วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า พิกลสุดพิสดาร

 

พิกลสุดพิสดาร

ฮั่นเจ็ง

          เหล็กแหลมถึงกับมาอยู่ด้านหลังของเอี้ยเทียน!

          เอี้ยเทียนมิได้เหลียวมอง ร่างพลันทะยานขึ้นจากพื้น ตีลังกากลางอากาศ แนบตัวอยู่กับเพดานห้อง

          มันมิได้เห็นฮั่นเจ็ง

          มีเสียงดังขึ้นที่นอกประตูอีก

          “วิชาตัวเบายอดเยี่ยม ไม่เสียทีมีฉายาปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน)”

          เป็นเสียงฮั่นเจ็งอีกแล้ว

          เอี้ยเทียนพลิกมือวูบ ชักทวนโซ่เงินประกายแวววาวออกจากเอว ไถลร่างตามเพดานออกไปไกลกว่าสองวา ลื่นไถลตามผนังลงมาจนถึงหลังประตู แล้วพลันสะบัดทวนโซ่เงินของมันออกไป

          นอกประตูก็ไม่มีคน

          ได้ยินคนส่งเสียงทางด้านหลัง

          “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”

          ฮันเจ็งได้อ้อมออกทางภายนอก แฉลบเข้าทางหน้าต่าง ไปถึงด้านหลังมันอีกครั้ง

          เอี้ยเทียนพลิกมือสะบัด ทวนโซ่เงินที่เป็นอาวุธอ่อน ถึงกับถูกมันสะบัดแข็งดั่งพู่กัน แทงเข้าใส่คอหอยฮั่นเจ็งดั่งสายฟ้า!

          มิว่าผู้ใดต่างดูออก มันอย่างน้อยต้องทุ่มเทเวลาฝึกปรือทวนโซ่เงินของมันไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี

          มิคาด พลังฝีมือของฮั่นเจ็งถึงกับยังน่าสะพรึงกลัวกว่าที่มันคาดหมายเป็นสิบเท่า พอลงมือก็คว้าปลายทวนของมันไว้ได้อย่างง่ายดาย

          เอี้ยเทียนคาดคิดไม่ถึงเด็ดขาด ในโลกถึงกับมีคนลงมือรวดเร็วปานนี้ จึงรวมกำลังย่อกาย กระชากอาวุธของมันสุดแรง

          มือฮั่นเจ็งถึงกับพลันคลายออก

          เอี้ยเทียนจึงเสียหลักถลาดถอยหลังไปหลายก้าว

          ฮั่นเจ็งถึงกับพุ่งปราดตามมาดั่งสายฟ้า พอยื่นมือก็จี้จุดเฮี้ยงกีที่ทรวงอกมันอย่างง่ายดาย

          เอี๊ยบไคถอนใจยาว นับว่าคาดคิดไม่ถึงเช่นกัน คนที่ถูกต่อยเพียงหมัดเดียว จมูกก็เบี้ยวไป ถึงกับมีพลังฝีมือสูงส่งปานนี้ได้

          เสียงโครมดังหนักๆ ร่างเอี้ยเทียนหงายตึงลงกับพื้น ฮั่นเจ็งกระทั่งหางตายังไม่เหลือบแล หันกลับไปฉุดเอี๊ยบไคพลางส่งเสียง

          “ท่านยังสามารถยืนได้หรือไม่?”

          เอี๊ยบไคลูบคลำศีรษะฝืนยิ้มตอบ

          “ท่านมาเพื่อช่วยข้าพเจ้าจริงๆ?”

          ฮั่นเจ็งหน้าเครียดเย็นชามิเอ่ยปาก คว้าเอวเอี๊ยบไคขึ้นอุ้มไว้พลางกล่าว

          “ท่านตามข้าพเจ้าไปก่อน”

          “ยังมีเต็งฮุ้นลิ้ม”

          ฮั่นเจ็งขมวดคิ้วกล่าว

          “ท่านยังจะพานางไปด้วย?”

          เอี๊ยบไคถอนใจตอบ

          “เมื่อครู่ยังมีคนว่า จุดอ่อนร้ายที่สุดของข้าพเจ้าคือใจอ่อนเกินไป”

          ฮั่นเจ็งแค่นเสียง

          “เท้าท่านตอนนี้ก็อ่อนด้วย”

          “โชคดีที่เต็งน้อยเพียงถูกจี้จุดเท่านั้น ท่านเพียงตบคลายจุดนางก็ใช้ได้แล้ว”

          รีบหัวร่อแล้วกล่าวเสริมไป

          “แต่ทว่า ท่านไม่อาจลงมือหนักหน่วงเช่นดั่งเอี้ยเทียนเป็นอันขาด ข้าพเจ้าไม่ต้องการภรรยาที่เป็นคนตาย”

----------------------------------

          ห้องใต้ดินอับชื้นเลือนราง หนาวเหน็บแทบขาดใจ

          โชคดีที่มุมห้องยังมีเตียงไม้ บนเตียงถึงกับมีผ้าห่อมนวมผืนหนึ่ง

          เอี๊ยบไคนอนบนเตียงแล้ว จึงระบายลมจากปากยาวๆ ทราบว่าตอนนี้ไม่ต้องไปเป็นตุ๊กตาให้ผู้อื่นอีกแล้ว

          เต็งฮุ้นลิ้มถูมือแรงๆ พลางกล่าว

          “สถานที่นี้หนาวอย่างยิ่ง”

          ฮั่นเจ็งกล่าวบ้าง

          “หนาวประเสริฐกว่าไม่หนาว”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะท่านยังมีชีวิตอยู่ คนตายต้องไม่รู้สึกหนาวแล้ว”

          เต็งฮุ้นลิ้มถอนหายใจยาว แย้มยิ้มกล่าว

          “มิว่าอย่างไรก็ตาม สามารถมีชีวิตอยู่ย่อมประเสริฐ”

          เอี๊ยบไคก็ถอนใจกล่าว

          “ไม่เลวจริงๆ”

          มองดูฮั่นเจ็งแล้วพลันถาม

          “จมูกของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

          “ยังเจ็บอยู่”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

          “หากจมูกของข้าพเจ้ายังเจ็บ ข้าพเจ้าต้องไม่ไปช่วยคนที่ต่อยจมูกข้าพเจ้าเบี้ยวเป็นแน่”

          “อาจบางทีหัวใจของข้าพเจ้ายังอ่อนกว่าท่าน”

          “โชคดีที่ฝีมือของท่านยังไม่เลว”

          แล้วถามอีกครั้ง

          “ท่านทราบเรื่องรายนั้นหรือไม่?”

          ฮั่นเจ็งถาม

          ฮั่นเจ็งถาม

          “เรื่องอันใด?”

          “ข้าพเจ้าเคยเผชิญกับยอดฝีมือบู๊ลิ้มยุคนี้มามากหลาย ต่างพอจะเรียกเป็นยอดฝีมืออันดับเยี่ยมได้ ในจำนวนนั้นมีคนเยี่ยมที่สุดอยู่ผู้หนึ่ง ท่านทราบเป็นผู้ใดหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้ากระมัง?”

          “ฮา... ท่านคล้ายดั่งมิใคร่ถ่อมตัวนัก”

          “ข้าพเจ้าเป็นคนเปิดเผยเสมอมา”

          “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงประหลาดใจ”

          “ประหลาดใจที่ข้าพเจ้าเปิดเผยเกินไป?”

          “มิได้ เรื่องที่ประหลาดใจมีมากอย่างยิ่ง”

          “ท่านพอจะบอกมาทีละเรื่องได้”

          เต็งฮุ้นลิ้มเดินเข้าไป เอนกายอิงเอี๊ยบไค กุมมือเอี๊ยบไคไว้ นางก็กำลังตั้งใจฟัง

          เอี๊ยบไคหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าว

          “ฟังว่าท่านถูกพิษ ที่พอขยับตัวเป็นต้องตาย ตอนนี้ท่านเคลื่อนไหวแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่?”

          “มิว่าเป็นพิษใดต่างมียาขจัด”

          “กระทั่งพิษของม้อก้า ท่านก็สามารถขจัดได้?”

          “ข้าพเจ้ายังมีชีวิต”

          “ดังนั้น ข้าพเจ้ายิ่งประหลาดใจ”

          “ประหลาดใจที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้?”

          “ประหลาดที่ท่านมีชีวิตมิใคร่ดีนัก”         

          “ชีวิตข้าพเจ้ามิใคร่ดีอย่างไร?”

          “คนเช่นดั่งท่าน ความจริงควรมีชีวิตที่ยิ่งประเสริฐเลิศดีกว่านี้”

          ฮั่นเจ็งครุ่นคิดพลางกล่าวช้าๆ

          “ท่านหมายความ ข้าพเจ้าไม่บังควรไปพึ่งบารมีของอุ้ยเทียนพ้ง ให้มันเจือจานอาหารแก่ข้าพเจ้า?”

          “ถูกแล้ว อุ้ยเทียนพ้งมิใช่เจ้านายที่ดี ท่านความจริงไม่สมควรกดตัวเองให้ต่ำปานนี้ ยิ่งไม่สมควรยืนปล่อยให้ข้าพเจ้าต่อยไปหมัดหนึ่ง”

          ฮั่นเจ็งนิ่งอึ้ง คล้ายกำลังใคร่ครวญดูว่าวาจาบางประโยคควรจะบอกออกไปหรือไม่?

          เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

          “ท่านยอมให้ข้าพเจ้าต่อยหมัดนั้น แสดงว่าเนื่องเพราะท่านไม่ต้องการแสดงฝีมือแท้จริงของท่านต่อหน้าผู้คนอื่นๆ?”

          ในที่สุด ฮั่นเจ็งถอนใจตอบ

          “ข้าพเจ้ามีเหตุผลของข้าพเจ้าอยู่”

          “ข้าพเจ้าทราบ ความนั้นจะต้องมีเหตุผลอยู่”

          “ข้าพเจ้าอยู่ในระหว่างหลบหลีกศัตรู”

          “หนีศัตรู?”

          “ศัตรูของข้าพเจ้าต้องคาดคิดไม่ถึง ข้าพเจ้าจะไปพึ่งบารมีของอุ้ยเทียนพ้ง ให้มันคุ้มครองได้”

          “ความจริงท่านก็มิใช่มีนามฮั่นเจ็ง?”

          “มิใช่”

          “ศัตรูของท่านเป็นผู้ใด?”

          “เป็นคนที่น่ากลัวยิ่ง”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าคำนวณได้ กระทั่งคนเช่นดั่งท่านยังต้องหลบหนีมัน มันย่อมต้องน่ากลัวยิ่ง”

          “อย่างนั้นท่านก็ควรคาดคิดได้ ข้าพเจ้าไฉนจึงต้องช่วยท่าน?”

          “ท่านคิดจะให้ข้าพเจ้าช่วยท่านอีกแรงหนึ่ง ไปรับมือศัตรูท่าน?”

          “ข้าพเจ้าทราบ ท่านเป็นสหายที่มีประโยชน์ยิ่ง และก็เป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นกระจ่างยิ่ง”

          “ฮา...ข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะถ่อมตัวเกินไป”

          “คนที่แยกแยะบุญคุณความแค้นกระจ่าง เพราะทดแทนพระคุณที่ช่วยชีวิต มักจะยอมกระทำเรืองราวใดๆ ทุกสิ่งอัน”

          “อย่างนั้นท่านตอนนี้สมควรบอกกับข้าพเจ้า ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำกระไรกันแน่?”

          “โอกาสหน้าข้าพเจ้าย่อมบอกกับท่าน ตอนนี้...”

          มันพลันเปลี่ยนเรื่องไปกลางคัน

          “อาการของท่านคล้ายดั่งไม่สาหัส ไฉนกระทั่งยังไม่มีปัญญาทรงกาย?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้ายังมิได้ดื่มสุรา”

          “ท่านต้องการดื่มสุรา?”

          “หลังจากดื่มสุราแล้ว หัวใจของข้าพเจ้าอาจยิ่งอ่อนกว่านี้ แต่เท้ากลับไม่อ่อนเด็ดขาด”

          “สุราสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของท่าน?”

          “อาการบาดเจ็บของข้าพเจ้าพิเศษอย่างยิ่ง”

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องแย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าเชื่อ มีปิศาจสุรามากหลายที่ยินยอมได้รับบาดเจ็บเช่นดั่งท่าน”

          ฮั่นเจ็งรับคำ

          “ตกลง ข้าพเจ้าไปหาสุราให้ท่าน”

          “สุราไม่อาจหามาน้อยนัก”

          เอี๊ยบไคกล่าวขาดคำ เต็งฮุ้นลิ้มสวนขึ้นทันที

          “กับแกล้มก็ไม่อาจหามาน้อยนัก ให้ประเสริฐสุด หาเสื้อผ้าบุรุษมาอีกชุดหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่อาจทนดูสารรูปที่ไม่บุรุษไม่สตรี (ลักเพศ) ของมันแล้ว”

          ฮั่นเจ็งเหลือบมองนางแวบหนึ่ง กล่าวเสียงราบเรียบ

          “สารรูปของท่านตอนนี้ ก็คล้ายไม่ผิดกับมันเท่าใด”

          เต็งฮุ้นลิ้มหน้าแดงฉาน นางพลันนึกได้ ที่นางสวมใส่ตอนนี้เป็นเสื้อบุรุษ

 

          มีคนมากหลายที่ต่างเป็นเช่นนี้ คือเพียงเห็นความผิดของผู้อื่น แต่ลืมของตัวเอง

------------------------------- 

          ฮั่นเจ็งไปแล้ว

          สถานที่นี้มีประตูอยู่บานเดียว เบื้องบนเป็นตึกหลังหนึ่งของอุทยานแนเฮียงฮึ้ง ฮั่นเจ็งมีความเห็น เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต้องคาดไม่ถึง พวกมันยังอยู่ในแนเฮียงฮึ้ง เอี๊ยบไคก็เห็นพ้อง

          ยิ่งเป็นสถานที่กระจ่างชัด ผู้คนกลับยิ่งไม่สนใจสังเกต... นี่อาจบางทีเป็นจุดอ่อนของสัญชาตญาณมนุษย์เรา

          เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจกล่าว

          “นอกจากเราสองคนแล้ว น่ากลัวมีแต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนทราบความเคลื่อนไหวของพวกเรา ความจริงพวกเราควรคิดได้ ข่าวเป็นนางแพร่งพรายออกไปชัดๆ นี่ความจริงเป็นเรื่องที่กระจ่างอย่างยิ่งอยู่แล้ว”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

          “อาจบางทีเนื่องเพราะกระจ่างเกินไป ดังนั้นพวกเราจึงคาดคิดไม่ถึง”

          “ข้าพเจ้าก็สมควรได้คิด หากบุตรีของเซี่ยงกัวกิมฮ้งกับลิ่มเซียนยี้เป็นคนปัญญาอ่อน ผู้คนในแผ่นดินต่างสมควรปัญญาอ่อนไปหมดสิ้น”

          “นางจะต้องถือพวกเราเป็นคนปัญญาอ่อนแน่”

          “ดูท่านางคล้ายดั่งร้ายกาจกว่าบิดามารดานางเสียอีก”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “เซี่ยงกัวกิมฮ้งป่าเถือนถืออำนาจเกินไป ลิ่มเซียนยี้ขี้ขลาดเกินไป แต่นางไม่มีปมด้อยทั้งสองนี้เลย”

          “นางยังมีปมด้อย”

          “อ้อ?”

          “หากนางไม่มีปมด้อย พวกเราไหนเลยมาถึงที่นี้ได้?”

          “ความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวของนาง คือประเมินฮั่นเจ็งต่ำเกินไป”

          “ข้าพเจ้าไม่พอใจคนผู้นี้”

          “ท่านไม่พอใจฮั่นเจ็ง?”

          “อืมม์”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “มันคล้ายไม่ต้องการให้ท่านไปพอใจมัน”

          เต็งฮุ้นลิ้มกะพริบตากล่าว

          “นี่อาจบางทีเนื่องเพราะมันทราบ ข้าพเจ้าใกล้จะเป็นภรรยาท่านแล้ว”

          เอี๊ยบไคคล้ายดั่งตระหนกจนโพล่งขึ้น

          “ท่านว่ากระไร?”

          “ท่านว่าท่านไม่คิดจะได้ภรรยาที่เป็นคนตาย ข้าพเจ้าตอนนี้ยังไม่ตาย”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “โสตประสาทของท่านกลับปราดเปรียวยิ่ง”

          “ข้าพเจ้าแม้ไม่อาจเคลื่อนไหว และไม่อาจส่งเสียง แต่วาจาที่พวกท่านว่ากล่าวกัน ข้าพเจ้าต่างได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ”

          “อ้อ?”

          เต็งฮุ้นลิ้มเชิดปากกล่าวด้วยความขุ่นแค้น

          “ตอนนางผู้นั้นจะป้อนนมให้ท่าน ข้าพเจ้าแค้นจนใคร่งับนางสักคำจริงๆ”

          “บอกตามความสัตย์จริง ข้าพเจ้าก็คิดจะกัดนางสักคำเช่นกัน”

          เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่ออีก โอบคอเอี๊ยบไคไว้กระซิบเบาๆ

          “บอกตามความจริง ท่านเตรียมจะแต่งกับข้าพเจ้าเมื่อใด?”

          “เมื่อท่านไม่หึงหวงแล้ว”

          “คิก คิก คนหน้าโง่ สตรีไม่หึงหวง ก็ไม่อาจนับเป็นสตรีแล้ว หรือท่านยังไม่เข้าใจเหตุผลนี้?”

          พลันมีคนผู้หนึ่งส่งเสียงเย็นชา

          “มันเพียงรู้จักฆ่าคน!

 

          ประตูของห้องใต้ดินอยู่ทางเบื้องบน เสียงนี้ดังแว่วลงมาจากเบื้องบน

          ตอนฮั่นเจ็งเดินออกไป ทั้งสองมิได้ลงกลอนประตูไว้ ตอนนี้คิดจะไปลงกลอนก็ไม่ทันแล้ว

          วาจาประโยคนั้นพอขาดคำ ก็มีคนเดินลงมาผู้หนึ่ง

          เต็งฮุ้นลิ้มตระหนกเฮือกหนึ่งก่อน จึงระบายลมจากปากยาวๆ ผู้มามิใช่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ยังนับเป็นโชคในเคราะห์ได้

          ผู้มาเป็นบุรุษ

          เป็นบุรุณที่มิว่าผู้ใด ต่างไม่ปรารถนาจะได้เห็น... มิว่าผู้ใด ต่างไม่ต้องการเห็น ผีตายซาก!

          คนผู้นี้ดูไปคล้ายผีตายซาก ใบหน้าเป็นสีเทาซีด โหนกแก้มสูงชัน จมูกเหยี่ยว ปากกว้าง คล้ายดั่งไม่มีเนื้อเลยสักน้อยนิด ในดวงตาเป็นประกายสีเหลืองแววาว

          ร่างของมันสูงอย่างยิ่ง ยาวจนคลุมมือทั้งสองหมดสิ้น

          มิว่าผู้ใดเห็นคนสารรูปเช่นมัน ต่างอดบังเกิดความตระหนกมิได้ แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับระบายลมจากปากยาวๆ

          นางมีความเห็น คนผู้นี้อย่างน้อยน่าดูกว่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอยู่บ้าง

          ในสายตานาง ทั้งแผ่นดิน ไม่มีคนที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอีกแล้ว

          เอี๊ยบไคเมื่อเห็นคนผู้นี้ลงมา หัวใจวาบหวิวดุจดั่งร่วงหล่นในหุบเหว

          เอี๊ยบไคเห็นท่าการเดินของคนผู้นี้ก็ทราบ เต็งฮุ้นลิ้มต้องมิใช่คู่มือมันเด็ดขาด

          เอี๊ยบไคตอนนี้ กระทั่งยังไม่อาจเปรียบกับเต็งฮุ้นลิ้มได้ แม้นับเป็นทารกวัยสิบกว่าขวบปี ยังสามารถต่อยเอี๊ยบไคล้มลงได้โดยง่ายดาย

          แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับกระโดดขึ้นยืน ส่งเสียงดังๆ

          “ท่านถือดีอย่างไร จึงบุกเข้ามาในบ้านผู้อื่นโดยไม่ถามไถ่ให้กระจ่าง ท่านรู้จักมารยาทหรือไม่?”

          คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชา

          “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าเพียงเข้าใจฆ่าคน แต่ข้าพเจ้ายังเปรียบกับมันไม่ได้”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

          “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”

          “เมื่อครู่ข้าพเจ้านับดูแล้ว หน้าๆ หลังๆ นอกๆ ในๆ ของสถานที่นี้ มีคนตายถึงแปดสิบสามคน”

          บุตรหลานของตระกูลบั๊ก บริวารของทิโกว และพวกคนงานของแนเฮียงฮึ้งถึงกับไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลย!

          คนผู้นั้นเค้นเสียงยะเยียบกล่าวต่อ

          “ค่ำคืนเดียวก็ฆ่าถึงแปดสิบสามคน นับเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ กำลังใจที่ฮึกหาญเหลือหลาย...”

          เอี๊ยบไคสอดคำทันที

          “ท่านเข้าใจ คนเหล่านั้นเป็นข้าพเจ้าสังหาร?”

          “ข้าพเจ้าเพียงทราบ พวกมันต่างกายแล้ว แต่ท่านกลับยังมีชีวิตอยู่”

          “มีชีวิตมิเพียงข้าพเจ้าคนเดียว”

          “มีท่านเพียงคนเดียว”

          “ท่านไม่เห็นคนอื่นๆ?”

          “ไม่เห็น”

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องถาม

          “เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเล่า?”

          ผู้นั้นกล่าว

          “เรากำลังต้องการถามพวกท่าน นางไปที่ใด?”

          เต็งฮุ้นลิ้มตอบ

          “พวกเราทราบได้อย่างไร พวกเราก็กำลังต้องการหานาง”

          ผู้นั้นหัวร่อแล้ว

          เต็งฮุ้นลิ้มไม่พอใจสีหน้าหัวร่อเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดพอใจการหัวร่อเช่นนั้น

          คนผู้นั้นแค่นหัวร่อพลางกล่าว

          “นางความจริงติดตามพวกท่านมา พวกท่านกลับหนีหน้านางมาซ่อนในที่นี้”

          หัวใจเอี๊ยบไควาบหวิวลงอีกครา ทราบแล้วว่าเรื่องนี้ยากยิ่งที่จะอธิบายให้ได้รับความเชื่อถือ

          เต็งฮุ้นลิ้มกลับมีทีท่ามั่นใจในเหตุผลจนโอ่อ่าภาคภูมิ ส่งเสียงดังๆ

          “ถูกแล้ว ตอนต้นนางร่วมทางมากับพวกเรา นั่นเนื่องเพราะพวกเราก็หลงกลนาง”

          ผู้นั้นแค่นหัวร่อ เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

          “แต่คนล้วนเป็นนางฆ่า..”

          “แล้วนางไฉนไม่พลอยฆ่าท่านทั้งสองไปด้วย?”

          “เนื่องเพราะฮั่นเจ็งช่วยพวกเราออกมา”

          “ฮั่นเจ็งเล่า?”

          “ไปหาสุรา”

          “ในเวลาเช่นนี้ พวกท่านยังต้องการดื่มสุรา? มันยังยอมไปหาสุราให้พวกท่าน?”

          “ท่านไม่เชื่อ?”

          “ตอนเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฆ่าคน พวกท่านอยู่ที่ด้านข้าง พวกท่านเห็นกับตา?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้าถูกนางจี้จุดไว้ จึงได้เห็น”

          “ท่านเล่า?”

          ที่มันถามคือเอี๊ยบไค แต่เต็งฮุ้นลิ้มก็ได้ตอบแทนให้

          “มันก็ถูกลอบประทุษร้าย ตลอดร่างไม่มีกำลังแม้สักน้อยนิด ไหนเลยจะ...”

          กล่าวถึงตอนนี้ นางจึงพลันนึกได้ว่าพลั้งปากไปแล้ว

          ตาของคนผู้นั้นสุกใสกว่าเดิม ถลึงจ้องเอี๊ยบไคพลางเค้นเสียงจากไรฟัน

          “ท่านไม่มีกำลังแม้แต่น้อยนิด?”

          เอี๊ยบไคได้แต่ฝืนยิ้ม พลันพบเห็น หากไม่ต้องการให้สตรีปากมาก นับว่ายังยากกว่าจับอูฐมาร้อยใส่รูเข็มเสียอีก

          คนผู้นั้นเขม้นมองเอี๊ยบไค เน้นทีละคำ

          “ท่านไม่มีกำลังหลงเหลือแม้สักน้อยนิดจริงๆ? เราต้องการฆ่าท่าน?”

          เต็งฮุ้นลิ้มพลันตวาดก้อง โถมปราดเข้าไป

          พลังฝีมือของนางไม่ต่ำทราม เต๊าะเมี่ยกิมเหล็ง (กระพรวนทองชิงชีวิต) ของนางแม้มิได้อยู่ในตัว แต่การโถมจู่โจมสุดแรงเยี่ยงนี้ ก็มิใช่ผู้คนธรรมดาจะรับมือได้ง่ายดาย

          มิคาด คนผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อยาววูบเดียว พลังลมทะลักออกมาดั่งพายุกระแทกร่างนางจนปลิวออกไป ชนใส่ผนังห้องดังโครมใหญ่

          มือของมันยื่นออกมาจากในแขนเสื้อยาว ตะปบใส่คอหอยเอี๊ยบไคดั่งประกายไฟ!

 

          มือข้างนั้นถึงกับเป็นสีแดง?

          แดงฉานปานโลหิต!

          อั้งม้อชิ้ว (หัตถ์อสูรแดง) !

          มิว่าผู้ใด เพียงถูกอั้งม้อชิ้วตะปบใส่ร่าง ต่างต้องตายแน่นอน

          เอี๊ยบไคไม่คิดจะตาย แต่ไม่กล้าต่อต้านรับมือ จำต้องใช้พละกำลังเท่าที่มี คิดจะถอยหนีไปทางด้านหลัง

          ทันใดนั้น ร่างพลันลอยขึ้นจากเตียง

          พละกำลังของเอี๊ยบไคถึงกับพลันทุเลาคืนมา ถอยปราดไปด้านหลัง ลอยขวับขึ้นจากเตียง ไถลตามผนังออกไป

          อั้งม้อชิ้ว (หัตถ์อสูรแดง) มิได้ฉวยโอกาสไล่ซ้ำเติม เพียงแต่จับตาเย็นชาจ้องมอง แค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านว่าท่านไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้สักน้อยนิด แล้วเรี่ยวแรงของท่านมาจากที่ใด?”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

          นี่เป็นความสัตย์จริง เป็นวาจาจริงที่ไม่มีผู้ใดยอมเชื่อถือ

          พลันมีเสียงเย็นชาของคนผู้หนึ่ง แว่วขึ้นที่หน้าประตู

          “ท่านรู้จักแต่ฆ่าคนใช่หรือไม่?”

          ที่มาในครานี้ก็มิใช่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน เป็นคนชุดดำร่างสูงใหญ่ล่ำสัน หลังสะพายกระบี่ยาว

          กระบี่เป็นสีดำ อาภรณ์เป็นสีดำ ใบหน้าก็เป็นสีดำคล้ำด้วย ตาดำขลับทั้งคู่มีประกายแวววาว

          มันความจริงมีรูปกายสูงใหญ่อย่างยิ่ง แต่ไม่รู้สึกอ้วนฉุ

          มันเป็นคนที่ดูแล้วสมควรเป็นเหยี่ยว ปราดเปรียว ดุร้ายอำมหิต เต็มไปด้วยพลังป่าเถื่อน

          มือของอั้งม้อชิ้ว (หัตถ์อสูรแดง) ยกขึ้นแล้ว แต่เมื่อเห็นกระบี่ที่หลังของมันแก้วตาพลันหดเล็กลงทันที

          ตาเป็นประกายแวววาวของคนชุดดำ ก็จ้องมือสีแดงของมันแน่วนิ่ง... คล้ายดั่งมิใช่เป็นมือที่มีเลือดเนื้อ

          เป็นมือที่ท่านสามารถเห็นแต่ในฝันร้ายเท่านั้น!

          แก้วตาคนชุดดำก็คล้ายหดเล็กลง เน้นทีละคำ

          “อีแม้เข่า (ร่ำไห้ยามวิกาล)?”

          อีแม้เข่าผงกศีรษะกล่าวช้าๆ

          “แชม้อ (อสูรเขียว) ร่ำไห้กลางวัน เชียะม้อ (อสูรแดง) ร่ำไห้กลางคืน ฟ้าดินต่างร่ำไห้ จันทราอาทิตย์ไม่ปรากฏ”

          คนชุดดำส่งเสียงราบเรียบ

          “ข้าพเจ้ารู้จักท่าน”

          “ข้าพเจ้าก็รู้จักท่าน”

          “อ้อ?”

          “ท่านเป็นคนตระกูลก้วยแห่งซงเอี๊ยง?”

          “ก้วยเต๋ง”

          “เฮอะเฮอะ ซงเอี๊ยงทิเกี่ยม (กระบี่เหล็กแห่งซงเอี๊ยง) ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนแต่น่ากลัวยังไม่อาจเปรียบกับคนผู้นี้”

          คนชุดดำร่างสูงใหญ่ที่มีนามก้วยเต๋ง เป็นทายาทของกระบี่เหล็กแห่งซงเอี๊ยงกล่าวสวนคำ

          “เอี๊ยบไค?”

          “นึกมิถึงว่าท่านก็รู้จักมัน”

          ก้วยเต๋งแค่นเสียงเย็นชา

          “เวลาค่ำคืนเดียว ปลิดชีวิตคนไปถึงแปดสิบสาม มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          “แต่มันกลับปฏิเสธมิยอมรับ”

          ก้วยเต๋งแค่นหัวร่อ อีแม้เข่ากล่าวต่อ

          “มันยังแก้ตัว ฆาตกรที่ฆ่าคนคือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

          “เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเป็นคนปัญญาอ่อน ในโลกไม่มีคนปัญญาอ่อนที่เป็นฆาตกรฆ่าคน”

          “ท่านไม่เชื่อ?”

          “ไม่เชื่อ”

          “มันว่าตัวมันก็แทบตายกับมือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน เนื่องเพราะมันไม่มีพละกำลังหลงเหลือแม้สักน้อยนิด”

          “มันดูไปไม่คล้ายเป็นคนถูกลอบประทุษร้าย”

          “ท่านไม่เชื่อ?”

          “ไม่เชื่อ”

          “มันว่าที่มันตอนนี้ยังมีชีวิต เนื่องเพราะได้รับการช่วยเหลือมาจากฮั่นเจ็ง”

          “เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ฮั่นเจ็งจึงเป็นคนถูกลอบประทุษร้าย”

          “มันว่า ฮั่นเจ็งตอนนี้ไม่อยู่ เนื่องเพราะไปหาสุรามาให้มัน”

          “ตอนนี้คล้ายมิใช่เป็นเวลาดื่มสุรา”

          “วาจาที่มันว่า ท่านต่างไม่เชื่อ?”

          “ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง”

          “ข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อ”

          เอี๊ยบไคถอนใจเบาๆ กระทั่งตัวเองก็รู้สึก วาจาเหล่านั้น ยากยิ่งจะให้ผู้คนเชื่อถือได้

          เต็งฮุ้นลิ้มพลันกล่าวบ้าง

          “พวกท่านทราบฮั่นเจ็งถูกลอบประทุษร้าย ทราบว่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนติดตามพวกเรามา?”

          ก้วยเต๋งเพ่งมองนาง ผงกศีรษะช้าๆ เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

          “เรื่องเหล่านี้ เป็นผู้ใดบอกกับพวกท่าน?”

          ก้วยเต๋งตอบ

          “เป็นคนที่โชคดีหนีรอดตายไปได้”

          “เอี้ยเทียน?”

          ก้วยเต๋งยอมรับโดยดุษณี เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

          “ท่านแน่ใจอย่างไรว่า ที่มันบอกเป็นความสัตย์จริง?”

          “มันเป็นสหายของข้าพเจ้า”

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องแค่นหัวร่อเย้อหยัน

          “ท่านมีสหายเยี่ยงนั้น นับว่ามีโชคแล้วจริงๆ”

          อีแม้เข่ากล่าวบ้าง

          “มันมาตรแม้นมิใช่สหายข้าพเจ้า แต่วาจาของมัน ข้าพเจ้ายินยอมเชื่อ”

          “เพราะเหตุใด?”

          อีแม้เข่าแค่นเสียงเย็นชา

          “พยานหลักฐานประจักษ์กับสายตา ข้าพเจ้ามิอาจไม่เชื่อ”

          “พยานหลักฐานใด?”

          อีแม้เข่าแค่นเสียงเย็นชา

          “พวกท่านฆ่าบรรดาผู้ที่ล่วงรู้ความนัยจนหมดสิ้น ซ่อนตัวเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไว้ เตรียมจะป้ายผิดแก่ผู้คน ในภายภาคหน้าทรัพย์สมบัติของกิมจี๊ปัง ไยมิใช่ตกอยู่กับมือพวกท่านอย่างง่ายดาย?”

          สีหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแปรเปลี่ยนไปทันที นางก็พลันพบเห็น ข้อคิดสันนิษฐานนี้มิอาจว่าไม่สมเหตุสมผลได้

          ก้วยเต๋งยังคงเพ่งมองนาง กล่าวช้าๆ

          “วาจาที่ท่านบอกมา หากมีคนเป็นพยานยืนยัน ข้าพเจ้าก็เชื่อถือท่าน”

          ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มสุกใสทันที สวนคำไป

          “วาจาที่พวกข้าพเจ้ากล่าว โชคดีที่ยังมีอีกผู้หนึ่งยืนยันได้”

          “ฮั่นเจ็ง”

          “ถูกแล้ว”

          “ในเมื่อมันเพียงไปหาสุรา ย่อมต้องกลับมาเร็วอย่างยิ่ง?”

          “เชื่อแน่ว่ามันต้องกลับมาเร็วอย่างยิ่ง”

          “ตกลง พวกเรารอ”

          อีแม้เข่ากล่าวบ้าง

          “ท่านจะรอบจริงๆ? รอจนผู้ช่วยพวกมันมา ร่วมกันสังหารพวกเราไป?”

          ใบหน้าก้วยเต็งเครียดลงทันที แค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านเป็นท่าน ข้าพเจ้าเป็นข้าพเจ้า มิใช่พวกเรา”

          อีแม้เข่าเพ่งมองก้วยเต็งแน่วนิ่ง ประกายตาแวววาวราวไฟปิศาจ แค่นเสียงจากไรฟัน

          “หรือท่านยังไม่ยอมถ่อมตัวเป็นพวกกับข้าพเจ้า?”

          ก้วยเต๋งแค่นหัวร่อ ความหมายของแค่นหัวร่อก็เป็นยอมรับโดยดุษณี

          อีแม้เข่ากล่าวต่อ

          “กาลกระโน้น ซงเอี๊ยงทิเกี่ยมถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของตำราอาวุธ นับว่าพอจะเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ที่ดูแคลนผู้อื่นได้ แต่เสียดาย...”

          ก้วยเต๋งแค่นเสียงด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

          “เสียดายกระไร?”

          “เสียดายที่ท่านมิใช่ก้วยซงเอี๊ยง ซากศพของก้วยซงเอี๊ยงน่ากลัวกระดูกผุเป็นผุยผลไปเสียนานแล้ว”

          ใบหน้าดำคล้ำของก้วยเต๋ง พลันกลับกลายเป็นเขียวซีด

          อีแม้เข่าแค่นเสียงเย็นชาต่อ

          “คนตายก็เป็นคนตาย คนตายทั้งมวลต่างเป็นเช่นกัน อย่าลืมว่าหลังจากมือกระบี่ยิ่งใหญ่ตายไปแล้ว ซากศพก็เน่าเปื่อย เหม็นคละคลุ้งเช่นดั่งคนอื่นๆ มิผิดเพี้ยน”

          ก้วยเต๋งกำหมัดแน่น เน้นทีละคำ

          “ท่านก็อย่าลืมความเรื่องหนึ่งไปจึงประเสริฐสุด”

          “เรื่องอันใด?”

          “ก้วยซงเอี๊ยงแม้ตายแล้ว ซงเอี๊ยงทิเกี่ยมกลับยังไม่ตาย!

          “เฮอะเฮอะ หรือซงเอี๊ยงทิเกี่ยม ยังจะช่วยเหลือฆาตกรฆ่าคนมารับมือข้าพเจ้า?”

          ก้วยเต๋งมิส่งเสียงอีกแล้ว อีแม้เข่ากล่าวต่อ

          “ก้วยซงเอี๊ยงตายอยู่กับกระบี่จิ้นบ้อเมี่ย เพลงกระบี่ของจิ้นบ้อเมี่ยได้รับถ่ายทอดมาจากเซี่ยงกัวกิมฮ้ง”

          มือก้วยเต๋งกำแนบแน่นอีกครา อีแม้เข่ากล่าวต่อ

          “หากท่านเป็นบุตรหลานรักดีของตระกูลก้วย ท่านก็ควรร่วมมือกับข้าพเจ้ากำจัดเอี๊ยบไค ออกไปหาตัวเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ค่อยศึกษษค้นคว้าจุดอ่อนในเพลงกระบี่พวกมัน จากคัมภีร์ที่เซี่ยงกัวกิมฮ้งทิ้งไว้ พิสูจน์ผลแพ้ชนะกับจิ้นบ้อเมี่ยอีกครา ชิงทิฐิให้แก่วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของก้วยซงเอี๊ยงที่ตายไปจึงถูกต้อง

          มันที่ดูไปแม้มีสันดาลพิกลผิดคนธรรมดา แต่วาจาที่กล่าวกลับมีอานุภาพกระตุ้นจิตใจผู้คนได้รุนแรงยิ่ง

          ก้วยเต๋งก็มีสีหน้าตื่นเต้นกว่าเดิมโดยมิอาจข่มกลั้น

          อีแม้เข่าจับตามองสีหน้าก้วยเต๋งแล้วกล่าวต่อ

          “ความเห็นของท่านเป็นอย่างไร?”

          “ประเสริฐมาก”

          “ท่านรับปากแล้ว?”

          “อืมม์”

          อีแม้เข่าหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “ขอเพียงเราสองร่วมมือ อย่าว่าเป็นเอี๊ยบไคเพียงคนเดียวเลย ทอดตาทั่วแผ่นดินยุคนี้ ยังมีผู้ใดสามารถชิงดีชิงเด่นกับเราสองได้อีก?”

          ก้วยเต๋งพลิกข้อมือ คว้าด้ามกระบี่ไว้

          เสียงหัวต่อของอีแม้เข่าพลันชะงักลงมากลางคัน จับตามองเอี๊ยบไคพลางเค้นเสียงเย็นยะเยียบ

          “สถานที่นี้ไม่มีทางถอยหนี เราเห็นว่าท่านวันนี้ตายแน่นอนแล้ว!

-----------------------

          อรุณรุ่ง ท้องฟ้าแจ่มใส

          แต่ลมกลับเหน็บหนาวกว่าตอนวิกาล ยามหิมะละลาย มักหนาวเหน็บกว่าตอนหิมะโปรยปรายมากนัก

          ตอนนี้หิมะกำลังละลาย ขอบฟ้าบูรพามีแสงทองเปล่งประกาย ลูบไล้ป่าเหมยจนสดใสงามตา

          แต่ในห้องใต้ดิน ยังคงอับชื้นเลือนราง

          เต็งฮุ้นลิ้มได้เดินเข้าไป เคลียคลออยู่ข้างกายเอี๊ยบไคแล้ว

          เอี๊ยบไคยืนสงบอยู่ในที่นั้น ทั้งมิได้เอ่ยปากและมิได้เคลื่อนไหว แต่ในดวงตาถึงกับมีประกายแย้มยิ้มอย่างพิกลยิ่ง

          อีแม้เข่าจับตามองมือเอี๊ยบไคพลางเน้นเสียง

          “ท่านรับมือมัน ข้าพเจ้าฆ่าสตรีนางนี้ก่อนค่อยไปช่วยท่าน”

          รับคำอืมม์เบาๆ อีแม้เข่ากล่าวต่อ

          “ระวังมีดสั้นมันด้วย”

          ก้วยเต๋งแค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านก็ต้องระวัง.. ระวังกระบี่ของข้าพเจ้า”

          อีแม้เข่าโพล่งด้วยความตื่นเต้นสงสัย

          “ระวังกระบี่ท่าน?”

          “อืมม์”

          ทันใดนั้น ประกายกระบี่วูบขึ้น กระบี่ของก้วยเต๋งถูกชักออกแล้ว แทงสวบเข้าใส่อีแม้เข่าดั่งสายฟ้าแลบ!

          แต่ประกายกระบี่ไม่คล้ายเป็นสายฟ้าแลบ!

          กระบี่เป็นสีดำ ไม่มีประกายเจิดจ้าบาดตา แต่รังสีกระบี่ที่เย็นยะเยียบ กลับยังคุกคามผู้คนได้ยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก

          นี่ก็คือกระบี่เหล็กของซงเอี๊ยง!

          ทั่วพิภพจบแดน เป็นกระบี่ซงเอี๊ยงทิเกี่ยมที่มีเพียงหนึ่งเดียว!

          กระบี่พอหลุดจากฝัก อีแม้เข่าพลันรู้สึก มีรังสีกระบี่ที่น่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัวแผ่เข้าคุกคามถึงใบหน้าของมันแล้ว

          มันตระหนกอย่างยิ่ง เดือดดาลอย่างยิ่ง คำรามสุดเสียงแล้วอั้งม้อชิ้วพุ่งวาบออกไปดั่งประกายไฟ

          เมื่อกาลกระโน้น แชม้อซิ้วถูกจัดอยู่ในอันดับเก้าของตำราอาวุธ ความจริงอานุภาพของมัน มิได้ด้วยอกว่าจั๊วเปียง (แส้อสรพิษ) ของเปียงซิ้ว (เทพเจ้าแส้) ที่อยู่อันดับหก และกิมกังทิไขว้ (ไม้เท้าเหล็กเทวราช) ที่อยู่อันดับเจ็ดเลย แต่เนื่องเพราะเป็นอาวุธที่มีอาถรรพณ์ชั่วร้ายเกินไป ดังนั้นแป๊ะเฮี่ยวเช็งที่จัดอันดับในตำราอาวุธ จงใจลดมันให้ต่ำอยู่ในอันดับเก้า

          อั้งม้อชิ้วสร้างได้ยิ่งประณีตพิสดารกว่าแชม้อชิ้วมากนัก กระบวนท่านก็ยิ่งพิกล พิสดาร กราดเกรี้ยวดุร้ายมากกว่า

          อาวุธก็เป็นเช่นเรื่องราวมากหลายในโลกนี้ มีความรุดหน้าอยู่ตลอดเวลา มีการดัดแปลงแก้ไขให้งามสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา

          เห็นประกายสีแดงวูบขึ้นแวบเดียว กลิ่นความโลหิตเหม็นคลุคลุ้งจนผู้คนแทบอาเจียน กระจายอบอวลเต็มห้อง

          ก้วยเต๋งหัวร่อแค่นๆ ถอยหลังไปสองก้าว พลันกู่ยาวแล้วทะยานขึ้นอากาศ กระบี่เหล็กถึงกับผนึกเป็นสายรุ้งสีดำสายหนึ่ง

          ร่างของมันถึงกับผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่!

          นี่คือไม้ตายของซงเอี๊ยงทิเกี่ยม แทบจะถึงระดับทลายของแข็งได้ทุกประการ!

          มีเสียงติงดังสนั่น!

          อั้งม้อชิ้วถูกกระบี่นี้ ฟาดฟันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดูไปคล้ายมีฝนโลหิตเต็มท้องฟ้าก็ปาน

          ก้วยเต๋งกู่ยาวไม่หยุดปาก พลันตีลังกากลางอากาศ รุ้งสีดำกลับกลายเป็นประกายจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอีกครั้ง

          โลหิตเต็มท้องฟ้าถูกกดต่ำลงมาทันที ร่างของอีแม้เข่าก็ถูกครอบคลุมอยู่ในรังสีกระบี่

          มันมิว่าจะกระโดดหลบหลีกไปทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ต่างไม่มีทางจะหลีกพ้น ขณะเวลานั้นเอง เสียงกู่พลันชะงักหาย รังสีกระบี่สลายคลายไป เมื่อก้วยเต๋งพลิ้วร่างถึงพื้น กระบี่เหล็กถูกสอดเข้าฝักแล้ว

          สองมือของอีแม้เข่าห้อยแนบกาย ร่างแน่วนิ่งในที่นั้นปานท่อนไม้ ใบหน้าที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกของมัน เหงื่อกาฬแตกโซมดั่งฝนสาดซัด

          ก้วยเต๋งจับตาเย็นชามองพลางเน้นทีละคำ

          “ท่านจะร่วมมือกับข้าพเจ้า ท่านยังไม่คู่ควร”

          อีแม้เข่าขบกรามคำราม

          “ท่านไฉนไม่พาลสังหารข้าพเจ้าไปในกระบี่เดี่ยว?”

          “ท่านก็ไม่คู่ควร?”

          “ท่านต้องการอย่างไร?”

          “ต้องการให้ท่านไสหัวไป”

          อีแม้เข่าแสยะยิ้มเสียงเย็นยะเยียบกล่าว

          “หากข้าพเจ้าไป ย่อมต้องมีสักวันที่ท่านสำนึกเสียใจ”

          มันมิได้วิ่งหนี

          มันเดินช้าๆ ผ่านหน้าก้วยเต๋ง เดินช้าๆ ออกจากห้องใต้ดิน

-----------------------------------

          อั้งม้อชิ้วที่แหละละเอียดร่วงกับพื้น คล้ายเป็นโลหิตสดๆ ที่หยดหยาดอยู่ก็ปาน

          หันไปเผชิญหน้ากับเอี๊ยบไค

          เอี๊ยบไคกำลังแย้มยิ้ม

          ก้วยเต๋งกำลังเครียดเย็นชา แค่นเสียงกระด้าง

          “ท่านสะกดใจได้หนักแน่นยิ่ง”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

          “ท่านไม่กลัวข้าพเจ้าร่วมมือกับมันสังหารท่าน?”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          “ท่านทราบกระไร?”

          “ข้าพเจ้าทราบท่านเป็นทายาทของซงเอี๊ยงทิเกี่ยม ต้องไม่ยอมร่วมมือกับคนเช่นมันกระทำเรื่องใดๆ เด็ดขาด”

          ก้วยเต๋งจ้องมองแน่วนิ่ง ดวงตามีประกายพิสดารอย่างยิ่ง เนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

          “ก้วยซงเอี๊ยงเป็นกอกอข้าพเจ้า”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “นับว่ามีกอกอเช่นนั้น ต้องมีตี้ตี๋เช่นนี้จริงๆ”

          “มันเป็นวีรบุรุษมาชั่วชีวิต แต่เคราะห์ร้ายต้องรายกับมือจิ้นบ้อเมี่ย”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง

          “นั่นก็เป็นเรื่องที่เซี่ยวลี้ปวยตอ รักเคารพในกันและกัน จากศัตรูที่เคารพกัน กลายเป็นสหายรักที่เคารพต่อกัน

          ชั่วชีวิตของทั้งสองต่างเคารพนับถือกัน ก้วยซงเอี๊ยงเพราะไปตามกำหนดนัดแทนลี้คิมฮวง จึงตายกับกระบี่จิ้นบ้อเมี่ย

          นั่นแม้เป็นเรื่องเจ็บแค้นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นตำนานดีงามที่ถูกเล่าขานกันมานาน

          ก้วยเต๋งกล่าว

          “อีแม้เข่ามิได้กล่าวผิด ที่ข้าพเจ้ามาครานี้ ต้องการคัมภีร์ของเซี่ยงกัวกิมฮ้งจริงๆ”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงยิ่งต้องรอฮั่นเจ็ง”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          “วาจาของท่าน ความจริงข้าพเจ้าไม่ควรเชื่อ แต่ข้าพเจ้าจะลองเชื่อดู เนื่องเพราะท่านเป็นทายาทเพียงผู้เดียวของลี้คิมฮวง”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ท่านผู้เฒ่ามิได้รับข้าพเจ้าเป็นศิษย์โดยแท้จริงเลย พลังฝีมือของท่านผู้เฒ่า ข้าพเจ้าก็เพียงฝึกได้ประมาณหนึ่งในสิบเท่านั้น”

          “แต่ลี้คิมฮวงกลับถ่ายทอดสุดยอดวิชามีดบินแก่ท่าน?”

          เอี๊ยบไคมิได้ปฏิเสธ ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

          “ตอนกอกอยังมีชีวิต ความหวังยิ่งใหญ่ที่สุดของท่าน คือหาตัวเซี่ยวลี้ปวยตอมาประลองสูงต่ำดูสักครั้ง”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          ก้วยเต๋งกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง

          “การต่อสู้ในป่าต้นปังนอกหมู่ตึกเฮ็งฮุ้นจึง ในที่สุดกอกอก็พ่ายแพ้กับเซี่ยวลี้ปวยตอ”

          “ท่านมิได้พ่ายแพ้”

          “โอ... ท่านแพ้แล้ว แพ้ก็แพ้?”

          “แต่การต่อสู่ครั้งนั้น กลับดูกชนชาวบู๊ลิ้มทั้งแผ่นดิน ถือเป็นการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาในโบราณกาล และจะไม่มีต่อไปในอนาคต”

          การต่อสู้ครั้งนั้น ความจริงลี้คิมฮวงมีโอกาสถึงสามคราพอจะปลิดชีวิตก้วยซงเอี๊ยง แต่ลี้คิมฮวงไม่ลงมือ

          ภายหลังมีดของลี้คิมฮวงหักไป ก้วยซงเอี๊ยงไม่แน่พอจะปลิดชีวิตลี้คิมฮวงได้ แต่ก้วยซงเอี๊ยงมิเพียงไม่ลงมือเช่นกันเท่านั้น กลับยินยอมรับการพ่ายแพ้โดยมิตัดพ้อต่อว่า ยอมแพ้โดยศิโรราบทั้งปากทั้งใจ!

          เอี๊ยบไคกล่าว

          “ดุจดั่งพวกท่าน จึงเป็นชาติชายชาตรี จึงเป็นบุคลิกภาพของวีรบุรุษยิ่งใหญ่เต็มภาคภูมิ”

          “แต่มิว่าอย่างไร ซงเอี๊ยงทิเกี่ยม นับว่าพ่ายแพ้ต่อเซี่ยวลี้ปวยตอแล้ว”

          เอี๊ยบไคได้แต่สงบงัน เพราะมิอาจกล่าวกระไรอีกแล้ว

          ก้วยเต๋งจับตามอง ดวงตาพลันมีประกายแวววาว เน้นเสียงหนักๆ กล่าว

          “ฟังว่าระหว่างนี้มีคนเรียบเรียงตำราอาวุธใหม่อีกครั้ง จัดอันดับมีดบินของท่าน เป็นที่หนึ่งในแผ่นดินแล้ว”

          เอี๊ยบไคได้แต่ฝืนหัวร่อ เพราะเคยได้ยินวาจานี้มาเช่นกัน

          หลังจากเอี๊ยบไคได้ยินวาจานั้นแล้วก็ทราบ นับแต่นี้เรื่องยุ่งยากรำคาญ จะต้องทยอยมาก่อกวนไม่ขาดสายเป็นแน่

          ผู้มีฝีมือในบู๊ลิ้ม ต้องไม่มีผู้ใดยินยอม ถูกจัดอันดับต่ำกว่าผู้อื่นโดยพร้อมใจเด็ดขาด

          เนื่องเพราะวาจานี้ เพียงพอจะเป็นชนวนให้เกิดการเข่นฆ่าสังหารนับครั้งมิถ้วน โลหิตหลั่งไหลเป็นสายธาร

          ก้วยเต๋งกล่าว

          “ดังนั้น มิว่าที่ท่านบอกจะเป็นจริงหรือเท็จ รอเรื่องนี้ผ่านพ้น ข้าพเจ้ายังต้องหาโอกาสพิสูจน์ผลแพ้ชนะกับท่านอีกครา ดูเราซงเอี๊ยงทิเกี่ยมในปัจจุบัน ยังจะต่ำกว่าเซี่ยวลี้ปวยตออีกหรือไม่?”

          เอี๊ยบไคยังคงได้แต่ฝืนยิ้ม

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องกล่าวขึ้นบ้าง

          “ท่านควรเข้าใจความเรื่องหนึ่งไว้จึงประเสริฐสุด”

          ก้วยเต๋งสงบฟัง เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

          “เท่าที่มีดสั้นของมันถูกวิจารณ์เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน เนื่องเพราะมีดสั้นของมันช่วยคนมามากหลาย มิใช่เนื่องเพราะไปฆ่าคน”

          “ข้าพเจ้าเคยได้ยิน”

          “ดังนั้น หากท่านจะเอาชัยเหนือมัน ท่านก็ควรช่วยคน ไม่ควรไปฆ่าคน”

          ก้วยเต๋งหน้าเครียดเย็นชา แค่นเสียงกระด้าง

          “หากข้าพเจ้าฆ่ามัน ก็มีชัยเหนือมันแล้ว”

          “ท่านผิดแล้ว แม้นับว่าท่านสามารถฆ่ามันได้จริง ท่านก็ไม่อาจมีชัยเหนือมันตลอดกาลนาน”

          ก้วยเต๋งแค่นหัวร่อ

          ความหมายของแค่นหัวร่อ บางครั้งก็เป็นปฏิเสธ

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องแค่นหัวร่อใส่หน้ามันเช่นกัน กล่าวเสียงเย็นชา

          “ท่านอย่าเข้าใจ ท่านสามารถพิชิตอั้งม้อชิ้วได้ก็ทะนงตนว่าเก่งกาจสามารถยิ่ง อั้งม้อชิ้วแม้จะชั่วร้ายอำมหิต แคล่วคล่องปราดเปรียวกว่าแชม้อชิ้วในอดีต แต่ก็ไม่มีทางเทียบกับแชม้อชิ้ว”

          “เนื่องเพราะอีแม้เข่า เป็นคนไม่มีความห้าวหาญ และไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง”

          “อ้อ?”

          “มันดูไปแม้จะโดดเดี่ยวทระนง เย่อหยิ่งโอหังอย่างยิ่ง แต่ความจริงเป็นเพียงคนที่มีเล่ห์ลิ้นคารมกลอกกลิ้ง คอยพลิกแพลงฉวยโอกาสเท่านั้น อาศัยเพียงประการนี้ มันก็ไม่มีทางทัดเทียมแชม้อชิ้วได้”

          ก้วยเต๋งจับตามองนาง ดวงตามีประกายพิกลจนบอกมิถูก

          เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

          “แต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ยอดฝีมือที่แท้จริงของบู๊ลิ้ม ต่างมีเอกลักษณ์ประจำตัวที่แน่วแน่ ไม่โอนเอนไปเพราะคำหว่านล้อมหรือคุกคามของผู้อื่น หากคนเรากระทั่งเอกลักษณ์ประจำตัวยังไม่มี ไหนเลยจะฝึกวิชาบู๊ที่โดดเด่นเป็นเอกสำเร็จได้?”

          ก้วยเต๋งพลันแค่นเสียง

          “ที่ท่านว่ามิใช่ไร้เหตุผล แต่เสียดายวาจาท่านมากเกินไป”

          มันหันหลังให้กับนาง หันหน้าให้ผนัง กระทั่งยังมิยอมเหลือมองเต็งฮุ้นลิ้มอีกสักแวบเดียว

          แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับหัวร่อพลางกล่าว

          “ดูท่าท่านกลับมีนิสัยเฉพาะตัวอยู่บ้างจริงๆ”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “มันใช่จริงๆ”

          เต็งฮุ้นลิ้มกะพริบตากล่าว

          “เสียดายที่มันยังมีความเหลวไหลอยู่บ้าง ไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดี ถึงกับถือคนเช่นเอี้ยเทียนเป็นมิตรสหายได้”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ก่อนนี้ข้าพเจ้าไยมิใช่ ก็ถือเอี้ยเทียนเป็นสหายเช่นกัน”

          “ดังนั้นท่านตอนนี้จึงต้องเคราะห์ร้ายยิ่ง”

          ความจริง ก้วยเต๋งตั้งใจไม่ไปฟังคำสนทนาของทั้งสองอยู่แล้ว ตอนนี้พลันหันกลับมากล่าว

          “เอี้ยเทียนมิใช่สหายรักของท่าน?”

          เอี๊ยบไคมิอาจยอมรับ

          “มันมิใช่”

          “มันขายพวกท่าน?”

          เอี๊ยบไคมิอาจปฏิเสธ

          ก้วยเต๋งถามอีก

          “มันสมคบกับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขายพวกท่าน?”

          เต็งฮุ้นลิ้มกล่าว

          “มันคล้ายดั่งถูกเสน่ห์ของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ยั่วยวนจนงมงายไปแล้ว”

          “แต่พวกท่าน ความจริงมาเพื่อคุ้มกันให้แก่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน?”

          เต็งฮุ้นลิ้มตอบโต้

          “พวกมันจะฟื้นฟูพรรคกิมจี๊ปังขึ้นใหม่ เอี้ยเทียนได้เป็นหัวหน้าตึกของกิมจี๊ปังแล้ว”

          “ดังนั้น พวกมันจึงกำจัดคนที่อาจจะเป็นศัตรูของกิมจี๊ปังให้หมดสิ้น?”

          เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจเบาๆ กล่าว

          “นับว่าท่านเข้าใจมาได้แล้ว!

          “หากกิมจี๊ปังก่อเกิดขึ้นในบู๊ลิ้มอีก ข้าพเจ้าต้องเป็นศัตรูของพวกมันแน่นอน”

          “ดังนั้นมันนัดให้ท่านมา น่ากลัวไม่มีกุศลเจตนาใด”

          “ตอนนี้ข้าพเจ้ามาแล้ว พวกมันไฉนไม่ลงมือต่อข้าพเจ้า? หรือพวกมันทราบแต่แรก พวกท่านจะถูกฮั่นเจ็งช่วยมา แสร้งล่อให้ข้าพเจ้ามารับมือพวกท่าน หรือฮั่นเจ็งก็เป็นคนของกิมจี๊ปัง แสร้งช่วยพวกท่านออกมาเพื่อรับมือข้าพเจ้า?”

          เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวไม่ออกอีกแล้ว นางมิได้คิดมากมายปานนั้น ลึกซึ้งมากปานนั้น แต่บัดนี้นางจึงคิดได้ ที่ก้วยเต๋งกล่าวมิใช่ไม่อาจเป็นไปได้

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าวบ้าง

          “มิว่าอย่างไร ฮั่นเจ็งย่อมเป็นคนมีพระคุณช่วยชีวิตข้าพเจ้า”

          “มันมีเหตุผลช่วยพวกท่าน?”

          “มี”

          “แล้วมันก็มีเหตุผลขายพวกท่านหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าไม่ต้องการไปคิดเช่นนั้น”

          “ท่านเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นกระจ่าง?”

          “มีคนว่ากันดั่งนั้น”

          “หากฮั่นเจ็งเป็นสหายพวกท่านจริง ตอนนี้สมควรกลับมาเสียนานแล้ว”

          “มิใช่แต่ละสถานที่ ต่างหาสุราได้ง่ายดาย”

          “เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ที่นี้สมควรมีห้องเก็บสุราใต้ดิน”

          “อาจบางทีถูกเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนทำลายไปแล้วก็ได้”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะมีแต่สุรา จึงขจัดพิษในตัวข้าพเจ้าได้”

          “ท่านตอนนี้มิได้ดื่มสุรา แต่ท่านก็ขจัดพิษออกจากตัวได้แล้ว?”

          เอี๊ยบไคก็ไม่อาจส่งเสียงได้อีก ก้วยเต๋งจึงแค่นเสียงเย็นชา

          “วาจาที่ท่านบอกกับข้าพเจ้า มิเพียงเหลวไหลสิ้นดีเท่านั้น ยังขัดกันอยู่ทุกที่ทาง กระทั่งทารกอมมือก็น่ากลัวไม่อาจเชื่อถือได้”

          เอี๊ยบไคไม่ต้องการโต้เถียงอธิบาย และไม่อาจอธิบายด้วย

          ก้วยเต๋งจับตามองแน่วนิ่ง ถอนใจยาวกล่าว

          “แต่มิว่าเพราะกระไร ข้าพเจ้าถึงกับเชื่อถือแล้ว”

          ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มเป็นประกายสุกใสทันที แย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าทราบ ท่านเป็นคนจิตใจกระจ่างแจ่มใส”

          ก้วยเต๋งหน้าเครียดลงอีกครา แค่นเสียงกระด้าง

          “อาจบางทีเนื่องเพราะข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนแจ่มใส ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อถือท่าน”

          “ท่านวางใจ พวกเราต้องไม่ให้ท่านสำนึกเสียใจภายหลังเด็ดขาด”

          ก้วยเต๋งแค่นเสียงเย็นชา

          “แต่หากพวกท่านหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน เอี้ยเทียนกับฮั่นเจ็งไม่พบ ข้าพเจ้าจะต้องให้พวกท่านสำนึกเสียใจแน่นอน”

          “มิต้องให้ท่านบอก พวกเราต้องหาพวกมันให้พบ”

          “ข้าพเจ้าให้เวลาพวกท่านสามสิบหกชั่วยาม (สามวัน) ไปหา”

          มิรอให้เต็งฮุ้นลิ้มเอ่ยปาก รีบกล่าวสืบไป

          “อีกสามวันให้หลัง ข้าพเจ้ายังต้องกลับมาหาพวกท่านอีก เพื่อคุณประโยชน์ของพวกท่าน ข้าพเจ้าหวังให้พวกท่านสามารถหาพวกเหล่านั้นพบ”

          “มีเวลาสามวัน คิดว่าต้องพอ”

          ก้วยเต๋งเดินออกไปแล้ว ยังหันหน้ามากล่าวอีก

          “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าต้องบอกแก่พวกท่าน”

          “พวกเรากำลังฟัง”

          “ผู้จะหาพวกท่านมาคิดบัญชี มิใช่มีข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว แม้นับว่าข้าพเจ้าเชื่อถือวาจาพวกท่าน ผู้อื่นก็ต้องไม่ยอมเชื่อ ดังนั้นในสองสามวันนี้ พวกท่านควรระวังตัวให้มากจึงประเสริฐ       

          เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถามอีก

          “นอกจากท่านกับอีแม้เข่าแล้ว ยังมีผู้ใด?”

          ครุ่นคิด แล้วถามขึ้น

          “ท่านเคยไปล่าจิ้งจอกหรือไม่?”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะ

          สายตาก้วยเต๋งคล้ายเหม่อมองไปในทิศทางสุดแสนไกล กล่าวช้าๆ

          “ฤดูเหมาะต่อการล่าจิ้งจอกที่สุด ปกติอยู่ที่เดือนเก้า”

          “เดือนเก้า?”

          เต็งฮุ้นลิ้มเป็นผู้ทวนคำเพราะไม่เข้าใจ ก้วยเต๋งจึงกล่าวต่อ

          “ตอนนั้นเป็นปลายฤดูชิวเทียน ในท้องทุ่งที่กว้างเวิ้งว่าง ขอเพียงมีจิ้งจอกปรากฏสักตัว ก็จะมีเหยี่ยวจำนวนมากหลายโบยบินขึ้น ขอเพียงมีเหยี่ยวโบยบิน จิ้งจอกตัวนั้นก็ต้องตายแน่นอน”

          เต็งฮุ้นลิ้มถาม

          “ท่านตอนนี้ไฉนจึงมากล่าวเรื่องเหล่านั้น ตอนนี้มิใช่เดือนเก้า”

          ก้วยเต๋งกล่าวช้าๆ

          “แต่ตอนนี้ กลับเป็นฤดูล่าจิ้งจอก มีเหยี่ยวโผบินขึ้นเป็นฝูงแล้ว”

          ดวงตามันเป็นประกายแวววาว คล้ายดั่งเห็นเหยี่ยวจำนวนมากมาย กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือมหานครเชี่ยงอันจริงๆ ก็ปาน

          ในที่สุด เต็งฮุ้นลิ้มก็เข้าใจมาได้ นางกล่าวขึ้น

          “หรือพวกเราคือจิ้งจอกตัวนั้น?”

          ก้วยเต๋งมิกล่าวอีก มันเดินขึ้นบันไดศิลาโดยไม่เหลียวหน้า เดินออกจากห้องใต้ดินไป

          เต็งฮุ้นลิ้มเหม่อมองจนมันลับตา ครุ่นคิดจนซึมเซาครู่หนึ่งจึงรำพึงเบาๆ

          “คนผู้นี้เป็นสหายของพวกเรา? หรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเรากันแน่?”

          เอี๊ยบไคมิได้ตอบ คล้ายดั่งก็ไม่ทราบควรตอบเยี่ยงไร

          เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจอีกครากล่าว

          “อย่างไรก็ตาม ผู้นี้ย่อมไม่อาจนับเป็นคนเลวทราม”

          “มิอาจนับจริงๆ มันมิเพียงเที่ยงธรรมอย่างยิ่งเท่านั้น ยังมีที่น่าสนใจยิ่งด้วย”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “มันดูไปก็คล้ายพอใจท่านอย่างยิ่ง”

          “มันพอใจข้าพเจ้า?”

          “ข้าพเจ้าดูออก”

          “อ้อ?”

          “หากบุรุษพอใจสตรีนางใด ยามเมื่อมองสตรีนางนั้น ดวงตาจะต้องมีประกายที่ผิดไปจากเดิม”

          “คิก คิก ท่านกำลังหึงหวง?”

          นางแย้มยิ้มจนคล้ายบุปผาแย้มบาน หัวร่อคิกคักกล่าวต่อ

          “ข้าพเจ้าพอใจบุรุษทีหึงหวง นึกมิถึง ท่านถึงกับรู้จักหึงหวงเช่นกัน”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าตอนนี้ไม่คิดจะหึงหวง เพียงคิดต้องการได้ขาหมูที่ตุ๋นจนเปื่อยอย่างยิ่งสักขาหนึ่ง”

          เต็งฮุ้นลิ้มเพ่งมอง ดวงตามีประกายพิกลอย่างยิ่ง เม้มปากถาม

          “ยังมีเล่า?”

          “ยังมีน้ำร้อนชามอ่างใหญ่ เตียงที่ทั้งนุ่มทั้งสะอาดอีกตัว...”

          เอี๊ยบไคจ้องมองนาง ดวงตาก็มีประกายพิกลอย่างยิ่ง

          เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจปานเสียงครวญครางพลางกล่าว

          “ที่ท่านคิด ไฉนเป็นเช่นกับข้าพเจ้า?”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

          “เนื่องเพราะพวกเรามิได้พบกันนานแล้ว ใช่หรือไม่?”

          ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแดงฉาน พลันกระโดดเข้าไปงับคำหนึ่งแล้วร้อง

          “ท่านมิใช่เป็นตัวดีจริงๆ ข้าพเจ้ากัดท่านให้ตาย”

------------------------------

          เตียงนุ่มอย่างยิ่ง และสะอาดอย่างยิ่ง

          เอี๊ยบไคนอนอยู่บนเตียง ยังมิได้ถูกกัดตาย แต่ทว่าดูไปคล้ายมิคึกคัดเท่าใดนัก

          เต็งฮุ้นลิ้มฟุบอยู่ที่ทรวงอก

          ทรวงอกของเอี๊ยบไคทั้งกว้างใหญ่ทั้งแข็งแรง

          ในห้องอบอุ่นอเยี่ยงนี้ ย่อมไม่ต้องสวมเสื้อผ้ามากมายเกินไปนัก

          ทั้งสองยิ่งไม่จำเป็น

          เต็งฮุ้นลิ้มส่งเสียงปานละเมอต่อ

          “ข้าพเจ้ารู้สึก เยี่ยงนี้ไม่มีศีลธรรม ข้าพเจ้ามักรู้สึก พวกเราคล้ายกระทำความผิดใด แต่ก็มิทราบเพราะสาเหตุใด แต่ละวันข้าพเจ้าต่างไม่มีปัญญาปฏิเสธท่าน”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          “ท่านทราบ!

          เอี๊ยบไคเพ่งมองนาง ดวงตามีประกายแย้มยิ้มด้วยความรักและเวทนา กล่าวช้าๆ

          “ท่านมิได้ปฏิเสธข้าพเจ้า เนื่องเพราะท่านยังมีความพอใจฝ่าฝืนโทษทัณฑ์เช่นนี้ยิ่งกว่าข้าพเจ้าเสียอีก”

          ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแดงฉานอีกครา หยิกหูเอี๊ยบไคแรงๆ แล้วแค่นเสียงด้วยความแค้น

          “ท่านเป็นคนเลวยิ่ง ท่านยังทราบกระไร?”

          พลันมีคนผู้หนึ่งส่งเสียง

          “มันยังรู้จักฆ่าคน!

          เป็นกระแสเสียงสดใสไพเราะ และคล้ายยังมีแววของทารกไร้เดียงสาอีกด้วย

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน!

          “พวกเรามิได้ไปหานาง นางถึงกับมาหาพวกเราเอง”

          เต็งฮุ้นลิ้มกระโดดขึ้นจากเตียง

          นางย่อมมิได้กระโดขึ้นจริงๆ ตอนนางคิดจะกระโดดจึงพบเห็น ในตัวนางขาดของไปเล็กน้อย

          ขณะเวลานั้น ประตูที่ลงกลอนพลันเปิดออก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเดินแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มเข้ามา ในมือถึงกับยังอุ้มตุ๊กตาอีกตัวหนึ่ง ตาคู่งามของนางกวาดมองหน้าทั้งสองอยู่ไม่หยุดยั้ง

          ครั้งนี้เต็งฮุ้นลิ้มมีความปรารถนา ควักดวงตาทั้งสองของนางออกมาเป็นที่สุด

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่ายหน้าไปมา หัวร่อคิก คิก พลางกล่าว

          “ตอนที่พวกท่านทำเรื่องเช่นนี้ ความจริงควรใช้โต๊ะไปกันประตูอีกตัว พวกท่านย่อมควรทราบ คนด้านนอกจะถอดกลอนด้านใน มิใช่เป็นเรื่องยากเย็นอย่างไร”

          เต็งฮุ้นลิ้มแค่นเสียงด้วยความแค้น

          “ผู้ใดไปคาดคิด จะมีคนไร้ยางอายบุกรุกเข้ามา”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าไร้ยางอาย? พวกท่านเล่า? ยังมิมืดค่ำก็ทำดั่งนี้แล้ว พวกท่านอายหรือไม่?”

          เต็งฮุ้นลิ้มหน้าแดงฉาน รีบเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงดังๆ

          “ท่านมาได้พอดีทีเดียว พวกเรากำลังต้องการไปหาท่าน”

          “เป็นพวกท่านลอบหลบหนีมาเอง ไฉนยังจะไปหาข้าพเจ้าอีก?”

          “เรื่องที่ท่านกระทำกับมือ ไฉนป้ายมาที่ศีรษะพวกเรา?”

          “มิใช่เป็นข้าพเจ้าป้ายใส่พวกท่าน ผู้อื่นต่างมีความเห็นว่าเป็นฝีมือพวกท่านซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญญา”

          “ท่านยอมรับ คนล้วนเป็นท่านฆ่า?”

          “ข้าพเจ้ายอมารับ”

          นางหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

          “แต่ทว่าข้าพเจ้ายอมรับต่อหน้าพวกท่าน หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมรับแล้ว”

          “เฮอะ ไม่ยอมรับก็ฆ่าท่าน”

          “หากท่านฆ่าข้าพเจ้าจริง ต้องยิ่งเลวร้ายมากแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นไม่มีพยานหลักฐานใดๆ แม้พวกท่านกระโดดลงไปในลำน้ำฮวงโห ก็ไม่อาจล้างมลทินท่านหมดสิ้นได้”

          เต็งฮุ้นลิ้มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำราม

          “พวกเราย่อมมีวิธีเรียกให้ท่านยอมรับ”

          “อ้อ ข้าพเจ้ากลับขอฟังดู ท่านมีวิธีใด?”

          หากท่านไม่ยอมรับ พวกเราก็จะควักนัยน์ตาท่านออกมา ดูว่าท่านกล้าคดโกงอีกหรือไม่?”

          “ท่านเตรียมจะควักในตอนนี้ หรือควักต่อหน้าผู้อื่น?”

          นางหยุดหัวร่อแล้วส่งเสียงอ้อยอิ่งกล่าว

          “ตอนนี้ข้าพเจ้ายอมรับอยู่แล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องบังคับข้าพเจ้า หากรอจนถึงมีผู้อื่นมาอยู่ด้วย แต่ละคนต่างทราบ ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนปัญญาอ่อนที่น่าสมเพช รู้จักแต่อุ้มตุ๊กตาป้อนนม แม้นับว่าพวกท่านหักในอำมหิตลงมือต่อข้าพเจ้าได้ ผู้อื่นก็ต้องไม่ยินยอม”

          เต็งฮุ้นลิ้มขุ่นเคืองจนหน้าเขียวคล้ำ แต่พาลหาวิธีรับมือนางไม่ได้

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนส่งเสียงนุ่มนวลต่อไป

          “ดังนั้น พวกท่านทั้งไม่อาจฆ่าข้าพเจ้า และไม่อาจบีบบังคับข้าพเจ้า แม้นับว่าจับข้าพเจ้าไว้ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อย่างไรอยู่นั่นเอง”

          เต็งฮุ้นลิ้มคำรามด้วยความแค้น

          “ท่านกลับใคร่ครวญได้สุขุมยิ่ง”

          “หากมิได้ใคร่ครวญโดยสุขุม ไหนเลยยังจะกล้ามาอีก?”

          เต็งฮุ้นลิ้มขุ่นเคืองจนแทบวิกลจริตแล้ว อดมิได้ต้องทุบเอี๊ยบไคฉาดใหญ่แล้วร้อง

          “ท่านไฉนไม่ส่งเสียงบ้าง?”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าไม่มีวาจาว่ากล่าว”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “อย่างไรท่านยังคงชาญฉลาดกว่า ยังคงคิดได้กระจ่างกว่า”

          “และข้าพเข้าก็วางใจอย่างยิ่งด้วย”

          “ท่านวางใจ?”

          “พวกเราตอนนี้แม้ไม่มีวิธีรับมือท่าน ท่านก็ต้องไม่ทำอย่างไรพวกเรา”

          “อ้อ?”

          “เนื่องเพราะท่านยังจะละชีวิตพวกเรา ไว้เสี่ยงชีวิตกับผู้อื่น”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “มิผิดแม้แต่น้อย พวกก้วยเต๋ง อีแม้เข่า ล้วนแล้วเป็นคนรับมือยากอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ต้องเปลืองเรี่ยวแรงสักน้อยนิดก็หาผู้ช่วยดีเยี่ยมเช่นท่าน ช่วยรับมือพวกมันแทนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไหนเลยตัดในเสียสละท่านได้”  

          เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องถาม

          “ดังนั้น ท่านจึงแสร้างปล่อยให้ฮั่นเจ็งช่วยพวกเรามา?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกะพริบตาย้อนถาม

          “ท่านเดาดู?”

          “หรือฮั่นเจ็งก็เป็นบริวารของท่าน?”

          “เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

          “เฮอะ เฮอะ ท่านบอกเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้ากลับแน่ใจว่ามันไม่ใช่”

          “แล้วแต่ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้”

          “ดังนั้น ขอเพียงพวกเราหามันพบ ก็จะยืนยันได้ว่าท่านเป็นคนเช่นไร”

          “ผู้อื่นยอมเชื่อวาจาจุยจื้อผู้นั้น?”

          นางถอนใจเฮือกหนึ่ง ส่ายหน้ากล่าวต่อ

          “ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจึงเป็นทารกใหญ่วัยเพียงเจ็ดขวบจริงๆ หากฮั่นเจ็งสามารถเปิดความลับของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าไหนเลยปล่อยให้พวกท่านหามันพบ?”

          สีหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแปรเปลี่ยนไป ร้องโพล่งขึ้น

          “หรือท่านก็ฆ่ามันไปแล้ว?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิได้ปฏิเสธ ส่งเสียงอ้อยอิ่ง

          “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้นอกจากข้าพเจ้ายินยอมรับต่อหน้าผู้อื่นเอง มิเช่นนั้นพวกท่านจะไม่มีวันหลุดพ้นจากมลทินนี้ได้ตลอดกาล”

          เต็งฮุ้นลิ้มขบเขี้ยวเคี้ยวพันคำราม

          “สตรีที่ชั่วร้ายอำมหิต!

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ

          “มีมลทินในโทษทัณฑ์นี้ มิใช่เป็นเรื่องน่าลิ้มรสจริงๆ ตอนนี้ในมหานครเชี่ยงอัน อย่างน้อยมีสิบเจ็ดสิบแปดคนที่ต้องการศีรษะพวกท่าน ดังนั้น...”

          ในที่สุด เอี๊ยบไคเอ่ยปากแล้ว

          “ดังนั้นเป็นไร?”

          “ดังนั้นท่านต้องรีบหาวิธีให้ข้าพเจ้ายอมรับ”

          “ท่านยอม?”

          “ในเมื่ออย่างไร ผู้อื่นจะช้าจะเร็วก็ต้องทราบ ประมุขพรรคกิมจี๊ปังเป็นผู้ใด”

          เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

          “เสียดายที่พวกมันน่ากลัวต้องรอข้าพเจ้าตายแล้วจึงจะทราบได้”

          “อาจเป็นไปได้อย่างยิ่ง”

          “หรือท่านยอมรับกับพวกนั้นก่อน?”

          “ขอเพียงท่านยอมรับเงื่อนไขข้าพเจ้าข้อหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกไปก่อนก็มิเป็นไร”

          “ท่านต้องการให้ข้าพเจ้ารับปากเรื่องอันใด?”

          “รับปากแต่งให้ข้าพเจ้า”

          “ไฮ้ ท่านต้องการให้ผู้ใดแต่งแก่ท่าน?”

          “ให้ท่าน!

          เอี๊ยบไคหัวร่อแล้ว เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “ท่านหัวร่อกระไร? บุรุษพอจะแต่งภรรยามา หรือสตรีไม่อาจแต่งสามีมาได้”

          นางถึงกับมิได้หัวร่อ ปั้นหน้ากล่าวต่อ

          “อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าเป็นประมุขพรรคใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ด้วยศักดิ์ศรีของข้าพเจ้า แม้นับว่าจะมีสามีสักสิบคนแปดคนก็ถูกทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง”

          เอี๊ยบไคคล้ายดั่งหัวร่อไม่ออกแล้ว เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

          “ความจริงข้าพเจ้าต้องการให้ท่านมาเป็นองครักษ์อันดับหนึ่ง แต่ยังมิอาจเชื่อถือท่านได้ ดังนั้นจำต้องฝืนใจแต่งท่านมาเป็นสามี ซึ่งข้าพเจ้าที่เป็นภรรยาย่อมพอจะดูแลบังคับได้อยู่”

          เต็งฮุ้นลิ้มขุ่นแค้นจนหน้าแดงฉานอยู่นานแล้ว นางแค่นเสียงสวนคำ

          “ท่านมิต้องฝืนใจ มันแต่งให้ข้าพเจ้านานแล้ว ไม่มีทางจะถึงเวรท่านดอก”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อเบาๆ ส่งเสียงอ้อยอิ่ง

          “อย่าลืมว่าบุรุษก็พอจะแต่งงานใหม่ได้เช่นกัน”

          ในที่สุด เต็งฮุ้นลิ้มต้องกรีดสุดเสียง

          “ข้าพเจ้าแม้ตาย ก็ไม่ยอมให้มันแต่งแก่ท่าน”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจแค่นเสียง

          “อย่างนั้นพวกท่านก็จำต้องไปตายแล้ว”

          เต็งฮุ้นลิ้มทุบเอี๊ยบไคอย่างหนักหน่วงอีกฉาดหนึ่งจึงเค้นเสียง

          “ท่านไฉนไม่กล่าววาจาแล้ว หรือพลันกลายเป็นคนใบ้ไป?”

          เอี๊ยบไคกล่าว

          “ข้าพเจ้ากำลังตรึกตรอง”

          เต็งฮุ้นลิ้มกรีดร้องอีกครั้ง

          “ท่านตรึกตรอง? ตรึกตรองเรื่องอันใด?”

          “ข้าพเจ้ากำลังตรึกตรอง สมควรหิ้วคอนางเหวี่ยงออกไปด้วยวิธีใด?”

          โทสะเต็งฮุ้นลิ้มคลายหมดสิ้นทันที แย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านสมควรตรึกตรองให้มากจริงๆ”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสะบัดเสียง

          “การค้าไม่สำเร็จน้ำใจยังมีอยู่ แม้นับว่ามิยอมรับปากก็ไม่สมควรทำเช่นนี้ต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอย่างน้อยเป็นอาคันตุกะของท่าน”

          “เฮอะ พวกเรามิได้เชื้อเชิญท่านมา”

          เต็งฮุ้นลิ้มสวนคำด้วยความเกลียดชัง แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงกล่าว

          “แต่ข้าพเจ้ามาแล้ว”

          “ท่านไฉนจึงมาหาถึงที่นี้ได้?”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อพลางตอบ

          “ที่นี้มิเพียงมีห้องครัวเยี่ยมอย่างยิ่งเท่านั้น ยังมีเตียงที่สุขสบายยิ่ง ข้าพเจ้าพอดีทราบ พวกท่านต่างเป็นคนชมชอบเสพสุข”

          เต็งฮุ้นลิ้มกลอกตาไปมากล่าว

          “ในเมื่อท่านเป็นอาคันตุกะ ก็ควรสำรวมให้มีทีท่าของอาคันตุกะ”

          “อาคันตุกะสมควรมีทีท่าอย่างไร?”

          “อย่างน้อยสมควรออกไป ให้พวกเราลุกขึ้นตอนรับท่านโดยดี”

          โทสะของนางคลายไปหมดสิ้น กลับกลายเป็นฉลาดเฉลียวอีกครา

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว”

          “ท่านสมควรเข้าใจได้”

          “หันร่างไปไม่ดูพวกท่าน ไยมิใช่เป็นเช่นกัน?”

          เต็งฮุ้นลิ้มแค้นจนคันไปทั้งปาก แต่ผู้อื่นยืนกรานไม่ออกไป นางก็ไม่มีปัญญา

          โชคดีที่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหันร่างไปจริงๆ ส่งเสียงกับผนังห้อง

          “ข้าพเจ้าประหลาดใจยิ่ง ในดินฟ้าอากาศเยี่ยงนี้ พวกท่านถึงกับคล้ายไม่กลัวหนาวสักน้อยนิด”

          เต็งฮุ้นลิ้มมิได้เอ่ยปาก และไม่มีเวลาเอ่ยปาก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจึงกล่าวต่อ

          “ฟังว่าในตัวท่านก่อนหน้านี้มักมีกระพรวนทองห้อยอยู่มากหลาย หากมิปลดออก ไยมิยิ่งสนุกสนานกว่านี้?”

          ความจริงเต็งฮุ้นลิ้มกำลังสำนึกเสียใจอยู่แล้ว หากในตัวนางยังมีกระพรวนทองชิงชีวิตแขวนอยู่ จะต้องซัดใส่ร่างเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนให้เป็นโพรงเสียนานแล้ว

          ขณะเวลานั้นเอง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันร้องสุดเสียง คล้ายดั่งพบภูตผีปิศาจ โดยไม่คาดหมายก็ปาน พุ่งตัวกระแทกหน้าต่างหนีออกไป ตุ๊กตาในมือร่วงลงกับพื้น กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          เต็งฮุ้นลิ้มก็ร้องสุดเสียง

          “มิว่าอย่างไร ไม่อาจปล่อยให้นางหนีได้”

          คำนี้มิทันจบคำ เอี๊ยบไคก็พุ่งออกจากหน้าต่างไป

          สตรีย่อมสวมอาภรณ์ช้ากว่าบุรุษบ้าง รอจนเมื่อเต็งฮุ้นลิ้มสวมเรียบร้อย เอี๊ยบไคกับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็ลับหายไม่เหลือแม้แต่เงา

-------------------------- 

          เอี๊ยบไคเป็นคนประหลาดยิ่ง ความจริงไม่ต้องการมีชื่อกระเดื่องเกรียงไกร ดังนั้นตอนเพิ่งออกสู่บู๊ลิ้ม เคยใช้นามมาหลายนาม

          แต่ในโลกมักประหลาดพิกลยิ่ง คนที่ไม่ต้องการมีชื่อกลับพาลมีชื่อจนได้

          นามที่เอี๊ยบไคเคยใช้ แทบจะมีชื่อทุกนามไป ในจำนวนนั้นชื่อที่เกรียงไกรที่สุดย่อมเป็นฮวงนึ้งกุน (เทพบุตรสายลม)

          เนื่องเพราะวิชาตัวเบาของเอี๊ยบไคสูงอย่างยิ่ง กระทั่งยังมีคนออกความเห็นมาตรว่ามีดบินของเอี๊ยบไคยังไม่อาจทัดเทียมเซี่ยวลี้ถ้ำฮวย แต่วิชาตัวเบาต้องไม่ด้อยกว่าผู้ใดในแผ่นดินเด็ดขาด

          มีบ้างกระทั่งยังเข้าใจ ในระยะแปดสิบปีมานี้ ผู้มีวิชาตัวเบาสูงสุดของบู๊ลิ้มก็คือเอี๊ยบไค

          แต่เอี๊ยบไคถึงกับไล่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่ทัน!

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพอออกจากห้อง พลันคล้ายหายสาบสูญไปจากแผ่นดินก็ปาน

          เอี๊ยบไคไล่เป็นระยะไกลยิ่ง แต่ยังไม่เห็นเงาร่างนางสักน้อยนิด

          ตอนนี้เป็นเวลาสนธยา

          ลมสนธยายิ่งเหน็บหนาว เอี๊ยบไคมิคิดจะเป็นคนหน้าโง่ยืนรับลมหนาวอยู่ในที่เวิ้งว้าง

          ในเมื่อไล่ไม่ทัน ก็มีแต่ต้องกลับไปก่อนค่อยว่ากล่าว

          มิทราบเพราะสาเหตุใด ระหว่างนี้ยิ่งนานยิ่งกังวลสนใจเต็งฮุ้นลิ้มกว่าเดิม

          เอี๊ยบไคกลับไปในทางเดิม หน้าต่างที่ถูกกระแทกพังทลายเมื่อครู่ กระดาษพลิ้วไสวอยู่ในสายลมหนาวจนเสียงดังสนั่น

          ขณะเอี๊ยบไคจะโฉบเข้าหน้าต่าง พลันตะลึงลานอยู่กับที่... ในห้องถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นอย่างยิ่ง

-------------------------

          ในห้องเล็กๆ ตอนนี้ ถึงกับมีอยู่เจ็ดแปดคน และล้วนแทบเป็นสตรี สตรีที่เยาว์วัยหน้าตาสวยงาม แต่กลับพาลสวมเสื้อเครื่องแบบนักพรตทั้งสิ้น

          ไยมีนักพรตหญิงจากที่ใดตั้งมากหลายปานนี้?

          เอี๊ยบไคแทบเข้าใจว่าตนเดินผิดทาง แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับยังอยู่ในห้อง

          นางนั่งแน่วนิ่งที่นั้นมิเคลื่อนไหว ดวงตามีประกายแตกตื่นสงสัยจนเห็นชัด มิเพียงแตกตื่นสงสัยเท่านั้น ยังหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย

          ด้านหลังของนาง มีนักพรตหญิงยืนอยู่สองคน ด้านหน้ามีอยู่ห้าคน แต่ดวงตาของนาง กลับจับมองไปที่บุรุษผู้หนึ่ง

          เป็นนักพรตชรา!

          มันนั่งบนเก้าอี้อยู่ข้างหน้าต่าง สวมเครื่องแบบนักพรตเป็นแพรมันระยับ ผมที่ขาวโพลนดั่งไหมเงินขมวดเป็นมวยจมูกโค ปักปิ่นมรกตเขียวสดใส ที่สายรัดเอวสีทองอร่าม มีขลุ่ยหยกเขียวขจีเสียบอยู่อีกเลาหนึ่ง

          วัยของมันอย่างน้อยควรสูงกว่าหกสิบปี แต่ใบหน้ากลับแดงเปล่งปลั่ง ไม่มีรอยย่นแม้สักน้อยนิด ดวงตาทั้งคู่ที่ขาวยังคงเป็นขาว ที่ทำยังคงเป็นดำ มีประกายแวววาวคมกล้า

          มาตรว่านั่งอยู่ แต่ก็ดูออกว่าร่างมันยังคงยืดตรงดั่งปลายทวน ไม่มีริ้วรอยแก่หง่อมจนหลังงอสักน้อยนิด เคราขาวราวไหมเงินที่ทรวงอก ตบแต่งไว้เรียบร้อยสวยงาม

          เอี๊ยบไคยังมิเคยเห็น นักพรตที่แต่งตัวสวยงามปานนี้ พิถีพิถันปานนี้มาก่อนเลย

          เต็งฮุ้นลิ้มเห็นเอี๊ยบไคแล้ว คล้ายดั่งคิดจะเรียกแต่ไม่ปัญญาส่งเสียง

          นางถึงกับคล้ายถูกคนจี้จุดไว้!

          เอี๊ยบไคถอนใจยาว ฝืนยิ้มกล่าว

          “ดูท่าห้องนี้มีชัยภูมิไม่เลว ผู้เยือนเพิ่งไปคนหนึ่ง มีมาอีกแปดคนทันที”

          นักพรตชราเสื้อแพรเคราเงินก็จ้องมองดูเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง เน้นเสียงหนักๆ

          “ท่านคือเอี๊ยบไค?”

          เอี๊ยบไคผงกศีรษะตอบ

          “เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้ ไคที่แปลว่าเบิกบาน”

          “ฮวงนึ้งกุน (เทพบุตรสายลม) ก็คือท่าน?”

          “บางครั้งใช่”

          นักพรตหน้าเครียดทันที แค่นเสียงเย็นชา

          “ระยะนี้ วงพวกนักเลงมีอัจฉริยะกำเนิดขึ้นจริงๆ ชั่วเวลาเพียงคืนเดียวถึงกับสังหารคนไปแปดสิบสามชีวิต ก่อนๆ นี้อาตมายังมิเคยพบพานเลยสักผู้เดียว”

          “ข้าพเจ้าก็มิเคยพบเห็น”

          “อยู่ต่อหน้าอาตมา ท่านยังกล้ากล่ววาจาไม่สำรวมปานนี้?”

          เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

          “หากเต้าเจี้ยงรู้สึกขัดตาคนไม่สำรวม ไฉนมาในห้องของคนไม่สำรวม?”

          “ท่านยังไม่รู้จักอาตมาเป็นผู้ใด?”

          “มิรู้จัก”

          “อาตมาเง็กเซียว (ขลุ่ยหยก)”

          “น่ำไฮ้เง็กเซียว (ขลุ่ยหยกแห่งทะเลตะวันออก)?”

          “ถูกแล้ว”

          เอี๊ยบไคถอนใจอีกเฮือกหนึ่ง ฝืนยิ้มกล่าว

          “ความจริงข้าพเจ้าสมควรตระหนกจนสะดุ้งเฮือกใหญ่ แต่เสียดายที่วันนี้ข้าพเจ้าตระหนกมามากครั้งเกินไปแล้ว...”

----------------------------

          น่ำไฮ้เง็กเซียว !

          มิว่าผู้ใดได้ยินนามนี้ ต่างสมควรตระหนกจนสะดุ้งเฮือกใหญ่จริงๆ

          ตำราอาวุธของแป๊ะเฮี่ยวเซ็งในกาลกระโน้น จัดน่ำไฮ้เง็กเซียวอยู่ในอันดับสิบ นักพรตขลุ่ยหยกผู้นี้ คือหนึ่งในสิบสุดยอดฝีมือกาลกระโน้น นอกจากเซี่ยวลี้ถ้ำฮวยแล้ว เป็นอีกคนเดียวที่มีชีวิตยืนยาวถึงปัจจุบัน

          ฟังว่าท่านท่องเที่ยวอยู่ที่โพ้นทะเล เอี๊ยบไคนึกมิถึง ท่านถึงกับจะมาในแผ่นดินใหญ่ได้

          เง็กเซียวเต้าหยินเส้นเสียงหนักๆ

          “อาตมามาเพราะสาเหตุใด คิดว่าท่านก็สมควรทราบ?”

          “ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

          “ดูท่าท่านไม่คล้ายเป็นคนโง่เขลาปานนั้น”

          “แต่ข้าพเจ้ารู้จักมารยาเป็นโง่”

          บรรดานักพรตหญิงวัยเยาว์เหล่านั้น ความจริงกำลังลอบดูเอี๊ยบไคอยู่ แต่บัดนี้ต่างคล้ายกำลังลอบหัวร่อกัน

          ใบหน้าเง็กเซียวเต้าหยินแปรเปลี่ยนไปอีกครา แค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านความจริงสมควรมารยาเป็นตาย”

          “เพราะกระไร”

          “อาตมาไม่ฆ่าคนตาย!

          “คนเป็นท่านต่างฆ่า?”

          “เพียงฆ่าคนที่คิดจะตาย?”

          “โชคดีที่ข้าพเจ้ายังไม่คิดจะตาย”

          “หากคนเราคิดจะมีชีวิตโดยปกติสุข อยู่ต่อหน้าอาตมาสมควรกล่าววาจาสัตย์จริง”

          “ที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นความสัตย์จริงอยู่แล้ว”

          “ตุ๊กตาตัวนี้เป็นของผู้ใด?”

          “ของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

          “นางความจริงอยู่ที่ห้องนี้?”

          “นางเป็นอาคันตุกะคนแรกของข้าพเจ้า”

          “ตอนนี้นางไปที่ใด?”

          “มิทราบ”

          “นางเมื่อครู่ยังอยู่ที่นี้ ตอนนี้ท่านก็มิทราบนางไปที่ใด?”

          “ตอนนี้ท่านยังอยู่ที่นี้ สักครู่เมื่อท่านไปที่ใดข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”

          เง็กเซียวเต้าหยินต้องถอนใจกล่าว

          “ชีวิตมีคุณค่าน่าถนอมปานนี้ ไฉนพาลมีคนคิดจะตายอยู่?”

          มันพลันชักขลุ่ยหยกแวววาวออกจากสายรัดเอวมา

          ในตำราอาวุธเมื่อครั้งกระโน้น น่ำไฮ้เง็กเซียวถูกจัดอยู่ในอันดับสิบ ความกว้างขวางลึกซึ้งในหลักวิชาบู๊น่ำไฮ้เต้าหยิน ฟังว่าครอบคลุมถึงสิบสามสำนัก ขลุ่ยหยกในมือ ทั้งใช้ต่างพู่กันจี้จุด ใช้ต่างกระบี่ได้ ในตัวขลุ่ย ยังซ่อนอาวุธลับที่ร้ายกาจอย่างยิ่งอีกด้วย

          ความจริงเอี๊ยบไคเข้าใจ มันจะลงมือใส่ตนแล้ว

          มิคาด เง็กเซียวเต้าหยินยังคงนั่งในที่นั้นมิเคลื่อนไหว กลับยกขลุ่ยขึ้นลูบเบาๆ แล้วเป่าขึ้น

          ตอนแรกเสียงขลุ่ยของมันนุ่มนวลระรื่นหู ดุจดั่งเป็นภายใต้ปุยเมฆขาวสะอาด บนภูเขาเขียวขจี มีลำธารน้ำใสไหลเรื่อยริน บันดาลให้จิตใจผู้คนสูงขึ้น ซึ้งสันติ

          จากนั้น เสียงขลุ่ยของมันเริ่มแผ่วเบา ชักนำคนให้เข้าไปในดินแดนความฝันอันสวยงามอีกทีหนึ่ง

          ในดินแดนความฝันนั้น ทั้งไม่หวั่นวิตกและเจ็บช้ำรันทด ยิ่งไม่มีเดือดดาลทะยานใจเข้าสังหารกัน

          ในที่นี้ ฟ้าสีครามกว้างไพศาล น้ำสีเขียวไหลเรื่อยริน สกุณาน้อยในป่าฤดูใบไม้ผลิกำลังส่งเสียงกันอยู่เบาๆ

          มิว่าผู้ใดได้ยินเสียงขลุ่ยนี้ ต่างต้องไม่คิดไปถึงเรื่องต่ำช้าสามานย์ใดๆ เด็ดขาด

          แต่ในที่นั้น เง็กเซียวเต้าหยินกลับกระทำเรื่องต่ำช้าสามานย์ขึ้นเอง

          ในขลุ่ยของมัน พลันมีประกายแวววาวสามจุดพุ่งวาบเข้าใส่ทรวงอกเอี๊ยบไค เป็นอาวุธลับที่คล้ายตะปูอาบยาพิษ พุ่งด้วยความรวดเร็วรุนแรงปานสายฟ้า!

          ในเสียงขลุ่ยที่สวยงามระรื่นหูจนผู้ฟังต้องเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำ มีผู้ใดจะระวังอาวุธลับอันชั่วร้ายอำมหิตเยี่ยงนี้?

          แต่ทว่า เอี๊ยบไคคล้ายดั่งระวังตัวอยู่

          มิว่าเป็นอาวุธลับชั่วร้ายอำมหิตปานใด เมื่อถึงเบื้องหน้าเอี๊ยบไค ก็คล้ายไม่มีคุณประโยชน์ใดๆ สักน้อยนิด

          เนื่องเพราะเอี๊ยบไค มีกระบวนท่าอันพิเศษพิสดารมารับอาวุธลับ มือถึงกับคล้ายมีพลังดึงดูดอันพิกลพิสดารอยู่

          เอี๊ยบไคพอกวักมือ อาวุธลับแวววับทั้งสามจุดพลันสาบสูยไปทันที

          หรือนั่นคือหลักวิชาบ้วนลิ้วกุยจง (หมื่นลำน้ำกลับสู่แหล่งเดิม) ที่สาบสูญการถ่ายทอดจากบู๊ลิ้มไปนานปีแล้ว

          สีหน้าเง็กเซียวเต้าหยินเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

          แต่เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

          “เป่าต่อไปอย่างได้หยุด ข้าพเจ้าพอใจฟังคนเป่าขลุ่ย”        

          เง็กเซียวเต้าหยินมิได้หยุดจริงๆ แต่เสียงขลุ่ยของท่านแปรเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนแปรเป็นเสียงที่ยั่วยวนท้าทาย คล้ายดั่งมีดรุณีที่กระหายความรัก กำลังพลิกกระสับกระส่ายอยู่ในยามค่ำคืน ส่งเสียงครวญครางอยู่มิหยุดยั้ง

          ความกระสันรัญจวนของบุรุษเพศ เกิดขึ้นได้เพราะสาเหตุใด?

          นักพรตหญิงที่อยู่ใกล้เอี๊ยบไคที่สุดนางนั้น กำลังแย้มยิ้มให้อย่างยียวน ในรอยยิ้ม มีความหมายกระตุ้นท้าทายอยู่เด่นชัด

          เอี๊ยบไคมิอาจไม่ไปเหลือบมองพวกนาง จึงพบเห็น ตัวเองถึงกับคล้ายเพิ่งเคยเห็น สตรีที่เปลือยร่างเป็นครั้งแรกก็ปาน

          ในความคาดคิด พวกนางคล้ายดั่งกลายเป็นเปล่าเปลือยไปหมดสิ้น... ทรวงอกที่ขาวสะอาดเป็นยองใว เอวที่คอดกิ่ว เท้าที่เรียวงาม

          เอี๊ยบไคพลันพบเห็น ร่างของตัวเองถึงกับเปลี่ยนแปรไป โดยไม่อาจข่มบังคับเพลิงราคะของดำกฤษณา ความจริงก็ไม่มีบุรุษใดสามารถข่มบังคับอยู่แล้ว

          รอยยิ้มของนางยิ่งยียวน ดวงตาหรี่พริ้มจนเหลือเพียงใยเดียว

          เอวของพวกนางบิดไปมา คล้ายกำลังเชิญชวน

          มีสายตาผู้ใดสามารถเบือนออกห่างจากเอวที่กำลังบิด ตะโพกที่กำลังส่ายของพวกนาง?

          และมีผู้ใดสามารถไปสนใจถึงเรื่องอื่นๆ?

          นักพรตหญิงอีกสองนาง ถึงกับหิ้วปีกเต็งฮุ้นลิ้มถอยออกไป

          ในเวลาและสถานการณ์เยี่ยงนี้ หากเป็นบุรุษอื่น ต้องไม่ไปสนใจสังเกตพวกนาง

          แต่เอี๊ยบไคมิใช่เป็นบุรุษอื่น!

          เอี๊ยบไคก็คือเอี๊ยบไค!

          สายตาเอี๊ยบไคคล้ายดั่งจับนิ่งอยู่ที่เอวของนักพรตหญิง แต่ร่างกลับโฉบขึ้นจากพื้น

          ทันใด เสียงขลุ่ยชะงักหาย

          ขลุ่ยหยกเป็นประกายแวววาวเลานั้น จี้แฉลบออกมาใส่จุดหัวร่อที่เอวของเอี๊ยบไคดั่งประกายไฟ

          นี่เป็นกระบวนท่าของพู่กันจี้จุด จำจุดแม่นยำจี้ได้รวดเร็วยิ่ง

          เอี๊ยบไคตีลังกากลางอากาศ ทิศทางยังคงไม่เปลี่ยนแปร โถมเข้าใส่ทางด้านเต็งฮุ้นลิ้มเช่นเดิม

          แต่พริบตานั้น พู่กันจี้จุดกลายเป็นกระบี่ กระบี่ที่แคล่วคล่องปราดเปรียวล้อมร่างเอี๊ยบไคไว้ได้แล้ว

          เอี๊ยบไคได้แต่ดูเต็งฮุ้นลิ้มที่ถูกคนคร่าตัวไป ถึงกับพาลไม่มีปัญญาปลีกตัวช่วยเหลือได้!

          เอี๊ยบไคพลันพบเห็น คู่มือที่ตนเคยเผชิญมา ถึงกับต้องนับนักพรตผู้นี้ สูงสุดยอดในชั่วชีวิต

          หากยังไปวิตกกังวลต่อเต็งฮุ้นลิ้มอีก ตัวเอี๊ยบไคเองก็พร้อมที่จะถูกจู่โจมล้มลงทุกเวลา

          ร่างเอี๊ยบไคพลันหยุดชะงัก หยุดนิ่งงัน คล้ายดั่งเป็นลูกข่างที่หมุนเร็วสุดขีด พลันถูกตอกให้ตรึงติดกับพื้นก็ปาน!

          ในการต่อสู้ของสุดยอดฝีมือ ต้องไม่มีผู้ใดยินยอมกระทำเยี่ยงเช่นนี้

          เง็กเซียวเต้าหยินที่ผ่านการต่อสู้จนโชกโชนชำนาญ เคยเผชิญกับคู่มือในแบบต่างๆ มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยพบพานเรื่องเช่นนี้มาเลย

          ขลุ่ยหยกของมันที่จู่โจมออกไป ก็พลันหยุดชะงักลงทันที

          มันคำนวณจิตเจตนาของเอี๊ยบไคไม่ออก!

          แต่มันก็ดูออก เอี๊ยบไคเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องสุดยอด คนฉลาดปราดเปรื่อง ต้องไม่พลันกระทำเรื่องโง่เขลาบัดซบ ความนี้จะต้องมีเลศนัยกราดเกรี้ยวดุร้ายแฝงอยู่

          เง็กเซียวเต้าหยินแค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านเยี่ยงนี้หมายความอย่างไร?”

          “ไม่มีความหมาย”

          “ไม่มีความหมาย เป็นความหมายกระไร?”

          “ไม่มีความหมายก็เป็นไม่มีความหมาย”

          “ท่านคิดหาที่ตาย?”

          “ไม่คิด”

          “หรือท่านไม่ทราบ พริบตาเมื่อครู่ เราพอจะให้ท่านตายได้สิบครั้ง?”

          “ข้าพเจ้าทราบ”

          หยุดหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

          “แต่ข้าพเจ้ายิ่งทราบ พอข้าพเจ้าหยุด ท่านก็ต้องหยุดเช่นกัน”

          “หากเราไม่หยุด?”

          “อย่างนั้นข้าพเจ้าตอนนี้ตายไปสิบครั้งแล้ว”

          สีหน้าเง็กเซียวเต้าหยินพลันเผือดขาว แสดงว่ามันกำลังสำนึกเสียใจ แต่เสียดายที่สำนึกได้ต่อเมื่อสายเสียแล้ว

          โอกาสเช่นนี้พอปล่อยพลาดก็ผ่านพ้น ไม่มีวันกลับมาได้อีกตลอดกาล

          เอี๊ยบไคกล่าว

          “ที่ข้าพเจ้าหยุดลง เนื่องเพราะข้าพเจ้าตอนนี้ไม่มีความมั่นใจพิชิตท่านได้”

          เง็กเซียวแค่นหัวร่อ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

          “เนื่องเพราะตอนนี้ อารมณ์ข้าพเจ้าปั่นป่วนวุ่นวาย ข้างกายท่าน ยังมีผู้ช่วยที่สวยงามอยู่อีกมากหลาย”

          มิว่าผู้ใดเมื่อเห็นคนรักของตนถูกคร่าตัวไปต่อหน้า จิตใจย่อมว้าวุ่นหงุดหงิด

          เง็กเซียวแค่นหัวร่อกล่าว

          “ท่านกลับเปิดเผยอย่างยิ่ง”

          “ข้าพเจ้าไม่คิดหลอกลวงท่าน และหลอกลวงท่านไม่ได้ ท่านก็ย่อมทราบ จิตใจข้าพเจ้าวุ่นวายไปแล้ว”

          “จิตใจวุ่นวายต้องตาย”

          “ท่านมีความมั่นใจพิชิตข้าพเจ้าได้?”

          เง็กเซียวมิได้เอ่ยปาก

          มันก็ไม่มีความมั่นใจ

          บุรุษหนุ่มผู้นี้ มีพลังฝีมือที่พลิกแพลงเลิศล้ำ ปฏิกิริยาแคล่วคล่องปราดเปรียว ไหวพริบปฏิภาณสูงส่ง ถึงกับเป็นคู่มือที่หยั่งคำนวณยากที่สุดในชั่วชีวิตมัน

          อย่าว่าแต่ยังมีมีด... มีดบิน!

          มีดบินของเอี๊ยบไคยังมิได้ใช้ออกมา เง็กเซียวย่อมไม่คิดจะบีบบังคับให้เอี๊ยบไคใช้มีดบิน... มีดสั้นที่สะท้านฟ้าดิน!

          เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

          “ระหว่างเรา จะเร็วจะช้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้พ้น แต่มิใช่ในค่ำคืนนี้”

          “อยู่ในเวลาใด?”

          “เวลาที่จิตใจข้าพเจ้าไม่วุ่นวาย เวลาที่ข้าพเจ้ามีความมั่นใจพิชิตท่านได้”

          “เฮอะเฮอะ แม้นับว่ามีวันเช่นนั้นจริง เราไยต้องรอถึงวันนั้น?”

          “เนื่องเพราะท่านจำต้องรอให้ได้”

          “อ้อ?”

          “นับว่าท่านตอนนี้สังหารข้าพเจ้าได้ ก็ต้องไม่ลงมือแน่ เนื่องเพราะที่ท่านต้องการโดยแท้จริง คือเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

          เง็กเซียวมิอาจปฏิเสธ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

          “แม้นับว่าท่านตอนนี้สังหารข้าพเจ้าไป ก็ไม่อาจได้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมา ดังนั้นท่านจึงคร่าตัวเต็งฮุ้นลิ้ม คิดจะให้ข้าพเจ้าใช้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไปแลกนาง”

          เง็กเซียวพลันถอนใจยาวกล่าวขึ้น

          “ท่านไม่โง่เขลาจริงๆ”

          “ข้าพเจ้าก็ไม่โป้ปด”

          “อ้อ?”

          “ข้าพเจ้าตอนนี้ มิทราบเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอยู่ที่ใดจริงๆ”

          “เฮอะ อย่างนั้นเราก็มิทราบเต็งฮุ้นลิ้มอยู่ที่ใด”

          “โอ... ข้าพเจ้าพอจะคิดวิธีไปหานาง”

          “ให้เวลาท่านหาสิบสองชั่วยาม”

          “สิบสองชั่วยาม (หนึ่งวัน) ?”

          เง็กเซียวผงกศีรษะกล่าว

          “เวลานี้ของวันพรุ่ง หากท่านยังไม่มอบเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนให้ข้าพเจ้า ขาตินี้ของท่าน อย่าหมายได้พบเต็งฮุ้นลิ้มอีกเลย”

          มันกล่าวช้าๆ สืบต่อไป

          “คิดว่าท่านสมควรเคยได้ยินคำ กิมฮ้วง (ห่วงทอง อาวุธของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง) ไร้น้ำใจ ปวยตอ (อาวุธของลี้คิมฮวง) มีน้ำใจ ทิเกี่ยม (กระบี่เหล็กอาวุธของก้วยซงเอี๊ยง) ชมชอบชื่อเสียง เง็กเซียว (ขลุ่ยหยก) ชมชอบสตรี”

          เอี๊ยบไคย่อมเคยได้ยิน เง็กเซียวกล่าวต่อ

          “เต็งฮุ้นลิ้มเป็นสตรีที่น่าดูยิ่ง เราเป็นบุรุษที่ชมชอบสตรี ดังนั้นท่านควรรีบหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมาโดยด่วน มิเช่นนั้น...”

          มันมิกล่าวสืบต่อไป ความหมายของมัน มิว่าผู้ใดต่างฟังออก

-----------------------------

          เง็กเซียวเต้าหยินไปแล้ว พาบรรดาศิษย์สตรีเยาว์วัย หน้าตาสวยสะคราญไปด้วยกัน

          เวลานี้ของวันพรุ่ง เราจะมาอีก

          สิบสองชั่วยาม มีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม (ยี่สิบสองชั่วโมง)

ผู้ใดสามารถมั่นใจ หาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพบภายในสิบสองชั่วยาม มีผู้ใดสามารถมั่นใจ หาสตรีที่กลอกกลิ้งปานจิ้งจอก อำมหิตชั่วร้ายปานอสรพิษพบภายในเวลาเพียงวันเดียว!

เอี๊ยบไคก็ไม่มีความมั่นใจ

แต่ทว่า ทิเกี่ยมพอใจชื่อเสียง เง็กเซียวพอใจสตรี

มีผู้ใดสามารถวางใจ ให้สตรีที่ตนรัก ตกอยู่ข้างกายของบุรุณที่งมงายราคะ!

ม่านราตรีคลี่คลุมลงมาแล้ว!

เอี๊ยบไคนั่งสงบอยู่ในความมืด มิได้จุดโคมไฟ กระทั่งเคลื่อนไหวยังคร้านที่จะขยับกลาย

ในห้องคล้ายดั่งยังมีกลิ่นหอมจากร่างของเต็งฮุ้นลิ้มหลงเหลือ ในความมืดคล้ายดั่งยังมีดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวของนางปรากฏ

ต้องเยี่ยงไรจึงสามารถช่วยนาง? ต้องเยี่ยงไรจึงสามารถหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพบ?

เอี๊ยบไคถึงกับไม่มีเบาะแสเค้ามูลสักน้อยนิด?

ที่นี้สงบอย่างยิ่ง ความจริงเป็นสถานที่เหมาะต่อการใช้สมองครุ่นคิด ความจริงปฏิกิริยาของเอี๊ยบไครวดเร็วอย่างยิ่ง ความคิดก็ปราดเปรียวหลักแหลมอย่างยิ่ง

แต่ตอนนี้ สมองของเอี๊ยบไคคล้ายดั่งกลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว

ขณะเวลานั้น ในลานตึกที่เงียบสงบ พลันมีเสียงผู้คนดังสับสนอลหม่าน คล้ายดั่งมีคนฮือเข้ามาเป็นจำนวนมากหลายก็ปาน

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ เป้าที่วิจารณ์ถึงกับเป็นก้วยเต๋ง

“เฮียตี๋ของซงเอี๊ยงทิเกี่ยม มีความยอดเยี่ยมสมกิตติศัพท์จริงๆ”

“ความจริง น่ำเก็งเฮียตี๋ไม่สมควรประลองกระบี่กับมันเลย”

“แต่น่ำเก็งเฮียตี๋ ก็เป็นตระกูลยิ่งใหญ่มีชื่อเกรียงไกรในบู๊ลิ้ม ไหนเลยทนทานการเหยียดหยามเยี่ยงนั้นได้”

“โดยเฉพาะเป็นน่ำเก็งเอี๊ยง มิเพียงมีหลักวิชาฝีมือของตระกูลเท่านั้น ยังเป็นศิษย์ทายาทของเซ่งฮุ้นเกี้ยมแขะ (มือกระบี่เมฆคำราม) ความสูงส่งในวิชากระบี่ฟังว่าพอจะนับเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดกระบี่แห่งยุคได้”

“ดังนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราจึงต่างถือข้างน่ำเก็งเอี๊ยง เพราะก้วยเต๋งจะอย่างไร ก็เป็นคนเพิ่งออกสู่บู๊ลิ้ม” 

“เท่าที่เราสืบทราบ ในร้านน้ำชากิกเซี้ยง มีคนมากหลายที่ต่อน่ำเก็งเอี๊ยงเป็นฝ่ายมมีชัยถึงสามต่อหนึ่ง”

“หากทราบเช่นนี้แต่แรก เราก็ควรไปพนันสักจำนวนหนึ่ง”

“ตอนนั้น ท่านกล้าพนันก้วยเต๋งเป็นฝ่ายมีชัย?

“...............................”

“มีผู้ใดคาดคิดได้ มือกระบี่นามเกรียงไกรเช่นน่ำเก็งเอี๊ยงถึงกับไม่อาจรับมือก้วยเต๋งได้สิบกระบวนท่า”

“ซงเอี๊ยงทิเกี่ยมกราดเกรี้ยวดุดันจริงดั่งกิตติศัพท์ โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายที่มีนามทีตี่กู้พุง (ฟ้าดินต่างมอดมลาย) เรากล้าพนัน ชนชาวนักเลงที่สามารถรับกระบวนท่านี้ของมันได้ต้องไม่เกินห้าคนเด็ดขาด”

“ครั้งนี้ ก้วยเต๋งมีชื่อโอ่อ่าภาคภูมิโดยจริงจังแล้ว กระทั่งจ้งเปียเท้าที่ปกตินัยน์ตาสูงเหนือศีรษะ ยังชิงจะเป็นผู้เชิญมันไปดื่มสุรา”

“ตอนนี้ผู้มีเกียรติโอ่อ่าภาคภูมิที่สุดในเมืองต้องนับเป็นก้วยเต๋งแล้ว อย่าว่าแต่คนของเปียเก๊กจะเชิญมันดื่มสุราเลย กระทั่งเราก็คิดจะเชิญมัน มีโอกาสได้ดื่มกับคนเยี่ยงนี้สักจอก เราก็ต้องมีเกียรติภาคภูมิใจยิ่ง”

“ตอนนี้หากมันคิดจะไปหาสตรี เรากล้าประกัน ต้องมีสตรีมากหลาย ที่ยินยอมแถมเงินให้มันอีก”

“มันแม้ไม่อาจนับเป็นเด็กหน้าขาว แต่ในความดำยังขำสง่าอยู่”

“ฟังว่าคนที่ผิวกายดำคล้ำ ต่างพอมีฝืมือในสตรีอยู่”

“สตรีที่มีผิวดำคล้ำ ที่นั้นของนางก็...”

วาจาต่อไปยิ่งกล่าวยิ่งหยาบคายลามก

เอี๊ยบไคมิได้ฟังต่อไป

เมื่อครู่ที่ทางด้านนอกสงบเงียบปานนั้น ที่แท้เนื่องเพราะผู้คนทั้งหลายต่างลนลานไปดูการประลองฝีมือของก้วยเต๋งกับน่ำเก็งเอี๊ยง หากเป็นยามปกติ เอี๊ยบไคก็ต้องไปดูเช่นกัน

เอี๊ยบไครู้จักน่ำเก็งเอี๊ยง และรู้จักเพลงกระบี่ของมัน ได้รับถ่ายทอดจากยอดฝีมือมาจริงๆ

ในหลายปีนี้ มันเป็นผู้มีประกายเจิดจ้าอยู่ในวงพวกนักเลง แต่บัดนี้แสดงว่าประกายของมัน ถูกก้วยเต๋งชิงไปจนหมดสิ้นแล้ว

ก้วยเต๋งตอนนี้คงเบิกบานอย่างยิ่ง

มีชื่อในวัยฉกรรจ์ สมควรเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่บันดาลให้ผู้คนเบิกบานใจที่สุดในชีวิต

เอี๊ยบไคเข้าใจความรู้สึกเยี่ยงนี้ แต่ไม่เลื่อมใสเท่าใด

เอี๊ยบไคเพียงต้องการหาสถานที่สงบสักแห่ง ดื่มสุราโดยสงบสักสองจอก มาตรว่าสุราจะเสียดแทงสมองผู้คนชาด้าน แต่บางครั้งสามารถบันดาลให้สมองของผู้คนแจ่มใสมาได้

เอี๊ยบไคทรงกายช้าๆ เดินช้าๆ ออกไป

ไม่มีผู้ใดสังเกต กระทั่งยังไม่มีผู้ใดเหลือบมอง เนื่องเพราะมีแต่ผู้พิชิตเท่านั้นจึงเป็นเป้าที่พวกมันสนใจ

เอี๊ยบไคตอนนี้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ!

----------------------------

สุดปลายตรอกแคบ มีร้านสุราเล็กๆ ยี่ห้อถูกเขม่าไฟเกาะจนดำมองมิเห็น

แสงไฟในร้านสลัวมัวตา คนที่รับใช้ที่ท้อแท้ผู้หนึ่ง กำลังนั่งผิงไฟข้างเตาเล็กๆ

ผู้มาดื่มกินมีเพียงคนเดียว นั่งหันหลังให้ประตูอยู่ทางมุมที่มืดครึ้มที่สุด ดื่มสุราอึดอัดอยู่เพียงลำพัง

คิดว่ามันต้องเป็นเช่นดั่งเอี๊ยบไค เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เป็นฝ่ายสูญเสียจนท้อแท้

หากเป็นยามปกติ เอี๊ยบไคไม่แน่จะเดินเข้าไปชวนมันดื่มสักสองจอก... ต่างเป็นคนร่อนเร่พเนจร พบกันไยต้องรู้จักกันด้วย?

แต่บัดนี้เอี๊ยบไคกลับยินดีโดดเดี่ยวเดียวดาย

ผู้รับใช้เดินช้าๆ เข้ามา จัดช้อนตะเกียบให้ชุดหนึ่ง ตะเกียบยังเก่าจนขึ้นราเป็นจุดๆ

แต่เอี๊ยบไคไม่รังเกียจ ไม่แยแส

“ต้องการอะไร?”

“สุราห้าชั่ง แล้วแต่สุราใดก็ได้”

“ต้องการเนื้อหมักสักเล็กน้อยหรือไม่?”

“หากมีสำเร็จ มาให้เราจาหนึ่ง”

ผู้มาอุดหนุนทุกคนนี้ ดูท่าไม่มีพิถีพิถันเท่าใด ปากของผู้รับใช้จึงมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ถามต่อ

“ท่านผู้นั้นหั่นเนื้อจานหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ให้ท่านเช่นเดียวกันสักจานเป็นไร?”

“ได้”

แสดงว่าผู้มาอุดหนุนคนนี้ ไม่พิถีพิถันจริงๆ

คนที่เพลี่ยงพล้ำจนท้อแท้ ไหนเลยยังจะพิถีพิถันได้อีก?

--------------------------------

สุรายังมิได้ยกมา เอี๊ยบไคจึงสงบรอ เพราะความจริงก็มิได้มุ่งหวังอยู่ก่อนสถานที่เยี่ยงนี้ จะมีการต้อนรับที่กุลีกุจอแข็งขัน

ผู้มาดื่มกินในด้านนั้น ก็มิเคยเหลียวมามองเอี๊ยบไคเลยสักครั้ง ตอนนี้พลันส่งเสียง

“ที่นี้ของข้าพเจ้ายังมีสุรา ไฉนไม่เข้ามาดื่มสักจอกก่อน?”

เสียงนี้คุ้นหูยิ่ง เป็นผู้ใดกัน?

เอี๊ยบไคลังเลเล็กน้อย ผู้นั้นกล่าวช้าๆ อีก

“ความจริงท่านสมควรมาคารวะข้าพเจ้าจอกหนึ่ง ในฐานที่ท่านค้างน้ำใจข้าพเจ้า”

“ท่านเอง?”

ในที่สุดเอี๊ยบไคก็จำเสียงมันได้

ผู้ที่ผิดหวังจนท้อแท้ มาดื่มสุราอึดอัดอยู่ในร้านเล็กๆ เพียงลำพัง ถึงกับเป็นก้วยเต๋ง ที่กำลังมีชื่อกระเดื่องเลื่องลือที่สุดของเมืองนี้!

“ข้าพเจ้าเอง”

ในที่สุดก้วยเต๋งรับคำแล้ว หันหน้ามาแย้มยิ้มกล่าวเสียงราบเรียบ

“ท่านนึกมิถึงจะเป็นข้าพเจ้า?”

เอี๊ยบไคนึกมิถึงจริงๆ เดินเข้าไปทรุดกายนั่งมองก้วยเต๋งพลางถาม

“ท่านความจริงไม่ควรมาอยู่ที่นี้”

“เพราะเหตุใด?”

“สถานที่เยี่ยงนี้ ความจริงมีแต่คนเช่นข้าพเจ้าจึงสมควรมา”

“อ้อ?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ท่านทราบหรือไม่? ท่านตอนนี้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงกระเดื่องเกรียงไกรที่สุดของนครเซี่ยงอันแล้ว”

ก้วยเต๋งแค่นเสียงเย็นชา

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเพิ่งแทงน่ำเก็งเอี๊ยงมากระบี่หนึ่ง?”

“สามารถพิชิตน่ำเก็งเอี๊ยงได้ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

ก้วยเต๋งแค่นหัวร่อ เอี๊ยบไคมองมันพลางกล่าวต่อ

“ตอนนี้มิทราบมีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากน้อยเท่าใด ที่กำลังแย่งชิงเชิญท่านไปดื่มสุรา ท่านไฉนกลับมาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เยี่ยงนี้เพียงลำพัง?”

ก้วยเต๋งมิตอบ แต่รินสุราให้เอี๊ยบไคจอกหนึ่งแล้วกล่าว

“วาจาของท่านมากเกินไป แต่สุราดื่มน้อยเกินไป”

เอี๊ยบไคยกจอกขึ้นกรอกแห้งทันที ก้วยเต๋งเพ่งมองพลางถาม

“ก่อนนี้ท่านมิเคยต่อสู้ได้ชัย?”

“ย่อมเคย”

ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

“ตอนท่านพิชิตคู่ต่อสู้ ก็เคยมีผู้ยิ่งใหญ่พากันชิงเชิญท่านดื่มสุราหรือไม่?”

“ถูกแล้ว”

“ท่านไปหรือไม่ไป?”

“ไม่ไป”

ก้วยเต๋งหัวร่ออีก ในเสียงหัวร่อมีความหมายที่ว้าเหว่จนบอกไม่ถูก กรอกสุราอีกจอกหนึ่งจึงกล่าวช้าๆ

“ก่อนนี้ข้าพเจ้ามักต้องการพิชิตผู้อื่น สยบผู้อื่นให้ล้มลง แต่บัดนี้...”

“บัดนี้เป็นไร?”

ก้วยเต๋งเหม่อมองจอกสุราในมือพลางกล่าวช้าๆ

“บัดนี้ข้าพเจ้าจึงทราบ รสชาติของผู้พิชิต หาได้ประเสริฐเท่าที่ข้าพเจ้าเคยคาดคิดไม่”

พลันกระแทกจอกเปล่าในมือลงกับโต๊ะหนักๆ กล่าวต่อไป

“ท่านดูนี่เป็นกระไร?”

“เป็นจอกสุราเปล่า”

“คนเราเมื่อได้ชัยมาแล้ว บางครั้งจะพลันกลับกลายคล้ายจอกสุราเปล่าได้...”

สุราในจอกหมดสิ้นแล้ว คนที่พิชิตศัตรูแล้ว ปณิธานและความกระหายที่มีในใจก็คล้ายสุราในจอก พลันเหือดหายจนว่างเปล่า

ความรู้สึกเช่นนี้ มาตรว่าก้วยเต๋งมิได้บอกออกมา แต่เอี๊ยบไคสามารถเข้าใจได้ ความอ้างว้างและว้าเหว่ที่ไม่มีปัญญาเปรียบเทียบบรรยายเยี่ยงนี้ เอี๊ยบไคก็เคยได้ลิ้มรสมา เคยผ่านมาจนแทบชาชิน

เอี๊ยบไคมิกล่าวกระไรอีก รินสุราให้ก้วยเต๋งเต็มจอกแล้ว แย้มยิ้มกล่าว

“ท่านก็กล่าวมากเกินไป แต่ดื่มน้อยเกินไป”

ก้วยเต๋งยกจอก เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“อย่างไรก็ตาม รสชาติของผู้พิชิต อย่างน้อยยังประเสริฐกว่าผู้ปราชัยอยู่บ้าง”

---------------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น