วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า โฉมงามปัญญาอ่อน

 

โฉมงามปัญญาอ่อน

ในเพียวเฮียงอี้มีกลิ่นบุปผาอบอวล

          ในหน้าต่างยังมีแสงโคมไฟสว่างไสว บนกระดาษหน้าต่างมีเงาร่างสองสายทาบอยู่ เป็นหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี

          ไม่เห็นสองเฮียตี๋ของเตียงจูเซี้ย

          แต่บนพื้นกลับมีกระบี่หักร่วงอยู่ท่อนหนึ่ง ไข่มุกที่ด้ามกระบี่ เป็นประกายแวววาวในแสงโคมไฟ

          ดูท่า โชคของสองเฮียตี๋เตียงจูเซี้ยวันนี้มิใคร่ดีนัก

          ทันใด หน้าต่างถูกผลักออก

          สตรีที่สวยสะคราญปานหยาดฟ้านางหนึ่ง อุ้มตุ๊กตามายืนอยู่ที่หน้าต่าง

          ใบหน้าของนางแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาทั้งกลมทั้งสุกใส ปากน้อยๆ สีแดงฉาน เชิดอยู่สูงชัน บอกมิถูกว่าเป็นความงามที่ไร้เดียงสาจนน่ารักถนอมปานใด

          ตัวนางดูไป ถึงกับคล้ายตุ๊กตาตัวหนึ่ง

          แต่รูปกายของนาง กลับไม่คล้ายตุ๊กตาเลย

          ทุกส่วนสัดในร่าง คล้ายดั่งมีความร้อนแรงที่ไม่มีบุรุษใดสามารถต่อต้านได้!

          ใบหน้าทารกรูปกายของสตรีเต็มสาว มาตรว่าขัดกันอย่างยิ่ง แต่กลับผนึกขึ้นเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก เป็นเสน่ห์ที่สามารถบันดาลให้บุรุษทั้งหลายยินยอมก่อกรรมทำผิดเพื่อนางโดยมิอาจขัดขืน

          จะพิทักษ์ป้องกันสตรีเช่นนี้ ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ

          ด้านหลังนางยังมีบุรุษอีกคนหนึ่ง ดูวัยเยาว์อย่างยิ่ง หล่อเหลาอย่างยิ่ง

          แสดงว่าเอี๊ยบไคก็เป็นบุรุษที่น่าดูยิ่ง เสียดายที่มันยืนไกลออกไปบ้าง

          มาตรว่าฮั่นเจ็งเห็นเอี๊ยบไค แต่ไม่เห็นเค้าหน้าได้ชัดตา

          ในอ้อมแขนของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนอุ้มตุ๊กตา ปากส่งเสียงกล่อมอยู่เบาๆ กระแสเสียงที่สดใสไพเราะจนเสนาะหูยิ่ง

          ได้ยินเสียงเอี๊ยบไคกล่าว

          "ด้านนอกหนาวอย่างยิ่ง ท่านไฉนไม่ปิดหน้าต่าง?”

          ปากน้อยๆ ของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเชิดสูงกว่าเดิม

          “ป๋อป้อ (คำเรียกทารกด้วยความรัก) อึดอัดเกินไป ป๋อป้อคิดจะรับลมบ้าง”

          เอี๊ยบไคถอนหายใจกล่าว

          “ป๋อป้อสมควรนอนแล้ว”

          “แต่มันพาลไม่ยอมนอน ป๋อป้อยังแจ่มใสอย่างยิ่ง”

          เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

          “ดึกปานนี้แล้วยังไม่นอน ป๋อป้อเป็นเด็กเลว”

          เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนร้องสวนคำทันที

          “ป๋อป้อมิใช่เด็กเลว ป๋อป้อว่าง่ายอย่างยิ่ง”

          นางยื่นมือขาวผ่องข้างหนึ่งออกมาลูบตุ๊กตาในอ้อมแขน พลางกล่าวเสียงนุ่ม

          “ป๋อป้อไม่ต้องร่ำไห้ มันจึงเป็นคนเลว ป๋อป้อไม่ร่ำไห้ มา มา ป้อนนมเจ้า”

          นางถึงกับแก้อกเสื้อออก ป้อนนมให้ตุ๊กตาในมือ

          ทรวงอกของนางอวบสล้างเต็มเต้า บอกความเป็นสาวสมบูรณ์

          ฮั่นเจ็งยืนดูในระยะไกล หัวใจเต้นถี่เร็วแทบพังทรวงอกออกมา

          มิคาด ตอนนั้นเห็นเอี๊ยบไคปราดเข้าหาปิดหน้าต่างดังโครมใหญ่

          ได้ยินเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อฮาฮากล่าว

          “ท่านลากข้าพเจ้าไปไย? หรือท่านก็ต้องการกินนม?...?”

---------------------------------

          ธูปในห้องพระลามหมดสิ้นแล้ว

          อุ้ยโป้ยไท้เอี้ยนอนพริ้มตาอยู่บนเตียง ใบหน้าแดงเปล่งปลั่งคล้ายดั่งหลับสนิท

          ทิโกวฟังรายงานฮั่นเจ็งจบสิ้นแล้วจึงถาม

          “พอหน้าต่างปิด ท่านก็กลับมา?”

          ฮั่นเจ็งฝืนยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจตามเข้าไปชิงรับทานนม”

          ดวงตาทิโกวมีประกายยิ้มแย้มขึ้นอีกครา

          “ดูท่าท่านคล้ายเลื่อมใสเอี๊ยบไคอย่างยิ่ง?”

          ฮั่นเจ็งถอนใจตอบ

          “ข้าพเจ้าเห็นใจมัน”

          “ท่านเห็นใจมัน?”

          “ตลอดวันอยู่กับสตรีเยี่ยงนั้น มิใช่เป็นเรื่องน่าทนทานจริงๆ

          ซิมโกวถามขึ้นบ้าง

          “นางงามอย่างยิ่งหรือไม่?”

          ฮั่นเจ็งชายตามองนางแวบหนึ่งจึงตอบ

          “ยังพอไปได้”

          ไม่มีสตรีนางใดยินดีได้ยินบุรุษมาชมเชยความงามของสตรีอีกนางหนึ่งต่อหน้า

          ซิมโกวแค่นเสียงเย็นชา

          “ฟังว่าคนปัญญาอ่อนต่างมีความงามยิ่ง”

          “ใช่แล้ว”

          ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “ดีที่คนงามมิแน่ต้องปัญญาอ่อน”

          ตัวนางเองก็ย่อมเป็นคนงามสะคราญ งามจับตายิ่ง

          ทิโกวถามอีก

          “ในตึกเพียงเฮียง มีมันสองคนเท่านั้นหรือไม่?”

          ฮั่นเจ็งตอบ

          “ข้าพเจ้าไปตรวจดูทั้งหน้าๆ หลังๆ คล้ายดั่งไม่มีผู้อื่นอีก”

          “เป็นคล้ายดั่ง? หรือไม่มีจริงๆ?”

          ฮั่นเจ็งครุ่นคิดแล้ว จึงตอบ “ไม่มี” เสียงหนักแน่น ทิโกวถามอีก

          “อาจบางที ผู้อื่นหลับแล้ว?”

          “ห้องอื่นๆ ต่างไม่มีแสงไฟ อากาศหนาวเหน็บปานนี้ มิว่าผู้ใดต้องไม่ยอมนอนอยู่ในห้องไม่มีเตาไฟ”

          ในที่สุด ทิโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “ดูท่าท่านมิเพียงปราดเปรื่องเท่านั้น ยังละเอียดสุขุมอย่างยิ่งด้วย”

          ซิมโกวกล่าวบ้าง

          “เสียดายที่จมูกเบี้ยวไปบ้าง”

          ทิโกวถลึงตามองนางพลางกล่าว

          “ท่านมิใช่มีความต้องการแต่งให้มัน สนใจไยว่าจมูกมันเบี้ยวหรือไม่?”

          ซิมโกวโต้แย้ง

          “บุรุษที่จมูกเบี้ยว ก็มิแน่จะไม่อาจแต่งด้วยได้”

          “ปิศาจน้อย กล่าวเหลวไหลทั้งเรื่อง ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราเยาะ?”

          ฮั่นเจ็งพลันรู้สึก หัวใจของมันเต้นถี่เร็วปานจะพังทรวงอกออกมา

          เรื่องอาจเป็นไปได้นี้ มันมิใช่ไม่เคยคิด เพียงแต่มิกล้าคิดเท่านั้น

          บัดนี้มารดากับบุตรี คล้ายดั่งจงใจเตือนสติให้มันได้คิด

          หรือพวกนางกำลังคิดหาเรื่องยุ่งยากให้มันไปกระทำอีก?

          ในที่สุด ทิโกวถามมันจริงๆ

          “วิชาบู๊ของท่าน ฝึกจากโป้ยเอี้ยจริงหรือไม่?”

          “มิใช่”

          มันมิใช่เป็นศิษย์อุ้ยเทียนพ้ง และมิใช่เป็นหนึ่งในสิบสามยอดองครักษ์ ทิโกวจึงถามอีก

          “อาวุธที่ท่านใช้เป็นสว่าน?”

          “ถูกแล้ว”

          “เรายังมิเคยได้ยิน ชนชาวนักเลงใดใช้สว่านเป็นอาวุธเลย”

          “นั่นเป็นเพียงข้าพเจ้าใช้ไปตามที่มีเท่านั้น”

          “สว่านก็มีกระบวนท่าโดยเฉพาะของมัน?”

          “ไม่มี แต่มิว่ากระบวนท่าของอาวุธใดๆ ต่างพอใช้สว่านนี้เลียนได้”

          “ฟังท่านว่าดั่งนี้ วิชาบู๊ที่ท่านรู้จักต้องมีไม่น้อย?”

          “เสียดายที่สับสนจนไม่ลึกซึ้งเชี่ยวชาญ”

          ซิมโกวพลันหัวร่อคิกคักกล่าว

          “นึกมิถึง คนผู้นี้ก็มีมารยาทอย่างยิ่ง”

          หัวใจฮั่นเจ็งเต้นถี่เร็วกว่าเดิม ทิโกวกล่าว

          “ท่านติดตามอุ้ยโป้ยเอี๊ยมิกี่ปี ก็กลายเป็นคนสนิทที่สุดของมัน คิดว่าต้องมีพลังฝีมือไม่เลวยิ่ง?”

          ฮั่นเจ็งจำต้องยอมรับ

          “ยังพอไปได้”

          “ดังนั้น เราคิดจะขอร้องให้ท่าน ไปทำเรื่องรายหนึ่ง”

          “โปรดสั่งมา”

          “เรื่องนี้ยิ่งคลี่คลายเร็วยิ่งประเสริฐ และค่ำนี้พอดีเป็นโอกาสปลอดอีกด้วย”

          “ทราบแล้ว”

          “ดังนั้น เราใคร่จะให้เต็งฮุ้นลิ้มไปลงมือเลย”

          ฮั่นเจ็งครุ่นคิดพลางถาม

          “แต่มิทราบเอี๊ยบไคจะดูนางออกหรือไม่?”

          “ไม่ออกเด็ดขาด แม้นับว่านางจะมีพิรุธเล็กน้อย แต่ในแสงโคมไฟ ต้องไม่มีทางสังเกตได้”

          “แต่พวกมันความจริงเป็นคนรักกัน หากดูมากอีกหลายครั้ง อาจบางทีจะ...”

          “พวกเราไหนเลยเปิดโอกาสให้มันได้สังเกตชัดตา ขอเพียงมันปล่อยให้เต็งฮุ้นลิ้มเข้าใกล้ตัว พวกเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว”

          ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “ความจริงมันมีฝีมือที่รวดเร็วอย่างยิ่งอยู่ มิเช่นนั้นไหนเลยสามารถต่อยจมูกท่านเบี้ยวไปได้?”

          ฮั่นเจ็งได้แต่ฝืนหัวร่อ แต่ในใจกลับหวานดื่มด่ำ

          ทิโกวกล่าวต่อ

          “แต่ทว่าพวกเราก็มิอาจไม่รอบคอบรัดกุม เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราคิดจะให้ท่านเป็นเพื่อนมันไป”

          “ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนมันไปได้อย่างไร?”

          “ไฉนไม่ได้?”

          “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้านับเป็นผู้ใดของมัน?”

          “นับเป็นคนดูแลสถานที่นี้ พานางไปหาเอี๊ยบไค เนื่องเพราะเต็งฮุ้นลิ้มไม่เคยมาสถานที่นี้ ย่อมไม่รู้จักทาง”

          ฮั่นเจ็งอดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

          “ฮูหยินใคร่ครวญได้รอบคอบอย่างยิ่ง”

          “หากมิสุขุมรอบคอบ ไหนเลยกล้าลงมือแตะต้องเอี๊ยบไค”

          “ข้าพเจ้าตอนนี้เพียงกังวลเรื่องเดียว”

          “เรื่องอันใด?”

          “มีดสั้นของเอี๊ยบไค”

          “ท่านกลัว?”

          ฮั่นเจ็งฝืนยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้าเพียงกลัวเต็งฮุ้นลิ้มโกวเนี้ยท่านนี้ไม่สามารถลงมือปลิดชีวิตมันทันที กลัวแต่มันยังมีโอกาสแก้มือเท่านั้น”

          ทิโกวแค่นเสียงเย็นชา

          “อย่าลืมว่าเราก็มีมีด ภายใต้คมมีดของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถรอดอยู่ได้”

          นางพลันสะบัดมือ มีดเล่มหนึ่งพุ่งฉึกลงที่เบื้องหน้าเต็งลิ้ง

          เป็นมีดมีประกายเขียวเรือง

          เต็งลิ้งลืมตาทันที เหม่อมองดูมีดเล่มนั้นแน่วนิ่ง

          ทิโกวสั่งเสียงหนักๆ

          “เก็บมีดเล่มนั้นขึ้น ซ๋อนไว้ในแขนเสื้อ”

          เต็งลิ้งเก็บมีดซ่อนไว้ในแขนเสื้อจริงๆ ทิโกวสั่งต่อไป

          “ตอนนี้ท่านเงยหน้าดูคนผู้นี้”

          นางชี้ไปที่ฮั่นเจ็ง เต็งลิ้งจึงเงยหน้ามองฮั่นเจ็งแน่วนิ่ง ทิโกวสั่งต่อ

          “รู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะ ทิโกวสั่งต่อ

          “เราต้องการให้ท่านติดตามมันไป มันจะพาท่านไปหาเอี๊ยบไค”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะอีก ทิโกวสั่งต่อ

          “เอี๊ยบไคเป็นคนทรยศไร้น้ำใจ ทอดทิ้งท่านให้ว้าเหว่เดียวดาย ไปหาสตรีนางอื่น ดังนั้นเมื่อท่านเห็นมัน จงใช้มีดเล่มนั้นฆ่ามัน แล้วพาสตรีนางนั้นมาที่นี่”

          เต็งลิ้งเพิ่งส่งเสียงเป็นครั้งแรก

          “ข้าพเจ้าต้องฆ่ามันแน่ จากนั้นพาสตรีนางนั้นกลับมา”

          “ท่านไปในตอนนี้ได้”

          “ข้าพเจ้าไปในตอนนี้”

          ใบหน้าของเต็งลิ้งมีความรู้สึกที่พิกลอย่างยิ่ง คล้ายดั่งเซื่องซึมไร้ความรู้สึก และที่คล้ายเจ็บปวดอย่างยิ่ง

          ทิโกวกล่าว

          “ไฉนยังไม่ไป?”

          “ข้าพเจ้าไป”

          มาตรว่าปากเต็งลิ้งบอกไป แต่ยังคงนั่งอยู่ในที่นั้นมิเคลื่อนไหว ซิมโกวจึงถอนใจกล่าว

          “ดูท่านางมีใจต่อเอี๊ยบไคไม่เลวจริงๆ กระทั่ง่ตอนนี้แล้ว ถึงกับยังไม่อาจหักใจไปฆ่าเอี๊ยบไคได้”

          ทิโกวแค่นหัวร่อตอบ

          “มันต้องไปแน่”

          นางย่อมทราบ มาตรว่านางควบคุมจิตใจของคนผู้นั้นไว้แล้ว แต่หากต้องการให้มันไปกระทำเรื่องที่มันไม่ยินยอมที่สุด จิตใต้สำนึกยังคงดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย

          นี่คือปรากฏการณ์ธรรมดาอย่างยิ่ง ดังนั้น นางมีการเตรียมป้องกันอยู่ก่อนแล้ว นางพลันปรบมือฉาด

          ประตูด้านข้างเปิดออกโดยไม่มีลม คนผู้หนึ่งก้าวช้าๆ เข้ามา

          เป็นวัยกลางคนอายุสามสิบเศษ สวมเสื้อยาวขนสัตว์ ด้านนอกยังทับเสื้อยาวสีครามอีกชั้น ดูไปเป็นคนค้าขายที่เรียบร้อยสัตย์ซื่อ

          คนผู้นี้ถึงกับเป็นปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน) เอี้ยเทียน!

---------------------------------- 

          ใบหน้าเต็งลิ้งพลันบิดเบี้ยวด้วยความหวาดหวั่น ร่างเริ่มสั่นระริกไม่หยุดยั้ง

          เอี้ยเทียนจับตาเย็นชามองมัน ใบหน้าไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด ทรวงอกถึงกับยังปักมีดอีกเล่มหนึ่ง ที่เสื้อยาวยังมีคราบโลหิตติดอยู่

          ทิโกวกล่าว

          “ท่านรู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะ ใบหน้ามีแววหวาดกลัวกว่าเดิม

          เต็งลิ้งย่อมรู้จักคนผู้นี้ ความทรงจำหาได้มลายโดยสิ้นเชิงไม่ ทิโกวกล่าวต่อ

          “มันตอนนี้เป็นคนตายแล้ว ท่านยังจำได้หรือไม่ว่า ท่านเป็นคนฆ่ามัน?”

          “ใช่... ใช่แล้ว”

          “มันกล่าวจริงเป็นสหายรักของท่าน แต่ท่านกลับฆ่ามัน มันแม้เป็นภูตผี ก็ไม่ยอมปล่อยท่าน”

          “เป็นท่านให้ข้าพเจ้าฆ่ามันเอง”

          “ตอนนี้เราให้ท่านไปฆ่าเอี๊ยบไค... ท่านไปหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้า...ไป”

          “ท่านไปในตอนนี้เลย”

          “ข้าพเจ้าไปในตอนนี้”

          เต็งลิ้งพลันผุดลุกขึ้น เดินช้าๆ ออกไป ร่างยังคงสั่นระริกดั่งเดิม

          ทิโกวกล่าว

          “รออยู่ที่นอกประตู รอให้ฮั่นเจ็งพาท่านไป”

          เต็งลิ้งกล่าวทวนคำสั่งนั้นโดยไม่ผิดพลาดสักครึ่งคำ รอจนมันออกพ้นประตู ทิโกวจึงหัวร่อให้ฮั่นเจ็งพลางกล่าว

          “ตอนนี้ท่านสมควรทราบ สหายรักของมันเป็นผู้ใดแล้ว”

          ฮั่นเจ็งมีแต่ฝืนหัวร่อให้เอี้ยเทียน ทิโกวกล่าวต่อ

          “ท่านไม่รู้จักมัน?”

          เอี้ยเทียนพลันแค่นเสียงเย็นชา

          “มันไม่รู้จักข้าพเจ้า มันมีคิดจะคบคนเช่นข้าพเจ้าเป็นสหาย”

          มันพลันพลิกมือชักมีดออกจากทรวงอกลงทิ้งกับพื้น จนบัดนี้ฮั่นเจ็งจึงเห็นมีนั้นถึงกับมีแต่ด้าม!

          มีเสียงติงเบาๆ คมมีดท่อนหนึ่งดีดออกมาจากด้ามมีด กดเบาๆ อีกครั้ง คมมีดก็หดเข้าไป

          ที่แท้ถึงกับเป็นมีดที่ฆ่าคนไม่ตาย

          ฮั่นเจ็งถอนใจกล่าว

          “ในเมื่อโลกมีมีดเช่นนี้ ก็ไม่น่าตำหนิ ที่มีมิตรสหายเช่นดั่งท่าน”

          ทิโกวกล่าว

          “แต่ท่านควรจำไว้ มีมีดเช่นนี้เป็นสหาย ต่างไม่มีประโยชน์ใด”

--------------------------- 

          ผ่านเหมยหลายร้อยต้น มาจนถึงเพียวเฮียงอี้อีกครา

          เต็งลิ้งตามหลังฮั่นเจ็งตลอดเวลา ฮั่นเจ็งเท้าก้าวหนึ่งมันก็ตามก้าวหนึ่ง ฮั่นเจ็งหยุดลง เต็งลิ้งก็หยุดตาม

          ฮั่นเจ็งเหลียวไปจ้องมองมันพลางส่งเสียง

          “ไซมึ้งจับซาสหายท่านตายไปแล้ว?”

          “ไซมึ้งจับซาตายไปแล้ว”

          “ท่านต้องการทราบ มันตายกับมือผู้ใดหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าไม่ต้องการทราบมันตายกับมือผู้ใด”

          “แต่หากท่านเป็นสหายรักของมันจริง ก็สมควรล้างแค้นแทนมัน”

          “หากข้าพเจ้าเป็นสหายรักของมันจริง ก็ควรล้างแค้นแทนมัน”

          ฮั่นเจ็งกล่าวคำหนึ่ง เต็งลิ้งก็กล่าวตามคำหนึ่ง แต่ท่านกลับมิทราบ มันเข้าใจความหมายในวาจาของท่านหรือไม่?

          ฮั่นเจ็งถอนใจคำนึง

          “ท่านที่เป็นคนชาญฉลาด ถึงกับถูกผู้อื่นสยบไว้ได้ เรานับว่ามิยอมเชื่อเลยจริงๆ”

          มันชาวตามองเต็งลิ้ง ใบหน้าเต็งลิ้งไม่มีความรู้สึกแม้สักน้อยนิด

          ฮั่นเจ็งถอนใจอีกครั้งกล่าว

          “สถานที่มีแสงไฟทางเบื้องหน้า คือตึกเพียวเฮียงอี้”

          “ทราบแล้ว”

          “เอี๊ยบไคอยู่ในนั้นเอง”

          “ทราบแล้ว”

          “ท่านอำมหิตพอไปลงมือได้จริงๆ?”

          “ถูกแล้ว”

          “ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องฆ่ามันจริงๆ”

          “ข้าพเจ้าไม่จำเป็น?”

          “ท่านพอจะกอดมันไว้ จี้จุดมันให้มันไม่อาจเคลื่อนไหว”

          “ข้าพเจ้าพอจะให้มันไม่อาจเคลื่อนไหว”

          ฮั่นเจ็งกล่าวต่อไป

          “ตอนนั้น ข้าพเจ้าจะพาสตรีชั่วร้ายนางนั้นไปให้สุดไกล ให้นางไม่มีวันได้พบเอี๊ยบไคตลอดกาล”

          “ให้นางไม่มีวันพบเอี๊ยบไคตลอดกาล”

          “อย่างนั้น ภายหน้าท่านก็ได้อยู่กับเอี๊ยบไคไปตลอดกาล”

          มันจับตามองเต็งลิ้ง เห็นดวงตาที่เลื่อนลอยของเต็งลิ้งมีประกายขึ้นวูบหนึ่งจริงๆ จึงกล่าวต่อ

          “ท่านว่าวิธีนี้ประเสริฐหรือไม่?”

          “ภายหน้า ข้าพเจ้าจะได้อยู่กับเอี๊ยบไคไปตลอดกาล?”

          “ถูกแล้ว และข้าพเจ้ายังประกันได้ ภายหน้าต้องไม่มีผู้ใดมาพรากท่านทั้งสองให้แยกจากกัน”

          เต็งลิ้งครุ่นคิด ดวงตามีประกายหวาดหวั่นขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า

          “แต่ข้าพเจ้าฆ่าเอี้ยเทียนไป มันเป็นปิศาจก็ต้องไม่ยอมปล่อยข้าพเจ้า”

          ฮั่นเจ็งแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านมิได้ฆ่ามันตาย มันมิได้ตาย”

          “ข้าพเจ้าฆ่ามันชัดๆ”

          ฮั่นเจ็งพลันล้วงมีดที่เก็บขึ้นมาจากพื้นเมื่อครู่แล้วถาม

          “ท่านใช้มีดเล่มนี้ฆ่ามัน?”

          “ถูกแล้ว”

          “แต่มีดเล่มนี้ฆ่าคนไม่ตายได้ ท่านดู...”

          มันแย้มยิ้มพลางพลิกข้อมือ แทงมีดเข้าใส่ทรวงอกมัน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันชาค้างทันที!

         

          เมื่อครู่กดเบาๆ คมมีดก็หดกับไปในด้าม แต่ตอนนี้ คมมีดถึงกับมิยอมหดกลับ!

          มันแทงเบาๆ คมมีดถึงกับจมเข้าไปในทรวงอกมัน มาตรว่าแทงไม่ลึก แต่ก็มีโลหิตหลั่งไหล!

          สะกิดโลหิตไหลเป็นสิ้นใจ ไม่มีทางช่วยเหลือได้

          ฮั่นเจ็งรู้สึกเย็นเฉียบทั้งร่าง เย็นเฉียบตั้งแต่หัวใจจรดปลายเท้า

          พลันมีคนผู้หนึ่งแค่นเสียงเย็นชา

          “ท่านควรยืนสงบอย่าได้เคลื่อนไหว พิษพอถูกเคลื่อนไหวก็จะกำเริบ ท่านต้องตายแน่นอน”

          ฮั่นเจ็งมิกล้าเคลื่อนไหวจริงๆ ฟังออกว่านั่นเป็นเสียงซิมโกว

          ซิมโกวเดินเข้ามาในป่าเหมย ที่ด้านหลังยังมีผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง ถึงกับเป็นเอี้ยเทียน

          เท่าฮั่นเจ็งอ่อนระทวยแทบมิอาจทรงกาย คิดจะฝืนยิ้มแต่พาลยิ้มไม่ออก

          ซิมโกวจับตาเย็นชากวาดมองพลางกล่าว

          “มีดเล่มนี้เป็นมีดอสูร มาตรว่าฆ่าผู้อื่นไม่ตาย แต่ฆ่าท่านตายได้”

          เอี้ยเทียนแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

          “ในเมื่อโลกมีคนเช่นท่าน ย่อมต้องมีมีดเช่นนี้”

          ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “มิผิดแม้แต่น้อย ความจริงมีดเช่นนี้ มีขึ้นเพื่อจัดการคนเช่นมันโดยเฉพาะจริงๆ”

          ฮั่นเจ็งร้องเสียงเครือ

          “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าเพียงแต่...”

          ซิมโกวหน้าเครียดเย็นชา แค่นเสียงกระด้างสองคำ

          “ท่านเพียงแต่คิดขายพวกเราเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องตาย”

          “หวังให้โกวเนี้ย เห็นแก่หน้าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย ปล่อยข้าพเจ้าสักครั้งเถิด”

          “ท่านยังคิดจะมีชีวิตรอด?”

          ฮั่นเจ็งผงกศีรษะ เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกเป็นทาง

          ซิมโกวกล่าว

          “ก็ได้ อย่างนั้นท่านยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่นี้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกระทั่งศีรษะยังไม่อาจผงก รอจนข้าพเจ้ามีอารมณ์ดี อาจบางทีจะมาช่วยท่าน”

          ฮั่นเจ็งหน้านิ่วคิ้วขมวดปานร่ำไห้ ส่งเสียงเครือ

          “มิทราบโกวเนี้ยต้องถึงเมื่อใด จึงมีอารมณ์ดี!

          ซิมโกวตอบ

          “นี่ก็ยากที่จะระบุได้ ปกติข้าพเจ้ามันมีอารมณ์แจ่มใสเสมอ แต่พอเห็นคนเช่นท่าน ข้าพเจ้าไม่แน่พลันกลายเป็นขุ่นเคืองอย่างยิ่ง”

          ฮั่นเจ็งขบกรามแน่น แค้นจนแทบต่อยใส่จมูกนางให้แหลกละเอียดในหมัดเดียว

          แต่เสียดาย ฮั่นเจ็งแม้นับว่ามีความสามารถระดับนั้น แต่ก็มิกล้าเคลื่อนไหว กระทั่งปลายนิ้วยังไม่กล้าเคลื่อไหว

          ซิมโกวพลันยื่นมือลูบหน้ามันเบาๆ ส่งเสียงนุ่มนวล

          “ความจริงข้าพเจ้าคิดจะแต่งให้ท่าน เสียดายที่ท่านถึงกับไม่อาจทนการทดสอบสักน้อยนิด เป็นที่ข้าพเจ้าต้องผิดหวังยิ่ง”

          นางถอนใจเบาๆ หยิกแก้มฮั่นเจ็งแล้ว ตบซ้ายๆ ขวาๆ ถึงสิบกว่ามือ

          ฮั่นเจ็งนับว่าเดือดดาลจนแทบไม่อาจข่มกลั้นโลหิตที่จะกระอักออกมา แต่จำเป็นต้องขบกรามข่มไว้

          ซิมโกวคล้ายดั่งรู้สึกพอใจไม่น้อย หันไปแย้มยิ้มให้เอี้ยเทียนพลางกล่าว

          “ตอนนี้ ท่านพาเต็งโกวเนี้ยไปได้แล้ว”

          เอี้ยเทียนรับคำ ซิมโกวแย้มยิ้มกล่าวต่อ

          “ข้าพเจ้าทราบ ท่านต้องไม่มีอคติชั่วร้ายดุจดั่งมันผู้นี้ ใช่หรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าอย่างน้อยไม่โง่เขลาเช่นมัน”

          ฮั่นเจ็งพลันรู้สึก ตนโง่เขลาจนบัดซบจริงๆ รู้สึกแค้นจนใคร่กระแทกศีรษะกับต้นเหมยให้ตายเสียเลย

          เต็งลิ้งมองดูมัน ใบหน้ายังคงชาด้านไร้ความรู้สึก

          เอี้ยเทียนตบบ่าเต็งลิ้งพลางกล่าว

          “ตามเรามา”

          เต็งลิ้งจึงตามหลังมันไป

          เอี้ยเทียนเดินก้าวหนึ่ง เต็งลิ้งก็เดินก้าวหนึ่ง ทั้งสองเดินออกจากป่าเหมยไปโดยเร็วยิ่ง

-------------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น