วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า โฉมสะคราญยอดฝีมือ

 

โฉมสะคราญยอดฝีมือ

เนื้อที่มีโลหิตสดๆ หยดหยาดสองชิ้น วางอยู่ที่โต๊ะเบื้องหน้า ร่างเอี้ยฮึงคล้ายดั่งอ่อนระทวยลงไป

          คนชุดขาวเหลือบมองปั๊งลักแวดหนึ่ง พลันสะบัดดาบ ตัดหูตัวเองออกข้างหนึ่ง

          ปั๊งลักรู้สึกแขนของมันชาแข็ง มันเคยตัดหูผู้อื่น ตอนนั้นเพียงรู้สึกมีความสุขอย่างอำมหิตยิ่ง

          แต่ตัดหูตัวเอง ย่อมต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

          มันความจริงพอจะสะบัดดาบฆ่าคนชุดขาว แต่มันยังไม่ลืมวาจาของฮั่นเจ็ง

          มาตรว่าท่านลงมือเร็วกว่ามัน แต่ตอนท่านฆ่ามัน มันยังพอจะฆ่าท่านได้....

          คนที่สุขุมรอบคอบ ส่วนมากมักถนอมชีวิตตัวเอง ปั๊งลักเป็นคนสุขุมรอบคอบ

          มันเลยหน้าขึ้นช้าๆ ตัดหูตัวเองออกบ้าง ตัดช้าอย่างยิ่ง สุขุมอย่างยิ่ง

          ไหล่ของคนชุดขาว ถูกโลหิตที่หลั่งไหลออกจากหูของมันชโลมจนแดงฉาน ดวงตาที่ขุ่นขาวเวิ้งว้าง ถึงกับพลันมีประกายอำมหิตพอใจ คล้ายดั่งหูของปั๊งลักเป็นมันตัดออกมากับมือก็ปาน

          หูที่มีโลหิตชุ่มโชกทั้งสองว่าอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า เอี้ยฮึงคล้ายดั่งกระทั่งยืนก็ไม่มีกำลังทรงกลายแล้ว!

          คนชุดขาวจับตามองโลหิตที่หลั่งไหลออกจากหูปั๊งลักแล้วแค่นเสียงเย็นชา

          “คุณค่านี้ท่านก็ชำระได้?”

          พลันสะบัดดาบฟันเข้าใส่มือซ้ายของมัน!

          หัวใจปั๊งลักวูบตามคมดาบที่ฟันลง!

          ขณะเวลานั้น พลันรู้สึกมีลมกระโชกมาวูบหนึ่ง ในสายลม คล้ายมีกลิ่นหอมที่พิสดารอย่างยิ่ง

          จากนั้นจึงเห็นคนผู้หนึ่ง

          สตรีนางหนึ่ง

          มองในปาดแรก ปั๊งลักรู้สึก มันยังมิเคยเห็นสตรีที่สวยสะคราญปานนี้มาก่อนเลย

          นางคล้ายดั่งถูกลมเมื่อครู่กระโชกเข้ามา

          ตอนคนชุดขาวมองนาง พลันรู้สึก ดาบในมือมันถูกนางยกไว้

          นางกำลังจ้องมองมันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มหยาดเยิ้มนุ่มนวล เสียงที่กล่าวไพเราะระรื่นหู

          “ดาบฟันบนเนื้อ ต้องเจ็บปวดอย่างยิ่ง”

          คนชุดขาวแค่นเสียงเย็นชา

          “นี่มิใช่เนื้อของท่าน”

          ดรุณีโฉมสะคราญส่งเสียงนุ่มนวล

          “มาตรว่ามิใช่เนื้อข้าพเจ้า ก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน”

          นิ้วที่เรียวงามของนางพลันกรีดเบาๆ คล้ายดั่งเด็ดบุปผาในแจกันให้แก่ชายคนรักนางก็ปาน

          คนชุดขาวพลันรู้สึก ดาบในมือมันตกไปอยู่กับมือนาง!

          ดาบบางเบาที่หลอมจากเหล็กกล้า บางและคมกริบ

          นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางบิดเบาๆ คล้ายดั่งกำลังบิดก้านบุปผา เสียงเป๊าะพอดัง ดาบเหล็กกล้าเล่มนั้นถึงกับถูกนางบิดหักออกไปชิ้นหนึ่ง

          “อย่าว่าแต่สถานที่นี้ถูกข้าพเจ้าเหมาไว้นานแล้ว พวกท่านไยต้องชิงกันไปชิงกันมา?”

          ปากนางกล่าววาจา ถึงกับคีบเศษดาบที่นางหัก ยัดเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวช้าๆ กลืนลงไป!

          จากนั้น ใบหน้าที่สวยสะคราญของนางมีแววพึงพอใจอย่างยิ่ง ถึงกับคล้ายกลืนกินอาหารโอชะที่สุดก็ปาน

          ปั๊งลักตะลึงลานไปแล้ว!

          มันแทบไม่ยอมเชื่อสายตาตัวเอง กระทั่งดวงตาคนชุดขาวยังต้องมีประกายแตกตื่นขึ้นโดยมิอาจข่มกลั้น

          ในโลก ไฉนมีเรื่องพิสดารเช่นนี้เกิดขึ้นได้? พลังฝืมือที่น่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนี้ได้?

          หรือนางไม่กลัวดาบที่คมกริบ กรีดกระเพาะลำไส้นางขาดไป?

          ดรุณีโฉมสะคราญ หักดาบออกมาอีกชิ้นหนึ่งหย่อนเข้าปาก เคี้ยวกลืนแล้วถอนในเบาๆ ดั่งสบอารมณ์ยิ่ง จากนั้นแย้มยิ้มกล่าว

          “ดาบเล่มนี้ไม่เลวจริงๆ มิเพียงเป็นเหล็กกล้าดีเยี่ยมเท่านั้น ยังถลุงจนเหนียวอย่างยิ่ง มีรสโอชะกว่าเล่มที่ข้าพเจ้ารับทานเมื่อวานมากนัก”

          ปั๊งลักอดมิได้ต้องถาม

          “ท่านรับทานดาบทุกวัน?”

          ดรุณีโฉมสะคราญตอบ

          “ก็มิได้รับทานมาก แต่ละวันเพียงรับทานสามเล่ม ดาบกระบี่ก็คล้ายเนื้อปลา หากรับทานมากเกินไป กระเพาะลำไส้จะไม่สบายได้”

          ปั๊งลักตาเหลือกค้าง ปากอ้ากว้าง

          น้อยครั้งนักที่มันจะลืมตัวเสียกิริยาต่อนหน้าดรุณีที่สวยงาม แต่บัดนี้มันไม่มีปัญญาคุมสติตัวเองได้อีกแล้ว

          ดรุณีโฉมสะคราญจ้องมองมันเช่นกัน พลางกล่าว

          “ดั่งดาบในมือท่าน ก็มิใคร่น่ารับทานแล้ว”

          ปั๊งลักอดมิได้ต้องถาม

          “เพราะเหตุใด?”

          นางแย้มยิ้มตอบเสียงราบเรียบ

          “ดาบของท่าน ก่อนนี้ฆ่าคนมากเกินไป กลิ่นคาวโลหิตฉุนเฉียวเกินไป”

          คนชุดขาวเหม่อมองดูนาง แล้วจึงหันกายก้าวอาดๆ ออกจากห้องไป

          มันไม่กลัวตาย แต่หากจะให้มันหักดาบเหล็กกล้าเป็นชิ้นๆ กลืนกินลง มันไม่มีปัญญากระทำได้เลย

          ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำได้ นี่ความจริงเป็นเรื่องพิสดารปาฎิหาริย์อยู่แล้ว

          นางแย้มยิ้มกล่าวอีก

          “ดูท่ามันไม่คิดจะชิงกับข้าพเจ้าแล้ว ท่านเล่า?”

          ปั๊งลักมิเอ่ยปาก มันไม่มีปัญญาเอ่ยปากอยู่แล้ว

          ดรุณีโฉมสะคราญกล่าวอีก

          “ชายชาตรี มิว่าเกี่ยงเรื่องราวใดกับอิสตรี แม้นับว่าเกี่ยงจนมีชัยไปได้ ก็มิใช่เป็นเกียรติพึงภาคภูมิอย่างไร ท่านว่าใช่หรือไม่?”

          ในที่สุด ปั๊งลักถอนใจเฮือกใหญ่แล้วตอบ

          “ขอเรียนถามชื่อแซ่ยิ่งใหญ่ของท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับไปรายงานถูกต้อง”

          นางถอนใจตอบ

          “ข้าพเจ้าเป็นเพียงเอียเท้า (หญิงรับใช้) เท่านั้น ท่านถามชื่อแซ่ข้าพเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”

          ดรุณีโฉมสะคราญปานหยาดฟ้า พลังฝีมือเลอเลิศไม่อาจหยั่งคำนวณ ถึงกับเป็นเพียงหญิงรับใช้เท่านั้น

          แล้วนายของนาง เป็นบุคคลเยี่ยงไรกันแน่?!

          “ท่านกลับไปบอกต่ออุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยได้ สถานที่นี้ถูกน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ (เจ้าแม่ทะเลใต้) เหมาไว้แล้วหากท่านผู้เฒ่ามีเวลาว่าง เชิญมาเที่ยวที่นี้ได้ทุกเวลา”

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ?”

          ดรุณีโฉมสะคราญผงกศีรษะตอบ

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อก็คือนายข้าพเจ้า ท่านกลับไปบอกต่ออุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย มันต้องรู้จักแน่”

---------

          หากตอนอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยร่าเริงและเดือดดาลผิดแปลกกันเป็นคนละคน อย่างนั้น สารรูปมันในตอนนี้ ก็เป็นคนที่สามแล้ว!

          ยังมิเคยมีผู้ใดเห็นมันตื่นเต้นถึงปานนี้ แตกตื่นสงสัยถึงปานนี้มาก่อนเลย

          กระทั่งใบหน้าที่มักแดงเปล่งปลั่งของมัน ตอนนี้กลับกลายเป็นเขียวคล้ำแล้ว!

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ? หรือนางยังไม่ตายจริงๆ ?”

          มันกำหมัดแนบแน่น กระแสเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและแตกตื่นสงสัยกระทั่งยังคล้ายมีความหวาดกลัวจนบอกมิถูก

          ไม่มีคนกล้าส่งเสียง

          มิว่าผู้ใดก็คาดคิดไม่ถึง ในโลกถึงกับยังมีคนที่อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยยังตื่นเต้นหวาดกลัวอยู่

          อุ้ยเทียงพ้งถลึงตาอีกครั้ง ตะเบ็งเสียงดังก้อง

          “พวกท่านทราบหรือไม่ น่ำไฮ้เนี่ยจื้อเป็นคนอย่างไร?”

          วาจานี้มาตรว่าถามคนทั้งหลาย แต่นัยน์ตากลับจับมองฮั่นเจ็งคนเดียว

          แต่ครั้งนี้กระทั่งฮั่นเจ็งยังมิได้เอ่ยปากเช่นกัน

          อุ้ยเทียนพ้งโถมเข้าไปคว้าอกเสื้อมันไว้แล้ว ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “ท่านกระทั่งน่ำไฮ้เนี่ยจื้อยังไม่รู้จัก แล้วท่านรู้จักกระไรบ้าง?”

          ใบหน้าฮั่นเจ็งพลันแปรเปลี่ยนเป็นคล้ายคนชุดขาว ชาด้านไร้ความรู้สึก ดวงตาก็คล้ายเหม่อมองในทิศทางสุดแสนไกล

          อุ้ยเทียนพ้งถลึงจ้องมันแน่วนิ่ง แววขุ่นเคืองบนใบหน้าคล้ายคลายลงทีละน้อย มือที่กำอกเสื้อมันก็คลายลงทีละน้อย ถอนใจยาวกล่าวเบาๆ

          “นี่ก็ไม่อาจตำหนิท่าน ท่านยังมีวัยเยาว์อย่างยิ่ง ตอนน่ำไฮ้เนี่ยจื้ออาละวาดในแผ่นดิน ชนชาวบู๊ลิ้มลุ่มหลงจนสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงนางนั้น ท่านน่ากลัวยังมิได้กำเนิดมา”

          มันพลันยืดอกเชิดหน้าส่งเสียงดังๆ

          “แต่เรากลับเคยเห็นนาง ในพิภพจบแดน ผู้คนเคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง นอกจากเราอุ้ยเทียนพ้งแล้ว ต้องไม่มีบุคคลที่สองเด็ดขาด”

          ใบหน้ามันเริ่มแดงเปล่งปลั่งอีกครา คล้ายมีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ เป็นเกียรติที่ควรเย่อหยิ่งลำพองก็ปาน

          แต่ละคนต่างคิดจะถาม

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่? มีรูปลักษณะเยี่ยงไรกันแน่?

          แต่ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าถามจริงๆ อยู่ต่อหน้าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย มิว่าผู้ใดต่างเพียงได้แต่ตอบคำถามเท่านั้น ไม่อาจเป็นฝ่ายถาม เพราะอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยไม่พอใจคนปากมาก

          ในโลก ยังมีผู้ใดพอใจคนปากมาก?

          อุ้ยเทียงพ้งส่งเสียงดังๆ อีกครา

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อก็คือเชยมิ่นกวนอิม (กวนอิมพันหน้า) ความหมายคือว่า นางมิเพียงมีพันมือ พันตา เท่านั้น ยังมีใบหน้าที่ผิดกันอีกหนึ่งพันเค้า”

          มันพลันหันไปถามปั๊งลัก

          “สตรีที่เจ้าพบเห็นนางนั้น มีรูปโฉมโนมพรรณอย่างไร?”

          ปั๊งลักตะกุกตะกัก

          “คล้ายดั่งยังไม่เลว”

          ปั๊งลักก้มศีรษะตอบ

          “เป็นสวยงามอย่างยิ่ง”

          “นางมีวัยประมาณเท่าใด?”

          ปั๊งลักก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม มันตอนนี้จึงพบเห็น ตัวมันถึงกับสังเกตวัยสตรีนางนั้นไม่ออก

          ตอนเห็นางปราดแรก รู้สึกนางแม้เยาว์วัยอย่างยิ่ง แต่อย่างน้อยต้องมีอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก

          ภายหลังเมื่อได้ยินนางกล่าววาจา มันรู้สึกนางคล้ายโกวเนี้ยอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น

          แต่ยามเมื่อมันจ้องมองนางอีกสองครา พบเห็นที่หางตานางคล้ายมีรอยตีนกา สมควรมีวัยสูงกว่าสามสิบปีมาก

          แต่เมื่อนึกขึ้นในตอนนี้ นางใช้ปลายนิ้วหักดาบเหล็กกล้าเคี้ยวกลืนลงนั้นนับเป็นวิชาที่ไม่ฝึกมาสี่ห้าสิบปี ไหนเลยจะมีความแกร่งกร้าวลึกล้ำถึงปานนั้นได้?”

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าวต่อ

          “เจ้าดูไม่ออกว่านางมีอายุเท่าใด?”

          ปั๊งลักก้มศีรษะต่ำลงกว่าเดิม

          อุ้ยเทียนพ้งปรบมือฉาดใหญ่แล้วร้อง

          “สตรีนางนั้น อาจเป็นเชยมิ่นกวนอิมอย่างยิ่ง”

          ปั๊งลักอดมิได้ต้องถาม

          “นางปลีกตัวออกซ่อนกายสามสี่สิบปีแล้ว ตอนี้ไยมิสมควรเป็นนางเฒ่าที่ชรายิ่ง?”

          อุ้ยเทียนพ้งแค่นหัวร่อตอบ

          “ตอนนางอายุสิบเจ็ดสิบแปด ก็มคนเข้าใจว่านางเป็นหญิงชรา แต่อีกยี่สิบปีสามสิบปีให้หลัง กลับมีคนว่านางเป็นเพียงโกวเนี้ยเยาว์วัยเท่านั้น”

          “ปั๊งลักตะลึงตลานไปแล้ว มันคิดไม่ออกเลย อุ้ยเทียนพ้งกล่าวต่อ

          “คนผู้นี้ปลอมตัวเป็นร้อยๆ พันๆ เค้า แต่ละคนที่เจ้าเห็นต่างอาจเป็นนางปลอมแปลงได้ทั้งสิ้น ฟังว่ามีคราหนึ่งที่โพวฮวบไต้ซือแห่งเสียวลิ้ม ขึ้นแสดงธรรมบนยอดเขาไท้ซัว ผู้ที่ฟังธรรมยังมีหลายท่านเป็นสหายเก่าของโพวฮวบไต้ซือ ฟังเป็นเวลาสองวันสองคืนแล้ว พลันมีโพวฮวบไต้ซือมาอีกรูปหนึ่ง ดังนั้นจึงมีคนพบเห็นโพวฮวบไต้ซือที่แสดงธรรมอยู่ก่อน ถึงกับเป็นน่ำไฮ้เนี่ยจื้อปลอมไป”

          เรื่องเช่นนี้นับว่าเป็นเทพนิยายชัดๆ แทบไม่มีคนยอมเชื่อถือ แต่ทุกคนกลับทราบ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมิเคยโป้ปดมดเท็จมาเลย

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าวต่อ

          “มิว่าผู้ใด เพียงเห็นโฉมหน้าแท้จริงของน่ำไฮ้เนี่ยจื้อสักแวบเดียว เป็นต้องตายแน่นอน ดังนั้นกระทั่งตอนนางมีชื่อเสียงสูงส่งถึงขีดสุด ยังไม่มีผู้ใดทราบ นางเป็นสตรีรูปลักษณะใด มีแต่เราทราบ... มีแต่เราทราบ....”

          เสียงของมันยิ่งกล่าวยิ่งเบา ใบหน้าถึงกับปรากฎแววประหลาดพิกล จนอีกเนิ่นนานให้หลัง จึงกล่าวช้าๆ สืบไป

          “วิชารับอาวุธลับและคว้าจับของนาง โดดเด่นเป็นเอกในยุคนั้นโดยไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้ ความเลอเลิศพิสดารของวิชาปลอมแปลงโฉม ยิ่งไม่เคยมีมาก่อนในโบราณกาล และไม่มีในอนาคตด้วย แต่ตอนนางมีชื่อเสียงถึงขีดสุด กลับพลันสาบสูญร่องรอยไป มิว่าผู้ใดก็ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด? ยิ่งมีมีผู้ใดทราบนางไปที่ใด? ในสามสิบปีนี้ ไม่มีชนชาวนักเลงใดได้ยินข่าวคราวของนางอีกเลย กระทั่งเราก็มิเคยได้ยิน”

          ทั้งปวงเหลียวมองกันไปมา แต่มิกล้าส่งเสียง

          ตอนนี้ทุกผู้คนต่างดูออก ระหว่างอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกับน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ ต้องมีความสัมพันธ์ที่เร้นลับและลึกซึ้งเหนือธรรมดา

          แต่ทุกผู้คนต่างยิ่งประหลาดสงสัยกว่าเดิม

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อผู้นี้ เมื่อสาบสูญร่องรอยไปสามสิบปีแล้ว ไฉนพลันมาปรากฏตัวอีก?

          มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด อุ้ยเทียนพ้งพลันส่งเสียงดังๆ

          “ตัวเล็ก เจ้าเข้ามา”

          บุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อขนสัตว์สีเงินราคาแพง รูปกายสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลารับคำเดินออกมา

          เสื้อผ้าของมันสวยงามสูงค่า ตัดเย็บได้เหมาะสมอย่างยิ่ง ใบหน้าที่งามสง่าปานหล่อเหลา ตอนไม่ยิ้มยังคล้ายมีรอยยิ้มอยู่สามส่วน ดูไปรู้สึกต้องเป็นที่พอใจของอิสตรี เพียงแต่ว่าดวงตามีสายเลือดแดงฉาน แสดงว่ามักมิใคร่ได้หลับเต็มตื่น

          อาจบางทีบุรุษหนุ่มที่ได้รับความพอใจจากสตรี ต่างยากยิ่งจะมีเวลาได้นอนเต็มตา

          บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้ คือตัวเล็กที่สุดของสิบสามยอดองครักษ์อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยนามไซมึ้งจับซา (คนที่สิบสามแซ่ไซมึ้ง) ฉายาฮุ้นนิ้งกุน (เทพบุตรฝุ่น.... หมายถึงสำอาง)

          ตาที่คมวาวราวกระบี่ของอุ้ยเทียนพ้ง เขม้นมองมันแน่วนิ่งเป็นเวลาเนิ่นนานจึงแค่นเสียงเย็นชา

          “ในค่ำคืนสารทตงชิว (เพ็ญเดือนแปด) เจ้าคบกับสหายคนหนึ่งนามลิ่มเท้งใช่หรือไม่?”

          ไซมึ้งจับซาคล้ายตระหนกเล็กน้อย ในที่สุดยังคงก้มศีรษะรับ

          “ถูกแล้ว”

          อุ้ยเทียนพ้งแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

          “เราก็ทราบเจ้าไม่กล้าบอก ก็ได้ ฮั่นเจ็ง ท่านบอกแทนมัน”

          ฮั่นเจ็งกล่าวช้าๆ ทันที โดยมิต้องครุ่นคิด

ในแรมห้าค่ำเดือนแปด (หลังตงชิวห้าวัน) พวกมันพากันไปขอยืมเงิน จากในคลังจวนข้าหลวงมาสามหมื่นตำลึง....

          “แรมสิบห้าค่ำเดือนแปด พวกมันไปยืมมาอีกครั้ง”

          อุ้ยเทียนพ้งแค่นหัวร่อสวนคำ

          “เวลาสิบวัน ใช้เงินถึงสามหมื่นตำลึง ตัวอุบาทว์น้อยทั้งสอง กลับมือเติบใจกว้างอย่างยิ่ง”

          ฮั่นเจ็งรายงานต่อไป

          “ค่ำคืนขึ้นหกค่ำเดือนเก้า พวกมันอยู่ระหว่างเมามาย เป็นปากเสียงกับศิษย์คุนลุ้น ที่มาจากนอกกำแพงใหญ่ เพราะเรื่องชิงดีชิงเด่น มาตรว่าตอนนั้นข่มกลั้นใจไว้ได้ แต่รอจนเมื่อสามผู้กล้าคุนลุ้น ทราบประวัติความเป็นมาของพวกมัน เตลิดหนีไปในค่ำคืนวันนั้นแล้ว พวกมันกลับไล่ตามไปจนพ้นรัศมีแปดสิบลี้ สังหารสามผู้กล้าคุนลุ้นจนไม่เหลือสักคนเดียว”

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแค่นเสียงเย็นชา

          “ดูท่าหลังจากเล้งเต้าหยินตายไปแล้ว ศิษย์สำนักคุนลุ้นก็เสื่อมลงทุกรุ่นจริงๆ ”

          ฮั่นเจ็งรายงานต่อ

          “หลังจากฆ่าคนแล้ว พวกมันกลับมีอารมณ์ครึกครื้นกว่าเดิม ถึงกับถือโอกาสที่ยังมีฤทธิ์สุรา บุกเข้าไปในเจี๊ยะแกจึง (หมู่บ้านตระกูลเจี๊ยะ) ฉุดคร่าเจ๊ม่วยฝาแฝดวัยเพียงสิบสี่ปีออกมา เป็นเพื่อนนอนกับทั้งสองถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน”

          รายงานถึงตอนนี้ ดวงตาไซมึ้งจับซามีประกายวิงวอนจนน่าสมเพช กะพริบตาให้ฮั่นเจ็งอยู่ไม่หยุดยั้ง

          แต่ฮั่นเจ็งคล้ายมิแลเห็น ยังคงรายงานต่อ

          “หลังจากนั้นแล้ว พวกมันยิ่งกำเริบเสิบสาน ในวันขึ้นสิบสามค่ำเดือนเก้า...”

          ไซมึ้งจับซาไม่รอให้มันรายงานโทษต่อไป คุกเข่าโครมลงที่เบื้องหน้าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยยืดตัวตรงแบะอกเสื้อออกพลางร้อง

          “ศิษย์ผิดไปแล้ว ท่านผู้เฒ่าฆ่าศิษย์เถิด”

          อุ้ยเทียนพ้งถลึงจ้องมันเป็นครึ่งค่อนวัน พลันแผดหัวเราะกล่าว

          “ประเสริฐ มีความกล้าพอ ชายชาตรีกล้าทำต้องกล้ารับ ฆ่าเจ้าเด็กไม่รักดีไปมิกี่คน เล่นโกวเนี้ยต่ำทรามร่านราคะสักจำนวนหนึ่ง จะนับเป็นสำคัญอย่างไรได้?”

          ไซมึ้งจับซาเบิ่งตาด้วยความแตกตื่นพลางร้อง

          “ท่านผู้เฒ่าไม่ตำหนิข้าพเจ้า?”

          อุ้ยเทียนพ้งแย้มยิ้มกล่าว

          “เราตำหนิเจ้าไปไย? หากโกวเนี้ยน้อยสองนางไม่พอใจเจ้า หรือมิรู้จักพุ่งศีรษะชนผนังให้ตาย ไยต้องอยู่เป็นเพื่อนนอนกับเจ้าหนึ่งวันหนึ่งคืน? หากนางพอใจเจ้ามีผู้ใดเกี่ยวข้องบังคับได้? โกวเนี้ยน้อยรักบุรุษหนุ่ม ความจริงถูกทำนองคลองธรรมที่สุดแล้ว กระทั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ยังเกี่ยวข้องบังคับมิได้”

          ไซมึ้งจับซาอดมิได้ต้องแย้มยิ้มกล่าว

          “น้อมเรียนท่านผู้เฒ่า เมื่อหลายวันก่อน พวกนางยังลอบมาหาข้าพเจ้าอีกเลย”

          อุ้ยเทียนพ้งแผดเสียงหัวร่อกล่าว

          “ชายชาตรีที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ต้องมีขวัญดีไปฆ่าคน มีความสามารถไปหลอกโกวเนี้ยน้อย มิเช่นนั้นไม่สู้พุ่งศีรษะชนผนังให้แตกตายก็แล้วกัน”

          เสียงหัวร่อของมันพลันชะงักหาย ถลึงจ้องไซมึ้งจับซาพลางคำราม

          “ในเมื่อเราไม่ตำหนิเจ้า เจ้าทราบเราเรียกเจ้าออกมาด้วยสาเหตุใด?”

          “ศิษย์มิทราบ”

          “เจ้าทราบหรือไม่? ลิ่มเท้งที่เป็นลูกนางคณิกาเลี้ยงมา ความจริงเป็นผู้ใด?”

          “ศิษย์มิทราบ”

          อุ้ยเทียนพ้งพลันเตะฉาด จนไซมึ้งจับซากลิ้งกระเด็นไกลสองวา ยังตามเข้าไปจิกผมมันขึ้นแล้ว ตบหน้ามือหลังมือ ซ้ายๆ ขวาๆ ถึงสิบเจ็ดสิบแปดครั้ง จึงได้ถามอีก

          “เจ้าทราบหรือไม่? เราตบเจ้าด้วยเรื่องอันใด?”

          ไซมึ้งจับซาปฏิเสธด้วยความหวาดหวั่น เนื่องเพราะมันมิทราบจริงๆ มันถูกตบจนตะลึงลานไปแล้ว

          อุ้ยเทียนพ้งตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “บุรุษชาติชายชาตรี ฆ่าคนวางเพลิงต่างไม่นับสำคัญอย่างไร แต่หากคบมิตรสหายแล้ว ถึงกับยังมิทราบมันเป็นคนเช่นไร นั่นจึงเป็นตัวอุบาทว์บัดซบที่สุด ฆ่าทิ้งสักร้อยครั้งก็ไม่รู้สึกมากไป”

          วาจานี้เพิ่งขาดคำ พลันมีเงาร่างคนวูบมา ข้างกายไซมึ้งจับซา มีคนเพิ่มขึ้นอีกผู้หนึ่ง

          สายตาสามสิบกว่าคู่ในห้องโถงใหญ่ ถึงกับไม่มีผู้ใดเห็นชัด คนผู้นี้มาจากทิศทางใด?

          ในแสงโคมไฟสว่างไสว เห็นมันผิวขาวละเอียด เค้าหน้าหล่อเหลา รูปกายสูงโปร่ง บุคลิกสง่าเรียบร้อย ดั่งนักศึกษาคงแก่เรียน ในทีท่า คล้ายยังแอบแฝงความเอียงอายดุจโกวเนี้ยอยู่หลายส่วนอีกด้วย

          แต่มันพลันมาโดยไม่มีเค้า ละลิ่วลงสู่พื้นโดยไม่มีเสียง ความสูงส่งของวิชาตัวเบาในสิบสามยอดองครักษ์ ไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมได้!

          เมื่อมันยืนหยัดทรงกาย รีบคารวะจรดพื้นกล่าว

          “ผู้เยาว์เต็งลิ้ง (คีลิ้ง.... กิเลน) ตั้งใจมากราบคารวะโป้ยไท้เอี๊ยเป็นพิเศษ”

          อุ้ยเทียนพ้งถลึงจ้องมันพลางตวาด

          “เจ้าถึงกับยังกล้ามา?”

          “ผู้เยาว์มิกล้าไม่มา”

          อุ้ยเทียนพ้งแผดหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ มีความกล้าพอ เราผู้เฒ่าพอใจบุรุษหนุ่มมีความกล้าเช่นพวกเจ้านี้”

          มันคลายมือปล่อยไซมึ้งจับซาแล้วกล่าวต่อ

          “เจ้าบัดซบตอนนี้ย่อมควรเข้าใจได้แล้วกระมัง? ลิ่มเท้งก็คือเต็งลิ้ง เจ้าคบหากับสหายเยี่ยงมันได้ นับเป็นบุญวาสนาของเจ้าแล้ว”

          ไซมึ้งจับซาเบิ่งตามองสหายของมันด้วยความแตกตื่น แต่ละคนต่างมองดูสหายผู้นั้นของมันแน่วนิ่ง

          นามเต็งลิ้งนี้ ทุกผู้คนต่างเคยได้ยินมา แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึง บุรุษหนุ่มมีทีท่าเรียบร้อยนุ่มนวล กระดากกระเดื่องราวโกวเนี้ยน้อย ถึงกับเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ เกียรติเกรียงไกรแห่งยุค ฮวงนึ้งกุน (เทพบุตรสายลม) เต็งลิ้ง ที่มีวิชาตัวเบาสูงสุดในหมู่รุ่นเดียวกัน

          นอกจากฮั่นเจ็งกับอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถคาดคิดถึงจริงๆ

          ใบหน้าเต็งลิ้งกลับแดงระเรื่อ

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “ที่เราทุบตีตัวบัดซบน้อยนี้ เพราะต้องการรีดให้เจ้าเสนอหน้าออกมาเท่านั้น”

          เต็งลิ้งตอบด้วยสีหน้าแดงฉาน

          “มิทราบผู้อาวุโสมีคำสั่งใด?”

          “เรามีเรื่องหนึ่ง ต้องการให้เจ้าไปกระทำแทนเรา เรื่องนี้บางทีจำเป็นต้องให้เจ้าไปกระทำจึงอาจสำเร็จ”

          ทีท่าของอุ้ยเทียนพ้งพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง กล่าวสืบต่อไป

          “แต่เราก็ไม่ต้องการให้เจ้าไปหาที่ตาย ดังนั้นเรายังคิดจะดูวิชาตัวเบาของเจ้าเป็นระดับใดกันแน่?”

          เต็งลิ้งยังยืนอยู่ ไหล่มิได้ขยับ แขนมิได้เคลื่อนไหว คล้ายดั่งปลายนิ้วยังไม่กระดิกอีกด้วย

          แต่ในขณะเวลานั้นเอง ร่างของมันพลันคล้ายเป็นนกนางแอ่นตัวน้อย โบยบินขึ้นจากพื้น พุ่งวาบผ่านศีรษะผู้คนไปดุจเป็นสายลม

          รอจนเมื่อลมหอบนี้โชยกลับมา ร่างของมันถึงกับยังยืนอยู่ในที่เดิมมิเปลี่ยนแปรแต่ในมือกลับมีโคมเพิ่มมา อีกดวงหนึ่ง

          ความจริงโคมดวงนี้แขวนอยู่ที่ยอดไม้ไผ่ทางด้านนอกห้องโถงใหญ่ ไม้ไผ่ลำนั้นอย่างน้อยต้องยาวกว่าหกวา ห่างจากที่มันยืนเมื่อครู่ อย่างน้อยต้องกว่าสิบสองวา

          แต่มันพลันไปพลันมา กระทั่งลมหายใจยังมิได้กระชั้นถี่เร็วกว่าเดิม

          อุ้ยเทียนพ้งปรบมือหัวร่อเสียงก้องพลางกล่าว

          “ประเสริฐมาก ผู้อื่นต่างเล่าขาน ความสูงส่งในวิชาตัวเบาของฮวงนึ้งกุน พอจะถูกยกเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดฝีมือยุคนี้ วันนี้ได้เห็น เป็นจริงดั่งกิตติศัพท์แล้ว”

          มันตบบ่าเต็งลิ้งดังฉาดใหญ่ กล่าวต่อไป

          “วิชาตัวเบาเยี่ยงเจ้าไปได้เต็มที่”

          เต็งลิ้งอดมิได้ต้องถาม

          “ไปที่ใด?”

          “ไปแนเฮียงฮึ้ง ไปดูน่ำไฮ้เนี่ยจื้อนางนั้น เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่?”

          ใบหน้าเต็งลิ้งพลันซีดขาว อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “เจ้ารู้จักน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ?”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะ อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “เจ้าก็ทราบความร้ายกาจของนาง?”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะอีก

          อุ้ยเทียนพ้งเขม้นมองมันเป็นครึ่งวัน จึงถามอีก

          “ซือแป๋เจ้าเป็นผู้ใด?”

          เต็งลิ้งมีทีท่าลำบากใจ ต้องเดินเข้าไปสองก้าว กระซิบเบาๆ คำหนึ่ง

          สีหน้าอุ้ยเทียนพ้งมีแววแตกตื่นขึ้นทันที ร้องโพล่งว่า

          “มิน่าเล่าเจ้าจึงทราบ การต่อสู้ที่เทียนซัวเมื่อครั้งกระโน้น ซือแป๋เจ้าก็เคยลิ้มรสฝีมือนางมาคราหนึ่ง”

          เต็งลิ้งกล่าว

          “ซือแป๋มักบอก วิชาตัวเบากับอาวุธลับของน่ำไฮ้เนี้ยจื้อ ในแผ่นดินไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมได้ ผู้เยาว์น่ากลัว...”

          “เจ้ากลัวไปแล้วไม่มีทางได้กลับ?”

          เต็งลิ้งหน้าแดงฉานด้วยความละอาย อ้อมแอ้มตอบ

          “ผู้เยาว์แม้มิกล้าหยามตัวเอง แต่มีความสำนึกตัวอยู่บ้าง”

          “แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้ากลับยังมิทราบ”

          “กรุณาสั่งสอน”

          “น่ำไฮ้เนี้ยจื้อเพราะต้องการรูปโฉมของนางให้ยืนยง จึงฝึกวิชากำลังภายในที่มีอาถรรพณ์สุดยอด แต่ก็มิทราบเพราะสาเหตุใด นางกลับฝึกไม่สำเร็จ ดังนั้นแต่ละวันพอถึงเวลาเที่ยง ลมปราณนางจะพลันแตกซ่า อย่างน้อยต้องมีเวลาครึ่งชั่วน้ำเดือด ที่ร่างแข็งดั่งท่อนไม้ มิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย”

          เต็งลิ้งสงบฟังอยู่ อุ้ยเทียนพ้งกล่าวต่อ

          “แต่ทว่าร่องรอยของนางเร้นลับอย่างยิ่งเสมอมา ตอนเวลาลมปราณนางแตกซ่าน เป็นช่วงเวลาสั้นอย่างยิ่ง ดังนั้นแม่มีคนทราบจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของนางแต่ยังคงไม่มีผู้ใดกล้าไปหานาง”

          หยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวช้าๆ สืบไป

          “บัดนี้เมื่อพวกเราทราบ หลายวันนี้นางต้องอยู่ในแนเฮียงฮึ้ง วิชาตัวเบาของเจ้ายังยอดเยี่ยมเพียงนี้ ขอเพียงสามารถหาสถานที่นางฝึกกำลังพบ ก็พอจะรอเวลาเที่ยงที่นางตัวชาแข็ง บุกเข้าไปเลิกหน้ากากของนางมา...”

          เต็งลิ้งอดมิได้ต้องถามอีก

          “หน้ากาก? เป็นหน้ากากเยี่ยงไร?”

          “นางปกติสวมหน้ากาก เนื่องเพราะตอนนางมิได้ปลอมแปลงโฉม ไม่ยินยอมให้ผู้ใดได้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของนาง”

          “ในเมื่อไม่เคยมีผู้ใดเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง ผู้เยาว์แม้สามารถเลิกหน้ากากนางมาได้ ก็แยกแยะมิออกว่านางเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกัน”

          “เราเคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนางมา ใบหน้านางมีตำหนิพิเศษอย่างยิ่งอยู่ เจ้าเห็นเพียงปราดเดียวก็ต้องจดจำได้แน่”

          “ตำหนิใด?”

          อุ้ยเทียนพ้งก้มตัวไป กระซิบข้างหูเต็งลิ้งเบาๆ สองคำ

          ใบหน้าเต็งลิ้งแปรเปลี่ยนไป อ้ำอึ้งด้วยความลำบากใจ เป็นเนิ่นนานจึงเลียบเคียง

          “ในเมื่อผู้อาวุโสเคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง คิดว่าต้องเป็นสหายของนาง ไฉนไม่ไปพิสูจน์จริงเท็จของนางด้วยตนเอง?”

          ใบหน้าอุ้ยเทียนพ้งพาลมีแววขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครา กระชากเสียงด้วยโทสะ

          “เราเรียกเจ้าไปเจ้าก็ต้องไป เรื่องอื่นๆ เจ้าอย่างได้เกี่ยวข้องจะประเสริฐสุด”

          เต็งลิ้งมิส่งเสียงอีกแล้ว ตอนอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมีโทสะ ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจา

          อุ้ยเทียนพ้งถลึงจ้องมันพลางตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “เจ้าไปหรือไม่?”

          เต็งลิ้งถอนใจตอบ

          “ในเมื่อผู้เยาว์ทราบความลับนี้แล้ว คิดจะไม่ไปก็น่ากลัวไม่ได้”

          อุ้ยเทียนพ้งจึงหัวร่อกล่าว

          “ประเสริฐ เจ้าเป็นคนชาญฉลาดจริง เราผู้เฒ่าชมชอบคนชาญฉลาดเยี่ยงนี้เสมอมา”

          ตบไหล่เต็งลิ้งอีกฉาดใหญ่ จึงกล่าวต่อ

          “ขอเพียงเจ้าไป เรื่องอื่นๆ ทั้งหลายเราต่างรับปากหมดสิ้น”

          เต็งลิ้งแย้มยิ้มกล่าวบ้าง

          “ตอนนี้ผู้เยาว์เพียงวิงวอนผู้อาวุโสรับปากเรื่องเดียว”

          “เรื่องอันใด?”

          “ผู้เยาว์คิดจะต่อยคนผู้หนึ่ง”

          “เจ้าคิดจะต่อยผู้ใด?”

          ฮั่นเจ็งพลันถอนใจกล่าวขึ้น

          “ข้าพเจ้า”

          เต็งลิ้งหันขวับไปจริงๆ เดินช้าๆ มาที่เบื้องหน้ามัน แย้มยิ้มกล่าว

          “ถูกแล้ว ข้าพเจ้าต้องการทุบตีท่านจริงๆ”

          รอยยิ้มของมันยังนุ่มนวลอย่างยิ่ง คล้ายเอียงอายอย่างยิ่ง แต่มือของมันพลันสะบัดออกไป ต่อยฉาดเข้าใส่ดั้งจมูกฮั่นเจ็ง!

          ร่างฮั่นเจ็งถูกต่อยปลิวกระเด็นออกไปตามพลังหมัดทันที

          เต็งลิ้งจึงได้หันกายไป คารวะให้อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยจนจรดพื้นแย้มยิ้มกล่าว

          “ผู้เยาว์ไปแนเฮียงฮึ้งในบัดดลนี้เลย ในห้าวันต้องมีข่าวแน่นอน”

          วาจามิทันขาดคำ ร่างพลันหายลับไป เหลือแต่เสียงยังแว่วอยู่ในห้องโถงเท่านั้น

          อุ้ยเทียนพ้งก็ถึงกับถอนใจรำพึง

          “บุรุษหนุ่มยุคนี้ คล้ายดั่งยังร้ายกาจกว่ายุคพวกเราเสียอีก กลับเป็นเรื่องอุบาทว์ที่หนักหนาสาหัสยิ่ง...”

-------------------------------

          กำแพงสูง วิกาลเหน็บหนาว

          ในประตุมุมกำแพงสูง มีคนลอบเร้นออกมาผู้หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย มันคือไซมึ้งจับซาที่มีสันดานงมงายในราคะ

          มันพอเดินออกพ้นตรอก ถึงกับมีรถม้าลงรักดำเป็นมันห้ออย่างรวดเร็วเข้ามาอยุดอยู่ที่ข้างกายมัน

          ประตูรถเปิดออก มันกระโดดเข้าไปในทันที ในรถมีสุรารอคอยมันอยู่จอกหนึ่งก่อนแล้ว

          เป็นสุราธิดาแดงหมักนานปีที่อุ่นไว้พอดี พร้อมกับเจ๊ม่วยฝาแฝด ที่สะคราญปานบุปผาแรกแย้ม โน้มน้าวจิตใจคนให้วาบหวามรัญจวนยิ่งกว่า

          เจ้เจ๊ดูแล้วคล้ายเป็นเงาของม่วยม่วย ม่วยม่วยแม้กระปรี้กระเปร่าซุกซน เจ้เจ๊ยังมีเสน่ห์มากกว่า

          บุรุณหนุ่มผู้หนึ่ง สวมเสื้อขนสัตว์สูงค่ามือถือจอกสุราทองคำ เอนกายอยู่ในอ้อมอกเจ้เจ๊อย่างเกียจคร้าน แต่ผลักม่วยม่วยให้มาหาไซมึ้งจับซา แย้มยิ้มกล่าว

          “เด็กน้อยผู้นี้ วันนี้ถูกทุบตีมาพักหนึ่ง ท่านรีบเข้าไปปลอปประโลมมันให้ดี”

          ม่วยม่วยได้จูบเบาๆ ไปที่แก้มซึ่งบวมแดงของไซมึ้งจับซาแล้ว

          รถม้าห้อตะบึงรวดเร็ว มุ่งหน้าสู่มหานครเชี่ยงอัน

-------------------------------

          ลมเหน็บหนาวราวมีดกรีดเฉือน เป็นเวลาปลายปีแล้ว แต่ในรถกลับอบอุ่นดั่งฤดูชุนเทียน

          ไซมึ้งจับซากรอกสุราจอกนั้นลงไปก่อน จึงเหลือบมองบุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อขนสัตว์แวบหนึ่งแล้วกล่าว

          “ท่านทราบข้าพเจ้าต้องมา?”

          บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั้นย่อมเป็นเต็งลิ้ง เพียงแต่มันในตอนนี้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นคนเมื่อครู่เลย

          เต็งลิ้งเมื่อครู่เป็นคนเรียบร้อยนุ่มนวล กระดากอาย แต่เต็งลิ้งในตอนนี้ กลับเป็นบุรุณเจ้าสำราญที่ปล่อยตัว

          มันชายตามองไซมึ้งจับซา แย้มยิ้มอย่างเหนื่อยหน่ายพลางกล่าว

          “ข้าพเจ้าย่อมทราบ เฒ่าบัดซบผู้นั้น ไม่เรียกท่านมารอคอยข่าวจากข้าพเจ้ายังจะเรียกผู้อื่นใดมาได้?”

          ไซมึ้งจับซาก็หัวร่อพลางกล่าว

          “ในเมื่อท่านเข้มแข็งอย่างยิ่ง เมื่อครู่ไฉนไม่กล้าเรียกมันเป็นเฒ่าบัดซบต่อหน้า? ไฉนหดหัวหดหางดุจดั่งเป็นลูกเต่า?”

          เต็งลิ้งตอบเสียงราบเรียบ

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้ากลัวท่านที่เป็นลูกเต่าหลานเต่า ถูกมันตบจนหน้าเละเป็นลูกพลับเน่า”

          เจ้เจ๊ม่วยม่วยต่างหัวร่อคิกคิกด้วยความขบขัน

          พวกนางต่างมีวัยเยาว์ แต่ดูรูปกายของพวกนาง แม้นับเป็นตาบอด ก็ต้องดูออกว่านางมิใช่ทารกแล้ว

          ไซมึ้งจับซาแย้มยิ้มกล่าวอีก

          “อย่างไรก็ตาม หมัดที่ท่านต่อยใส่ฮั่นเจ็งเมื่อครู่ ต่อยได้สมใจเป็นอย่างยิ่ง”

          “ความจริงข้าพเจ้าไม่ควรต่อยมันเลย”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะเรื่องที่มันบอก ล้วนเป็นเฒ่าบัดซบสั่งให้มันกล่าว มันเพียงเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น”

          หยุดหัวร่อแค่นๆ แล้ว เต็งลิ้งกล่าวสืบต่อไป

          “ความจริงเฒ่าบัดซบนั้น เป็นจิ้งจอกเฒ่าชัดๆ แต่พาลจะมารยาเป็นพยัคฆ์ร้าย เสียดายที่มันสามารถตบตาผู้อื่นได้ แต่ไม่อาจอำพรางข้าพเจ้า”

          ไซมึ้งจับซาถอนใจกล่าว

          “มิน่าเล่า เฒ่าบัดซบจึงว่าท่านร้ายกาจ ท่านมิได้ดูผิดจริงๆ”

          “เฮอะ บุรุษหนุ่มยุคสมัยนี้ เมื่อสามารถมีชื่อในบู๊ลิ้มได้ มีผู้ใดไม่ร้ายกาจ? ที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง เฒ่าบัดซบน่ากลัวยังมิเคยเห็นดอก”

          “หรือในวงพวกนักเลง ยังมีคนร้ายกาจเยี่ยงดั่งท่านอยู่อีก?”

          “คนเช่นดั่งข้าพเจ้า อย่างน้อยต้องมีกว่าสิบคน มีแต่พวกท่านที่เป็นลูกเต่าหลานเต่า ซุกตัวอยู่ในขากางเกงของเฒ่าบัดซบตลอดวันคืนเท่านั้น จึงไม่ทราบแผ่นดินทางภายนอกกว้างเพียงใด ฟ้าทางภายนอกสูงเพียงไหน กระทั่งยังไม่มีปัญญาคำนวณได้”

          หยุดแค่นหัวร่อแล้ว เต็งลิ้งกล่าวต่อ

          “ข้าพเจ้าเห็นว่า พวกท่านสิบสามยอดองครักษ์นี้ คงกินอิ่นเกินไป อืดจนสมองหมุนตาลาย เฒ่าอุบาทว์ผายลมออกมา พวกท่านก็ต้องเข้าใจว่ามีกลิ่นหอม”

          ไซมึ้งจับซามิเพียงไม่มีโทสะเท่านั้น กลับถอนใจเฮือกใหญ่ ฝืนยิ้มกล่าวบ้าง

          “ระหว่างนี้พวกเราอิ่มหนำเกินไปจริงๆ วันเวลาก็สุขสบายเกินไป ดังนั้นพอเกิดเรื่องราวก็ตายไปถึงสองคน”

          “ในความเห็นของท่าน นั่นก็นับเป็นเรื่องใหญ่?”

          “มาตรว่าไม่ใหญ่ แต่ไม่เล็กเท่าใด อย่างน้อยกระทั่งเฒ่าบัดซบก็เตรียมลงมือเพราะเรื่องนี้แล้ว”

          “อ้อ?”

          “เนื่องเพราะมันเตรียมลงมือ ดังนั้นจึงหาท่านไปสืบข่าวในแนเฮียงฮึ้งแทนมันก่อน”

          “ท่านเข้าใจ ที่มันยอมไปแนเฮียงฮึ้ง เพราะต้องการรับมือกับเฮ็กแป๊ะจริงๆ ?”

          “หรือมิใช่?”

          “แม้นับว่าไม่มีคนเช่นเฮ็กแป๊ะอยู่เลย ข้าพเจ้ากล้าประกัน มันยังต้องไปแนเฮียงฮึ้งเช่นกัน”

          ดวงตาไซมึ้งจับซาเป็นประกายวาวทันที ถามสวนคำ

          “หากมันไม่หาท่าน ท่านก็ต้องไปสืบเสาะร่องรอยน่ำไฮ้เนี่ยจื้อเช่นกัน?”

          “มิผิดแม้แต่น้อย?”

          “พวกท่านเพราะสาเหตุใด?”

          “เพราะเหตุอีกเรื่องหนึ่ง นั่นจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่แท้จริง”

          “หรือน่ำไฮ้เนี่ยจื้อก็มาเพราะเรื่องรายนั้น?”

          เต็งลิ้งถอนใจตอบ

          “นับว่าท่านกลับกลายเป็นชาญฉลาดกว่าเดิมบ้างแล้ว”

          “เรื่องนี้มิเพียงสามารถบันดาลให้เฒ่าบัดซบกับท่านลงมือ และยังก่อกวนให้น่ำไฮ้เนี่ยจื้อที่ซ๋อนร่องรอยมาสามสิบปีต้องปรากฏตัวอีกครั้ง ดูท่า กลับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆ”

          ใบหน้ามันแดงฉานเพราะความลิงโลดยินดี แสดงว่ามันก็เป็นบุรุษที่มิยอมอยู่โดยเงียบเหงา

          ในดวงตาเต็งลิ้งมีประกายเช่นกัน กล่าวช้าๆ

          “นอกจากพวกท่านทราบแล้ว เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา ในห้าวันนี้ อย่างน้อยยังมีอีกหกเจ็ดคนที่จะเร่งรุดไปแนเฮียงฮึ้ง”

          “คนพวกใดบ้าง?”

          “ย่อมเป็นคนที่พอจะมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ”

          “พวกมันก็ทราบ เฒ่าบัดซบครั้งนี้เตรียมลงมือเอง?”

          “พวกเหล่านั้นแม้ต่างมีวัยไม่สูง แต่มิแน่จะแยแสเฒ่าบัดซบของพวกท่านอยู่ในสายตา”

          ไซมึ้งจับซาฝืนยิ้มกล่าว

          “เฒ่าบัดซบมิใช่เป็นคนรับมือง่ายดายนัก”

          “แต่ทว่า ยอดฝีมือวัยฉกรรจ์ที่มีชื่อในยุคนี้กลับไม่มีสักกี่คนจะแยแสสนใจมันเฉกเช่นกับมัน ที่ไม่เห็นพวกบุรุษหนุ่มเหล่านั้นอยู่ในสายตา”

          ไซมึ้งจับซาอดมิได้ต้องถาม

          “มิว่าอย่างไร ประสบการณ์ของบุรุษย่อมต้องด้อยกว่าบ้าง”

          “ประสบการณ์ มิใช่ปมสำคัญที่สุดในการบ่งชี้ผลแพ้ชนะ”

          “อ้อ?”

          “เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ผู้กล้าไปแนเฮียงฮึ้งในครั้งนี้ ต้องไม่มีผู้ใดมีฝีมือด้อยกว่าอุ้ยเทียนพ้งเด็ดขาด โดยเฉพาะหนึ่งในจำนวนนั้น...”

          “ตัวท่าน...?”

          “ฮา... ความจริงข้าพเจ้าก็มีความทะเยอทะยานอยู่ แต่หลังจากทราบคนผู้นั้นจะมา ข้าพเจ้าต้องเตรียมถอนตัว เป็นผู้ดูเรื่องครึกครื้นทางภายนอกก็แล้วกัน ไม่ปรารถนาสอดมือเกี่ยวข้องด้วยแล้ว”

          “ไฮ้ กระทั่งท่านก็นับถือมัน?”

          เต็งลิ้งถอนใจอีกเฮือกหนึ่ง จึงกล่าว

          “ข้าพเจ้าบอกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนมีความสำนึกตัวดียิ่ง”

          ไซมึ้งจับซามีทีท่าไม่ยอมนับถืออยู่บ้าง กล่าวถามอีก

          “คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”

          เต็งลิ้งจิบสุราช้าๆ ส่งเสียงอ้อยอิ่งว่า

          “ท่านเคยได้ยินนามเซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) หรือไม่?”

          ไซมึ้งจับซามีสีหน้าตื่นเต้นทันที กระทั่งจอกสุราในมือยังแทบไม่อาจกุมมั่นร้องโพล่งขึ้น

          “เซี่ยวลี้ปวยตอ?”

          ในนามสี่คำนี้ คล้ายดั่งมีอานุภาพข่มขวัญผู้คนอย่างรุนแรงอยู่

          ไซมึ้งจับซาร้องเสียงแหลมเล็ก

          “เซี่ยวลี้ปวยตอก็จะมา?”

          เต็งลิ้งหัวร่ออีกครา จึงกล่าวเสียงราบเรียบ

          “หากเซี่ยวลี้ปวยตอก็ไป เฒ่าบัดซบของพวกท่ากับเชยมิ่นกวนอิม น่ากลัวต้องหนีไปซ่อนในหนทางไกลกว่าแปดพันลี้แล้ว”

          ไซมึ้งจับซาถอนใจอย่างโล่งอกแล้วจึงถาม

          “ข้าพเจ้าก็ทราบ เซี่ยวลี้ถ้ำฮวยมิถามไถ่เรื่องราวในวงพวกนักเลงมานานปีแล้ว มีบางคนกระทั่งว่าท่านก็ดำเนินรอยตามวีรบุรุณซิมอีเหล่านั้น ไปเสพสุขสำราญในภูเขาเซียนผู้วิเศษที่โพ้นทะเล กลายเป็นเทพยดาเดินดินไปแล้ว”

          “คนที่ข้าพเจ้าบอก แม้มิใช่เป็นเซี่ยวลี้ปวยตอ แต่มีความสัมพันธ์กับเซี่ยวลี้ปวยตอลึกซึ้งยิ่ง”

          “ความสัมพันธ์เยี่ยงไร?”

          “มันคือผู้เดียวในแผ่นดินยุคนี้ ที่สืบทายาทมีดสั้นของเซี่ยวลี้ปวยตอ”

          ไซมึ้งจับซาต้องมีสีหน้าตื่นเต้นอีกครั้ง ร้องโพล่งขึ้น

          “แต่ในวงพวกนักเลง ไฉนมิเคยได้ยินผู้ใดเล่าขาน เซี่ยวลี้ปวยตอก็มีศิษย์?”

          “เนื่องเพราะมันมิได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เซี่ยวลี้ปวยตอจริงๆ ความสัมพันธ์ของมันกับเซี่ยวลี้ปวยตอ เพิ่งจะมีผู้ล่วงรู้เมื่อเร็วๆ นี้เอง”

          “พวกเราไฉนยังไม่ทราบ?”

          “อาจบางทีเนื่องเพราะพวกท่านอิ่มหนำเกินไป”

          ไซมึ้งจับซาฝืนยิ้ม แต่ยังคงอดมิได้ต้องถาม

          “ผู้นั้นมีนามใด?”

          เต็งลิ้งจิบสุราช้าๆ อีกจอกหนึ่ง จึงได้กล่าวช้าๆ

          “มันแซ่เอี๊ยบนามไค”

         

          เอี๊ยบไค !

          ดวงตาไซมึ้งจับซาเป็นประกายวาว แต่สงบปากคำเงียบงัน แสดงว่าตกลงใจจารึกนามนี้ไว้ในความทรงจำแล้ว

          เต็งลิ้งกล่าวต่อ

          “เอี๊ยบไคแม้ยอดเยี่ยมสุดสูง แต่บุรุษหนุ่มเหล่านั้นก็น่าสะพรึงกลัวเช่นเดียวกัน”

          หยุดหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

          “ท่านคือฮุ้นนึ้งกุน (เทพบุตรสำอาง) ข้าพเจ้าคือฮวงนึ้งกุน (เทพบุตรสายลม) ท่านทราบหรือไม่? นอกจากนี้มีนึ้งกุนอีกกี่คน?”

          ไซมึ้งจับซาผงกศีรษะตอบ

          “ข้าพเจ้าทราบยังมีบั๊กนึ้งกุน (เทพบุตรไม้) ยังมีทินึ้งกุน (เทพบุตรเหล็ก) คล้ายดั่งยังมีกุ้ยนึ้งกุน (เทพบุตรปิศาจ) อีกคน”

          เต็งลิ้งส่งเสียงอ้อยอิ่ง

          “ครั้งนี้ท่านไม่แน่จะเห็นพวกมันครบครัน เพียงแต่ว่าตอนท่านเห็นพวกมัน อาจบางทีต้องสำนึกเสียใจ”

          “สำนึกเสียใจ?”

          ดวงตาเต็งลิ้งพลันมีประกายพิกลอย่างยิ่ง กล่าวช้าๆ

          “เนื่องเพราะมิว่าผู้ใดเห็นคนผู้นั้น ต่างมิใคร่น่าทนทาน ดังนั้นท่านยังคงอย่างได้เห็นพวกมันตลอดกาลจึงประเสริฐ”

-------------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น