วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) วิวาห์ที่สยองขวัญ

 

วิวาห์ที่สยองขวัญ

ม้วนภาพถูกคลี่ออก ในภาพมีอยู่สองคน

คนหนึ่งกุมกระบี่ยาว ยืนอยู่ที่หน้าเทียนแดงคู่หนึ่ง ตัวกระบี่มีโลหิตหยดเป็นจุดแต้ม

เสื้อผ้าและกระบี่ของคน วาดได้งามราวมีชีวิต แต่ใบหน้ากลับทิ้งว่างเป็นสีขาว

คนผู้นี้ถึงกับไม่มีหน้า!

อีกผู้หนึ่งนอนอยู่ที่ใต้กระบี่ อาภรณ์ที่สวมใส่ถึงกับเป็นการแต่งกายเยี่ยงเจ้าบ่าว!

สีหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแปรเปลี่ยนไปแล้ว

ความหมายของน่ำเก็งลั่งกระจ่างอย่างยิ่ง มันมาเพื่อล้างแค้นแทนน่ำเก็งเอี๊ยงค่ำคืนนี้ มันจะให้ก้วยเต๋งตายกับกระบี่ของมัน ตายอยู่เบื้องหน้าเทียนแดงหงส์มังกรในห้องพิธี

ก้วยเต๋งบาดเจ็บสาหัส ไม่มีกำลังพอจะต่อต้านมันได้อีกแล้ว

เจ้าของโรงเตี๊ยมชรา ก็สังเกตความหวาดกลัวของนางออก รับม้วนภาพเก็บไว้ พลันได้ยินเสียงคนถามขึ้นที่ด้านนอก

“ที่นี่ใช่โรงเตี๊ยมฮ้งปินหรือไม่?”

ผู้ถามเป็นชายกลางคน สวมเสื้อสีเหลือง ผมยาวสยาย เสื้อยาวของมันเพียงเสมอเข่า เหลืองจนเป็นประกายคล้ายทองคำ แต่ใบหน้ากลับกระด้างเย็นชา ไม่มีความรู้สึกสักน้อยนิด

เพียงเฉพาะคนเช่นนั้น ดูไปก็ลี้ลับพิสดารอย่างยิ่งอยู่แล้ว ที่ยิ่งพิกลพิสดาร คือ ด้านหลังของมันยังมีอีกสามคน ถึงกับแต่งกายและมีสีหน้าท่าทีไม่ผิดเพี้ยนกับมันสักน้อยนิด

มาตรว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมชรา จะหวั่นหวาดจนขนลุก แต่มิอาจไม่ปั้นหน้าให้ยิ้มแย้มไปทักทายได้

“โรงเตี๊ยมซอมซ่อนี้คือฮ้งปินจริงๆ”

คนเสื้อเหลืองกล่าว

“ก้วยเต๋งกงจื้อกับเต็งฮุ้นลิ้มโกวเนี้ย ประกอบพิธีมงคลในที่นี้หรือไม่?”

“ที่นี้จริงๆ”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราลอบชำเลืองดูเต็งฮุ้นลิ้มแวบหนึ่ง ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มก็มีความแตกตื่นสงสัย แสดงว่าไม่รู้จักทั้งสี่คนนี้

นางไม่มีปฏิกิริยาใด เจ้าของโรงเตี๊ยมชราจึงจำต้องเลียบเคียงถาม

“ท่านที่นับถือมาหาก้วยกงจื้อ?”

“มิใช่”

“มาส่งของขวัญ”

“ก็มิใช่”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราฝืนยิ้มกล่าว

“ไม่ส่งของขวัญก็ดื่มสุรามงคลได้เช่นกัน เชิญสี่ท่านไปนั่งทางด้านหลัง จิบน้ำชาพักผ่อนก่อน”

“พวกเราไม่ดื่มน้ำชา และมิใช่มาดื่มสุรามงคลด้วย”

เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มถาม

“อย่างนั้น หรือพวกท่านคิดจะมาดูเจ้าสาว?”

คนเสื้อเหลืองเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วตอบ

“ท่านคือเจ้าสาว?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ

“ดังนั้น หากพวกท่านต้องการดู ตอนนี้ก็ได้ดูแล้ว”

คนชุดเหลืองเหลือกตามองเพดานพลางกล่าว

“ที่พวกเราต้องการดู มิใช่เป็นเจ้าสาว”

“พวกท่านมาดูกระไร?”

“มาดูว่า ค่ำคืนนี้ มีผู้ใดกล้ามารังควานหาเรื่องในที่นี้หรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มกะพริบตา

“หากแม้นมี?”

คนเสื้อเหลืองแค่นเสียงเย็นชา

“ไม่อาจมี และไม่มีแน่นอน”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะพวกเราได้รับคำสั่งมาคุ้มครองความปลอดภัยของที่นี้ คุ้มครองเจ้าบ่าวให้เข้าห้องหอโดยราบรื่นปลอดภัย”

“มีพวกท่านอยู่ที่นี้ ต้องไม่มีผู้ใดกล้ามารังควานหาเรื่อง?”

“หากมีผู้กล้ามารังความหาเรื่องสักคนเดียว ค่ำนี้ในนครเชี่ยงอันก็มีคนตายขึ้นผู้หนึ่ง”

“หากแม้นมีคนกล้ามาเป็นจำนวนร้อย ในนครเชี่ยงอันก็มีคนตายอีกร้อยคน?”

“อีกหนึ่งร้อยกับสี่คน”

เป็นวาจาที่กล่าวกระจ่างอย่างยิ่ง แสดงว่าพวกมันทั้งสี่แม้มิใช่เป็นคู่มือของร้อยคนนั้น แต่ผู้มาก็อย่างหมายชีวิตรอดกลับไปได้

เต็งฮุ้นลิ้มระบายลมจากปากยาวๆ กล่าวต่อไป

“พวกท่านรับคำสั่งผู้ใดมา?”

คนเสื้อเหลืองเม้มปาก เต็งฮุ้นลิ้มถามอีก

“พวกท่านใช่คนของกิมจี๊ปังหรือไม่?”

คนเสื้อเหลืองมิกล่าวกระไรอีกเลย ปั้นหน้าเคร่งเครียด เดินตามกันเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ที่มีโต๊ะสุรามงคลตั้งเรียบร้อย

จากนั้น ทั้งสี่แยกเป็นสี่ทิศ ยืนแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว อยู่สี่มุมของห้องโถงใหญ่

เจ้าของโรงเตี๊ยมชรา อดมิได้ต้องระบายลมจากปาก ยังมิทันกล่าวกระไร พลันมีเสียงถามมาจากทางด้านนอก

“ที่นี้ใช่โรงเตี๊ยมฮ้งปินหรือไม่?”

---------------------------

ที่มาครานี้ ถึงกับเป็นกระยาจกที่ผมยุ่งเหยิง เสื้อคร่ำคร่าปุปะ สะพายกระสอบใบใหญ่ที่เก่าขาดคร่ำคร่า

มันย่อมมิใช่มาส่งของขวัญแน่

ในโลกมีแต่กระยาจกที่ขอเงินทองข้าวสาร ไม่เคยมีกระยาจกที่ส่งของขวัญเลย

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราขมวดคิ้วกล่าว

“ท่านมาเร็วเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแจกทาน”

กระยาจกกลับแค่นหัวร่อสวนคำ

“ท่านไฉนทราบว่าเรามาขอรางวัล?”

“ท่านมิใช่?”

“เฮอะ แม้นับว่าท่านมอบโรงเตี๊ยมนี้แก่เรา เรายังมิแน่จะต้องการ”

ขอทานผู้นี้มีวาจาโอหังไม่เบา เจ้าของโรงเตี๊ยมชราจึงฝืนยิ้มถาม

“หรือท่านก็คิดจะมาดื่มสุรามงคล?”

“ไม่ใช่”

“ท่านมาด้วยเรื่องอันใด?”

“ส่งของขวัญ”

ที่สมควรส่งของขวัญไม่ส่ง ที่ไม่สมควรส่งของขวัญ กลับส่งของขวัญมาแล้ว

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราถอนใจกล่าว

“ของขวัญอยู่ที่ใด?”

“อยู่ที่นี้”

กระยาจกปลดกระสอบเก่าขาดออกจากหลัง วางไปบนโต๊ะเก็บเงิน ไข่มุกโตประมาณลูกลำไยสิบกว่าลูกกลิ้งออกมาจากรอยขาดของกระสอบ

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราตะลึงลานไปทันที!

เต็งฮุ้นลิ้มก็ตระหนกไม่น้อย!

เพียงไข่มุกสิบกว่าลูกนี้ ก็มีค่ามหาศาลควรเมือง มาตรว่านางกำเนิดในตระกูลร่ำรวยอย่างยิ่ง แต่น้อยครั้งนักที่จะเคยเห็นไข่มุกโตปานนี้

มิคาด ในกระสอบมิเพียงมีไข่มุกเท่านั้น เมื่อแก้ปากกระสอบออก ทั้งห้องมีประกายอัญมณีกระจ่างจ้าทันที ไข่มุก ทับทิม บุษราคัม เพชร หยก จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน มิทราบมีอยู่เท่าใดกันแน่!

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราปากอ้าตาเหลือกค้าง ท่านคาดฝันไม่ถึง ในชีวิตจะมีวาสนาได้เห็นอัญมณีจำนวนมากหลายปานนี้

กระยาจกกล่าวเสียงเย็นชา

“เหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญ ให้เต็งโกวเนี้ยซื้อหาเครื่องประทินผิว ท่านโปรดรับไว้ด้วย”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราสูดลมหายใจหนาวเหน็บเฮือกใหญ่ แย้มยิ้มประจบพลางถาม

“ตั้วเอี๊ยแซ่ไร?”

กระยาจกแค่นเสียงเย็นชา

“เรามิใช่ตั้วเอี๊ย เราเป็นกระยาจกที่ขอเงินทองข้าวสาร”

มันพอหันกาย ร่างปราดไปถึงถนนใหญ่ทันที ความรวดเร็วในท่าร่าง น้อยคนในวงพวกนักเลงจะทัดเทียมได้

เต็งฮุ้นลิ้มคิดจะสกัดขวางมัน แต่ไม่ทันท่วงที เมื่อไล่ตามออกไป ผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนแม้มากหลาย แต่ไม่เห็นกระยาจกนั้นเลย

มันเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนส่งของขวัญที่มหาศาลปานนี้?

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราเอ่ยขึ้น

“ที่นี้มีเทียบฉบับหนึ่ง”

เทียบสีแดงฉาน มีอักษรเขียนไว้

เพื่องานมงคลสมรสของก้วยกงจื้อ เต็งโกวเนี้ย

                                                                      อภินันทนาการจาก

เตียเออปู

ตอเออกา

ปูตาลา

ปันซาปานา

เต็งฮุ้นลิ้มตะลึงลานอีกครั้ง เจ้าของโรงเตี๊ยมชราถาม

“เต็งโกวเนี้ยก็ไม่รู้จักทั้งสี่ท่านนี้?”

เต็งฮุ้นลิ้มฝืนยิ้มตอบ

“มิเพียงไม่รู้จักเท่านั้น กระทั่งนามทั้งสี่นี้ ยังมิเคยได้ยินมาก่อนเลย”

นามที่พิกลพิสดารมิเคยมีนี้ ผู้เคยได้ยินมีน้อยกว่าน้อยจริงๆ

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราขมวดคิ้วกล่าว

“หากกระทั่งโกวเนี้ยยังไม่เคยได้ยินนามพวกท่าน พวกท่านไฉนส่งของขวัญมูลค่ามหาศาลปานนี้มา?”

เต็งฮุ้นลิ้มก็คิดไม่ออก เจ้าของโรงเตี๊ยมชราจึงจำต้องแย้มยิ้มกล่าว

“อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อื่นส่งของขวัญมาแล้วย่อมมีความปรารถนาดีอยู่”

เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจยาว ยังมิได้เอยปาก ก็มีคนส่งเสียงถามที่หน้าประตู

“ที่นี้ใช่โรงเตี๊ยมฮ้งปินหรือไม่?”

 

ล้วนเป็นคำถามเช่นเดียวกัน แต่ที่มากลับเป็นคนสามระลอกที่ผิดแปลกกันโดยสิ้นเชิง

ที่มาสองระลอกก่อน นับว่าพิกลอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่มาครานี้กลับยิ่งพิกลกว่า

ตอนนี้เป็นฤดูหนาวเหน็บ แต่ผู้นี้กลับสวมเสื้อปอยาวเพียงตัวเดียว ศีรษะสวมหมวกทรางสูงลักษณะพิกลพิสดาร ใบหน้าเหลืองซีดดั่งสีผึ้ง มีเคราคางแพะหร็อมแหร็ม ดูไปคล้ายเพิ่งทุเลาจากป่วยหนัก แต่กลับพาลไม่กลัวหนาวสักน้อยนิด

มือซ้ายของมันถือร่ม มือขวาหิ้วหีบ ร่มทั้งเก่าทั้งขาด แต่หีบกลับดีอย่างยิ่ง ดูไปมิใช่หนังมิใช่ไม้ มิทราบสร้างขึ้นจากวัสดุใด แต่มิว่าผู้ใดต่างดูออก ต้องเป็นหีบที่มีค่าอย่างยิ่ง และพิเศษพิสดารอย่างยิ่ง หูหิ้วของหีบ ถึงกับยังเลี่ยมทองฝังหยกอีกด้วย

มันแม้สวมเสื้อปอบางเบา แต่ทีท่ากลับภาคภูมิอย่างยิ่ง สองตาเหลือกมองเพดานแค่นเสียงเย็นชา

“ที่นี้ใช่สถานที่ประกอบพิธีมงคลของผู้แซ่ก้วยหรือไม่?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราผงกศีรษะ มองหีบในมือมันแล้วเลียบเคียงถามขึ้น

“ท่านที่นับถือมาส่งของขวัญ?”

“มิใช่”

“มาดื่มสุรามงคล?”

“ก็มิใช่”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราจำต้องฝืนหัวร่อ กระทั่งถามก็ไม่มีปัญญาถามต่อไปแล้ว

แต่เต็งฮุ้นลิ้มพลันเอ่ยปากถาม

“ท่านก็คือน่ำเก็งลั่ง?”

คนเสื้อครามแค่นเสียงเย็นชา

“น่ำเก็งลั่งนับเป็นของใด? (หมายความสวะจนไม่มีค่า)”

เต็งฮุ้นลิ้มระบายลมจากปากยาวๆ แย้มยิ้มกล่าว

“มันมิใช่เป็นของใดจริงๆ”

“แต่เราเป็นของ”

เต็งฮุ้นลิ้มงุนงงทันที ผู้ที่บอกตัวเองเป็นของ นางกลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ

คนเสื้อปอปั้นหน้ากล่าว

“ท่านไฉนไม่ถาม เราเป็นของใด?”

“ข้าพเจ้ากำลังจะถาม”

“เราคือของขวัญ (ลีอุ)”

“ท่านแซ่ลี้?”

“มิใช่แซ่ลี้ เป็นของขวัญ”

เต็งฮุ้นลิ้มกะพริบตาถี่ๆ จ้องมองดูมันแน่วนิ่ง คนผู้นี้คล้ายเป็นตัวประหลาดอย่างยิ่งจริงๆ

นางเคยเห็นตัวประหลาดมา แต่ของขวัญที่พูดได้ เดินได้เยี่ยงนี้ นางกระทั่งยังมิเคยได้ยินเลย

คนเสื้อปอกล่าวอีก

“ท่านคือเต็งฮุ้นลิ้ม?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ คนเสื้อปอกล่าวต่อ

“วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะอีกครั้ง คนเสื้อปอกล่าว

“ดังนั้น มีคนส่งตัวเรามาเป็นของขวัญ เข้าใจหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มยังไม่เข้าใจ จึงเลียบเคียงถาม

“ท่านหมายความ มีคนถือท่านเป็นของขวัญ มาส่งให้ข้าพเจ้า?”

คนเสื้อปอถอนใจตอบ

“นับว่าท่านเข้าใจได้แล้ว”

“ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจ”

“เฮอะ ยังไม่เข้าใจ”

เต็งฮุ้นลิ้มฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าต้องการของขวัญเช่นท่านไปไย?”

“ย่อมมีประโยชน์”

“มีประโยชน์ใด?”

“ข้าพเจ้าสามารถช่วยชีวิตคน”

“ช่วยชีวิตผู้ใด?”

“ก้วยเต๋งสามีท่าน”

“ไฮ้! ท่านสามารถช่วยมันได้?”

คนเสื้อปอแค่นเสียงเย็นชา

“หากเราไม่สามารถช่วยมัน ในแผ่นดินต้องไม่มีบุคคลที่สองสามารถช่วยมันไว้ได้”

เต็งฮุ้นลิ้มจับตามองดูมัน ดูการแต่งตัวที่ประหลาดพิกล ใบหน้าที่เหลืองซีด ร่มในมือซ้าย หีบในมือขวาของมันอยู่ไปมา

ใบหน้าของนางพลันแดงฉานด้วยความลิงโลดยินดี

คนเสื้อปอกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เรามิใช่มาให้ท่านดู และไม่พอใจให้สตรีมาเขม้นมองเรา”

“ข้าพเจ้าทราบ”

“ท่านทราบ?”

ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มเป็นประกายแวววาว กล่าวต่อไป

“ข้าพเจ้าก็ทราบท่านเป็นผู้ใดแล้ว”

“เราเป็นผู้ใด?”

“ท่านแซ่กัวนามแป้ (โรค) ท่านคือก้วแป้ที่มีสมญาหีบหมื่นวิเศษ ร่มฟ้าดิน พญายมไม่มีปัญญาเกี่ยวข้องบังคับ”

“ท่านเคยเห็นกัวแป้?”

“ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น แต่ข้าพเจ้ามักได้ยินเอี๊ยบไคเอ่ยถึง”

“อ้อ?”

“เอี๊ยบไคว่า กัวแป้เป็นโรคออดๆ แอดๆ มาแต่เยาว์วัย และยังเป็นโรคที่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาได้ ดังนั้นจึงคิดหาวิธีรักษาตัวเอง จนภายหลังได้กลายเป็นแพทย์เทพยดาอันดับหนึ่งในแผ่นดิน กระทั่งพญายมยังไม่มีทางเกี่ยวข้องบังคับท่าน เนื่องเพราะกระทั่งคนตาย ท่านยังสามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีวิต”

คนเสื้อปอแค่นหัวร่อกล่าว

“เอี๊ยบไคนับเป็นตัวใดอีก?”

“มันมิใช่เป็นตัวใด มันเป็นสหายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบ...”

นางพลันโถมเข้าไปบีบมือคนเสื้อปอแนบแน่น หอบหายใจร้อง

“ใช่เอี๊ยบไคเรียกให้มาหรือไม่? มันใช่ยังไม่ตายหรือไม่?”

คนเสื้อปอแค่นเสียงเย็นชา

“ท่านหาคนผิดแล้ว”

“ข้าพเจ้าไม่ได้ผิด”

“ท่านเป็นเจ้าสาว ท่านสมควรไปหาตัวผู้ของท่าน ไฉนมาลากมือเราไว้?”

วาจาของมันแสดงว่ายังมีความหมายลึกซึ้ง

“... ในเมื่อท่านแต่งให้ก้วยเต๋ง ท่านก็ไม่ควรฉุดเรา และไม่ควรถามหาเอี๊ยบไคอีก”

มือเต็งฮุ้นลิ้มคลายออกทีละน้อย ก้มศีรษะต่ำจนคางแทบจรดอก กล่าวเสียงเครือ

“อาจบางทีข้าพเจ้าหาคนผิดจริงๆ แล้ว”

“ท่าน... ท่านต้องการหาก้วยเต๋ง”

“ใช่ หากท่านไม่คิดจะเป็นม่าย จงรีบพาเราไปโดยด่วน”

 

อัญมณียังกองอยู่บนโต๊ะเก็บเงิน แต่คนเสื้อปอมิได้เหลือบแลสักแวบเดียว ลมหนาวกลับพาลกรรโชกเทียบสีแดงฉาน ให้ปลิวลงแทบเท้ามัน

มันมิได้ก้มลงเก็บ เพียงแต่ก้มมองแวบเดียว

เพียงแวบเดียว สีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนเป็นประหลาดอย่างยิ่ง พลันถามขึ้น

“นี่เป็นผู้ใดส่งมา?”

เต็งฮุ้นลิ้มตอบ

“กระยาจกคนหนึ่ง”

“กระยกจกรูปลักษณะใด?”

เต็งฮุ้นลิ้มลังเล เนื่องเพราะนางก็มิได้สังเกตชัดเจน หัวใจนางว้าวุ่นเกินไป

นับว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมชรา ยังมีสติที่แจ่มใสกว่าจึงเป็นผู้ตอบ

“เป็นกระยาจกที่ไม่สูงวัยนัก พอใจเหลือบมองเพดานยามกล่าววาจา คล้ายดั่งต้องการหาเรื่องทุ่มเถียงกับผู้อื่นเสมอ”

เต็งฮุ้นลิ้มก็นึกถึงเรื่องหนึ่งมาได้ จึงกล่าวไป

“ท่าร่างของมันรวดเร็วอย่างยิ่ง และพิกลอย่างยิ่ง”

“พิกลเยี่ยงไร?”

“ตอนมันหันกาย คล้ายเป็นลูกข่างใหญ่”

คนเสื้อปอหน้าเครียดเย็นชา อึ้งเป็นเนิ่นนานจึงถามอีก

“ในอัญมณีเหล่านี้ มีป้ายหยกที่สลักเป็นรูปอสูรร้ายสี่ตัวหรือไม่?”

มีอยู่

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราหาพบได้โดยเร็ว บนป้ายหยกสลักรูปอสูรร้ายอยู่สี่ตัว ตัวหนึ่งมือถือจานหมึก (หมายถึงภูมิปัญญา) ตัวหนึ่งถือคทา (หมายถึงอำนาจ) ตัวหนึ่งแบยอดเขาอยู่ในฝ่ามือ ยังมีอีกตัวหนึ่งถึงกับแบร่างสตรีเปลือยเปล่าอยู่ในฝ่ามือ

คนเสื้อปอเมื่อเห็นป้ายหยก แก้วตาคล้ายดั่งหดเล็กลง

เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องถาม

“ท่านรู้จักสี่คนนี้เป็นผู้ใด?”

คนเสื้อปอมิได้ตอบ แต่แค่นหัวร่อ

---------------------------

ก้วยเต๋งถึงกับสามารถยืนขึ้นได้

ความเปรื่องปราดสามารถของคนเสื้อปอ ถึงกับคล้ายกระทั่งพญายมยังไม่มีปัญญาเกี่ยวข้องบังคับจริงๆ

แต่ทว่า รอจนเมื่อเต็งฮุ้นลิ้มจะขอบพระคุณมัน พบเห็นว่ามันสาบสูญไปแล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มก็ไม่มีปัญญาออกไปหามัน

ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้ามงคลของเจ้าสาว (เป็นเสื้อกระโปรงแดง ปักรูปหงส์ หรือรูปดอกไม้ด้วยไหมสีทอง ฮี้เนี้ย (สตรีดูแลเจ้าสาว ส่วนมากมีวัยกลางคน ชำนาญในพิธีวิวาห์) ที่เจ้าของโรงเตี๊ยมชราว่าจ้างมา กำลังทาลิ้นจี่แต้มสุดท้ายให้แก่นางอยู่

ผู้อวยพรพากันมามากมายแล้ว ในจำนวนนั้นมีคนคุ้นเคยของพวกนางหรือไม่? เอี้ยเทียนกับลู่เต๊กมาแล้วหรือไม่?

เต็งฮุ้นลิ้มไม่ทราบโดยสิ้นเชิง

นางตอนนี้ย่อมไม่อาจออกไปเหลียวซ้ายแลขวาได้อีก นางนั่งนิ่งอยู่ที่ขอบเตียง ตลอดร่างคล้ายดั่งชาแข็งไปแล้ว

เสียงมโหรีทางด้านนอกดังวิเวกหวาน ฮี้เนี้ยนางหนึ่งวิ่งออกไปดูแล้ววิ่งกลับมาอีกครา กระซิบว่า

“พวกอาคันตุกะใกล้จะนั่งเต็มโต๊ะแล้ว เจ้าบ่าวก็กำลังรอคอยกราบไหว้ฟ้าดิน เจ้าสาวสมควรออกไปได้แล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มมิได้เคลื่อนไหว

... กัวแป้ใช่เป็นเอี๊ยบไคหามาหรือไม่? เอี๊ยบไคใช่ยังไม่ตายหรือไม่?

หัวใจนางปวดแปลบอย่างยิ่ง

หากเจ้าบ่าวที่รอคอยอยู่ทางด้านนอกเป็นเอี๊ยบไค นางต้องทะยานออกไปปานสกุณาน้อยเสียเนิ่นนานแล้ว

...เอี๊ยบไคเล่า?

เต็งฮุ้นลิ้มพยายามฝืนใจข่มกลั้นตัวเองไว้ ตอนนี้ต้องไม่อาจปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลเด็ดขาด

นี่ความจริงเป็นเรื่องที่นางยินยอมพร้อมใจเอง

ก้วยเต๋งเป็นคนดี และก็เป็นชายชาตรีเข้มแข็ง น้ำใจที่มันมีต่อนาง อาจบางทียังหนักแน่นลึกซึ้งกว่าเอี๊ยบไคด้วย

เอี๊ยบไคมักจะมีทีท่าบัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวเย็นต่อนางเสมอ ทั้งยังปล่อยตัวโดยไม่มีทางหยั่งคำนวณหัวใจมันออกอีกด้วย

อย่าว่าแต่ก้วยเต๋งช่วยชีวิตนางไว้ สตรีที่ยอมวิวาห์เพื่อทดแทนพระคุณ นางมิใช่เป็นคนแรก

นางปลอบประโลมตัวเอง เตือนตัวเอง แต่หัวใจนางยังคงอดมิได้ต้องถาม

เยี่ยงนี้ถูกหรือผิดกันแน่?

ปัญหานี้ ไม่มีผู้ใดสามารถตอบนางได้ตลอดกาลนาน

-----------------------------

เสียงมโหรีถี่เร็วทีละน้อย ด้านนอกมีคนเข้ามาเร่งรัดแล้ว ในที่สุดเต็งฮุ้นลิ้มทรงกายขึ้น คล้ายดั่งรวมพละกำลังทั้งตัว จึงสามารถยืนขึ้นมาได้

ฮี้เนี้ยใช้แพรแดงคลุมศีรษะนางไว้ สองคนประคองนางเดินช้าๆ ออกจากห้องไป

ผ่านระเบียงยาว ผ่านลานตึกกว้าง ในห้องโถงใหญ่มีเสียงอึกทึกกึกก้อง เสียงต่างๆ ดังสับสนจนเซ็งแซ่

แต่เสียดาย พาลขาดเสียงที่นางปรารถนาจะได้ยินเป็นที่สุดไป... เสียงหัวร่อของเอี๊ยบไค

บัดนี้ มิว่าเอี๊ยบไคยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่างมิเป็นที่สำคัญแล้ว

นางเดินไปที่ข้างกายก้วยเต๋ง ก็ได้ยินเสียงผู้ประกาศกำลังร้องดังๆ

“หนึ่งกราบฟ้าดิน”

ฮี้เนี้ยทั้งสองเตรียมจะประคองนางให้คุกเข่า พลันมีเสียงแผดร้องด้วยความตระหนกแล้ว เสียงชายเสื้อปะทะลมวูบมาที่เบื้องหน้านาง

น่ำเก็งลั่ง? !

เต็งฮุ้นลิ้มนึกถึงภาพวาดนั้นทันที นึกถึงคนในภาพวาดที่ไม่มีหน้า นึกถึงกระบี่ที่มีโลหิตหยดหยาด

นางไม่นึกถึงเรื่องอื่นใดอีกแล้ว ยกมือเลิกแพรคลุมหน้าของนางออกทันที

นางก็เห็นคนผู้หนึ่งในบัดดล!

เป็นคนสวมอาภรณ์ดำสะพายกระบี่ ใบหน้าเผือดขาวราวซากศพ คล้ายดั่งเป็นคนที่มีแต่ในฝันร้าย เป็นวิญญาณของภูตพรายเท่านั้น!

คนผู้นี้ยืนอยู่เบื้องหน้านาง ในมือยังหิ้วกล่องไม้อีกใบหนึ่ง

คนชุดเหลืองที่คุมเชิงอยู่สี่มุมห้อง เตรียมจะล้อมเข้ามาแล้ว ใบหน้าก้วยเต๋งก็แปรเปลี่ยนสีไป

เต็งฮุ้นลิ้มพลันแค่นหัวร่อกล่าว

“น่ำเก็งลั่ง ข้าพเจ้าทราบท่านต้องมาอยู่ก่อนแล้ว”

แต่คนชุดดำกลับสั่นศีรษะตอบ

“เรามิใช่น่ำเก็งลั่ง”

“ท่านมิใช่?”

“เรามาส่งของขวัญ”

“ไฉนจนบัดนี้จึงเพิ่งส่งของขวัญมา?”

“มาตรว่าส่งช้าไปบ้าง ย่อมประเสริฐกว่าไม่ส่งมากนัก”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันแค่นหัวร่อกล่าว

“น่ำเก็งลั่ง ข้าพเจ้าทราบท่านต้องมาอยู่ก่อนแล้ว”

แต่คนชุดดำกลับสั่นศีรษะตอบ

“เรามิใช่น่ำเก็งลั่ง”

“ท่านมิใช่?”

“เรามาส่งของขวัญ”

“ไฉนจนบัดนี้จึงเพิ่งส่งของขวัญมา?”

“มาตรว่าส่งช้าไปบ้าง ย่อมประเสริฐกว่าไม่ส่งมากนัก”

เต็งฮุ้นลิ้มมองกล่องไม้ในมือมันพลางถาม

“นี่คือของขวัญที่ท่านส่งมา?”

คนชุดดำผงกศีรษะ มือหนึ่งยกกล่องไม้ มือหนึ่งเปิดฝากล่อง

ฮี้เนี้ยที่ยืนข้างกายเต็งฮุ้นลิ้ม พลันกรีดร้องสุดเสียงแล้วล้มฮวบลงไป สิ้นสติด้วยความตระหนก!

นางแลเห็นแล้ว ในกล่องไม้บรรจุของใด? !

ของขวัญที่คนชุดดำส่งมา ถึงกับเป็นศีรษะคนที่มีโลหิตเยิ้มชุ่มโชก!

เป็นศีรษะผู้ใด?

เทียนแดงรูปหงส์มังกรลุกสว่างไสว เปลวเทียนเป็นสีแดง แดงฉานปานโลหิต

โลหิตก็เป็นสีแดง ยังไม่แห้ง! !

ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเผือดขาว

คนชุดดำมองนางพลางกล่าวเสียงราบเรียบ

“หากท่านมีความเห็น ของขวัญที่ข้าพเจ้าส่งมาเป็นอกุศลจิต ท่านก็ผิดไปแล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มแค่นหัวร่อสวนคำ

“หรือนี้เป็นกุศลจิตได้?”

“มิเพียงเป็นกุศลจิตเท่านั้น เรายังประกันได้ ในหมู่อาคันตุกะที่มาในวันนี้ต้องไม่มีผู้ใดส่งของขวัญล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญของเรา”

“อ้อ?”

คนชุดดำชี้ศีรษะในกล่องไม้พลางกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะหากคนผู้นี้ไม่ตาย สองท่านวันนี้น่ากลัวยากที่จะผ่านพิธีมงคลสมรส โดยราบรื่นปลอดภัย”

“คนผู้นี้เป็นใคร?”

“คนที่จงใจมาเด็ดศีรษะพวกท่านโดยเฉพาะ”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันร้องด้วยความตระหนก

“ศีรษะน่ำเก็งลั่ง?”

“ใช่! มันนั่นเอง”

เต็งฮุ้นลิ้มระบายลมจากปากเบาๆ กล่าวว่า

“ท่านเป็นผู้ใด?”

“ก่อนนี้ก็เป็นศัตรูของน่ำเก็งลั่ง”

“บัดนี้เล่า?”

“บัดนี้เป็นคนมาส่งของขวัญ กำลังเป็นอาคันตุกะที่กำลังรอดื่มสุรามงคล”

เต็งฮุ้นลิ้มจ้องมองมัน รู้สึกตนคล้ายไม่มีวาจาพอจะถามอีก

ในห้องโถงใหญ่ มีคนประเภทต่างๆ แออัดยัดเยียด ในหมู่ผู้คน พลันเสียงแหลมเล็กราวกับเข็มดังขึ้น

“สวมหน้ากากหนังมนุษย์มาดื่มสุรามงคล น่ากลัวไม่สะดวกยิ่งกระมัง?”

ใบหน้าคนชุดดำแม้ไม่มีความรู้สึก แต่แก้วตาพลันหดเล็กลง ตวาดเสียเกรี้ยวกราด

“ผู้ใดกัน?”

เสียงนั้นแค่นหัวร่อสวนคำ

“ท่านไม่มีทางรู้จักเราเป็นผู้ใดตลอดกาล แต่เรากลับรู้จัก ท่านก็คือตัวน่ำเก็งลั่ง”

คนชุดดำพลันลงมือ ฟาดทั้งกล่องศีรษะคนใส่ใบหน้าเต็งฮุ้นลิ้ม กระบี่ที่หลังถูกกระชากออกจากฝัก

ประกายกระบี่วูบขึ้น แทงสวบเข้าใส่ทรวงอกก้วยเต๋ง!

การเปลี่ยนแปรนี้รวดเร็วเกินไป มันลงมือยิ่งรวดเร็วกว่า!

ก้วยเต๋งที่สามารถยืนได้ ยังต้องฝืนกำลังอย่างยิ่งอยู่แล้ว ไหนเลยยังจะหลบหลีกการจู่โจมที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบของมันพ้น

เต็งฮุ้นลิ้มก็ได้แต่เบิ่งตาดูเท่านั้น

ศีรษะที่มีโลหิตชุ่มโชกพุ่งเข้าใส่ใบหน้า มิว่าผู้ใดต่างต้องตระหนกเฮือกหนึ่งแน่

รอจนเมื่อนางหลบพ้น กระบี่ก็ห่างจากทรวงอกก้วยเต๋งไม่ถึงหนึ่งเชียะ!

มาตว่าในมือนางจะมีกระพรวนทองชิงชีวิต แต่มิแน่จะซัดทันเวลา อย่าว่าแต่ในตัวของเจ้าสาวย่อมต้องไม่มีอาวุธร้ายใดๆ

...คนที่ไม่มีหน้า กระบี่ที่มีโลหิตหยดหยาด

เห็นว่าภาพที่วาดนั้น ใกล้จะกลายเป็นความจริงอยู่กับตา เห็นว่าก้วยเต๋งตายในคมกระบี่มันแน่แล้ว

ทั้งพิภพจบแดน แทบไม่มีผู้ใดสามารถช่วยชีวิตก้วยเต๋งได้

แต่ในพริบตานั้น พลันมีประกายเจิดจ้าวูบขึ้น

ประกายมีดที่เจิดจ้า แต่ยังเร็วกว่าสายฟ้ามากนัก กระจ่างจ้าบาดตากว่าสายฟ้ามากนัก คล้ายดั่งซัดมาจากทางนอกหน้าต่างซ้ายมือ

ประกายมือพอวูบขึ้น เต็งฮุ้นลิ้มก็พุ่งฝ่าหน้าต่างออกไป ทอดทิ้งอาคันตุกะเต็มห้อง ทอดทิ้งก้วยเต๋งที่อยู่ใต้คมกระบี่

ทอดทิ้งทุกสรรพสิ่งโดยสิ้นเชิง!

เนื่องเพราะนางทราบ มีดสั้นต้องช่วยชีวิตก้วยเต๋งไว้ได้แน่ ต้องสามารถตีโต้คนชุดดำให้ล่าถอยได้แน่

นี่เป็นมีดช่วยชีวิต เคยช่วยชีวิตคนมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว

นางทราบ ทั่วพิภพจบแดน มีเพียงผู้เดียวที่สามารถซัดมีดเช่นนี้

มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น!

นางต้องไม่ยอมปล่อยให้คนผู้นี้ หลบหน้าหนีไปในสภาพนี้ แม้นับว่านางต้องตาย นางก็ต้องเห็นคนผู้นี้ให้ได้!

-----------------------

วิกาลดึกสงัด

ฟากฟ้าที่เวิ้งว้าง มีดาวอยู่เพียงมิกี่ดวง ในแสงดาวที่เลือนราง คล้ายยังเห็นเงาร่างที่ห่างไกลอยู่สายหนึ่ง

มาตรว่านางไล่ตามรวดเร็วยิ่ง แต่คนผู้นั้นกลับยิ่งเร็วกว่า

ตอนนางโถมออกจากหน้าต่าง คนผู้นั้นก็ได้ไปไกลกว่ายี่สิบวาแล้ว

แต่นางไม่ท้อแท้ แม้ทราบไม่มีทางไล่ตามผู้นั้นทันเด็ดขาด นางยังต้องไล่ตามแน่นอน

นางใช้พละกำลังเท่าที่มี ไล่ตามไปจนสุดแรง

ที่ห่างไกลยิ่งมืดเลือนราง กระทั่งเงาร่างก็ไม่เห็นแล้ว ทางตรอกด้านข้าง มีศาลบูชาโบราณหลังหนึ่ง ยังคงจุดโคมโดดเดี่ยวอยู่เลือนราง

ในนครโบราณเช่นเชี่ยงอัน ทุกแห่งหนพอจะพบเห็นศาลบูชาที่รกร้างทรุดโทรมเยี่ยงนี้

นางพลันชะงักเท้าหยุดกาย ส่งเสียงดังก้อง

“เอี๊ยบไค ข้าพเจ้าทราบเป็นท่าน ข้าพเจ้าทราบท่านยังมิได้หนีไปไกล ท่านต้องได้ยินเสียงข้าพเจ้า”

ในความมืดเงียบวังเวง ไม่มีเสียงขาน มีแต่เสียงต้นแป๊ะโบราณ คล้ายทอดถอนใจอยู่ในสายลมหนาว

“มิว่าท่านต้องการออกมาพบข้าพเจ้าหรือไม่ ท่านต่างสมควรฟังวาจาข้าพเจ้าให้จบความ”

นางขบริมฝีปากแนบแน่น พยายามข่มกลั้นน้ำตาไว้

“ข้าพเจ้ามิได้กระทำเรื่องทรยศต่อท่าน หากท่านไม่ต้องการพบข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าก็ไม่ตำหนิท่าน แต่ทว่า... ข้าพเจ้าพอจะฆ่าตัวตายได้”

นางพลันกระชากอกเสื้อออก เผยเห็นทรวงอกที่ขาวผ่อง

มองในความมืด ทรวงอกของนางขาวผ่องเป็นประกายราวต่วนเนื้อดี แต่สายลมกลับคล้ายคมมีด

นางเริ่มสั่นระริกไม่หยุดยั้งอีก

“ข้าพเจ้าทราบ ท่านอาจบางทีไม่เชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบ... แต่ครั้งนี้ ข้าพเจ้ากับต้องตายให้ท่านดู...”

นางยกมือที่สั่นระริกขึ้น ชักปิ่นทองยาวแปดนิ้วออกจากมวยผม รวมกำลังทั้งร่าง ปักเข้าใส่หว่างกลางทรวงอกนาง!

นางคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ!

สำหรับกับนาง ในโลกนี้ไม่มีคุณค่าใด ให้นางต้องรักอาลัยอีกแล้ว

ครอบครัวประสบเภทภัยอเนจอนาถ เฮียม่วยพลัดพรากจากกัน บนฟ้าและพสุธา นางเหลือคนที่พึ่งพาได้อยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ความจริงนางตกลงใจติดตามคนผู้นี้ไปตลอดชีวิต แต่ทว่าบัดนี้คนผู้นี้ กลับกระทั่งยังมิยอมพบนางอีก

ปิ่นทองชำแรกเข้าไปในทรวงอก โลหิตสาดกระเซ็น

ขณะเวลานั้นเอง พลันมีเงาร่างสายหนึ่ง พุ่งวาบออกมาจากในเงามืดดั่งเหินบินคว้าข้อมือนางไว้

ปิ่นทองร่วงหล่นบนหลังคาดังติง โลหิตสดๆ สีแดงฉานไหลผ่านเสื้อชั้นในสีขาวเป็นทาง

ในที่สุดนางก็เห็นคนผู้นั้น คนที่นางใฝ่ฝันทุกวันคืน มิว่าเป็นหรือตายต่างไม่อาจลืมเลือนได้

ในที่สุด นางก็ได้เห็นเอี๊ยบไค!

 

วิกาลยะเยียบเลือนราง ในแสงดาวซีดจางสาดส่องใบหน้าเอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคยังคล้ายเป็นสารรูปเดิม ดวงตายังคงสุกใสอย่างยิ่ง มุมปากยังคงมีรอยยิ้มเล็กน้อย

แต่ทว่า หากท่านพิจารณาโดยละเอียดก็จะพบเห็น ดวงตาแม้สุกใส นั่นเป็นประกายของหยดน้ำ

มาตรว่ายังยิ้มแย้ม แต่ในรอยยิ้ม กลับเปี่ยมด้วยความหดหู่รันทด

“ท่านมิต้องทำดั่งนี้ โอ... ท่านไฉนต้องทำลายตัวเอง?”

เต็งฮุ้นลิ้มเพ่งตามอง เพ่งมองจนซึมเซา ตลอดร่างชาด้านคล้ายไม่มีวิญญาณ

“พบกันกลับมิสู้ไม่พบ”

“ไฉนสวรรค์จึงต้องจัดให้พวกเราได้พบกันอีกครั้ง เพราะเหตุใด?”

แสดงว่าเอี๊ยบไคพยายามข่มกลั้นตัวเองอยู่เต็มที่

“ข้าพเจ้าทราบ ท่านมิได้ทรยศต่อข้าพเจ้า ท่านมิได้ผิด ที่ผิดคือข้าพเจ้า”

“ท่าน...”

“ท่านมิต้องกล่าวกระไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าต่างทราบแล้ว”

“ท่าน... ทราบจริงๆ?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ กล่าวเสียงเครือ

“หากข้าพเจ้าเป็นท่าน ข้าพเจ้าก็ต้องทำดั่งนี้ ก้วยเต๋งเป็นบุรุษหนุ่มที่มีอนาคต เป็นคนประเสริฐเลิศดี ท่านย่อมไม่อาจเห็นมันตายเพราะท่าน”

น้ำตาเต็งฮุ้นลิ้มหลั่งไหลดุจทำนบทลาย ร้องเสียงเครือ

“แต่ข้าพเจ้า...”

“ท่านเป็นดรุณีที่ดีงามยิ่ง ท่านทราบ มีแต่ต้องทำดั่งนี้ จึงสามารถให้ก้วยเต๋งรู้สึก ยังพอมีชีวิตต่อไปได้ คนเราหากกระทั่งตัวเองไม่คิดมีชีวิตอยู่ ในโลกต้องไม่มีผู้ใดสามารถช่วยมันไว้ได้ กระทั่งกัวแป้ก็ไม่สามารถเช่นกัน”

เอี๊ยบไคเข้าใจก้วยเต๋งจริงๆ ยิ่งเข้าใจนางกระจ่างกว่า

ในโลกต้องไม่มีเรื่องราวใด ทรงค่ายิ่งกว่าความเห็นใจและเข้าใจ

เต็งฮุ้นลิ้มคล้ายเป็นทารกที่ถูกรังแกจนคับแค้น พลันโถมเข้าไปในอ้อมอกเอี๊ยบไค เปล่งเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บช้ำ

เอี๊ยบไคปล่อยให้นางร่ำไห้

ร่ำไห้ก็เป็นการระบายวิธีหนึ่ง

เอี๊ยบไคหวัง ความคับแค้นและรันทดในใจนาง สามารถหลั่งไหลตามน้ำตาออกให้หมดสิ้น

แต่ตัวเอี๊ยบไคเองเล่า?

เอี๊ยบไคไม่อาจร่ำไห้เด็ดขาด กระทั่งลอบหลั่งน้ำตาสักหลายหยดก็ไม่ได้ เอี๊ยบไคทราบ ในระหว่างพวกตนทั้งสาม อย่างน้อยต้องมีผู้หนึ่ง หนักแน่นเข้มแข็ง

ตัวเอี๊ยบไคจะต้องหนักแน่นเข้มแข็ง!

มิว่าเป็นความคับแค้นและรันทดยิ่งใหญ่เพียงใด ต่างต้องคิดหาวิธีงำไว้ในก้นบึ้งหัวใจ... ขบกรามทนทานไว้

เอี๊ยบไคสามารถอดกลั้น!

 

วิกาลยิ่งดึก ลมยิ่งเหน็บหนาว

มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด ในที่สุด เสียงร่ำไห้ของนางก็กลายเป็นสะอื้นเบา เอี๊ยบไคจึงดันร่างนางออกเบาๆ พลางกล่าว

“ท่านสมควรกลับแล้ว”

“ท่านเรียกข้าพเจ้ากลับไป? กลับไปที่ใด?”

“กลับไปที่ซึ่งท่านมาเมื่อครู่...ผู้อื่นจะต้องรอจนกระวนกระวายยิ่งแล้ว”

ร่างเต็งฮุ้นลิ้มพลันเย็นเฉียบจนชาแข็งอีกครา

“ท่าน... ท่านยังต้องให้ข้าพเจ้า กลับไปแต่งแก่ก้วยเต๋ง?”

“ท่านต้องไม่อาจทอดทิ้งมันในสภาพนี้เด็ดขาด... ท่านก็สมควรทราบ หากท่านสะบัดหน้ามาเยี่ยงนี้ มันต้องไม่มีปัญญายังชีวิตต่อไปได้อีก”

เต็งฮุ้นลิ้มก็มิอาจไม่ยอมรับ เท่าที่ก้วยเต๋งมีความเข้มแข็งยังชีวิตอยู่ได้ ล้วนเนื่องเพราะนางคนเดียว

หัวใจเอี๊ยบไคปวดแปลบราวมีดกรีดเฉือน แต่ยังคงต้องตัดใจให้เข้มแข็งกล่าวต่อไป

“หากก้วยเต๋งตายไปจริง มิเพียงข้าพเจ้าไม่อาจอโหสิให้ท่านเท่านั้น ท่านก็ต้องไม่ยอมอโหสิให้ตัวเองตลอดกาล”

.... อย่างนั้น แม้นับว่าพวกเราสามารถได้อยู่กัน ก็ต้องเจ็บช้ำใจไปชั่วชีวิต

เอี๊ยบไคมิได้กล่าววาจานั้น เนื่องเพราะทราบ เต็งฮุ้นลิ้มต้องสามารถเข้าใจ

เต็งฮุ้นลิ้มก้มศีรษะต่ำ เนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวเสียงเครือ

“ข้าพเจ้ากลับไป ท่านเล่า?”

“ข้าพเจ้าสามารถรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้... ท่านสมควรทราบ ข้าพเจ้าเป็นคนเข้มแข็งอย่างยิ่งเสมอมา

เอี๊ยบไคคิดจะพยายามฝืนยิ้มปลอบใจนาง แต่ก็ไม่มีปัญญายิ้มออก เต็งฮุ้นลิ้มถามเสียงเครืออีกครา

“แล้วภายภาคหน้า หรือเราไม่อาจพบกันอีก?”

“ย่อมพบกันได้เสมอ”

หัวใจเอี๊ยบไคปวดแปลบอีกครั้ง นี่เป็นคราแรกที่โป้ปดนาง แต่มิอาจไม่กล่าวเช่นนี้...

“ขอเพียงเรื่องราวผ่านพ้น พวกเราย่อมยังพบกันได้อีก”

เต็งฮุ้นลิ้มเงยหน้าเพ่งมองพลางกล่าว

“ก็ได้ ข้าพเจ้ารับปากท่าน ข้าพเจ้ากลับไป แต่ท่านก็ต้องรับปากข้าพเจ้าเรื่องหนึ่ง”

“ท่านบอกมา”

“หากเรื่องราวผ่านพ้น หากข้าพเจ้ายังหาท่านไม่พบ ท่านต้องบอกข้าพเจ้าท่านอยู่ที่ใด?”

เอี๊ยบไคหลบสายตานางพลางตอบ

“ขอเพียงทราบเรื่องราวผ่านพ้น ไม่ต้องให้ท่านไปหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องไปหาท่านเอง”

“หากข้าพเจ้าสามารถคลี่คลายเรื่องราวที่มีโดยดี หากก้วยเต๋งสามารถอยู่ต่อไปโดยดี ท่านก็จะมาหาข้าพเจ้า?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ เต็งฮุ้นลิ้มถาม

“ที่ท่านกล่าวเป็นวาจาสัตย์จริง? ท่านมิได้หลอกลวงข้าพเจ้า?”

“เป็นความจริง”

หัวใจเอี๊ยบไคแหลกสลายแล้ว

ตัวเองทราบ ที่กล่าวไปมิใช่เป็นวาจาจริงเลย แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับเชื่อสนิทใจ

...มนุษย์เรา ไฉนมักจะหลอกลวงคนอื่นที่เชื่อถือตนที่สุดเสมอ?

เนื่องเพราะมันจำเป็น มันอับจนปัญญา

...ไฉนช่วงชีวิต จึงมักมีเรื่องเจ็บช้ำรันทดที่อับจนปัญญาคลี่คลายอยู่มากหลาย?

เอี๊ยบไคไม่ทราบ และไม่มีปัญญาเข้าใจ

เอี๊ยบไคเพียงทราบ ตนมีทางพอจะเดินอยู่เพียงสายเดียว... ทางว้าเหว่เงียบเหงาที่ยาวไกล!

บุรุษชาติชาตรีที่แท้จริง หากเมื่อถึงคราจำเป็น มักต้องเสียสละตัวเอง ไปส่งเสริมผู้อื่นอยู่เสมอ

ในที่สุดเต็งฮุ้นลิ้มตัดสินใจกล่าว

“ได้ ข้าพเจ้าไปในบัดนี้ ข้าพเจ้าเชื่อถือท่าน”

“ข้าพเจ้า... ภายหน้าจะต้องไปเยี่ยมท่าน”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ หันกายช้าๆ คล้ายพั่งไม่กล้าเหลือบมองเอี๊ยบไคอีกสักแวบเดียว

นางกลัวนางจะเปลี่ยนใจ

นางหันกายทิ้งแสงจันทร์ไว้ที่เบื้องหลัง และก็ได้ทิ้งชีวิตไว้ด้านหลัง นางกำหมัด กัดฟันแนบแน่น รวบรวมพละกำลังทั้งมวลที่มี ในที่สุด เปล่งออกสามคำ

“ท่านไปเถิด”

เอี๊ยบไคไปแล้ว

เอี๊ยบไคมิได้กล่าวอีกแม้สักคำเดียว และมิกล้ากล่าวอีกด้วย

เอี๊ยบไคใช้พละกำลังทั้งมวลเท่าที่มี จึงสามารถข่มกลั้นตัวเองไว้ได้

ลมหนาเหน็บดั่งคมมีด เอี๊ยบไควิ่งฝ่าสายลมไป วิ่งเป็นเวลาเนิ่นนาน จึงได้งอเอวลง เริ่มอาเจียนไม่หยุดยั้ง

 

มนุษย์เราเมื่อถึงคราเจ็บช้ำรันทดถึงขีดสุด ไฉนมักกลายเป็นไม่มีน้ำตาหลั่งไหล กลับกลายเป็นต้องอาเจียน

เต็งฮุ้นลิ้มก็อาเจียน

นางอาเจียนไม่หยุดยั้ง กระทั่งน้ำขมในกระเพาะก็ถูกอาเจียนออกมา

แต่นางตกลงใจแน่วแน่ ในเมื่อเอี๊ยบไคยังไม่ตาย นางต้องไม่ยอมแต่งให้ผู้อื่นเด็ดขาด!

มิว่าอยู่ในสภาพใด ในสถานการณ์ใด ต่างไม่อาจแต่งให้ผู้อื่น แม้นับว่าตายก็ไม่อาจ!

นางกำลังใจกลับไปบอกก้วยเต๋ง บอกความรักความเจ็บช้ำทั้งมวลของนาง แก่ก้วยเต๋งจนหมดสิ้น

หากก้วยเต๋งเป็นชายชาตรีจริง ต้องสมควรเข้าใจ สมควรยืนหยัดขึ้น มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง

นางเชื่อถือ ก้วยเต๋งต้องเป็นชายชาตรี

นางเชื่อถือ ทุกสรรพสิ่งต้องคลี่คลายได้โดยงามพร้อมสมบูรณ์ ถึงเวลานั้น เอี๊ยบไคจะต้องมาหานางอีก

มิต้องนานเท่าใด ความคับแค้นรันทดทั้งหลายก็จะผ่านพ้นไปโดยเร็ว

นางมีความมั่นใจ!

------------------------------

ในห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน แสงโคมไฟยังคงสว่างไสว ยังคงมีเสียงขลุ่ยที่วิเวกวังเวงแว่วมา

ตอนนี้ คนชุดดำผู้นั้นจะต้องหลบหนี ก้วยเต๋งจะต้องยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนทั้งหลายยังต้องรอคอยนาง

นางกระโดดลงจากหลังคา ก้วยเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ร่างนางพลันเย็นเฉียบจนชาแข็งทันที คล้ายดั่งถูกผลักตกลงไปในหล่มน้ำแข็งที่มืดมิดลำล้ำ เหน็บหนาวเสียดกระดูก!

และก็คล้ายพลันร่วงหล่นลงไปในอเวจีอันมืดมน!

ห้องโถงตอนนี้ กลับกลายเป็นกระทั่งยังน่ากลัวกว่าอเวจีเสียอีก!

ในอเวจี ที่มีไฟนรกลุกโชติช่วงชั่วกาลนาน เปลวไฟเป็นสีแดง

ในห้องโถงก็เป็นสีแดง!

แต่ที่แดงสุด กลับมิใช่เป็นเทียนหงส์มังกรคู่นั้น และมิใช่เป็นอาภรณ์ในร่างผู้คน... เป็นโลหิต!

โลหิตสดๆ ! !

คนที่นางสามารถเห็น ต่างล้มลงหมดสิ้น ล้มอยู่ในกองโลหิต ทั้งห้องโถงใหญ่เหลือคนมีชีวิตอยู่เพียงหนึ่งเดียว

คนเดียวที่ยังเป่าขลุ่ยอยู่!

ใบหน้ามันเผือดขาวไม่มีสีเลือด ดวงตาเหม่อเซื่องซึม ร่างแข็งกระด้าง แต่ยังเป่าขลุ่ยไม่หยุดยั้ง

มาตรว่ามันยังมีชีวิต แต่มันสูญเสียวิญญาณไปแล้ว!

ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยาย เสียงขลุ่ยเมื่อกระทบโสตเต็งฮุ้นลิ้ม เป็นรสชาติใดกัน?

กระทั่งยังไม่มีผู้ใดสามารถคาดหมาย!

ก้วยเต๋งไม่มีทางได้ฟังคำอธิบาย และคำปลอบประโลมของนางอีกตลอดกาล นานแล้ว มันล้มอยู่ในกองโลหิต ล้มอยู่ใกล้กับคนชุดสีดำ!

ยังมีชายชราที่โอบอ้อมอารีเปี่ยมมุทิตา ยังมี...

เต็งฮุ้นลิ้มมิได้กวาดตามองสืบไป เบื้องหน้าสายตานางมีแต่สีแดงฉานของโลหิต ไม่เห็นอื่นใดอีกแล้ว

นี่เป็นฝีมืออำมหิตของผู้ใด? เพราะสาเหตุใดกันแน่? !

นางไม่มีปัญญาครุ่นคิด

นางล้มลงไปเช่นกัน!

--------------------------

เมื่อเต็งฮุ้นลิ้มได้สติลืมตาอีกครั้ง สายตาแรกที่เห็น เป็นหีบประณีตสวยงามใบนั้น

ป้วยป้อเซีย (หีบหมี่นวิเศษ)

ชายชราเสื้อปอหมวกทรงสูงผู้นั้น กำลังยืนอยู่ข้างเตียง เพ่งมองนางแน่วนิ่ง ในดวงตาก็มีประกายโศกเศร้าและเวทนา

เต็งฮุ้นลิ้มคิดจะตะเกียกตะกายขึ้นนั่ง กัวแป้กลับกดไหล่นางไว้ นางจึงจำต้องนอนต่อไป

นางทราบ เป็นชายชราผู้นี้ช่วยนางไว้ แต่ทว่า...

“ก้วยเต๋งเล้า? ท่านมิได้ช่วยมัน?”

กัวแป้ส่ายหน้าถอนใจ กล่าวด้วยความรันทด

“เราไปช้าเกินไป...”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันร้องสุดเสียง

“ท่านไปช้าเกินไป?.... ท่านไฉนต้องหลบหน้าหนี?”

“เนื่องเพราะเราจะรีบไปหาคน”

“ท่านไฉนต้องไปหาคน? เพราะเหตุใด?”

นางไม่มีปัญญาข่มบังคับตัวเองอีก นางใกล้จะพังทลายไปแล้ว

รอจนความพลุ่งพล่านดาลใจของนางสงบลงได้บ้าง กัวแป้จึงกล่าวเสียงหนักๆ

“เนื่องเพราะเราต้องไปหาคนมาระงับเรื่องราวรายนี้”

“ท่านทราบอยู่ก่อนว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น?”

“โอ... เมื่อเห็นอัญมณีกระสอบนั้น เห็นนามของสี่คนนั้น เราก็ทราบแล้ว”

“ท่านทราบพวกนั้นเป็นผู้ใด?”

กัวแป้ผงกศีรษะ เต็งฮุ้นลิ้มถามอีก

“พวกมันเป็นผู้ใดกันแน่?”

“สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า?”

เต็งฮุ้นลิ้มล้มลงอีกครา คล้ายพั่งพลันถูกค้นเหล็กฟาดใส่ กระทั่งยังไม่เคลื่อนไหวแล้ว!

กัวแป้กล่าวช้าๆ

“ตอนนั้นเรามิได้บอกไป เนื่องเพราะเรากลัวเมื่อพวกท่านทราบแล้ว จะหวาดหวั่นจนขวัญเสีย เราไม่ต้องการกระทบกระเทือนงานมงคลของพวกท่าน”

งานมงคล?

นั่นเป็นงานมงคลจริงหรือไร?

เต็งฮุ้นลิ้มคิดจะกระโดดขึ้นอีก คิดจะแผดร้องไห้สุดเสียงอีก แต่กระทั่งกำลังพอจะร้อง ก็ปลาสนาการไปแล้ว

กัวแป้กล่าวช้าๆ

“อย่าว่าแต่เราก็เห็นทูตเสื้อเหลืองสี่คนนั้น เรามีความเห็น ในเมื่อกิมจี๊ปังสอดมือเกี่ยวข้องเรื่องนี้ แม้นับว่าสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า ยังมิอาจไม่กริ่งเกรงสักเล็กน้อยได้”

ก้วแป้ถอนใจด้วยความรันทด กล่าวสืบไป

“แต่เรากลับคาดคิดไม่ถึง เรื่องราวถึงกับเปลี่ยนแปรกลางคันอีก”

“ใช่หรือไม่ว่า ท่านมีความเห็น เอี๊ยบไคจะต้องลอบคุ้มครองอยู่?”

กัวแป้มีแต่ต้องผงกศีรษะยอมรับ

“ดังนั้น ท่านคิดไม่ถึงว่า เอี๊ยบไคจะหลบหน้าไป และคิดไม่ถึงว่า ข้าพเจ้าจะไล่ตามไป?”

เสียงของเต็งฮุ้นลิ้มอ่อนล้าอย่างยิ่ง ตลอดร่างของนางคล้ายดั่งเวิ้งว้างว่างเปล่าไปแล้ว

กัวแป้ถอนใจกล่าว

“เราสมควรคาดคิดได้ว่ามันอาจต้องไป เนื่องเพราะมันไม่ได้เห็นป้ายหยกแผ่นนั้น และไม่เห็นอัญมณีกระสอบนั้น”

เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องถาม

“หรือที่พวกมันส่งอัญมณีมา ยังมีความหมายพิเศษแฝงอยู่?”

“ใช่แล้ว”

“เป็นความหมายใด?”

กัวแป้เน้นทีละคำ

“พวกมันส่งอัญมณีมากระสอบนั้น... เพื่อซื้อชีวิต?”

“ไฮ้! ซื้อชีวิต?”

“สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า ปกติน้อยครั้งนักที่จะลงมือฆ่าคนเอง”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะพวกมันเชื่อ โลกันตร์เป็นกำกงกำเกวียนที่หมุนเวียนกัน จึงไม่ยินยอมติดค้างหนี้สินของชาติหน้าเด็ดขาด...”

“ดังนั้น แต่ละครั้งที่พวกมันจะลงมือฆ่าคนเอง ต่างต้องชำระคุณค่าจำนวนหนึ่ง ไปซื้อชีวิตของคนที่มันจะฆ่า”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันถามอีก

“ท่านไฉนทราบว่าข้าพเจ้าไป? เอี๊ยบไคก็ไป?”

“มีคนบอกข้าพเจ้า”

“ผู้ใด?”

“คนเป่าขลุ่ย”

นึกถึงเสียงขลุ่ยที่วิเวกวังเวง เต็งฮุ้นลิ้มต้องสยิยกายด้วยความเหน็บหนาวเฮือกหนึ่งจึงถาม

“มันเห็นเรื่องราวนี้กับตา?”

กัวแป้ถอนใจยาวกล่าวตอบ

“ตั้งแต่ต้นจนยุติ มันต่างอยู่ดูตลอดมา ดังนั้นหากมิใช่พบเรา มันน่ากลัวจะกลายเป็นคนพิการ ที่เซื่องซึมไม่มีวิญญาณไปตลอดชีวิตแล้ว”

มิว่าผู้ใดได้เห็นเรื่องนี้ มิว่าผู้ใดต่างต้องขวัญหนีดีฝ่อจนป่วยหนักแน่

เต็งฮุ้นลิ้มถามอีก

“มันเห็นโฉมหน้าแท้จริงของสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่?”

“มิได้”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะยามสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่จะฆ่าคนล้างแค้น ต่างต้องสวมหน้ากากของเทพอสูรร้าย”

“ล้างแค้น? พวกมันล้างแค้นผู้ใด?”

“เง็กเซียว! เง็กเซียวตายกับมือก้วยเต๋ง”

“เง็กเซียวก็เป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่?”

“เง็กเซียวก็คือปันซาปานา เทพเจ้าแห่งความรักและความใคร่!

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่น แต่ร่างยังคงสั่นระริก ร้องเสียงสะท้าน

“ก้วยเต๋งฆ่าเง็กเซียวเพราะต้องการช่วยข้าพเจ้า”

“เราทราบ”

“หากข้าพเจ้าไม่ไล่ตาม เอี๊ยบไคต้องไม่หลบหนีไป”

“...................”

เต็งฮุ้นลิ้มหลั่งน้ำตาร้อง

“หากเอี๊ยบไคไม่ไป อาจบางทีไม่เกิดเรื่องราวนั้น

กัวแป้กลับส่ายหน้ากล่าว

“ท่านไม่ต้องตำหนิตัวเอง ความจริงทุกประการนี้ล้วนอยู่ในความคำนวณของพวกมันก่อนแล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่เข้าใจ กัวแป้กล่าวต่อ

“คนชุดดำมิใช่น่ำเก็งลั่ง เรารู้จักน่ำเก็งลั่งดี”

“ไฮ้! มันมิใช่น่ำเก็งลั่งจะเป็นผู้ใด?”

“มันก็เป็นคนในม้อก้า”

“ที่มันพลันปรากฏตัว เนื่องเพราะต้องการบีบบังคับให้เอี๊ยบไคลงมือ?”

กัวแป้ถอนใจกล่าว

“พวกมันคำนวณได้แน่อยู่ก่อนแล้วว่า เอี๊ยบไคต้องลงมือช่วยชีวิตก้วยเต๋ง และก็คำนวณได้แน่ เพียงเอี๊ยบไคปรากฏร่องรอย ท่านก็ต้องไล่ตามออกไป”

....พวกมันก็ย่อมคำนวณได้ เพียงแต่เต็งฮุ้นลิ้มไล่ตามออกไป เอี๊ยบไคต้องหลบหน้าหนี

ก่อนสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้าจะกระทำงานใด ต่างได้คำนวณโดยรอบคอบสุขุมที่สุด งามพร้อมสมบูรณ์ที่สุดอยู่ก่อนแล้ว

ดังนั้น พวกมันเพียงลงมือ น้อยครั้งนักที่จะล้มเหลว

เต็งฮุ้นลิ้มคำรามด้วยความแค้นเคือง

“เช่นนี้เป็นว่า ผู้ที่แสร้างเปิดเผยแผนการร้ายของคนชุดดำ แสร้งบอกว่าตัวคือน่ำเก็งลั่ง อาจเป็นหนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่อย่างยิ่ง”

“เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

กัวแป้พลันถามต่อ

“ท่านฟังเสียงของมันออกหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มฟังไม่ออก

“ข้าพเจ้ารู้สึก เสียงของคนผู้นั้น เสียดหูระคายใจยิ่งกว่าปลายเข็มเสียอีก”

“ท่านฟังไม่ออกว่า เป็นเสียงบุรุษหรือสตรี?”

“เป็นบุรุษ”

“เสียงคนที่ว่ากล่าว ต้องเปล่งออกจากหลอดคอทุกคน... เมื่อบุรุษเติบใหญ่หลอดคอจะเริ่มกลายเป็นหยาบขึ้น ดังนั้นเสียงของบุรุษมักจะแผ่วทุ้ม แหบห้าวกว่าสตรี”

เต็งฮุ้นลิ้มมิเคยฟังเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลย แต่นางเชื่อถือทุกถ้อยคำ

เนื่องเพราะนางทราบ กัวแป้เป็นแพทย์เทพยดาที่ไม่มีใดในแผ่นดินทัดเทียม กับส่วนสัดในสรีระร่างมนุษย์ ย่อมต้องเข้าใจกระจ่างกว่าผู้อื่นมากหลายนัก

นางเคยได้ยิน ม้อก้ามีหลักวิชาหนึ่ง พอจะบันดาลให้หลอดเสียงของคนเล็กลง จนเสียงเปลี่ยนแปรจากเดิม

กัวแป้กล่าวต่อ

“ดังนั้น บุรุษที่ปกติ เสียงกล่าวต้องไม่แหลมเล็กเกินไป นอกจาก...”

เต็งฮุ้นลิ้มสอดคำทันที

“นอกจากมันใช้เสียงปลอมเปล่งออกมา?”

“ใช่แล้ว ท่านลองคิดอีกครา ไฉนมันต้องดัดเสียงปลอมมากล่าว?”

“เนื่องเพราะมันกลัวข้าพเจ้าฟังเสียงมันออก”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องเคยเห็นมัน ต้องเคยได้ยินเสียงของมัน”

“ผู้ไปร่วมอวยพรในวันนั้น มีเหล่าใดบ้าง?” ในจำนวนนั้นมีกี่คนที่ท่านเคยพบเห็นมา?”

เต็งฮุ้นลิ้มไม่ทราบ นางขบกรามกล่าว

“ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสไปตรวจดูเลย คนที่มีโอกาสเห็น ตอนนี้ต่างถูกฆ่าปิดปากไปหมดสิ้นแล้ว”

กัวแป้ก็ต้องกำหมัดแนบแน่นโดยไม่อาจข่มกลั้น

แผนดำเนินงานของม้อก้า มิเพียงรอบคอบสุขุมเท่านั้น ยังอำมหิตชั่วร้ายอีกด้วย

“แต่พวกมันยังทิ้งเบาะแสอยู่สายหนึ่ง”

กัวแป้ส่งเสียงด้วยความขุ่นแค้นรันทด เต็งฮุ้นลิ้มรีบถาม

“เบาะแสใด?”

“หัวหน้าฆาตกรในครานี้ ตอนนั้นจะต้องอยู่ในห้องพิธีแน่”

“ต้องอยู่จริงๆ”

“คนที่อยู่ในห้องพิธีตอนนั้น ผู้ที่ยังรอดอยู่ถึงบัดนี้ ต้องมีแต่พวกฆาตกร ฆาตกรจึงอาจเป็นสี่จ้าวฟ้าอย่างยิ่ง”

ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มเป็นประกายสุกใสในทันที

“ดังนั้น พวกเราเพียงสามารถสืบเสาะออก ผู้ที่อยู่ในห้องพิธีวันนั้นมีผู้ใดบ้าง สืบเสาะให้ออก มีผู้ใดยังรอดชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน ก็ทราบสี่จ้าวฟ้าเป็นผู้ใดกันแน่แล้ว”

เต็งฮุ้นลิ้มบอกข้อคิดสันนิษฐานของนางมาด้วยความมั่นใจ กัวแป้ผงกศีรษะเห็นพ้อง แต่ดวงตาท่านกลับไม่มีประกาย

เนื่องเพราะทราบ เรื่องนี้แม้ว่ากล่าวได้รวบรัดง่ายดาย แต่ไปกระทำกลับไม่ง่ายดายเท่าใด

“เสียดายที่พวกเราตอนนี้ทั้งมิทราบ ผู้อยู่ในห้องพิธีวันนั้นเป็นเหล่าใดบ้าง ยิ่งไม่ทราบ ผู้ใดจึงรอดชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้”

เต็งฮุ้นลิ้มสวนคำทันที

“แต่พวกเราอย่างน้อย ยังพอจะตรวจสอบออก มีผู้ใดไปส่งของขวัญ ผู้ตายพวกใดบ้าง?”

ดวงตากัวแป้เป็นประกายขึ้นเช่นกัน เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

“แต่ละคนที่มาส่งของขวัญ พวกเราต่างบันทึกอยู่ในสมุดของขวัญ”

“สมุดของขวัญเล่มนั้นเล่า?”

“คิดว่าต้องอยู่ในห้องบัญชีของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน”

“ตอนนี้ยังไม่สว่าง คิดว่าซากศพผู้ตายยังต้องอยู่ในห้องพิธี”

“นี่เป็นสถานที่ใด?”

“ห่างจากโรงเตี๊ยมฮ้งปินไม่ไกล”

เต็งฮุ้นลิ้มกระโดดขั้นร้อง

“อย่างนั้น พวกเรายังรอกระไร?”

กัวแป้จ้องมองนาง ดวงตามีประกายหวั่นวิตก

นางถูกเสียดแทงใจมากมายเกินไปแล้ว ตอนนี้หากกลับไปที่ห้องพิธี เห็นโลหิจและซากศพเหล่านั้นอีกครั้ง กระทั่งยังอาจคลุ้มคลั่งได้

กัวแป้คิดจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมอยู่ต่อไป แต่ยังมิทันเอ่ยปาก เต็งฮุ้นลิ้มก็โถมออกจากห้องแล้ว

ดรุณีนางนี้ ถึงกับยังเข้มแข็งกว่าที่กัวแป้คิดหมายไว้มากมายนัก

----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น