วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) เรื่องพิกลคนพิกล

 

เรื่องพิกลคนพิกล

เอี๊ยบไครู้สึกกระเพาะปั่นป่วนปานทะเลมรสุม พยายามข่มกลั้นไว้แล้วกล่าว

“นี่ก็คืออาหารค่ำของท่าน?”

บั๊กเก้าแชผงกศีรษะรำพึงเบาๆ

“เรารับทานเพียงลำพังคงพอ หากสองคนร่วมรับทาน ก็ออกจะน้อยไปบ้าง”

เอี๊ยบไคโพล่งด้วยความตระหนก

“สองคนรับทาน? ยังมีผู้ใดจะมา?”

“ไม่มีแล้ว ปกติมีน้อยครั้งนักที่เราจะเชิญอาคันตุกะร่วมรับทาน”

“ตอนนี้ท่านมีเพียงลำพัง?”

“หรือท่านมิใช่คน?”

เอี๊ยบไคสูดลมหายใจหนาวเหน็บเฮือกใหญ่ ฝืนยิ้มตอบ

“ของที่น่ารับทานปานนี้ ยังคงให้ท่านเสพเพียงลำพังเถิด ข้าพเจ้ามิกล้าน้อมสนองด้วย”

“ท่านไม่ยินยอมให้เกียรติ?”

“ข้าพเจ้า... ยังมีนัด.... ข้าพเจ้าจะไปรับทานอาหารที่ด้านนอก รับทานอิ่มหนำแล้วค่อยกลับมา”

มิทันจบคำ เตลิดหนีไปด้วยความหวาดหวั่นขวัญเสีย

ในชั่วชีวิตเอี๊ยบไค ยังไม่เคยถูกคนขู่ขวัญจนเตลิดหนีได้ แต่บัดนี้ กลับเป็นการหนีที่รวดเร็ว ยิ่งกว่ากระต่ายถูกปล่อยออกจากกรงเสียอีก

บั๊กเก้าแชพลันหัวร่อดังก้องแล้วกล่าว

“หากท่านรับทานทางด้านนอกไม่อิ่มหนำ กลับมารับทานอาหารว่างที่นี้อีกก็ได้ เราพอจะเก็บตะขาบอ้วนพีที่สุดให้ท่านสองตัว”

เอี๊ยบไคกระโดดข้ามกำแพงไปแล้ว กระทั่งศีรษะยังมิกล้าหันมาดู

นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้ยินเสียงบั๊กเก้าแชหัวร่อ และก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วย!

------------------------

ร้านอาหารเล็กอย่างยิ่ง แต่สะอาดอย่างยิ่ง

ตอนนี้เป็นเวลาอาหารค่ำ นอกจากเอี๊ยบไคแล้ว ในร้านอาหารไม่มีผู้อื่นอีกเลย

เอี๊ยบไคสั่งกับสองจาน สุราป้านหนึ่ง

ความจริงไม่คิดจะดื่มสุราเลย

สุราราดรดหัวใจระบนทุกข์ กลับกลายเป็นน้ำตาถวิลหา

อาจบางทีมีแต่สุรา จึงสามารถสะกิดความเศร้าเสียใจให้กำเริบได้

ตอนนี้มิใช่เป็นเวลาเศร้าเสียใจ แม้นับว่าจะเสียใจ ก็ต้องรอให้เรื่องราวนี้ผ่านพ้นไปก่อน

แต่เสียดาย คนที่ยิ่งคิดจะพยายามข่มกลั้นตัวเอง ไม่ยอมดื่มสุรา กลับยิ่งอดมิได้ต้องไปดื่มสักสองจอก

เราเพียงดื่มสองจอกเท่านั้น

เอี๊ยบไคเตือนตัวเองในใจ ไม่อาจดื่มมากกว่านี้เด็ดขาด วิกาลยังยาวนานนัก วันพรุ่งต้องเป็นวันที่ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง แต่ทว่า เมื่อดื่มสองจอกไปแล้ว เอี๊ยบไคพลันพบเห็น เรื่องราวในโลก หากได้หนักหนาสาหัสดั่งที่ครุ่นคิดเมื่อครู่ไม่

ดังนั้น จึงดื่มอีกสองจอก

เอี๊ยบไคพลันนำถึงเต็งฮุ้นลิ้ม

หากเต็งฮุ้นลิ้มอยู่ที่นี้ จะต้องร่วมดื่มกับตนสักสองจอกแน่

เอี๊ยบไคกับเต็งฮุ้นลิ้ม มักจะเข้าในร้านเล็กๆ ดื่มสุราสองสามจอก แกะถั่วยี่สงเคี้ยวกิน ผ่านวิกาลโดยสุขสงบ

ตอนนั้นเอี๊ยบไคมักรู้สึก ชีวิตเยี่ยงนี้ออกจะราบเรียบเกินไป รวบรัดเกินไป แต่บัดนี้รู้สึกว่า ตนคิดผิดแล้ว!

บัดนี้จึงทราบ สงบราบเรียบจึงเป็นความสุข

...มนุษย์เรา ไฉนมักรอจนกระทั่งสูญเสียความสุขแล้ว จึงเข้าใจโดยแท้จริงว่าเป็นกระไร?

 

ลมเย็นอย่างยิ่ง เย็นจนเหน็บหนาว

วิกาลก็เหน็บหนาว

ในวิกาลฤดูหนาวที่หนาวเหน็บปานนี้ คนร่อนเร่พเนจรที่ว้าเหว่ ไหนเลยจะไม่เมามายได้

ว้าเหว่... ว้าเหว่ที่คล้ายมีดกรีดเฉือนหัวใจ

กับคนที่มีความสุขสมบูรณ์ ว้าเหว่มิได้น่ากลัวเลย บางครั้งกลับยังเป็นความสุขประเภทหนึ่ง

แต่รอจนเมื่อความสุขนั้นสูญหายไป มันก็จะเข้าใจ ว้าเหว่เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวปานใด?!

มีบางครั้ง กระทั่งยังแหลมคนกว่าดาบ ครั้งเดียวก็สามารถทะลวงเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของท่าน

หัวใจเอี๊ยบไคกำลังปวดแปลบ

หากมิใช่ทางด้านนอก พลันมีเสียงแผดร้องโหยหวน เอี๊ยบไคต้องเมาแน่

เอี๊ยบไคไม่มีปัญญาข่มบังคับตัวเองแล้ว

แต่ทว่า ตอนยกจอกที่เจ็ดขึ้น มีเสียงแผดร้องโหยหวนแว่วมาตามสายลมหนาว

เสียงแผดร้องนี้ ดังมาจากทิศทางวัดเต็กลิ้มยี่

ร้านอาหารเล็กๆ นี้ อยู่ที่หลังวัดเต็กลิ้มยี่เอง

เสียงแผดร้องโหยหวนพอดัง ร่างเอี๊ยบไคก็พุ่งปราดออกไปปานเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง

จากนั้น เอี๊ยบไคจึงเห็นสองคน

คนตายทั้งคู่ พาดอยู่บนกำแพงเตี้ยนอกลานวัด ดุจเป็นกระสอบเก่าๆ ต่างสวมเสื้อยาวปัก หน้ากากทองเหลือง มันคือตัวจำแลงของตอเออกา

เอี๊ยบไคระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอก

เอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนไม่เห็นใจผู้อื่น แต่สำหรับความตายของสองคนนี้ เอี๊ยบไครู้สึกไม่เห็นใจเท่าใดนัก

ในเมื่อพวกมันไปแล้ว ไฉนยังต้องย้อมกลับมาหาที่ตาย?

ในเมื่อพวกมันจะกลับมา บั๊กเก้าแชย่อมไม่ยอมปล่อยให้มันรอดชีวิตออกไป

นี่ย่อมไม่คู่ควรให้ตื่นตระหนกเลย

เอี๊ยบไคเพียงแต่ถอนใจเฮือกหนึ่งเท่านั้น รอจนเมื่อเห็นบั๊กเก้าแช จึงตระหนกอย่างแท้จริง

เอี๊ยบไคคาดคิดไม่ถึงเด็ดขา บั๊กเก้าแชถึงกับกลายเป็นคนตายเช่นกัน!

--------------------------

ในลานวัดมิได้จุดโคมไฟ

บั๊กเก้าแชนอนอยู่ที่ลาน ตลอดร่างบิดเบี้ยวคดงอ คล้ายดั่งเป็นตุ๊กตาผ้าเปียกน้ำ!

เอี๊ยบไคตะลึงลานไปแล้ว

เอี๊ยบไคทราบ สองคนบนกำแพงเตี้ย ตายกับมือบั๊กเก้าแล แต่ตัวบั๊กเก้าแชตายกับผู้ใดกันแน่? เอี๊ยบไคกลับคิดไม่ออก!

เอี๊ยบไคเคยเห็นพลังฝีมือบั๊กเก้าแชมา

หากคนเราสามารถฝึกจนถึงระดับ ควบคุมกำลังภายในได้ดั่งใจปรารถนา ผู้อื่นคิดจะฆ่ามัน ต้องไม่ง่ายดายนัก

อย่าว่าแต่ความหนักแน่นเยือกเย็นของบั๊กเก้าแช ก็มีน้อยคนนักที่สามารถทัดเทียมได้

เป็นผู้ใดฆ่ามัน? มีผู้ใดสามารถฆ่ามัน?

เอี๊ยบไคก้มลงไป หมวกหญ้ายังคงอยู่บนศีรษะมัน แต่ตอนนี้ไม่อาจปฏิเสธมิให้ผู้ใดถอดออกจากศีรษะมันแล้ว

เอี๊ยบไคถอดหมวกออกจากศีรษะ ก็เห็นใบหน้าที่ซีดเขียวบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูป

มันตายเพราะถูกพิษ!

เป็นผู้ใดใช้ยาพิษปลิดชีวิตมัน?

เอี๊ยบไคยืนแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว ลมเหน็บหนาวราวคมมีดกรีดเข้าใส่ใบหน้าตลอดเวลา

ในที่สุด เอี๊ยบไคก็เข้าใจ บั๊กเก้าแชตายอย่างไร แต่กลับยังไม่เข้าใจ บั๊กเก้าแชไฉนจึงต้องสวมหมวกไว้เสมอมา?

หมวกหญ้าใบนี้ ไม่มีที่ใดพิเศษพิสดารสักน้อยนิด

ใบหน้าบั๊กเก้าแช ก็ไม่มีส่วนสัดใดที่เอี๊ยบไคมิอาจแลเห็นได้

นอกจากดาวบนใบหน้าแล้ว มันนับเป็นคนที่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีวัยสูงกว่าเอี๊ยบไคคาดคิดไว้บางเท่านั้น

คนธรรมดาสามัญ หมวกหญ้าที่ธรรมดา ในความนี้ หรือยังมีความลับที่ไม่ธรรมดาใดแฝงอยู่?

เอี๊ยบไควางหมวกหญ้าลงช้าๆ คลุมใบหน้าบั๊กเก้าแชแล้ว ฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านไฉนก็ไม่กินเนื้อวัวเช่นดั่งผู้อื่น อย่างน้อยเนื้อวัวย่อมไม่มีพิษปลิดชีวิตคน”

--------------------

ศพของบั๊กเก้าแชถูกบรรจุโลงแล้ว

โค้วเต็กประนมมือถอนใจกล่าว

“ฟ้ามีลมฝนปรวนแปรมิแน่นอน มนุษย์มีโชคเคราะห์ทุกเช้าค่ำ พระพุทธองค์ของเราทรงปรานีด้วยเถิด โอม มณีตัสสะ”

มาตรว่าปากของท่านร้องสรรเสริญพระพุทธคุณ แต่ใบหน้ากลับไม่มีเค้าเศร้าเสียใจสักน้อยนิด

กับการตายของบั๊กเก้าแช ท่านคล้ายดั่งมิใคร่เห็นใจเท่าใดนัก

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“บรรพชิตไม่สมควรยินดีในเภทภัยผู้อื่น”

“ผู้ใดยินดีในเภทภัยผู้อื่น?”

“ท่าน”

โค้วเต็กฝืนยิ้มกล่าว

“บรรพชิตสมควรเมตตาต่อชีวิตส่ำสัตว์ แต่ทว่า มันตาย อาตมากลับมิใคร่เสียใจนัก”

“ท่านเป็นหลวงจีนที่แม้วาจามากหลาย แต่ที่กล่าวกลับคล้ายสัตย์ซื่ออย่างยิ่ง”

โค้วเต็กถอนใจตอบ

“บอกตามความสัตย์จริง หากมิใช่เนื่องเพราะอาตมามีปมด้อยที่ปากมาก ตอนนี้ต้องเป็นเจ้าอาวาสของวัดไต้เสียงก๊กนานแล้ว”

เอี๊ยบไคหัวร่อเบาๆ

เอี๊ยบไครู้สึก หลวงจีนรูปนี้มิเพียงไม่ธรรมดาเท่านั้น ยังมีอารมณ์ขันน่าสนใจยิ่ง

โค้วเต็กเริ่มสวดมนต์อีกครั้ง ส่งวิญญาณของบั๊กเก้าแชสู่สุคติ

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องกล่าวสอดคำเสียงสวดมนต์

“หลวงจีนที่ทำพิธีของวัดนี้ มีท่านเพียงลำพัง?”

“รูปอื่นต่างหลับแล้ว ที่นี้แม้เป็นวัดเช่นกัน แต่ผู้มาประกอบพิธีทางศาสนากลับมีไม่มาก ประสกที่มาวัดนี้ ส่วนมากต่างมาเพราะต้องการรับทานอาหารเจ ชมทิวทัศน์”

หยุดถอนใจแล้วกล่าวต่อไป

“บอกตามความสัตย์จริง วัดนี้นับว่าคล้ายไม่ผิดกับร้านอาหาร หรือโรงเตี๊ยมเท่าใดเลย”

นี่ก็เป็นวาจาสัตย์ซื่ออีกแล้ว

เอี๊ยบไคต้องหัวร่อ พลันถามขึ้น

“ท่านทราบหรือไม่? บั๊กเก้าแชตายอย่างไร?”

โค้วเต็กส่ายหน้า เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะวาจาท่านมากเกินไป ดังนั้น มันจึงตายไป”

สีหน้าโค้วเต็กเปลี่ยนแปรทันที ฝืนยิ้มกล่าว

“ประสกต้องล้อเล่นเป็นแน่”

“ข้าพเจ้ามิเคยล้อเล่นต่อหน้าคนตายมาเลย”

“หรือประสกดูไม่ออก ท่านถูกพิษปลิดชีวิตไป?”

“หรือท่านดูออก?”

“อสรพิษที่นี้ส่วนมากมีพิษร้าย อย่าว่าแต่ยังมีตะขาบ แมงป่องอีก”

“มีบางคนสามารถรับทานพิษต่างๆ ได้แต่กำเนิด ต่อให้เป็นงูมีพิษเพียงใด ยังไม่อาจปลิดชีวิตมันได้”

“แต่ทว่า นอกจากเป็นหนอนแมลงพิษที่ท่านจับมาแล้ว ท่านมิได้รับทานของอื่นอีกเลย”

“ในเมื่อหนอนแมลงพิษเหล่านั้น เป็นมันจับมาเอง ไฉนจึงถูกพิษกำเริบปลิดชีวิตได้?”

โค้วเต็กงุนงงวูบ รำพึงเบาๆ

“ดูท่าเรื่องนี้กลับมีความพิกลอยู่จริงๆ”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ความจริงเรื่องนี้ไม่พิกลเลย”

“โค้วเต็กไม่เข้าใจ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“มันถูกหนอนแมลงพิษเหล่านั้น ปลิดชีวิตไปจริงๆ เนื่องเพราะในตัว หนอน แมลงพิษ เหล่านั้น ถูกคนใส่พิษอีกชนิดหนึ่งที่มันทนทานไม่ได้”

“เป็นผู้ใดใส่?”

เอี๊ยบไคเน้นเสียงหนักๆ

“สองคนที่บนกำแพง”

โค้วเต็กถอนหายใจเฮือกใหญ่จึงกล่าว

“นี่เกี่ยวข้องใดกับเรื่องปากมากของอาตมา?”

“เกี่ยวข้อง”

“อ้อ?”

“หากมิใช่ท่านปากมา ผู้อื่นไหนเลยจะทราบอาหารของมันคือหนอนแมลงพิษ?”

...หากผู้อื่นไม่ทราบ มันกินหนอนแมลงพิษ ไหนเลยจะใส่ยาพิษไปบนหนอนแมลงพิษเหล่านั้น?

โค้วเต็กไม่สามารถส่งเสียงอีกแล้ว เอี๊ยบไคจึงกล่าว

“คิดว่าคนที่ใช้พิษ คงต้องย้อนมาดูว่า มันถูกพิษตายหรือไม่? นึกมิถึง ก่อนหน้ามันจะตาย ยังสามารถฆ่าพวกมันล้างแค้นแก่ตัวเองได้”

คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“คนเช่นดั่งมัน มิว่าผู้ใดล่วงเกินต่อมัน มิว่ามันเป็นหรือตาย ต่างต้องไม่ยอมปล่อยผ่านแน่นอน”

โค้วเต็กส่งเสียงพึมพำ

“ตอนเป็น เป็นคนดุร้าย ตายแล้วคงต้องเป็นปิศาจร้ายเด็ดขาด”

“ดังนั้น ท่านต้องระวังตัวให้มากเป็นพิเศษจึงสมควร”

โค้วเต็กหน้าเปลี่ยนสีทันที โพล่งขึ้นว่า

“อาตมา... อาตมาระวังกระไร?”

เอี๊ยบไคเพ่งมองพลางกล่าวช้าๆ

“ระวังมันพลันกระโดดอออกจากโลงมา ตัดลิ้นของท่าน ให้ท่านภายหน้าไม่มีปัญญาปากมากได้อีก”

สีหน้าโค้วเต็กยิ่งบิดเบี้ยวจนปั้นยากกว่าเดิม พลันกล่าวขึ้น

“ศีรษะอาตมาปวดอย่างยิ่ง อาตมาก็ต้องไปนอนแล้ว”

“ท่านไม่อาจไป”

โค้วเต็กคล้ายตระหนกอีกครั้ง รีบถามว่า

“เพราะเหตุใด?”

“หากท่านไป ผู้ใดมาส่งวิญญาณมัน?”

“ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นมาส่งวิญญาณ คนประเภทท่าน อย่างไรก็ต้องลงนรกแน่นอน”

แสงโคมวับแวม

ในโบสถ์พระประธาน มีความยะเยียบเลือนรางจนลี้ลับบอกมิถูก

ในความมืด คล้ายดั่งมีปิศาจร้ายที่ตายโดยไม่ยอนยอมกำลังรอตัดลิ้นท่านอยู่

โค้วเต็กไม่อาจรีรอต่อไปได้แม้สักชั่วครู่ยามอีกแล้ว กระทั่งบักฮื้อและไม่เคาะที่ถือยังมิทันวางลง ก็สะบัดหน้าเร่งฝีเท้าออกไป ตอนข้ามธรณีประตู สะดุดจนแทบล้มคว่ำลง

เอี๊ยบไคจ้องมองโค้วเต็กที่เดินออกไป พวงตาพลันปรากฏประกายพิกลจนพิสดาร

ความจริงบรรพชิตไม่สมควรกลัวภูตผี นอกเสียจาก กระทำเรื่องเลวร้ายไม่อาจให้ผู้คนพบเห็น

โค้วเต็กกระทำเรื่องเลวร้ายใดมา?

ท่านกลัวภูตผีจริง? หรือกลัวอื่นๆ?

-------------------------

โลงใหม่เอี่ยมห้าโลง ตั้งเรียงรายอยู่ในโบสถ์ใหญ่

เอี๊ยบไคยังมิได้ไป

เอี๊ยบไคไม่กลัวภูตผี และมิได้กระทำเรื่องละอายต่อมโนธรรมประจำใจ

เอี๊ยบไคยืนอยู่ในสายลมหนาว กวาดมองโลงใหม่เอี่ยมทั้งห้าพลางรำถึงเบาๆ

“วัดนี้แม้มิใคร่ได้ประกอบพิธีทางศาสนา แต่กลับเตรียมโลงไว้มากไม่น้อย หรือหลวงจีนวัดนี้ ต่างมีความสามารถรู้การณ์ล่วงหน้า ทราบว่าค่ำนี้จะมีคนตายมากมาย”

เสียงของเอี๊ยบไคแผ่วเบาอย่างยิ่ง

เนื่องเพราะทราบ ปัญหาเหล่านี้ ต้องไม่มีผู้ใดตอบโต้ ความจริงบอกให้ตัวเองฟังเท่านั้น

ขณะเวลานั้นเอง โค้วเต็กพลันโถมเข้ามาจากภายนอก ปากอ้ากว้าง ลิ้นยื่นยาวคล้ายดั่งคิดจะร้อง แต่มิได้ยินเสียงใดๆ

เอี๊ยบไคพลันพบเห็น สีหน้าของท่านมิเพียงแปรเปลี่ยนเท่านั้น สีของลิ้นก็เปลี่ยนไปด้วย... เปลี่ยนเป็นดำสนิทน่ากลัวยิ่ง!

ท่านชี้ลิ้นของท่าน คล้ายดั่งจะกล่าวกระไรกับเอี๊ยบไค แต่กลับส่งเสียงไม่ออก

เอี๊ยบไคโถมเข้าไปจึงพบเห็น ลิ้นของท่านมีรอยเขี้ยวอยู่สองรอย ถึงกับเป็นรอยเขี้ยวอสรพิษ!

ลิ้นของท่านอยู่ในปาก อสรพิษไฉนจึงฉกถึงปลายลิ้นของท่านได้? หรือที่นี้มีปิศาจร้าย เค้นคอท่านจนต้องอ้าปากไว้จริงๆ?

โค้วเต็กพลันส่งเสียงได้สองคำ

“มีด... มีด...”

“ท่านจะให้ข้าพเจ้าใช้มีดตัดลิ้นท่านออกมา?”

เมื่อกล่าววาจานั้นไป เอี๊ยบไคเองก็ต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ

เห็นลิ้นของโค้วเต็กยิ่งนานยิ่งบวมใหญ่ ลมหายในยิ่งนานยิ่งถี่เร็ว พลันใช้กำลังทั้งมวลกัดสุดแรง

ลิ้นท่อนหนึ่งถูกตัวท่านกัดขาดออกมา โลหิตฉีดกระจายเป็นทาง

โลหิตก็เป็นสีดำ!

ในที่สุด โค้วเต็กส่งเสียงแผดร้องดังโหยหวน

ตอนเสียงแผดร้องชะงักหาย ร่างของท่านก็ล้มลงไป ก่อนจะตาย ถึงกับยังกัดลิ้นตัวเองออกมา

หลวงจีนที่ปากมากรูปนี้ มิว่าเป็นหรือตาย ต่างไม่อาจปากมากอีกแล้ว

-------------------------

ลมยิ่งเหน็บหนาว

เอี๊ยบไคเดินฝ่าลมหนาวออกไป เหงื่อเย็นยะเยียบพอถูกลมโชยพัด คล้ายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะติดตัวก็ปาน

เอี๊ยบไคไม่กล้าอยู่ในโบสถ์ใหญ่นั้นอีกต่อไปแล้วจริงๆ

เอี๊ยบไคไม่กลัวภูตผี

แต่ในโบสถ์ใหญ่ กลับคล้ายยังแฝงเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวกว่าภูตผีไว้

มีเสียงเกราะบอกโมงยามแว่วมาแต่ไกล

ยามสาม (เที่ยงคืน) ผ่านพ้นแล้ว

ในนครโบราณ แสงโคมไฟมีอยู่น้อยนิด มิว่าไปแห่งหนใด ล้วนแล้วเป็นความมืดเลือนราง

หากเป็นฤดูร้อน อาจบางทียงพอจะหาสถานที่ดื่มสุรารับทานอาหารว่างสักแห่งสองแห่ง

แต่เสียดาย ตอนนี้ยังเพิ่งเป็นชิวยี่

อาจบางทีเพราะ ตอนนี้หาสถานที่ดื่มสุราไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น เอี๊ยบไคยิ่งรู้สึกกระหายใคร่ได้ดื่มสักสองจอกอย่างยิ่ง

เอี๊ยบไคถอนใจยาว เดินออกจากตรอกขวาง มิทราบเลยว่าสมควรไปที่ใด กระทั่งค่ำนี้ ยังไม่มีสถานที่พอจะนอนพักผ่อนสักแห่ง

ขณะเวลานั้นเอง มีเสียงคนแค่นหัวร่อพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าทราบ มีสถานที่หนึ่งยังมีสุรา ท่านตามข้าพเจ้าไปหรือไม่?”

 

มาตรว่ามีแสงดาว แต่ในตรอกยังคงมืดมิด คนผู้หนึ่งเดินแกว่งเขนเสื้อกว้างใหญ่ นำอยู่ทางเบื้องหน้า

เอี๊ยบไคติดตามอยู่ทางด้านหลัง คนด้านหน้ามิเคยเหลียวมาเลยสักครั้ง

เอี๊ยบไคก็มิเคยถามเลยสักคำ ยิ่งมิได้เร่งฝีเท้าให้ใกล้กว่าเดิม

คนเบื้องหน้ามิได้เดินเร็วเกินไปนัก แต่มีความคุ้นเคยกับตรอกซอกในเมืองนี้จนเจนจัดยิ่ง

เอี๊ยบไคติดตามมัน วกซ้ายขวาไปหลายต่อหลายเลี้ยว จนกระทั่งตัวเองแทบจำมิได้ว่าไปแห่งหนใด แลเห็นเบื้องหน้ามีกำแพงสูง ภายในคล้ายดั่งกว้างขวางอย่างยิ่ง คนนำหน้าพลันสะบัดแขนเสื้อ ร่างถึงกับลอยละลิ่วข้ามกำแพงสูงไปดั่งเหินบิน

ผู้นี้มิเพียงมีวิชาตัวเบาสูงส่งยิ่งเท่านั้น ท่าร่างยังแคล่วคล่องสวยงามยิ่ง กระทั่งเอี๊ยบไค ยังน้อยครั้งนักที่จะเห็นคนมีวิชาตัวเบาสูงเยี่ยมเพียงนี้

ในกำแพงก็เป็นความมืด ในสายลมเย็นยะเยียบ มีกลิ่นหอมที่ซาบซ่านดาลใจเป็นระยะๆ

ภายใต้แสงดาย เงาตะคุ่มสั่นไหวอยู่ไปมา ถึงกับเป็นดอกเหมย

เอี๊ยบไคลอยร่างข้ามกำแพงตามเข้าไป จึงพบเห็น สถานที่นี้ก็คือแนเฮี้งฮึ้ง (อุทยานหอมเย็น) ที่เคยมาเมื่อครั้งถึงเชี่ยงอันใหม่ๆ

ผ่านการต่อสู้ที่อำมหิตดุดัน สยดสยองลี้ลับครั้งนั้นแล้ว อุทยานอันดับหนึ่งของนครเชี่ยงอันในอดีตถึงกับกลายเป็นรกร้าง ไม่มีผู้คนไปแล้ว

กระทั่งโคมไฟยังไม่มี มีแต่สายลมโชยพัดกิ่งเหมย ส่งเสียงแผ่วเบาราวคนทอดถอนใจ

เป็นผู้ใดถอนใจ? ถอนใจเพราะผู้ใด?

ใช่หรือไม่ว่า เป็นวิญญาณของพวกที่ตายอย่างสยดสยองเหล่านั้น?

 

กลิ่นหอมเย็นอบอวลทั้งอุทยานกว้างใหญ่ ทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด คนที่เบื้องหน้า ถึงกับคล้ายคุ้นเคยสถานที่นี้อย่างยิ่ง เอี๊ยบไคติดตามมัน วกซ้ายเวียนขวาอีกเจ็ดแปดครั้ง ผ่านประตูวงเดือนมาถึงตึกเล็กๆ ช่วงหนึ่ง

ในตึกนี้ก็ไม่มีคน ไม่มีโคมไฟ ไม่มีเสียงใดๆ

ประตูเปิดอยู่

คนผู้นั้นเดินเข้าไป ผลักประตูให้เปิดกว้าง แต่ตัวเองกลับเบี่ยงกายไปยืนทางด้านข้าง ผายมือเชื้อเชิญ

“เชิญเข้า”

เอี๊ยบไคมิได้เข้าไป คนผู้นั้นถาม

“ท่านไม่เข้าไป?”

“ข้าพเจ้าไฉนต้องเข้าไป?”

“ภายในมีคนรอท่านอยู่”

“ผู้ใด?”

“ท่านเข้าไปดูก็ทราบเอง”

“ท่านไม่เข้าไป?”

ผู้นั้นตอบเสียงเย็นชา

“ที่ผู้อื่นรอคอยคือท่าน มิใช่ข้าพเจ้า”

เสียงของมันประหลาดอย่างยิ่ง ใบหน้ายังมีแพรสีเดียวกับเสื้อผ้า คลุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง

เอี๊ยบไคจ้องมองมัน พลันหัวร่อแล้วกล่าว

“ท่านทั้งที่ทราบแน่ว่า ข้าพเจ้าสามารถจำท่านได้ ไฉนพาลไม่ยอมพบข้าพเจ้า?”

คนผู้นั้นคล้ายตระหนกยิ่ง ร้องโพล่งขึ้น

“ท่าน... จำข้าพเจ้าได้?”

เอี๊ยบไคถอนใจตอบ

“หากข้าพเจ้าจำไม่ได้ ต้องมิเพียงเป็นคนตาบอดเท่านั้น ยังเป็นคนโง่เขลาปัญญาอ่อนด้วย”

คนผู้นั้นก้มศีรษะต่ำ ถามเบาๆ

“เพราะกระไร?”

“ท่านไม่ทราบ?”

เสียงคนผู้นั้นยิ่งแผ่วเบา

“ใช่หรือไม่ว่า ในใจท่านมีข้าพเจ้าอยู่?”

เอี๊ยบไคมิได้ตอบ แต่ดวงตาพลันมีประกายที่พิสดารอย่างยิ่ง

มิว่าประกายนี้เป็นความหมายใด อย่างน้อยมิใช่ปฏิเสธ

ในที่สุด คนผู้นั้นเงยหน้า ปลดแพรคลุมหน้าออกมา แสงดาวจึงลูบไล้ใบหน้านางทันที

วิกาลที่สงบปานนี้ แสงดาวที่เลือนรางปานนี้ ใบหน้านางดูแล้ว สวยสะคราญปานวิญญาณดอกเหมย เทพธิดาบนฟากฟ้า

ดวงตานางยิ่งงามกว่า แต่คล้ายมีประกายเศร้ารันทด ที่ไม่มีปัญญาบ่งบอกต่อผู้ใดได้

นางเพ่งมองเอี๊ยบไคพลางส่งเสียงเบาๆ

“ข้าพเจ้าสมควรทราบว่าท่านจำข้าพเจ้าได้ เนื่องเพราะแม้ท่านจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าพเจ้าก็จำท่านได้เช่นกัน”

เสียงของนางยิ่งสดใสไพเราะ จนคล้ายเป็นสายลมในสนธยาของฤดูใบไม้ผลิ

ดวงตาที่สวยงามปานนี้ กระแสเสียงที่ไพเราะปานนี้ นอกจากเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ยังมีผู้ใด?

เอี๊ยบไคเพ่งมองนางพลางกล่าว

“แต่ท่านกลับหวังให้ข้าพเจ้าจำท่านไม่ได้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ เอี๊ยบไคถาม

“เพราะกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนลังเลชั่ววูบจึงตอบ

“ท่านเข้าไปดูก็ทราบเอง ว่าเพราะกระไร?”

“ท่านไม่เข้าไป?”

“ข้าพเจ้ารออยู่ทางภายนอกก็ได้”

“ไฉนต้องรอทางภภายนอก?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“เนื่องเพราะเมื่อท่านเข้าไปแล้ว ต้องหวังให้ข้าพเจ้าอยู่รอทางภายนอก”

รอยยิ้มของนาง มิเพียงรันทดอย่างยิ่งเท่านั้น ยังลี้ลับอย่างยิ่งด้วย

นางเป็นสตรีที่ลี้ลับอย่างยิ่งจริงๆ มักจะกระทำเรื่องราวที่ผู้คนไม่มีปัญญาคาดคิดได้เสมอ

เอี๊ยบไคมิได้ถามต่อไป

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคเข้าใจนาง เรื่องที่นางไม่ยอมบอก มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจถามได้ความมา

ประตูเปิดอยู่ ถูกลมโชยพัดจนดังเอี๊ยดๆ ตลอดเวลา

ในที่สุด เอี๊ยบไคเดินช้าๆ เข้าไป เดินเข้าในห้องที่มืดสนิท...

ด้านนอกยังมีแสงดาว ในห้องยิ่งมืดมิด

เอี๊ยบไคไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น แต่ได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาอย่างยิ่ง

ในห้องมีคนอยู่จริงๆ

“ผู้ใดกัน?”

ไม่มีคนขาน กระทั่งเสียงลมหายใจ ยังคล้ายชะงักไปด้วย

ในเมื่อผู้นี้รอเอี๊ยบไคอยู่ในห้อง ไฉนจึงไม่ยอมตอบคำถามของเอี๊ยบไค?

หรือเป็นแผนร้ายของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอีก? หรือสถานที่นี้เป็นหลุมพรางใด?

มิเช่นนั้น ตอนนางพาเอี๊ยบไคมา ไฉนไม่ยอมใช้โฉมหน้าแท้จริงไปพบด้วย?

หากแม้นเป็นผู้อื่น ไม่แน่ว่าจะรีบถอยออกไปนานแล้ว

แต่เอี๊ยบไคมิได้ล่าถอย

เนื่องเพราะในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอันพิสดารที่กระทั่งตัวเองยังไม่มีปัญญาอธิบาย

เสียงลมกรรโชกมา ประตูพลันปิดเข้าหากันดังโครมใหญ่

ตอนนี้ แม้นับว่าจะหลบหน้าไป ก็ไม่มีปัญญาแล้ว

ในห้องยิ่งมืดกว่าเดิม นับว่ามืดจนยื่นมือยังไม่เห็นนิ้วจริงๆ แต่ลมหายใจกลับดังขึ้นอีกครา

ความจริงลมหายใจอยู่ที่เบื้องหน้า ตอนนี้กลับถอยเข้าไปทางมุมห้อง

มันไฉนต้องถอยหนี?

ใช่หรือไม่ว่า มันก็เกิดความหวาดกลัว?

เอี๊ยบไคเน้นเสียงหนักๆ

“มิว่าท่านเป็นผู้ใด? ในเมื่อท่านรอข้าพเจ้า ก็ควรทราบข้าพเจ้าเป็นผู้ใด?”

ไม่มีเสียงตอบ เอี๊ยบไคกล่าวอีก

“ข้าพเจ้ามิใช่คนอำมหิตชั่วร้าย ดังนั้นท่านไม่มีความจำเป็นต้องกลัวข้าพเจ้า”

เอี๊ยบไคกล่าวพลางเดินเข้าหา แต่เดินช้าๆ อย่างยิ่ง

ทันใด มีลมเย็นกรรโชกเข้าปะทะหน้า

เอี๊ยบไคไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น แต่พอรู้สึกออก มีแต่พลังคมอาวุธเท่านั้นจึงเย็นยะเยียบเยี่ยงนี้

กระทั่งเป็นดาบหรือมีดก็มองไม่เห็น !

...ดาบที่มองไม่เห็น จึงเป็นดาบฆ่าคน!

ผู้นี้เป็นใคร? ไฉนต้องฆ่าเอี๊ยบไค?

 

พลังดาบมิเพียงเย็นยะเยียบเท่านั้น ยังรวดเร็วอย่างยิ่ง!

เอี๊ยบไคเบี่ยงกายหลบไป พลันตะปบมือดุจสายฟ้า คว้าข้อมือของคนผู้นั้นไว้

มือเย็นยะเยียบ

เอี๊ยบไคย่อมไม่เห็นมือข้างนั้น แต่ก็สามารถรู้สึกออก ดังนั้น จึงคว้าไว้ได้ทัน

ยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่แท้จริง ต่างมีความรู้สึกที่พิสดารจนไม่มีปัญญาอธิบายเยี่ยงนี้ คล้ายดั่งเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่าก็ปาน

มือคนผู้นั้นสั่นระริก แต่ยังไม่ยอมเอ่ยปาก

มือของเอี๊ยบไคก็พลันสั่นระริก เนื่องเพราะพอจะเดาได้เลือนรางว่าเป็นผู้ใดแล้ว!

เอี๊ยบไคได้กลิ่นตัวคนผู้นี้!

แต่ละคนต่างมีกลิ่นตัวโดยเฉพาะ และกลิ่นตัวของคนผู้นี้ เอี๊ยบไคไม่อาจลืมเลือนตลอดกาลนาน

แม้ตายยังไม่ลืมได้!

พริบตานั้น คนผู้นั้นสะบัดหลุดจากการเกาะกุมถอยเข้าไปที่มุมห้องอีกครา

ครั้งนี้ เอี๊ยบไคมิได้ตามเข้าไป ความจริงร่างชาแข็งประหนึ่งท่านไม้ไปแล้ว!

เอี๊ยบไคนึกมิถึง ผู้นี้จะอยู่ที่นี่ ยิ่งนึกไม่ถึง ผู้นี้จะพลันฆ่าคน!

เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกจากหน้าผากเป็นทาง

“ข้าพเจ้าคือเอี๊ยบน้อย หรือท่านจำเสียงข้าพเจ้าไม่ได้”

เอี๊ยบไคพยายามข่มกลั้นตัวเอง ส่งเสียงถามไปแต่ยังคงไม่มีคำตอบ

ลมหายใจยิ่งกระชั้นถี่เร็ว คล้ายดั่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เอี๊ยบไคขบกรามแนบแน่น มิเพียงไม่เดินเข้าหาเท่านั้น กลับถอยไปทีละก้าว ถอยถึงปากประตู พลันหันกายกระชากประตูอย่างแรง

ประตูถึงกับถูกกระชากก็เปิดออก

เอี๊ยบไคโถมออกไป เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถึงกับยังรออยู่ที่ลานตึกจริงๆ

เมื่อเห็นสีหน้าเอี๊ยบไค ดวงตานางเต็มไปด้วยประกายเห็นใจและกังวล รีบปราดเข้าถาม

“ท่านทราบคนอยู่ในห้องเป็นผู้ใดแล้ว?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ กำหมัดกัดฟันถาม

“ท่านไฉนไม่จุดโคมไฟ?”

“ข้าพเจ้ามิใช่อยู่ในห้องด้วย”

“ท่านไม่มีชุดไฟ?”

“ข้าพเจ้ามี”

“ในเมื่อมี เมื่อครู่ไฉนไม่ให้ข้าพเจ้า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่ตอบ ได้แต่ล้วงชุดไฟยื่นให้อย่างเงียบงัน

เอี๊ยบไคโถมเข้าไปในห้องอีกครั้ง ตีชุดไฟให้สว่าง

คนผู้หนึ่งยืนซึมเซาอยู่ที่มุมห้อง ถึงกับเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม!

ในที่สุดเอี๊ยบไคก็พบนางแล้ว ในที่สุดก็หานางพบแล้ว

ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยายความรู้สึกของเอี๊ยบไคในตอนนี้ได้ ยิ่งไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งคำนวณได้ด้วย

แต่ทว่า เต็งฮุ้นลิ้มกลับแผดสุดเสียงปานคลุ้มคลั่ง หันหลังให้กับชุดไฟในมือเอี๊ยบไคพลางร้อง

“ไฟ... ไฟ”

เมื่อแลเห็นแสงไฟ นางคล้ายพลันกลับกลายเป็นสัตว์ป่าที่บาดเจ็บเกิดความหวาดกลัว

ร่างของนางขดเป็นก้อนกลม สั่นระริกไม่หยุดยั้ง ใบหน้าที่สวยสะคราญ บิดเบี้ยวด้วยความหวาดหวั่นขวัญเสีย ส่งเสียงร้องอยู่ไม่หยุดยั้ง

“ไฟ... ไฟ”

นางเพียงเห็นไฟ แต่มิได้เห็นเอี๊ยบไค

นางถึงกับจำเอี๊ยบไคไม่ได้!

แสงไฟดับวูบลงทันที ในห้องจึงคืนสู่ความมืดมิดอีกครา

หัวใจเอี๊ยบไคก็มืดมิด ปานร่วงหล่นในหุบเหวลึก

มิทราบอีกนานปานใด เอี๊ยบไคจึงถอยเบาๆ ออกไป ยื่นชุดไฟให้กับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอย่างเงียบขรึม

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านตอนนี้ใช่เข้าใจหรือไม่ เมื่อครู่ข้าพเจ้าไฉนไม่ยอมให้ชุดไฟท่าน?”

เอี๊ยบไคไม่มีวาจา เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“นางหนีออกมาจากในหล่มเพลิง นางแตกตื่นขวัญเสียเกินไป แต่ทว่า... ข้าพเจ้าคิดไม่ออกจริงๆ นางถึงกับจำท่านไม่ได้ด้วย”

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้ง เนิ่นนานให้หลังจึงถาม

“ท่านไปหานางจากที่ใด?”

“ที่นี้เอง”

“หาได้เมื่อใด?”

“หลังจากนางหนีออกจากหล่มเพลิงแล้ว คิดว่าคงซ่อนอยู่ในที่นี้ แต่ข้าพเจ้าจวบจนค่ำวันนี้จึงหานางพบ”

นางก้มศีรษะกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าทราบ เมื่อท่านเห็นสภาพของนางต้องเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็มิอาจไม่พาท่านมา”

“ท่าน...”

“ข้าพเจ้าความจริงไม่คิดจะให้ท่านทราบ ที่ข้าพเจ้าพาท่านมา เนื่องเพราะ... เนื่องเพราะ....”

“เนื่องเพราะกระไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก้มศีรษะต่ำ อึ้งเป็นเนิ่นนานจึงตอบเสียงเครือ

“ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเพราะกระไรแน่? อาจบางที เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านเสียใจเพราะเรื่องนี้ อาจบางทีเนื่องเพราะข้าพเจ้าหวาดกลัว”

“หวาดกลัว?”

ทีท่าของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งหดหู่กว่าเดิม กล่าวเบาๆ

“นางกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็มีภาระต้องรับผิดชอบ ข้าพเจ้ากลัวท่านแค้นข้าพเจ้า ชังข้าพเจ้า.... ข้าพเจ้ายิ่งกลัว เมื่อท่านเห็นนางแล้ว นับแต่นี้จะไม่แยแสข้าพเจ้าอีก”

“แต่ท่านกลับยังคงพาข้าพเจ้ามา?”

“ดังนั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้ากระทำเรื่องราวใดกันแน่?”

แสงดาวลูบไล้อยู่บนใบหน้านาง น้ำตานางหลั่งไหลลงแล้ว

มิว่าผู้ใดต่างสมควรดูออก ในใจนางมีความกลับกลอกเพียงใด เจ็บช้ำเพียงใด

แต่เอี๊ยบไคกลับคล้ายดูไม่ออก พลันเดินเข้าไปที่กลางลานตึก ตีลังกาสามตลบ ทรงกายแน่วนิ่งดั่งปลายทวน สูดลมหายใจลึกๆ ดึงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

หิมะบนพื้นยังไม่ละลาย เหมยกิ่งหนึ่งที่มิทราบถูกผู้ใดหัก ทิ้งอยู่ที่พื้นหิมะ

เอี๊ยบไคเก็บขึ้นมา ปลิดออกดอกหนึ่ง เสียบไปบนปกเสื้อ จากนั้นเดินกลับเข้ามาอีกครา พลันแย้มยิ้มให้เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน

“ท่านเดาดู ข้าพเจ้าตอนนี้มีความต้องการอย่างไร?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเบิ่งตามองด้วยความตระหนก คล้ายดั่งเห็นคนวิกลจริตก็ปาน

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าคิดจะไปหาสถานที่นอนสักตื่น”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยิ่งตระหนกกว่าเดิม ร้องโพล่งขึ้น

“ตอนนี้ท่านคิดจะไปนอน?”

“ใช่ เที่ยงวันพรุ่งข้าพเจ้ายังมีเรื่อง ข้าพเจ้าต้องนอนออมแรงให้กระปรี้กระเปร่า”

“ท่าน... ท่านนอนหลับ”

“ข้าพเจ้าไฉนนอนไม่หลับ?”

“แต่เต็งฮุ้นลิ้ม...”

“มิว่าอย่างไร พวกเราตอนนี้ย่อมนับว่าหานางพบแล้ว เรื่องอื่นๆ ต่างพอจะรอว่ากล่าวกันในภายหน้า”

“สภาพของนางเป็นเช่นนี้ ท่านยังวางใจได้?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“มีประมุขพรรคกิมจี๊ปังอยู่คุ้มครองนางในที่นี้ ข้าพเจ้ายังมีกระไรไม่ไว้วางใจได้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามองแน่วนิ่ง คล้ายมิเคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อนเลยก็ปาน

นับเป็นคนที่มิเคยพบเห็นมาเลยจริงๆ

มิว่าผู้ใดพบพานเรื่องเช่นนี้ ต่างต้องท้อแท้รันทดยิ่ง วิตกกังวลยิ่ง แต่เอี๊ยบไคตีลังกาสามตลบแล้ว พลันทอดทิ้งความวิตกกังวลจนห่างไปสุดแสนไกลได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจเฮือกใหญ่ ฝืนยิ้มกล่าว

“ดูท่า แม้นับว่ามีเรื่องยุ่งยากยิ่งเทียมฟ้า ท่านก็สามารถทอดทิ้งไปได้ในบัดดล”

“ในโลกความจริงไม่มีเรื่องราวใด พอจะบีบคั้นใจให้หงุดหงิดกลัดกลุ้มได้”

“ท่านนับเป็นคนมีวาสนาจริงๆ โอ...”

เอี๊ยบไคถึงกับมิได้ปฏิเสธ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอดมิได้ต้องถาม

“เที่ยงวันพรุ่ง ท่านจะกระทำเรื่องอันใด?”

“ข้าพเจ้ามีนัด”

“นัดเรื่องอันใด?”

“ปูตาลานัดกับตอเออกา ให้ไปพบกันที่ประตูเอี้ยงเพ้งในเที่ยงวันพรุ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขมวดคิ้วถาม

“นั่นเป็นการนัดของพวกมัน ท่าน...”

“ตอนนี้ตอเออกาตายไปแล้ว กำหนดนัดนี้ก็เปลี่ยนเป็นของข้าพเจ้า”

“ท่านคิดจะฉวยโอกาสนี้หาตัวโกวฮงออกมา?”

“ถูกแล้ว”

“แต่ละเที่ยงวัน คนที่เข้าออกประตูเมืองเอี้ยงเพ้ง มิทราบมีอยู่มากมายเพียงใด ท่านจะทราบผู้ใดเป็นโกว ฮงได้อย่างไร?”

“ข้าพเจ้าย่อมมีวิธีหาพบ”

“วิธีใด?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ตอนนี้กระทั่งข้าพเจ้าองก็ยังมิทราบ แต่เมื่อถึงเวลา ข้าพเจ้าต้องสามารถคิดออกมาได้”

หยุดหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“ความจริงในโลกไม่มีเรื่องราวใด ที่มิอาจคลี่คลายได้เลยใช่หรือไม่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนได้แต่ฝืนยิ้ม

-------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น