ปรารถนาครุ่นคิดสืบไป จึงถามขึ้น

“เตียงจูเชี้ยจู๊ (ประมุขนครไข่มุก) เล่า?”

“เฮียม่วยเตียงจูเซี้ยจู๊ นับเป็นอัจฉริยะที่สูงส่งได้จริงๆ ความพิสดารในเพลงกระบี่ของพวกมัน พอจะยกเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินได้เช่นกัน”

“สี่ร้อยเก้าสิบกระบี่ไข่มุกสัมพันธ์?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะตอบ

“เฮียม่วยสองคนนั้น ต่างมีสรีระร่างที่ผิดธรรมชาติแต่กำเนิด คนหนึ่งมีแขนขวายาวกว่าแขนซ้ายเจ็ดนิ้ว คนหนึ่งมีแขนซ้ายยาวกว่าแขนขวาเจ็ดนิ้ว มือหนึ่งถือกระบี่ยาว มือหนึ่งถือกระบี่สั้น และยังเป็นเฮียม่วยฝาแฝด มีกระแสจิตตรงกันยามร่วมมือจู่โจมศัตรู ทั้งสองก็คล้ายเป็นคนคนเดียว ยามกรีดกรายเพลงกระบี่คนเดียวกับกลายคล้ายเป็นสี่คนไป”

เอี๊ยบไคกล่าว

“ฟังว่า สี่ร้อยเก้าสิบกระบี่ไข่มุกสัมพันธ์ของพวกมัน เพียงระดมจู่โจมมา ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้”

“มิเพียงไม่มีคนทำลายได้เท่านั้น และในโลกนี้ก็มีน้อยคนนัก ที่จะสามารถรับสี่ร้อยเก้าสิบกระบี่ของพวกมันอยู่”

“พวกมันนับได้หรือไม่?”

“ไม่นับ”

“ไฮ้ พวกมันก็ไม่นับ เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะพวกมันตายไปแล้ว?”

“ไฮ้! ตายเมื่อใด? ตายอย่างไร?”

“แต่ละคนต่างไม่อาจหลีกหนีความตายพ้น ท่านไยต้องแตกตื่นสงสัยถึงปานนี้?”

“มาตรว่าพวกมันตายไป แต่เพลงกระบี่ของพวกมัน หาได้ตายไปด้วยไม่”

“มาตรว่าเพลงกระบี่พวกมันยังมีทายาทสืบต่อ แต่จะไปหาเฮียม่วยที่มีรูปกายพิเศษพิสดารมาแต่กำเนิดเยี่ยงนี้ มาฝึกได้เพลงกระบี่เลอเลิศพิสดารเยี่ยงพวกมันจากแห่งหนใด?”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจอีกครา

แต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน มิทราบมีเพลงกระบี่ที่เลอเลิศสุดหล้าฟ้าดินอยู่มากมายเพียงใด ต่างเฉกเช่นกับสี่ร้อยเก้าสิบกระบี่ไข่มุกสัมพันธ์ เพียงเปล่งประกายวูบเดียวก็ดับลับหาย กลายเป็นวิชาสูญสิ้นการถ่ายทอดไป

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านครุ่นคิดไปแต่ในหมู่ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น ท่านจะไม่มีวันเดาถูกได้ตลอดกาล”

“สามคนที่ท่านว่า หรือต่างมิใช่เป็นคนมีชื่อเสียง?”

“อย่างน้อย มิใช่เป็นคนมีชื่อเสียงเยี่ยงนั้น”

เอี๊ยบไคครุ่นคิดแล้วพลันถามขึ้น

“ท่านรู้จักโป้วอั้งเสาะหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ารู้จัก มันเป็นสหายรักของท่าน และก็พอจะนับเป็นเฮียตี๋ของท่านได้ มันเป็นคนพิกลอย่างยิ่ง เพลงดาบของมันก็พิกลยิ่ง”

“มิใช่พิกล เป็นเร็ว เร็วจนผู้คนต้องอกสั่นขวัญฝ่อ”

“ข้าพเจ้าเคยเห็นมันลงมือมา”

“อ้อ”

“ดาบที่มันลงมือ ทั้งเร็วทั้งแม่นยำ จนพอจะทัดเทียมกับอาฮุยเกี้ยมแขะของกาลกระโน้นโดยไม่ด้อยกว่า แต่ทว่า...”

“แต่ทว่า มันยังไม่อาจนับได้?”

“ไม่อาจ”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะมันไม่มีความปรารถนา ย่างกรายสู่วงพวกนักเลงอีกเลย มันยังคล้ายเบื่อหน่ายชิงชังชีวิตอีกด้วย มันเพียงคิดจะเป็นวาสีที่ถืออุเบกขา ไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษ มีเกียรติภูมิเกรียงไกรในแผ่นดิน อย่าว่าแต่มันยังมีโรคประจำตัวที่น่ากลัวยิ่ง ซึ่งคล้ายเป็นเชื้อโรคเกาะกระดูกของมันอยู่”

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้งด้วยความหม่นหมอง ไม่มีวาจาโต้แย้ง

ครั้งนี้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิได้บอกผิด

นางถึงกับล่วงรู้ประวัติความเป็นมา นิสัยใจคอของวีรบุรุษในแผ่นดินได้กระจ่างดั่งนิ้วในฝ่ามือ

นางมิเพียงแยกแยะกระจ่างชัดเท่านั้น ยังวิจารณ์ได้ถูกต้อง มิอาจโต้แย้งอีกด้วย

ที่น่ากลัวสุดคือ มิว่าผู้ใดเพียงมีจุดอ่อนแม้สักน้อยนิด ต่างไม่อาจอำพรางนางไปได้เลย!

เอี๊ยบไครู้สึก นางเปลี่ยนอีกแล้ว เปลี่ยนจากภรรยาที่นุ่มนวลอยู่ในโอวาท กลายเป็นผู้สันทัดกรณีวิชาบู๊ ที่ล่วงรู้หลักวิชาและประวัติความเป็นมาของผู้มีฝีมือทั้งแผ่นดิน กลับกลายเป็นนักการทหารที่มีกลยุทธ์ชาญฉลาด ระบุผลแพ้ชนะที่อยู่ไกลตัวเป็นพันๆ ลี้ได้

นางกระทั่งยังคล้ายเป็นผู้ที่อุ่นสุราวิจารณ์วีรบุรุษอยู่ในป่าเหมย... โจโฉ!

ความจริงเอี๊ยบไครู้สึกระโหยอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้ยินวาจานางแล้ว จิตใจคล้ายดั่งพลันคึกคัดขึ้นอีกมากหลาย สติแจ่มใสกว่าเดิมมากมาย

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถามอีก

“แล้วสามคนที่ท่านว่า เป็นผู้ใดกันแน่?”

“สามคนที่ข้าพเจ้าว่า จึงเป็นคนน่ากลัวที่สุดในแผ่นดินยุคนี้ เนื่องเพราะพวกมันแทบไม่มีจุดอ่อนเลย”

ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมีประกายแวววาว กล่าวสืบต่อไป

“คนแรกแซ่บั๊กนามโง้วแช”

“บั๊กโง้วแช?”

“ท่านมิเคยได้ยินนามคนผู้นี้?”

“มันเป็นคนตระกูลบั๊กในแชเซี้ย?”

“ใช่ มันจึงเป็นประมุขตัวจริงของพวกกล้าตายแชเซี้ยเหล่านั้น เฮ็กแป๊ะเป็นเพียงข้าทาสของมันเท่านั้นเอง”

เฮ็กแป๊ะนับเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่กลับเป็นเพียงข้าทาสของบั๊กโง้วแชเท่านั้น!

...ท่านฆ่าเราแล้ว เจ้านายของเรา ต้องให้ท่านตายยิ่งสยดสยองกว่า...

นึกถึงคำสาปแช่งตอนก่อนตายของเฮ็กแป๊ะ นึกถึงสีหน้าที่กราดเกรี้ยวอำมหิต ทีท่าคล้ายดั่งปิศาจของมัน หัวใจเอี๊ยบไคอดเย็นวาบมาไม่ได้

“บั๊กโง้วแชเป็นคนเช่นไรกันแน่? พลังฝีมือของมันสูงถึงระดับใดกันแน่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่ายหน้าตอบ

“ข้าพเจ้าบอกไม่ถูก”

“ท่านก็บอกไม่ถูก?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าก็บอกไม่ถูก ดังนั้นจึงน่ากลัว ... อื่นๆ ยังมิต้องไปว่ากล่าว เพียงบริวารที่มันมี อย่างน้อยกว่าห้าร้อยคน ต่างพร้อมที่จะตายแทนมันได้ทุกเวลา ประการเดียวท่านก็พอจะคิดออก มันเป็นคนน่าสะพรึงกลัวปานใด?”

นึกถึงพวกกล้าตายเหล่านั้น ต่างยอมตายอย่างอาจหาญสยดสยอง เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องขนลุกเกรียว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“คนที่สองที่ข้าพเจ้าว่า ท่านเคยประมือกับมันมาแล้ว?”

“ลู่เต๊ก?”

“ใช่ ลู่เต๊กนี่เอง ท่านอาจบางทีประเมินมันต่ำเกินไปเสมอมา”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“อย่างน้อยข้าพเจ้าตอนนี้ ไม่อาจประเมินมันต่ำอีกแล้ว ข้าพเจ้าแทบตายกับมือมันมา”

“แต่ท่านกลับยังมิทราบ ความน่ากลัวที่แท้จริงของมันอยู่ที่ใด”

“อ้อ?”

“วิชาบู๊ของมันท่านได้เห็นแล้ว ท่านรู้สึกอย่างไร?”

“ตอนมันป้องกัน ไม่มีจุดอ่อนช่องว่าให้จู่โจม ตอนมันจู่โจม วูบเดียวดุจอสนีบาตฟาดทำลาย และยังลงมือได้กลอกกลิ้งพลิกแพลง ถึงกับสามารถขุดหลุมพรางไว้ก่อน ล่อให้คนกระโดดลงไปโดยไม่รู้ตัว”

“แต่หากมีดสั้นของท่านหลุดจากมือ มันยังคงมิแน่สามารถหลบหลีกพ้น”

เอี๊ยบไคมิได้รับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ

กับมีดสั้นของตน เอี๊ยบไคมิยินยอมวิจารณ์เสมอมา

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของลู่เต๊ก อยู่ที่อักษรสิบหกตัว ท่านเพียงบอกได้สีตัวเท่านั้น

“สี่ตัวใด?”

“กีเปี่ยงข้าจ่า (กลอกกลิ้งเจ้าเลห์)”

“ยังมีอีกสิบสองตัวใด?”

“ซิมติ๊มแนขก (อำมหิตเลือดเย็น) กี่เปี่ยงข้าจ่า (กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์) ซิมยู่ใช้ลั้ง (ใจดุจสัตว์ป่า) เหมาซื่อกุนจื่อ (หน้าดั่งวิญญูชน)”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“มันยังเป็นคนเยาว์วัย อักษรสิบหกตัวนี้ ท่านออกจะวิจารณ์มันเกินไปบ้างกระมัง?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนย้อนถาม

“ท่านทราบหรือไม่? มันไฉนจึงพิชิตท่านได้”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ

เอี๊ยบไคมิใช่ไม่ทราบ เพียงแต่ไม่ต้องการบอกไป

แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนได้บอกแทน

“เท่าที่มันสามารถพิชิตท่าน เนื่องเพราะมีดสั้นของท่นมิได้ซัดออกไป”

นางพลันถามอีก

“แต่ท่านทราบหรือไม่? ไฉนมีดสั้นของท่านจึงไม่ซัดไป?”

ครั้งนี้เอี๊ยบไคคล้ายจะบอกแล้ว แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่ยอมให้เอ่ยปาก รีบชิงกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะมันซัดกระบี่ของมันออกไปก่อน ท่านย่อมไม่อาจใช้มีดสั้นของท่านได้อีก”

เอี๊ยบไคย้อมถาม

“หรือมันคำนวณประการนี้ไว้ได้ก่อน? ดังนั้นจึงไม่ใช้กระบี่?”

“ใช่แล้ว”

“แต่มันก็ได้ย้ำหลายครั้งครา มือของมันเป็นอาวุธร้ายที่ฆ่าคน”

“เนื่องเพราะมันคำนวณ ท่านเป็นคนเช่นไรได้แม่นยำ มันทราบ มันยิ่งกล่าวเยี่ยงนั้น ท่านยิ่งไม่ยอมใช้มีดสั้นเป็นอาวุธ ดังนั้น มันจึงพาลแสดงความโอ่อ่าเปิดเผยออกมาให้ท่านเห็น”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“แล้วท่านทราบหรือไม่? มันไฉนไม่ฆ่าท่าน?”

“เนื่องเพราะ...”

“เนื่องเพราะมันก็ทราบ หากมันลงมือสังหารท่านจริง มีดสั้นของท่านก็อาจจะหลุดจากมือได้ มันย่อมทราบ ในตัวท่านต้องไม่มีมีดสั้นเพียงเล่มเดียว”

“แต่ทว่า ตอนหลังมันยังนัดหมายให้ข้าพเจ้าต่อสู้กับมันอีก...”

“ครั้งนี้ มันออมมือทอดไมตรีแก่ท่าน ครั้งหน้าแม้จะต่อสู้กันอีก ท่านหักใจลงมือสังหารมันได้?”

หยุดหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“อย่าว่าแต่ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว ท่านได้รู้สึกมันเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง รู้สึกมีความรักถนอมในตัวมัน ดังนั้นมาตรว่าภายหน้ามันจะต่อสู้กับท่านอีก ท่านต้องพยายามหลบหลีกมิยอมปะทะด้วย”

เอี๊ยบไคมิอาจปฏิเสธได้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ดังนั้น มันมิเพียงจู่โจมท่านพ่ายแพ้ มิเพียงได้สหายที่มีคุณประโยชน์เช่นท่านมาอีกคนหนึ่งเท่านั้น ยังได้ชื่อเสียง เป็นวีรบุรุษที่มีเกียรติภูมิเกรียงไกรไปทั่วแผ่นดินอีกด้วย”

หยุดแค่นหัวร่อแล้วกล่าวช้าๆ ต่อ

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงว่า มันอำมหิตเลือดเย็น กลอกกลิ้งเจ้าเลห์ หัวใจดุจสัตว์ป่า หน้าดั่งวิญญูชน ซึ่งวิจารณ์มันไม่ผิดพลาดสักน้อยนิด”

เอี๊ยบไคได้แต่ฝืนยิ้ม เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“มันมิเพียงมีอิทธิพลอำนาจ มีความสุขลึกซึ้ง ยังมีเล่ห์อุบายกลอกกลิ้ง มีความทะเยอทะยานใฝ่สูง”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ดังนั้น ท่านจึงหวังให้ข้าพเจ้าสังหารมันแทนท่าน?”

“ใช่ ผู้นี้มีชีวิตอยู่ในโลก นับเป็นการคุกคามต่อข้าพเจ้าอย่างยิ่งจริงๆ”

“ท่านไม่มีปัญญารับมือมัน?”

“โอ... อย่างน้อยจวบจนบัดนี้ ข้าพเจ้ายังคิดหาวิธีที่มั่นใจได้แน่นอนไม่ออกเลย”

“ดังนั้น ท่านจึงยอมรับมันยังน่ากลัวยิ่งกว่าบั๊กโง้วแช?”

“ใช่ แต่คนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด กลับยังเป็นคนที่สาม”

“คนที่สามเป็นผู้ใดอีก?”

“ฮั่นเจ็ง!

เอี๊ยบไคตะลึงลานทันที เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านนึกมิถึงจะเป็นมัน?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มอีกคราจึงตอบ

“มันมีความลึกซึ้งเยือกเย็นอย่างยิ่ง มีภูมิปัญญาหลักแหลมอย่างยิ่งจริงๆ แต่ทว่า...”

“แต่ท่านกลับไม่ยอมเชื่อ มันจะมีความน่ากลัวยิ่งกว่าบั๊กโง้วแชและลู่เต๊ก?”

เอี๊ยบไคยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านเห็นว่า พลังฝีมือของมันด้อยเกินไป?”

เอี๊ยบไคก็ยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านมีความมั่นใจพิชิตมันได้?”

“ข้าพเจ้า...”

“ท่านไม่มีความมั่นใจ เนื่องเพราะท่านไม่ทราบเลยว่า พลังฝีมือของมันจะด้อยกว่าท่านจริงหรือไม่? อาจบางทีทั้งแผ่นดินไม่มีผู้ใดทราบ พลังฝีมือที่แท้จริงของมันสูงต่ำเท่าใดแน่”

“ท่านก็ไม่ทราบ?”

“ใช่ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ”

เอี๊ยบไคกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ท่านยอมรับ มันมิใช่จงรักภักดีต่อท่านโดยจริงใจ?”

“ข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจ”

“แต่ท่านกลับเลี้ยงมันอยู่ข้างกายเสมอมา?”

“เนื่องเพราะจวบจนบัดนี้ ข้าพเจ้ายังมิได้พบเห็น มันกระทำเรื่องราวใด ที่ไม่จงรักภักดีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจับผิดมันไม่ได้แม้สักน้อยนิดเลย”

“อาจบางทีมันจงรักภักดีต่อท่านโดยจริงใจก็ได้ อาจบางทีท่านระแวงแคลงใจมันผิดไปก็ได้ โรคหวาดระแวงของสตรี ความจริงรุนแรงกว่าบุรุษอยู่แล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสวนคำทันที

“แต่สตรีกลับมีประสาทความรู้สึกที่พิสดารยิ่ง เฉกเช่นกับมีนัยน์ตาดวงที่สาม มักจะสามารถเห็นในเรื่องราวที่บุรุษมองไม่เห็น”

“ท่านสังเกตกระไรออก?”

“ข้าพเจ้ารู้สึกแต่แรก ในหมู่ผู้ช่วยที่สนิทชิดเชื้อข้าพเจ้า มีสายลับอยู่คนหนึ่ง ขอเพียงข้าพเจ้าไม่ระวังเมื่อใด อาจจะย่อยยับกับมือมันก็ได้”

“ท่านสงสัยผู้นั้นคือฮั่นเจ็ง?”

“เนื่องเพราะมันมีพิรุธต้องสงสัยมากที่สุด ข้าพเจ้ากระทั่งยังสงสัย มันคือหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า”

“แต่ท่านกลับไม่มีพยานหลักฐาน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ไม่มีหลักฐานแม้สักน้อยนิด”

“ดังนั้น สายลับตัวจริงอาจมิใช่มัน เป็นคนอื่นก็ได้”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจสักน้อยนิด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อาจลงมือต่อมันเสมอมา มันเคยกระทำเรื่องราวให้แก่ข้าพเจ้าสำเร็จมามากหลายจริง เป็นผู้ช่วยที่ประเสริฐได้จริง หากข้าพเจ้าลงมือกำจัดมันไปโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ มิเพียงผู้อื่นจะหวาดกลัว ตีตัวออกห่างข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่งด้วย”

“ดูทีท่า ประมุขพรรคกิมจี๊ปัง มิใช่เป็นได้ง่ายดายนัก”

“มิใช่ง่ายดายจริงๆ”

“อย่างนั้น ท่านไฉนจะต้องกระทำเรื่องที่ทั้งหนักหน่วงกินแรง ทั้งหวาดเสียวเปี่ยมอันตรายเช่นนี้อีก?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเบือนสายตาเหม่อมองทิศทางไกล อีกเนิ่นนานให้หลังจึงตอบช้าๆ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าคือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน คือบุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง!

“ดังนั้น ท่านมีแต่ต้องรอให้สายลับผู้นั้นลงมือต่อท่านก่อน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ ฝืนยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้ามีแต่ต้องรอให้มันลงมือต่อข้าพเจ้าก่อนจริงๆ”

“การลงมือจู่โจมของมัน อาจบางทีทำลายท่านไปเลยก็ได้”

“เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

“ดังนั้น หากท่านคิดจะนอนหลับให้สุขสบายเต็มตาสักคืน ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

สายตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเบือนจากทิศทางไกล กลับมาประสานตาเอี๊ยบไคอีกครั้ง กล่าวช้าๆ

“ในหลายปีนี้ มีแต่ไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับท่าน จึงสามารถหลับโดยสนิทใจ มิหวาดระแวง”

เอี๊ยบไคเบือนสายตาหลบนาง กล่าวเสียงเย็นชา

“นั้นเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านพ้นแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้ายังมิทราบท่านเป็นคนเช่นไร บัดนี้...”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกุมมือเอี๊ยบไคไว้พลางกล่าว

“บัดนี้ก็เป็นเช่นกัน ขอเพียงท่านยอมอยู่ข้างกายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่กลัวผู้ใดแล้ว”

“ท่านไม่กลัวข้าพเจ้า? ...”

“ข้าพเจ้าไม่กลัวท่าน ข้าพเจ้าเชื่อท่าน ในชีวิตนี้ของข้าพเจ้า ที่ยอมเชื่อถือโดยจริงใจ มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น”

เสียงของนางนุ่มนวลดั่งลมชุนเทียน กล่าวช้าๆ สืบไป

“ขอเพียงเราสองได้อยู่ร่วมกัน แม้นับว่าเป็นลู่เต๊กสิบคน ฮั่นเจ็งสิบคนพากันมาจู่โจมรังควาน ข้าพเจ้าก็มีความมั่นใจตีโต้พวกมันกลับไปได้ ขอเพียงเราสองอยู่ด้วยกัน แผ่นดินนี้ก็เป็นของพวกเรา”

เอี๊ยบไคมิได้เอ่ยปากอีก กระทั่งหนังตายังพริ้มลง

เอี๊ยบไคถึงกับหลับไปแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเพ่งมองแน่วนิ่ง มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด จึงวางมือเอี๊ยบไคลงเบาๆ เดินเบาๆ ออกจากห้อง

ตอนนางมองเอี๊ยบไค ดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายมั่นใจ คล้ายดั่งทราบว่า เอี๊ยบไคต้องเป็นของนางแน่นอน

ดูไป นางถึงกับคล้ายมีความมั่นใจอย่างยิ่ง

-------------------------------

ฮั่นเจ็งยืนก้มศีรษะ ห้อยมือแนบกายอยู่ในลานตึก มันรอเป็นเวลาเนิ่นนานอย่างยิ่ง

เนื่องเพราะเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต้องการให้มันรออยู่ที่นี้

แม้นับว่า เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนให้มันยืนอยู่บนกระทะร้อน มันก็ต้องไม่เคลื่อนไหวแม้สักครึ่งก้าว

การเคารพในคำสั่ง และจงรักภักดีของมัน บันดาลให้ผู้คนมิอาจไม่ตื้นตันได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกำลังลงบันไดศิลา เมื่อเห็นมัน ดวงตาปรากฏประกายพอใจ โดยมิอาจข่มกลั้นได้

มิว่าคนที่เลือกเฟ้นพิถีพิถันปานใด มีบริวารเยี่ยงนี้สักคน ต่างต้องรู้สึกพอใจยิ่ง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“คนที่เราต้องการให้ท่านไปหา ท่านหาครบแล้ว?”

ฮั่นเจ็งผงกศีรษะตอบ

“ต่างหาครบแล้ว ล้วนรออยู่ที่ด้านนอก”

“เรียกพวกมันเข้ามา”

ฮั่นเจ็งปรบมือฉาดหนึ่ง มีคนทยอยเข้ามาถึงสิบกว่า ในจำนวนนั้น มีบุรุษมีสตรี มีชรามีฉกรรจ์ มีนายวาณิช มีคนหาบเร่ มีหญิงชาวบ้านธรรมดา และก็มีอันธพาลเกเร

พวกมันแม้แต่งกายผิดแปลกกัน แต่ความจริงเป็นคนประเภทเดียวกัน

บริวารของกิมจี๊ปังมีเพียงประเภทเดียว... จงรักภักดีแน่วแน่ ยินยอมอยู่ในคำสั่งโดยเด็ดเดี่ยว

วาจาที่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวก็คือคำสั่ง

คำสั่งครั้งนี้ของนางรวบรัดอย่างยิ่ง

“ไปที่เชื่ยงอัน ปล่อยข่าวตายของเอี๊ยบไค มิว่าพวกท่านจะใช้วิธีใด เพียงให้คนเชื่อว่าเอี๊ยบไคตายก็ใช้ได้

ขอเพียงยังมีคนเชื่อว่าเอี๊ยบไคไม่ตายสักคนเดียว พวกท่านก็ต้องตาย”

คำสั่งของนางแม้รวบรัด แต่มีประสิทธิภาพยิ่ง

ดูพวกเหล่านั้นเดินออกไปอย่างสำรวม ดวงตานางมีประกายพึงพอใจปรากฏอีกครั้ง

เรียกพวกเหล่านี้ไปปล่อยข่าว ง่ายดายเช่นเดียวกับให้ผึ้งไปโปรยเกสร

นางทราบ แผนครั้งนี้ของนาง ต้องมีประสิทธิภาพยิ่ง

-----------------------------

“เอี๊ยบไคตายแล้ว”

“เอี๊ยบไคตายอย่างไร?”

“แต่ละคนต่างต้องตาย เอี๊ยบไคก็เป็นคน”

“แต่มันกลับเป็นคนที่ตายยากอย่างยิ่ง ฟังว่ามันพอจะนับเป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดินแล้ว”

“สุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดินก็ต้องตายเช่นกัน ก่อนๆ นี้บรรดาสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดิน ไยมิใช่ตายไปหมดสิ้นแล้ว?”

“...............................”

“ในที่สุดยอดฝีมือ ยังไม่มีสุดยอดฝีมืออยู่ตลอดกาล หากผู้ใดเป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดิน อาจบางทีกลับต้องตายเร็วกว่าคนธรรมดาบ้าง”

“แต่เรากลับคิดไม่ออก ผู้ใดสามารถฆ่าเอี๊ยบไคได้?”

“มีสองคนฆ่ามัน”

“สองคนใด?”

“คนหนึ่งคือลู่เต๊ก”

“ลู่เต๊ก? คือแป๊ะอีเกี้ยมแขะลู่เต๊กของสำนักบู๊ตึง?”

“มันนั่นเอง”

“พลังฝีมือมันสูงกว่าเอี๊ยบไค?”

“นั่นกลับไม่แน่ หากมิใช่เอี๊ยบไคบาดเจ็บกับฝีมือผู้อื่นก่อน ครั้งนี้ต้องไม่ตายเด็ดขาด”

“มีผู้ใดสามารถทำอันตรายเอี๊ยบไค? คนผู้นั้นเป็นใคร?”

“เป็นสตรี ฟังว่านางความจริงเป็นสตรีที่เอี๊ยบไคพอใจอย่างยิ่ง”

“ไฉนคนที่ชาญฉลาดดั่งเอี๊ยบไค ก็หลงกลสตรีได้?”

“เนื่องเพราะวีรบุรุษ มักไม่อาจผ่านด่านนางงามพ้น”

“สตรีนางนั้นเป็นผู้ใด?”

“นางแซ่เต็ง นามเต็งฮุ้นลิ้ม”

-------------------------

เต็งฮุ้นลิ้มนอนอยู่บนเตียง ในห้องมืดอย่างยิ่ง แต่ในผ้าห่มกลับอบอุ่นอย่างยิ่ง

นางตื่นมานานแล้ว แต่ยังคงมิได้เคลื่อนไหวเสมอมา

นางรู้สึกอ่อนล้าอย่างยิ่ง ดุจกับเพิ่งเดินทางที่สุดแสนไกล และขรุขระกันดารมา และก็คล้ายเพิ่งตื่นจากความฝันที่น่าสะพรึงกลัว

ในความฝัน นางคล้ายเคยใช้มีดแทงใส่เอี๊ยบไค

นั่นย่อมเป็นเพียงความฝัน

นางย่อมไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด นางจะทำร้ายเอี๊ยบไคได้ นางยินยอมตายเอง ก็ไม่ยอมทำอันตรายเอี๊ยบไค

ในห้องมีเสียงฝีเท้าดังเบาๆ

หรือเป็นเอี๊ยบไค

เต็งฮุ้นลิ้มปรารถนาอย่างยิ่ง พอนางลืมตาก็เห็นเอี๊ยบไคทันที แต่เสียดาย ที่นางเห็นกลับเป็นก้วยเต๋ง

สีหน้าก้วยเต๋งดูไปก็คล้ายอ่อนล้าอย่างยิ่ง ซูบซีดอย่างยิ่ง แต่ดวงตากลับมีประกายปลื้มปีติ

“ท่านตื่นแล้ว...?”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่รอให้มันกล่าวจบคำรีบชิงถาม

“นี่เป็นสถานที่ใด? ข้าพเจ้าไฉนมาที่นี้? เอี๊ยบไคเล่า?”

“ที่นี้เป็นโรงเตี๊ยม ท่านถูกยามอมประสาทของเง็กเซียว ข้าพเจ้าช่วยท่านมาที่นี้”

เง็กเซียวพลันปรากฏตัว คร่านางไปต่อหน้าเอี๊ยบไค เรื่องเหล่านั้น เต็งฮุ้นลิ้มย่อมยังจำได้

ภายหลังเกิดเรื่องราวใดอีก? ก้วยเต๋งช่วยนางมาได้อย่างไร? นางก็ไม่ทราบโดยสิ้นเชิง

แต่นางไม่กังวลสนใจ ที่นางกังวลมีเพียงคนเดียว

“เอี๊ยบไคเล่า? เอี๊ยบไคอยู่ที่นี้หรือไม่?”

ก้วยเต๋งสั่นศีรษะตอบ

“มันไม่อยู่ ข้าพเจ้า... มิได้เห็นมันเสมอมา”

มันมิได้กล่าวความสัตย์จริง เนื่องเพราะมันกลัวเต็งฮุ้นลิ้มทนทานกระทบกระเทือนใจไม่ได้

หากนางทราบ นางแทงใส่เอี๊ยบไคมีดหนึ่ง นางจะมีความเจ็บช้ำรันทดปานใด? ก้วยเต๋งกระทั่งคิดยังมิกล้าคิด

ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มเครียดลงทันที กล่าวเสียงกระด้าง

“ท่านมิได้พบเอี๊ยบไคเสมอมา? เนื่องเพราะพวกท่านมิเคยไปหามันกระมัง?”

ก้วยเต๋งจำต้องยอมรับ แต่มิได้ไปบอกกับมัน นี่เป็นความหมายใดของท่าน?”

ก้วยเต๋งไม่มีปัญญาตอบ

ตัวมันเองก็ไม่เข้าใจ มันทำดั่งนี้ด้วยความหมายใด?

ความจริงพวกมันไม่รู้จักกัน แต่มันกลับร่วมมือกับเอี๊ยบไค เสี่ยงอันตรายไปช่วยนางออกมา

เพราะกลัวเง็กเซียวตามมารังควาน มันจึงได้พาเต็งฮุ้นลิ้มมาที่นี้ เพราะดูแลนาง มันได้จับเจ่าอยู่ในห้องมืดเลือนรางนี้สามวันแล้ว โดยมิทราบทนทุกข์ทรมานมากปานใด? คับแค้นมากปานไหน?

สตรีที่สูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง มิใช่จะปรนนิบัติง่ายดายเลย อย่าว่าแต่มันความจริงมิเคยปรนนิบัติผู้ใดมาก่อน

ในสามวันนี้ มันแทบมิเคยหลับตานอนสักครู่เดียว ที่แลกได้มาคือเสียงแค่นหัวร่อ และความคลางแคลงสงสัยของนาง

แต่มันยิมยอมถูกสงสัย ก็ไม่ยอมบอกความจริงไป และไม่ต้องการให้นางถูกกระทบเทือนใจ

ท่านว่า นี่เป็นความหมายใดของมัน?

เต็งฮุ้นลิ้มยังคงถลึงจ้องมันพลางแค่นเสียง

“ข้าพเจ้ากำลังถามท่าน ท่านไฉนไม่เอ่ยปากตอบคำ?”

ก้วยเต๋งยังคงไม่เอ่ยปาก

มันไม่สามารถเอ่ยปาก วาจาในใจมันไม่อาจเปล่งมาได้แม้สักคำเดียว

เต็งฮุ้นลิ้มสอดมือลูบคลำในผ้าห่ม.... นางยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ดังนั้นสีหน้าของนางยังนับว่าคลายความเคร่งเครียดได้เล็กน้อย แต่ยังคงถาม

“ข้าพเจ้าอยู่ที่นี้นานเท่าใด?”

“คล้ายดั่งสามวันแล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มแทบกระโดดขึ้นจากเตียง ร้องเสียงแหลม

“สามวัน? ข้าพเจ้าอยู่ที่นี้ถึงสามวัน ท่านก็อยู่ที่นี้ตลอดมา?”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะ เต็งฮุ้นลิ้มเบิ่งตากลมกว้างกว่าเดิม ร้องสุดเสียง

“ในสามวันนี้ หรือข้าพเจ้าหลับใหลอยู่ตลอดมา”

“ใช่แล้ว”

ก้วยเต๋งตอบด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างยิ่ง เนื่องเพราะที่รับคำเป็นวาจาโป้ปด

สามวันนี้ เต็งฮุ้นลิ้มมิใช่หลับอยู่เสมอมา นางกระทำเรื่องราวมากหลาย เป็นเรื่องมากหลายที่ผู้คนคาดคิดไม่ถึง หัวร่อไม่ออกร่ำไห้มิได้

เรื่องเหล่านั้น มีก้วยเต๋งทราบเพียงผู้เดียว และต้องไม่ยอมบอกกับผู้อื่นอีกตลอดกาล

เต็งฮุ้นลิ้มขบริมฝีปากลังเลเป็นเนิ่นนาน ในที่สุดอดมิได้ต้องถาม

“ท่านเล่า?”

“ข้าพเจ้า?”

“ตอนข้าพเจ้าหลับ ท่านทำกระไรอยู่?”

ก้วยเต๋งฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้ามิได้ทำกระไร”

เต็งฮุ้นลิ้มคล้ายระบายลมจากปากยาวๆ แต่ยังคงปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าว

“ข้าพเจ้าหวังให้ที่ท่านว่า มิใช่วาจามดเท็จ เนื่องเพราะหากท่านโป้ปด ข้าพเจ้าจะเร็วจะช้า ย่อมต้องตรวจสอบออกได้”

ก้วยเต๋งมีแต่สงบฟัง เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

“ท่านช่วยข้าพเจ้า ภายหน้าข้าพเจ้าต้องตอบแทนท่าน แต่หากข้าพเจ้าตรวจออกว่า ท่านโป้ปดมดเท็จ ข้าพเจ้าจะปลิดชีวิตท่าน”

นางถีงกับคล้ายคร้านจะชายตามองก้วยเต๋งสักแวบเดียว แค่นเสียงเย็นชาต่อ

“ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงหวังให้ท่านออกไป รีบออกไปโดยด่วน”

ก้วยเต๋งก็มิได้มองนาง แต่ยังถามตัวเองในใจ

เรากำลังทำอะไรกันแน่? เราไฉนต้องทนทานความคับแค้นเยี่ยงนี้? หยามประณามเยี่ยงนี้?

ก้วยเต๋งเดินออกไป เดินไปโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา

มองดูเงาหลังที่ซูบผอมและอ่อนล้าของก้วยเต๋งลับหายที่ปากประตูแล้ว เต็งฮุ้นลิ้มกลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

นางมิใช่ชิงชังรังเกียจคนผู้นี้ และมิใช่ไม่ทราบน้ำใจที่คนผู้นี้มีต่อนาง

แต่ทว่า นางจำต้องมารยาเป็นไม่ทราบ นางไม่อาจให้น้ำใจเยี่ยงนี้คืบหน้าต่อไปเด็ดขาด

เนื่องเพราะในใจนางมีคนเพียงผู้เดียว

เอี๊ยบไค!

นางจะต้องหาเอี๊ยบไคให้พบโดยเร็ว

---------------------------

สถานที่แรกที่นางไปหา ย่อมเป็นโรงเตี๊ยมฮ้งปิน

แต่ทว่า คนในโรงเตี๊ยมฮ้งปินเมื่อเห็นนาง ต่างคล้ายเห็นภูตผีปิศาจ ทั้งชิงชังรังเกียจ ทั้งหวาดหวั่นพรั่นพรึง

สตรีที่ใช้มีดแทงคนรักของตัว มิว่าไปแห่งหนใดต่างต้องไม่ได้รับการต้อนรับแน่

“พวกท่านเห็นเอี๊ยบกงจื้อผู้นั้นหรือไม่?”

“ไม่เห็น”

“พวกท่านก็ไม่ทราบมันไปที่ใดแล้ว?”

“ไม่ทราบ... เรื่องของเอี๊ยบกงจื้อ พวกเราต่างไม่ทราบ ท่านไฉนไม่ไปสอบถามที่เปียเก๊กดู”

ดังนั้นเอง เต็งฮุ้นลิ้มจึงไปที่โฮ้วฮวงเปียเก๊ก (สำนักคุ้มกันสินค้าลมพยัคฆ์)

บรรดาเปียซือของโฮ้วฮวงเปียเก๊ก พอได้ยินนามเต็งฮุ้นลิ้ม สีหน้าท่าทีก็เป็นเช่นพวกผู้รับใช้ในโรงเตี๊ยมฮ้งปินไม่ผิดเพี้ยน

“พวกเรามิเคยคบค้าหาสู่กับเอี๊ยบไต้เฮี้ยบเสมอมา หากท่านต้องการสืบข่าวคราวของเอี๊ยบไห้เฮี้ยบ ลองไปที่โป้ยฮึงเปียเก๊กดู ทิฉุ่ยติ้งโป้ยฮึงไต้เกากัง จ้งเปียเท้าของเปียเก๊กนั้น ฟังว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายของเอี๊ยบไต้เฮี้ยบ”

เต็งฮุ้นลิ้มรู้สึกประหลาดใจ นางไฉนมิเคยได้ยินว่า เอี๊ยบไคมีสหาย ร่วมเป็น ร่วมตาย เช่นนี้อยู่ผู้หนึ่ง?

นางคิดจะถามอีก แต่ไม่มีปัญญาถาม นางขัดตาต่อสีหน้าบรรดาเปียซือเหล่านี้ยิ่งนัก

มิว่าอย่างไร ขอเพียงไปหาไต้เกากังพบ ก็ทราบร่องรอยของเอี๊ยบไคได้

นางรู้สึกอุ่นใจกว่าเดิมเล็กน้อย เนื่องเพราะนางมิทราบ นางจะไม่มีปัญญาหาตัวไต้เกากังพบอีกตลอดกาล

---------------------------------

ในลานหน้าตึกของโป้ยฮึงเปียเก๊ก กำลังมีผู้รับใช้หลายคน ล้างรถม้าคันใหญ่อยู่

ชายกลางคนที่รูปร่างสูงอย่างยิ่ง ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชาผู้หนึ่ง กำลังยืนมือไพล่หลังอยู่บนบันไดศิลา มันคือรองจ้งเปียเท้าของที่นี้ นามโต้วตั๊งฉายาทิเจี้ยไคปี (ฝ่ามือเหล็กทลายหลักหิน)

มาตรว่าวาจาของนางมิใคร่เกรงใจนัก มาตรว่าสีหน้ามิใคร่น่าดูนัก แต่นางอย่างไรก็เป็นดรุณีที่สวยสะคราญ และยังมีวัยเยาว์ยิ่ง

โต้วตั๊งกวาดตามองนางขี้นๆ ลงๆ สองครั้ง จึงฝืนยิ้มถาม

“โกวเนี้ยแซ่ไร? หาท่านด้วยเรื่องอันใด?”

“ข้าพเจ้าแซ่เต็ง คิดจะถามข่าวคนผู้หนึ่งจากมัน”

พอได้ยินคำเต็ง สีหน้าโต้วตั๊งแปรเปลี่ยนทันที ร้องโพล่งขึ้น

“ท่านแซ่เต็ง หรือท่านคือเต็งฮุ้นลิ้ม?”

“ใช่ มันอยู่หรือไม่? ข้าพเจ้าคิดจะถามมันสักหลายคำ”

สีหน้าโต้วตั๊งเครียดเย็นชา เขม้นมองนางแล้วพลันแค่นหัวร่อตอบ

“ท่านยังคิดจะหาเอี๊ยบไคกระมัง?”

ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มเป็นประกายสุกใสกว่าเดิม รีบสวนคำ

“ท่านก็รู้จักเอี๊ยบไค? มันอยู่ที่นี้หรือไม่?”

“ใช่ มันก็อยู่ที่นี้ มันกลับมาพร้อมกับจ้งเปียเท้า... นั่งรถม้าคันนี้กลับมา”

สีหน้าของมันมีแววเจ็บช้ำรันทดและเดือดดาลอย่างยิ่ง แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับสังเกตไม่ออก

ขอเพียงมีโอกาสได้เห็นเอี๊ยบไค เรื่องอื่นๆ ต่างมิเป็นที่สำคัญต่อนางแล้ว

“พวกมันอยู่ที่ใด?”

โต้วตั๊งแค่นหัวร่อ หันกายกระชากเสียง

“ตามข้าพเจ้ามา”

-----------------------

ห้องโถงใหญ่ยะเยียบเลือนราง คล้ายดั่งเป็นในฮวงซุ้ยก็ปาน เนื่องเพราะห้องโถงตอนนี้กลายเป็นฮวงซุ้ยแล้วจริงๆ

เต็งฮุ้นลิ้มพอก้าวเข้าไป ก็เห็นโลงสองโลง

เป็นโลงใหม่เอี่ยม ยังมิได้ตอกตะปู

ในโลงมีศพสองซาก ศพที่ไม่มีศีรษะ

โต้วตั๊งแค่นเสียงเย็นชา

“ทั้งสองคนนั่งรถม้าออกไปด้วยกัน และก็นั่งกลับมาด้วยกัน เพียงแต่ว่า ตัวพวกท่านแม้กลับมา ศีรษะมิได้กลับมาด้วย”

เต็งฮุ้นลิ้มมิได้ยินวาจามันชัดเจนเลย เนื่องเพราะนางจำเสื้อผ้าของศพซากหนึ่งได้

...สหายร่วมเป็นร่วมตาย

...ฟังว่า เอี๊ยบไคกับไต้เกากังเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย พวกมันออกไปด้วยกัน บัดนี้นอนอยู่ในโลงด้วยกัน

เต็งฮุ้นลิ้มรู้สึกห้องหมุนคว้าง ใบหน้าผู้รับใช้โรงเตี๊ยมฮ้งปิน เปียซือสำนักคุ้นกันสินค้าโฮ้วฮวงเปียเก๊ก ต่างมาวิ่งวนเวียนอยู่รอบกายนอง ใบหน้าแต่ละคนมีรอยยิ้มที่เหี้ยมอำมหิต

พวกมันทราบเอี๊ยบไคตายไปอยู่นานแล้ว

หรือเอี๊ยบไคตายไปจริงๆ?

เต็งฮุ้นลิ้มคิดจะตะเบ็งให้สุดเสียง แต่มิทราบร้องออกไปหรือไม่?

นางล้มฮวบลงกองกับพื้น สลบไสลไปแล้ว

-----------------------

ห้องโถงที่ครึ้มยะเยียบ แสงไฟที่เลือนรางสลัว

ตอนเต็งฮุ้นลิ้มได้สติฟื้นคืนมา พบเห็นนางยังนอนอยู่ในที่ซึ่งล้มลงเมื่อครู่

ไม่มีคนประคองนาง และไม่มีคนมาปลอดประโลมนางสักคำเดียว

โต้วตั๊งยังคงยืนมือไพล่หลังในที่นั้น มองนางอย่างเย็นชา ใบหน้ามีแววชิงชังรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก

เต็งฮุ้นลิ้มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว

“มัน... มันตายกับมือผู้ใด?”

โต้วตั๊งแค่นเสียงเย็นชาตอบ

“ท่านไม่ทราบ?”

“ข้าพเจ้าสมควรต้องทราบ”

“ท่านไฉนต้องทราบให้ได้?”

เต็งฮุ้นลิ้มส่งเสียงดังก้อง

“นี่เป็นความหมายใดของท่าน? เป็นผู้ใดฆ่ามันกันแน่?”

โต้วตั๊งก็ขบกรามอยู่ เค้นเสียงจากไรฟันสองคำ

“ท่านเอง!

สองคำนี้คล้ายเป็นค้อนมหึมา ฟาดใส่เต็งฮุ้นลิ้มจนแทบไม่อาจยืนอยู่ได้

“ข้าพเจ้าเอง...?”

โต้วตั๊งแค่นเสียงจากไรฟันต่อ

“หากมิใช่ท่านแทงใส่มันจนบาดเจ็บก่อน มันไหนเลยจะพ่ายแพ้กับฝีมือลู่เต๊ก? หากมิใช่ไต้จ้งเปียเท้าเพราะต้องการพามันไปรักษา ไหนเลยจะพลอยเสียชีวิตกับมันอยู่ในรถม้า?”

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มแหลกสลายไปแล้ว ตลอดร่างคล้ายดั่งแตกกระจายไปแล้ว

นางนึกถึงเรื่องในความฝันร้าย นึกถึงตอนเง็กเซียวจ้องมองนาง นึกถึงดวงตาที่มีประกายอถรรพณ์ชั่วร้าย

รีบใช้มีเล่มนี้ไปฆ่าเอี๊ยบไค...

หรือนั่นมิใช่ความฝัน? หรือนางถึงกับลงมือกระทำเรื่องน่าสะพรึงกลัวนี้จริงๆ

เต็งฮุ้นลิ้มไม่เชื่อ แม้ตายก็ไม่เชื่อ

นางโถมไปคว้าอกเสื้อโต้วตั๊งไว้ ตะเบ็งสุดเสียง

“ท่านโป้ปด!

โต้วตั๊งแค่นเสียงเย็นชา

“ข้าพเจ้าโป้ปดหรือไม่? ในใจท่านสมควรทราบอยู่เอง”

เต็งฮุ้นลิ้มร้องสุดเสียง

“ข้าพเจ้าทราบท่านกำลังโป้ปด ท่านกล่าวอีกคำเดียว ข้าพเจ้าก็ต้องฆ่าท่าน!

โต้วตั๊งแค่นหัวร่อ พลันลงมือฟันใส่ไหล่ของเต็งฮุ้นลิ้มอย่างดุดัน

มันคาดคิดไม่ถึง พลังฝีมือเต็งฮุ้นลิ้มยังจะสูงส่งกว่าที่มันคำนวณไว้มากนัก

ฝ่ามือเหล็กของมันเพิ่งฟันออกไป เต็งฮุ้นลิ้มพลันหันกายใช้ศอกกระแทกใส่ชายโครงมัน

ร่างของมันถูกศอกกระแทกไปชนใส่ผนัง เจ็บปวดจนตัวงอลง

เต็งฮุ้นลิ้มโถมเข้าไปกระชากร่างมันยืนขึ้นแล้วร้องสุดเสียงอีกครา

“ท่านว่า... ท่านกำลังโป้ปดหรือไม่?”

ใบหน้าที่เผือดขาวของโต้วตั๊ง มีเหงื่อเย็นยะเยียบโซมชุ่มโชก หอบหายใจถี่เร็ว แต่ยังคงแค่นหัวร่อกล่าว

“ได้! ท่านฆ่าเราเถิด กระทั่งเอี๊ยบไคท่านยังฆ่าได้ แล้วมีผู้ใดไม่อาจฆ่าอีก? เพียงแต่ว่าแม้ท่านฆ่าเราไป เรายังคงกล่าวหลายคำนั้น!

เต็งฮุ้นลิ้มคลายมือออก ตัวสั่นสะท้าน... สะท้านดุจดังกระพรวนในพายุ

รอบข้างห้องโถงใหญ่ คล้ายมีดวงตาเป็นร้อยๆ พันๆ ถลึงจ้องนาง ดวงตาแต่ละคู่เปี่ยมไปด้วยประกายชิงชังรังเกียจยิ่ง

“ความจริงพวกเราสมควรฆ่าท่าน ล้างแค้นแทนไต้จ้งเปียเท้ากับเอี๊ยบไค แต่สตรีเยี่ยงท่าน ไม่คู่ควรให้พวกเราลงมือเลย ท่านไปเถิด... ท่านไปเถิด...ท่านไปเถิด...”

--------------------------------------

เราฆ่าเอี๊ยบไค... เราถึงกับกระทำเรื่องน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จริงๆ?

เต็งฮุ้นลิ้มปิดหน้าวิ่งดั่งคลุ้มคลั่ง วิ่งออกจากเปียเก๊ก วิ่งเข้าไปในถนนใหญ่

ถนนก็คล้ายหมุนคว้างวนเวียน ฟ้าดินต่างคล้ายหมุนคว้างวนเวียน

นางล้มลงไปแล้ว ล้มลงในกลางถนน!

ดินโคลนในถนนก็เย็นยะเยียบ ในโคลนยังมีขยะสกปรก แต่นางไม่สนใจ

คนบนถนนต่างจ้องมองนาง คล้ายดั่งต่างทราบนางเป็นฆาตกรฆ่าคน

นางก็ไม่สนใจ

นางหวังให้ตัวนางกลับกลายเป็นดินโคลน ให้คนเหล่านั้นเหยียบย่ำลงไปบนร่างนาง นางหวังให้ตัวเองกลายเป็นฝุ่นละออง ให้ลมหนาวที่เสียดกระดูก กรรโชกพัดจนนางกระจัดกระจาย ร่วงหล่นลงไปในดินโคลน

แต่ตอนนั้น กลับมีมืออีกข้างหนึ่งฉุดนางขึ้นมา

มือที่เข้มแข็งมั่นคง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรันทดและเห็นใจ

นางมิได้หลั่งน้ำตาเลย กระทั่งร่ำไห้นางยังร่ำไห้ไม่ออก จนเมื่อเห็นใบหน้านี้ น้ำตานางจึงทะลักดุจทำนบทลาย

ก้วยเต๋งประคองนางลุกขึ้น แต่นางกลับร่ำไห้ล้มลงไปในอ้อมแขนมัน

มันปล่อยให้นางร่ำไห้

มันหวังให้ความเศร้าเสียใจของนาง ได้ระบายออกมา

รอจนเมื่อนางร่ำไห้พอแก่ใจ นางจึงพบเห็น ได้กลับไปในห้องเล็กๆ ที่มืดเลือนรางนั้นอีกครา

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น