วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) รักของคนใจสลาย

 

รักของคนใจสลาย

สิ้นปีอีกแล้ว....

ปีใหม่อีกแล้ว

ตั้งแต่เต็งฮุ้นลิ้มจำได้ ตอนปีใหม่ต้องเปี่ยมความสุขสันต์หรรษา ร่าเริง แจ่มใส

ตั้งแต่ชิวอิ้ดถึงขึ้นสิบห้าค่ำ ในเวลาครึ่งเดือนนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจมีโทสะ ยิ่งไม่อาจกล่าววาจาอัปมงคล

เนื่องเพราะช่วงเวลานั้น เป็นวันสิริมงคล

แต่ปีนี้เล่า?

ด้านนอกพลันมีเสียงประทัด ดังสนั่นหวั่นไหวจนแก้วหูสะท้าน

เสียงประทัดเป็นสัญลักษณ์บ่งบอก ปีเก่าสุดสิ้นปีใหม่กรายมาแทน... ปีเก่าป่านพ้นไปแล้ว ในปีใหม่ย่อมมีความหวังใหม่อยู่

แต่นางยังมีความหวังใดหลงเหลือ?

เสียงประทัดปลุกให้ก้วยเต๋งได้สติตื่นมา มันลืมตาคล้ายดั่งคิดจะถาม... “นั่นเป็นเสียงใด?”

เสียดายที่ริมฝีปากมันแม้ขยับเขยื้อน แต่ไม่อาจเปล่งเสียงเลยสักคำเดียว

เต็งฮุ้นลิ้มเข้าใจความหมายของมัน พยายามเค้นให้มีรอยยิ้มกล่าว

“ตอนนี้เป็นเวลาเริ่มปีใหม่แล้ว ด้านนอกกำลังมีคนจุดประทัด”

“.... อีกปีหนึ่งแล้ว”

นับว่าได้ผ่านไปอีกปีหนึ่ง

ก้วยเต๋งเพ่งมองความมืดที่นอกหน้าต่าง หวังสามารถเห็นแสงอาทิตย์สาดส่อง แต่ทว่า แม้เห็นแล้วก็จะทำอย่างไร?

มันเริ่มไอถี่ๆ ไม่หยุดยั้ง

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ท่านต้องการดื่มน้ำแกงร้อนๆ สักชามหรือไม่! ค่ำคืนนี้พวกมันต้องตุ๋นไก่เป็นแน่๐

ก้วยเต๋งรวมกำลังสั่นศีรษะ เต็งฮุ้นลิ้มถามอีก

“ท่านต้องการกระไร?”

ก้วยเต๋งจ้องนางแน่วนิ่ง ในที่สุด เปล่งออกได้สามคำ

“ท่านไปเถิด”

“ท่าน... ต้องการให้ข้าพเจ้าไป?”

ก้วยเต๋งฝืนยิ้มด้วยความรันทดกล่าว

“ข้าพเจ้ารู้ตัวไม่รอดแล้ว ท่านไยต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้าพเจ้าอีก?”

เต็งฮุ้นลิ้มใช้กำลังบีบมือมันแนบแน่นพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนท่าน ดูท่านค่อยๆ ทุเลา ท่านทราบ ท่านต้องสามารถรอดอยู่ต่อไป”

ก้วยเต๋งสั่นศีรษะอีกครั้ง พริ้มตาลง

คนเรากระทั่งตัวเองยังสูญเสียความมั่นใจในชีวิต ยังมีผู้ใดสามารถช่วยมันรอดมาได้?

เต็งฮุ้นลิ้มขบริมฝีปากกลั้นน้ำตา กล่าวต่อไป

“หากท่านเข้าใจว่าท่านต้องตายจริง ท่านก็ละอายต่อข้าพเจ้า”

“เพราะเหตใด?”

“เนื่องเพราะ... เนื่องเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะแต่งกับท่าน”

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวลต่อ

“หรือท่านจะอำมหิตพอ ทิ้งให้ข้าพเจ้าเป็นม่ายได้?”

ใบหน้าที่ซ๊ดขาวของก้วยเต๋ง พลันมีสีแดงแผ่ซ่านออกมา

“เป็นความจริง?”

“ย่อมเป็นความจริง พวกเราพอจะประกอบพิธีวิวาห์ได้ทุกเวลา”

เต็งฮุ้นลิ้มตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ขอเพียงสามารถบันดาลให้ก้วยเต๋งรอดต่อไป มิว่าต้องการให้นางทำกระไร นางต่างยินยอมพร้อมใจ

“วันพรุ่งเป็นวันมงคลยิ่ง พวกเรามิต้องรออีกแล้ว”

“แต่ข้าพเจ้า...”

“ดังนั้น ท่านต้องรอดอยู่ต่อไป ต้องรอดอยู่ให้ได้”

-----------------------------

เจ้าของโรงเตี๊ยมนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว ใบหน้าแดงฉานด้วยฤทธิ์สุรา

มันได้นั่งหลังโต๊ะนี้มายี่สิบปีแล้ว ดูท่ายังคงต้องนั่งสืบไป นั่งดูคนที่ไปและคนที่มา

คนประเภทต่างๆ คนในแบบฉบับต่างๆ ทุกข์สุขดีชั่ว เกิดแก่เจ็บตายในลักษณะต่างๆ

มันเห็นมามากเกินไปจริงๆ แต่ละครั้งที่ดื่มสุรา ในใจมันมักจะบังเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายชิงชังจนบอกมิถูก

ดังนั้น มันตอนนี้ยินยอมมานั่งอยู่เพียงลำพัง ก็ไม่ปรารถนาไปเฮฮากับผู้อื่น

มันคาดคิดมิถึงว่า เต็งฮุ้นลิ้มจะออกมาได้ จึงเลียบเคียงถาม

“โกวเนี้ยยังมิได้นอน? คนป่วยทุเลาขึ้นบางหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มฝืนยิ้มเล็กน้อย พลันถามขึ้น

“วันพรุ่งท่านพอจะจัดสุรา ให้ข้าพเจ้าสักสิบกว่าโต๊ะหรือไม่?”

“วันพรุ่ง? วันพรุ่งเป็นวันชิวอิ้ด น่ากลัว...”

“ต้องเป็นวันพรุ่ง”

รอยยิ้มของเต็งฮุ้นลิ้มรันทดจนหดหู่ยิ่ง กล่าวต่อไป

“หากช้าน่ากลัวไม่ทันเวลาแล้ว”

เจ้าของโรงเตี๊ยมยังลังเลอยู่

“โกวเนี้ยจะเชิญคนมาดื่มสุราต้อนรับปีใหม่?”

“มิใช่เป็นสุราต้อนรับปีใหม่ เป็นสุรามงคล”

เจ้าของโรงเตี๊ยมเบิ่งตากลมกว้าง ร้องโพล่งขึ้น

“สุรามงคล... หรือโกวเนี้ยจะวิวาห์ในวันพรุ่ง?”

เต็งฮุ้นลิ้มก้มศีรษะต่ำ ผงกศีรษะรับ

เจ้าของโรงเตี๊ยมหัวร่อร่า ผงกศีรษะรับคำทันที

“ใช้มงคลไล่อาถรรพณ์ก็ดีอยู่ คนป่วยพอมีเรื่องมงคลปลุกปลอบใจ จะต้องทุเลามาได้ทันที”

เต็งฮุ้นลิ้มทราบ มันต้องไม่มีทางเข้าใจเด็ดขาด แต่ก็ไม่ต้องการอธิบาย กล่าวต่อ

“ดังนั้น ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องมงคลนี้พอจะจัดให้ครึกครื้นกว่าธรรมดา ยิ่งครึกครื้น ยิ่งประเสริฐ”

จิตใจเจ้าของโรงเตี๊ยมคึกคักกว่าเดิมมากหลาย เนื่องเพราะระหว่างนี้ มีเรื่องอัปมงคล เข่นฆ่าสังหารแทบไม่เว้นวัน จนมันอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา มันก็หวังจะได้สัมผัสเรื่องมงคลมาประโลมใจบ้าง

“ตกลง เรื่องนี้ประกันอยู่ในตัวข้าพเจ้า”

“ค่ำวันพรุ่งได้หรือไม่?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกกล่าว

“ได้แน่นอน ตกลงค่ำวันพรุ่งนี้”

นับแต่วันแรกที่ได้รู้จักเอี๊ยบไค เต็งฮุ้นลิ้มก็มิเคยคิด นางจะวิวาห์กับผู้อื่น

แต่ค่ำคืนวันพรุ่งนี้...

-------------------------

หอแดง หน้าต่างแดง เทียนแดง ผ้าปูโต๊ะแดง ผ้าม่านแดง ล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้ม จับตามองเอี๊ยบไคพลางถาม

“ท่านว่าที่นี้คล้ายห้องหอคู่วิวาห์หรือไม่?”

“ไม่คล้าย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเชิดปากกล่าว

“ที่ใดไม่คล้าย? หรือข้าพเจ้าไม่คล้ายเจ้าสาว?”

นางสวมเสื้อกระโปรงสีแดง รองเท้าแดง ใบหน้าก็แดงเปล่งปลั่ง

แต่เอี๊ยบไคพยายามหลยสายตานางตลอดเวลา ส่งเสียงว่า

“ท่านคล้ายเจ้าสาว แต่ข้าพเจ้าไม่คล้ายเจ้าบ่าว”

เอี๊ยบไคก็สวมเสื้อผ้าใหม่ ใบหน้าถูกแสงเทียนลูบไล้จนแดงเปล่งปลั่งเช่นกัน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจับตามองพลางแย้มยิ้มกล่าว

“ผู้ใดว่าท่านไม่คล้าย?”

“ข้าพเจ้าว่าเอง”

“ท่านไฉนไม่ไปส่องกระจกดูบ้าง?”

“มิต้องส่องกระจก ข้าพเจ้าก็ดูตัวเองออก และยังดูได้กระจ่างชัดอย่างยิ่ง”

“อ้อ?”

“ความเจ็บช้ำที่สุดในชั่วชีวิตของข้าพเจ้า ก็คือไม่อาจเห็นตัวเองได้กระจ่างชัดเสมอมา”

เอี๊ยบไคพลันผุดลุกขึ้น ผลักหน้าต่างออก

นอกหน้าต่างสงบเงียบวังเวง ประตูทุกบ้านช่องต่างปิดกระดาษแดง เขียนโคลงมงคล ทารกที่สวมเสื้อผ้าใหม่ หมวกใหม่หลายคน กำลังอุดหูจุดประทัดที่ปากประตู

ทุกประการนี้ แสดงว่าเป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจัดให้เอี๊ยบไคโดยเฉพาะ นางหวังให้บรรยากาศของปีใหม่ ปลุกปลอบใจเอี๊ยบไคให้เบิกบานกว่าเดิมบ้าง

ในสองวันนี้ เอี๊ยบไคเงียบขรึมด้วยความกลัดกลุ้มอยู่เสมอมา

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามอีก

“ท่านพอใจปีใหม่หรือไม่?”

“มิทราบ”

“ไฉนมิทราบ?”

เอี๊ยบไคเพ่งมองที่สุดแสนไกล ท้องฟ้าในวันสิ้นปีก็มืดครึ้มดั่งทุกค่ำคืน

“ข้าพเจ้าคล้ายดั่งมิเคยต้อนรับปีใหม่มาเลย”

“เพราะเหตุใด?”

ดวงตาที่สุกใสของเอี๊ยบไค คล้ายดั่งมีประกายหม่นหมองและว้าเหว่จนบอกมไม่ถูก อีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“ท่านสมควรทราบ โลกนี้ความจริงมีคนประเภทหนึ่งที่มิเคยต้อนรับปีใหม่”

“คนประเภทใด?”

“คนที่ไม่มีบ้าน”

พวกที่ร่อนเร่พเนจร ไหนเลยเคยได้ลิ้มรสของสิริมงคลกับสุขสันต์หรรษาในวันปีใหม่?

ในยามที่ผู้อื่นดื่มด่ำความสุขของปีใหม่ ไยมิใช่เป็นเวลาที่พวกมันว้าเหว่ที่สุด หดหู่ที่สุด?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต้องถอนใจเบาๆ กล่าว

“ความจริงข้าพเจ้า... ข้าพจเก็ไม่เคยมีปีใหม่มาเลยเช่นกัน”

“อ้อ?”

“ท่านย่อมทราบ มารดาข้าพเจ้าเป็นคนเช่นไร? แต่ท่านจะไม่มีวันทราบตลอดกาล วันเวลาในบั้นปลายชีวิตของนางเป็นเช่นไร? ตอนผู้อื่นสุขสันต์กับปีใหม่ นางมักอุ้มข้าพเจ้าหลบเข้าหลั่งน้ำตาในผ้าห่ม.... ลอบหลั่งน้ำตามิให้ผู้คนเห็น”

เอี๊ยบไคมิได้เหลียวหน้า และมิได้เอ่ยปาก

เอี๊ยบไคสามารถคำนวณถึงสภาพนั้นออก... มิว่าผู้ใด ต่างต้องการชดใช้คุณค่าบาปกรรที่ตนกระทำมา

ลิ่มเซียนยี้ก็ไม่อาจนอกเหนือกว่านี้

แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเล่า?

หรือนางพอกำเนิดมาก็มีบาปกรรม?

นางไฉนไม่อาจคล้ายทารกอื่นๆ ที่มีวัยเยาว์ด้วยความสุขสันต์หรรษา

ที่นางปัจจุบันกลายเป็นคนเช่นนี้ เป็นผู้ใดสร้าง? เป็นความผิดของผู้ใด?

เอี๊ยบไคก็อดมิได้ต้องถอนใจเบาๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าวเสียงละห้อย

“ต่างเป็นคนร่อนเร่พเนจรด้วยกัน พบกันไยต้องเคยรู้จัก? .... ความจริงท่านควรทราบ พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ท่านไฉนจึงเย็นชาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้?”

“นั่นเนื่องเพราะท่านเปลี่ยนไป”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเดินเข้าไปใกล้พลางกล่าว

“ท่านมีความเห็น ข้าพเจ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนเช่นไร?”

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้ง ได้แต่นิ่งอึ้งเท่านั้น

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคมิเคยไปทำร้ายจิตใจผู้อื่นต่อหน้ามาเลย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแค่นหัวร่อกล่าว

“หากท่านเข้าใจ ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปรเป็นคล้าย... คล้ายกับนาง ท่านก็ผิดแล้ว”

เอี๊ยบไคย่อมทราบ “นาง” ที่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวคือผู้ใด?

เอี๊ยบไคมีความเห็นว่า เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนได้เปลี่ยนแปรจนคล้ายลิ่มเซียนยี้ในคราครั้งก่อนจริงๆ กระทั่งยังน่ากลัวกว่าลิ่มเซียนยี้มากนัก

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันบิดร่างเอี๊ยบไคให้หันมา จ้องตาเอี๊ยบไคพลางถาม

“ท่านดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีวาจาถามท่าน”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านถาม”

“หากข้าพเจ้าบอกท่าน ชาตินี้ของข้าพเจ้า ยังไม่เคยมีบุรุษแตะต้องตัวข้าพเจ้า ท่านเชื่อหรือไม่?”

เอี๊ยบไคมิได้ตอบ และไม่มีปัญญาตอบ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจึงตอบ

“หากท่านเข้าใจ ข้าพเจ้ามีทีท่าต่อบุรุษอื่น เช่นเดียวกับที่มีต่อท่าน ท่านยิ่งผิดมากแล้ว”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“ท่าน... ไฉนต้องเป็นเช่นนี้ต่อข้าพเจ้า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขบริมฝีผากแล้วกล่าว

“หรือท่านยังไม่เข้าใจ ไฉนยังต้องถามอีก?”

นางจ้องมองเอี๊ยบไค ดวงตามีประกายตัดพ้อรันทดจนเห็นชัด มิว่าผู้ใดได้เห็นดวงตานาง สมควรเข้าใจความรู้สึกของนางได้

หรือนางมีความจริงใจต่อเอี๊ยบไค?

หรือเอี๊ยบไคมิเชื่อจริงๆ?

... อาจบางทีมิใช่ไม่เชื่อ แต่เป็นไม่สามารถเชื่อ ไม่กล้าเชื่อ?

เอี๊ยบไคต้องหัวร่อกล่าว

“วันนี้เป็นปีใหม่อันมงคล พวกเราไฉนมักจะพาดพิงไปถึงเรื่องไม่เบิกบานใจ”

“เนื่องเพราะมิว่าข้าพเจ้ากล่าวกระไร ท่านต่างไม่เบิกบานใจเสมอ”

โดยมิรอให้เอี๊ยบไคโต้แย้ง รีบชิงกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าทราบ ในใจท่านมักคิดถึงแต่เต็งฮุ้นลิ้ม”

เอี๊ยบไคไม่อาจปฏิเสธ จำต้องฝืนยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้ารู้จักกับนางมิเพียงหนึ่งวันแล้ว นางนับเป็นทารกหญิงที่ประเสริฐยิ่ง และก็ดีต่อข้าพเจ้าเสมอมา”

“หรือข้าพเจ้าไม่ดีต่อท่าน?”

“พวกท่านผิดกัน”

“มีที่ใดผิดกัน?”

เอี๊ยบไคถอนใจตอบ

“ท่านเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ท่านมีปัญญาความสามารถ มีความกระตือรือร้น มีความทะเยอทะยาน และท่านยังมีเรื่องราวที่ต้องกระทำอีกมากหลาย แต่ว่านาง.. นางได้แต่ต้องพึ่งข้าพเจ้าเท่านั้น”

นี่เป็นวาจาจากใจจริง และก็เป็นครั้งแรก ที่กล่าววาจาจากใจจริงให้กับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฟัง

ตอนนี้เอี๊ยบไคมิอาจไม่กล่าว เนื่องเพราะมิใช่เป็นมนุษย์ท่อนไม้ที่ไม่มีหัวใจ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก้มศีรษะกล่าว

“หรือท่านมีความเห็น มิว่าท่านไปสถานที่ใด มิว่าท่านไปนานเท่าใด นางต่างต้องรอท่าน?”

“นางต้องรอแน่นอน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันแค่นหัวร่อ เอี๊ยบไคจึงถาม

“ท่านไม่เชื่อ?”

“ข้าพเจ้าเพียงคิดจะเตือนสติท่าน มีสตรีบางคนไม่อาจทนทานการทดสอบได้”

“ข้าพเจ้าเชื่อถือนาง”

เอี๊ยบไคตอบแล้วเม้มปาก ไม่คิดที่จะทุ่มเถียงเรื่องนี้ สืบไป

น้ำใจเต็งฮุ้นลิ้มที่มีต่อเอี๊ยบไค ความจริงเป็นเรื่องของทั้งสองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย

เสียงประทัดน้อยลงไปมากหลาย วิกาลดึกสงัดแล้ว ทุกบ้านช่องต่างปิดประตูหน้าต่าง แต่ที่กระดาษหน้าต่างยังมีแสงไฟ ทารกทั้งหลาย พากันกลับไปรอคอยเงินแต๊ะเอียในวันรุ่งขึ้น

ความจริงวันสิ้นปี มิใช่เป็นวันต้องครึกครื้นให้เต็มที่ แต่เป็นเพราะต้องการให้ทั้งบ้านได้มาชุมนุมร่วมกัน ผ่านวิกาลที่สุขสงบสักคืน

แต่คนพเนจรเช่นเอี๊ยบไค ต้องรอถึงเมื่อใด จึงสามารถได้เสพสุขที่สงบสันติเยี่ยงนี้?

เอี๊ยบไครู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง ขณะเตรียมจะหันกายไปหาสุราดื่มสักจอกนั้น

ทันใด มีเสียงหวีดทองเหลืองที่ประหลาดพิกลแว่วมาในอากาศ แล้วมีพิราบตัวหนึ่ง โบยบินมาร่อนลงที่หลังคาฝั่งตรงข้าม ขนของมันถึงกับดำสนิทจนเป็นประกาย ดูไปถึงกับคล้ายเป็นเหยี่ยวดำ

เอี๊ยบไคยังมิเคยเห็นพิราบที่เหนือธรรมดาเยี่ยงนี้ อดมิได้ต้องหยุดเท้าจับตามองอีกลหายครา

จากนั้น จึงพบเห็นดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมีประกายแจ่มจ้ากว่าเดิม พลันก็ล้วงหวีดทองเหลืองออกจากตัวเป่าเบาๆ

พิราบดำสนิทตัวนั้นบินเข้ามาทันที ฝ่าหน้าต่างลงไปที่มือของนาง จะงอยปากและเล็บเป็นประกายราวเหล็กกล้า ดวงตาที่แวววับของมัน ดูไปถึงกับคล้ายยังกราดเกรี้ยวดุดันกว่าเหยี่ยวเสียอีก

นี่เป็นนกพิราบที่ผู้ใดเลี้ยงไว้?

เอี๊ยบไครู้สึกเลือนราง เจ้าของพิราบนี้ต้องเป็นคนน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ขานกพิราบยังมีกระบอกเหล็กดำมะเมื่อมผูกอยู่ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปลดกระบอก ม้วนปลายกระดอกในกระบอกออก

บนกระดาษสีแดงระเรื่อ มีอักษรเล็กละเอียดเขียนไว้เต็ม

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเดินไปที่ใต้โคม อ่านโดยละเอียดจบหนึ่งแล้ว อ่านทวนอีกจบหนึ่ง

ดูไปนางจดจ่ออย่างยิ่ง คล้ายดั่งกระทั่งยังลืมเอี๊ยบไคแล้ว

แต่เอี๊ยบไคจ้องมองนาง ใบหน้านางในแสงไฟเปลี่ยนจากแดงเปล่งปลั่งเป็นซีดขาว ทีท่าเคร่งเครียดกังวลยิ่ง

ชั่วพริบตา นางคล้ายดั่งเปลี่ยนเป็นคนละคน... เปลี่ยนเป็นเซี่ยงกัวกิมฮ้งแล้ว!

แสดงว่าจดหมายฉบับนี้ ต้องเร้นลับอย่างยิ่ง สำคัญอย่างยิ่ง

เอี๊ยบไคไม่ต้องการไปสืบถามความลับของผู้อื่น แต่กับพิราบตัวนี้ กลับตื่นเต้นสนใจยิ่ง

เอี๊ยบไคดูพิราบ พิราบก็ถึงกับถลึงจ้องเอี๊ยบไคอย่างดุร้าย

เอี๊ยบไคคิดจะไปลูบขนเป็นมันระยับของมัน แต่พิราบพลันบินขึ้น โถมเข้าจิกมือเอี๊ยบไคอย่างไม่คาดหมาย

เอี๊ยบไคถอนใจรำพึง

“พิราบที่ดุร้ายเยี่ยงนี้ ในโลกกลับมีอยู่น้อยอย่างยิ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันเงยหน้าแย้มยิ้มกล่าว

“ความจริงพิราบพันธุ์นี้มีน้อยยิ่งอยู่แล้ว เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ในแผ่นดินมีเพียงสามตัวเท่านั้น”

“อ้อ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“จะเลี้ยงพิราบพันธุ์นี้ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย ผู้ที่สามารถเลี้ยงมันได้ ทั้งแผ่นดินมีไม่เกินสามคนเด็ดขาด”

“ไฮ้! เพราะเหตุใด?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนย้อนถาม

“ท่านทราบหรือไม่ ปกติพิราบพันธุ์นี้กินอาหารใด?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าทราบท่านต้องไม่มีวันคาดคิดออกตลอดกาล”

เอี๊ยบไคฝืนหัวร่อกล่าว

“อาหารที่มันกิน อย่างน้อยต้องมิใช่เนื้อมนุษย์กระมัง?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็หัวร่อ แต่มิได้ตอบคำถาม พลันปรบมือเรียก

“เซี่ยวฉุ่ย”

ดรุณีน้อยนางหนึ่ง เดินแย้มยิ้มเข้ามาตามเสียงเรียก ลักยิ้มของนางมีเสน่ห์น่าดูยิ่ง

เซี่ยวเซียนถาม

“มีดของเจ้าเล่า?”

เซี่ยวฉุ่ยรีบล้วงมีดงอๆ ออกจาอกเสื้อเล่มหนึ่ง ด้ามมีดยังมีอัญมณีฝังอยู่

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ประเสริฐมาก ตอนนี้เจ้าป้อนมันได้แล้ว”

เซี่ยวฉุ่ยเรีบแก้เสื้อของนาง เฉือนเนื้อที่มีโลหิตชุ่มโชกออกจากร่างชิ้นหนึ่ง มาตรว่าเจ็บปวดจนเหงื่อแตกโซมหน้า แต่ยังคงแย้มยิ้มอยู่

พิราบพลันโบยบินโฉบเข้าหาดุจเป็นเหยี่ยวร้าย จิกเนื้อชิ้นนั้นบินออกจากหน้าต่างไป

มันก็คล้ายคนจำนวนมาก ตอนรับทานอาหารไม่พอใจมีผู้อื่นมาดูอยู่ด้านข้าง

เอี๊ยบไคโพล่งด้วยความตื่นเต้น

“อาหารของมันเป็นเนื้อคนจริงๆ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

“มิเพียงเป็นเนื้อคนเท่านั้น ยังต้องเป็นเนื้อที่เชือดออกจากคนเป็นๆ ยังต้องเป็นเนื้อของดรุณีเยาว์อีกด้วย”

เอี๊ยบไครู้สึกกระเพาะหดลงทุกขณะ แทบอดมิได้ต้องอาเจียนออกมา

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ท่านทราบหรือไม่? พิราบตัวนี้บินมาจากแห่งหนใด?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“มันบินเป็นระยะทางหลายพันลี้ และยังได้นำข่าวสำคัญที่สุดมาให้ข้าพเจ้า แม้นับว่าข้าพเจ้าต้องเฉือนเนื้อตัวเองออกแก่มันชิ้นหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ยินดีอย่างยิ่ง”

“ข่าวใดกัน?”

“ข่าวของม้อก้า”

“ไฮ้! หรือเจ้าของพิราบตัวนี้ คือประมุขนิกายม้อก้า?”

“มิใช่ประมุขนิกาย เป็นกงจู๊ (ราชธิดา) ท่านหนึ่ง กงจู๊ที่สวยสะคราญยิ่ง”

“นางไฉนติดต่อข่าวคราวกับท่านได้?”

“เนื่องเพราะนางเป็นมนุษย์ ขอเพียงเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าก็มีปัญญาซื้อมันไว้”

นางถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“อาจบางที มีเพียงท่านอยู่นอกเหนือกว่านี้”

“หรอนางถึงกับกล้าขายความลับม้อก้าแก่ท่าน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจอีกครั้ง

“แต่เสียดาย ความลับที่นางทราบมีไม่มากเท่าใด”

“นางทราบความลับใดบ้าง?”

“นางเพียงทราบ ในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้ามีสามคนมาเชี่ยงอันแล้ว แต่ยังมิทราบ พวกมันมาเชี่ยงอันในคราบของศักดิ์ฐานะใด”

“นางก็ไม่ทราบนามของสามคนนั้น?”

“แม้นับว่านางทราบก็ไม่มีประโยชน์ มิว่าผู้ใดเข้าม้อก้าแล้ว ต่างต้องทอดทิ้งทุกสรรพสิ่งของตนโดยสิ้นเชิง กระทั่งชื่อแซ่เดิม ก็ไม่อาจใช้อีกเป็นอันขาด”

“ดังนั้น นางจึงเพียงทราบ นามของสามคนในม้อก้าเท่านั้น”

“ใช่ นามของสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ในม้อก้า ต่างพิกลจนสุดพิสดาร ผู้หนึ่งเรียกว่าเตียเออปู ผู้หนึ่งเรียกว่าตอเออกา ผู้หนึ่งเรียกว่าปูตาลา อีกผู้หนึ่งเรียกปันชาปานา”

นั่นเป็นภาษามองโกลโบราณ

ความหมายของนามเตียเออปูคือ เปรื่องปราดหลักแหลม

ความหมายของตอเออกาคือ อิทธิพลอำนาจ

ความหมายของปูตาลาคือ ยอดเขาโดดเดี่ยว

ความหมายของปันชาปานาคือ เทพเจ้าความรักความใคร่

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ตอนนี้ นอกจากมีจ้าวฟ้าตอเออกายังเฝ้าอยู่ที่ภูเขาอสูรแล้ว อีกสามจ้าวฟ้า ต่างมาเชี่ยงอันหมดสิ้น”

“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”

“เชื่อถือได้สนิทใจ”

“ท่านก็เดาไม่ออก พวกมันเป็นใคร?”

“ข้าพเจ้าเพียงได้คิดถึงคนผู้หนึ่ง ปันชาปานาผู้นั้น อาจจะเป็นเง็กเซียวอย่างยิ่ง”

ในชั่วชีวิตเง็กเซียว เต็มไปด้วยความรักและความใคร่จริงๆ

เอี๊ยบไคกล่าว

“ท่านสามารถสอบถามปากคำของเง็กเซียว ให้ทราบถึงอีกสองคนนั้นได้หรือไม่?”

“ไม่สามารถ”

“ท่านก็ไม่สามารถ?”

“แม้นับว่าข้าพเจ้ามีวิธีที่บันดาลให้ผู้คนทุกประเภทสารภาพความจริง แต่มีคนประเภทหนึ่ง ที่นอกเหนือกว่านี้”

“คนตาย?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะ เอี๊ยบไครีบถาม

“มันตายอย่างไร?”

“มีคนฆ่ามัน”

“เป็นผู้ใดสามารถฆ่าน่ำไฮ้เง็กเซียวได้?”

“ในนครเชี่ยงอัน ผู้ที่สามารถฆ่าคนเช่นมัน มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน”

เอี๊ยบไคครุ่นคิดชั่วครู่ จึงถอนใจยาวกล่าวขึ้น

“ข้าพเจ้าเพิ่งมาเพียงสิบกว่าวัน แต่นครเชี่ยงอันกลับมีการเปลี่ยนแปรเกิดขึ้นมากหลาย มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเพ่งมองพลางกล่าวเบาๆ

“ท่าน... คิดจะไปแล้วใช่หรือไม่?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“บาดแผลของข้าพเจ้า ทุเลาเป็นปกติแล้ว”

ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมีประกายรันทดขึ้นอีกครา กล่าวเบาๆ

“พอบาดแผลทุเลาท่านก็จะไป?”

เอี๊ยบไคเบือนสายตาหลบนางพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าจะเร็วจะช้า ย่อมต้องไปอยู่”

“ท่านเตรียมจะไปเมื่อใด?”

“วันพรุ่ง...”

เอี๊ยบไคตอบแล้ว ฝืนยิ้มกล่าวต่อ

“หากข้าพเจ้าไปในวันพรุ่ง ยังพอจะไปอวยพรปีใหม่ในเมืองเชี่ยงอันได้” 

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนขบริมฝีปากแนบแน่น พลันแย้มยิ้มกล่าว

“นอกจากอวยพรปีใหม่แล้ว ท่านยังพอจะไปทันสุรามงคลอีกด้วย”

“สุรามงคลของผู้ใด?”

“ย่อมเป็นของสหายท่าน คนที่เป็นสหายรักอย่างยิ่งของท่าน”

-------------------------------

เอี๊ยบไคไปแล้วจริงๆ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถึงกับมิได้เหนี่ยวรั้ง เพียงแต่คล้องแขนเอี๊ยบไค ส่งจนกระทั่งถึงสุดปลายถนน

มิว่าผู้ใดเห็นทั้งสองต่างต้องเข้าใจ ทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เป็นคู่ที่ฟ้าสร้างสรรค์มาโดยเฉพาะ

แต่ทั้งสองเป็นคนรัก? เป็นสหาย? หรือเป็นศัตรูคู่แค้นกันแน่? กระทั่งทั้งสองเองก็ยังแยกแยะไม่ชัดเจน!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเงียบขรึมอย่างยิ่ง แสดงว่ามีความในใจหนักอึ้ง

เอี๊ยบไคพอไปในครานี้ ยังจะมีโอกาสกลับมาข้างกายนางอีกหรือไม่?

ทั้งสองยังมีเวลาได้อยู่ร่วมรวมกันอีกหรือไม่?

เรื่องของภายภาคหน้า มีผู้ใดสามารถทราบ? มีผู้ใดสามารถพยากรณ์?

เอี๊ยบไคพลันกล่าว

“ข้าพเจ้าครุ่นคิดเนิ่นนานอย่างยิ่ง แต่ยังคงคิดไม่ออก จ้าวฟ้าเตียเออปูกับปูตาลา เป็นคนเช่นไรกันแน่?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนฝืนยิ้มตอบ

“ในเมื่อคิดไม่ออก ไยต้องไปเสียสมองขบคิด?”

“ข้าพเจ้ามิอาจไม่คิด”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสะบัดเสียงอย่างแง่งอน

“มนุษย์เรา ไฉนมักจะไปครุ่นคิดถึงเรื่องที่ปกติไม่สมควรคิดเสมอ?”

เอี๊ยบไคมิกล้าตอบวาจานี้ และไม่อาจตอบด้วย

เอี๊ยบไคได้แต่สงบปากคำจนเงียบขรึม อีกเนิ่นนานให้หลัง ยังคงอดมิได้ต้องกล่าว

“ข้าพเจ้าคิดว่า จ้าวฟ้าเตียเออปู จะต้องเป็นคนมีภูมิปัญญาเปรื่องปราดอย่างยิ่ง จ้าวฟ้าปูตาลา ต้องเป็นคนโดดเดี่ยวทระนงอย่างยิ่ง”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะรับคำ

“นามที่ม้อก้าตั้งให้ ย่อมไม่ใช่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง”

“ในความเห็นของท่าน ผู้มีภูมิปัญญาสูงสุดในตอนนี้เป็นผู้ใด?”

“เป็นท่าน”

เอี๊ยบไคหัวร่อ มิกล่าวกระไร

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ในนครเชี่ยงอัน คนที่ดูไปคล้ายโง่เขลามีอยู่ไม่น้อย ตัวหน้าโง่ที่แท้จริงก็มีไม่น้อย”

“ท่านมีความเห็น คนโดดเดี่ยวทระนงที่สุดเป็นผู้ใด?”

“ท่าน”

“ข้าพเจ้าอีก?”

“มีเพียงคนโดดเดี่ยวทระนงที่สุด จึงปฏิเสธกุศลเจตนาจากใจจริงของผู้อื่น”

ผู้อื่นที่นางว่า ย่อมหมายถึงตัวนาง

... หรือนางมีความรักต่อเอี๊ยบไคโดยจริงใจ?

เอี๊ยบไคเบือนหน้า เหม่อมองดูปุยเมฆขาวที่ขอบฟ้า ชนชาวโลกมีสักกี่คน ที่สามารถอิสระเสรีดั่งปุยเมฆขาว มีสักกี่คนที่ไม่ถูกควบคุมบังคับ?

หัวใจของแต่ละคน ไยมิใช่ต่างถูกโซ่ตรวนพันธนาการ?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนพลันถามอีก

“นอกจากท่านแล้ว อาจบางทียังมีอีกคนสองคน”

“ผู้ใด?”

“ลู่เต๊ก ก้วยเต๋ง”

“พวกมันย่อมมิใช่เป็นคนในม้อก้าเด็ดขาด”

“หรือเนื่องเพราะพวกมัน ต่างมีชาติตระกูลที่ดี มีประวัติความเป็นมาที่ดี ดังนั้น จึงไม่เข้าเป็นสาวกม้อก้า?”

“ข้าพเจ้าเพียงแต่รู้สึก พวกมันไม่มีกลิ่นอายอาถรรพณ์ของสาวกม้อก้า”

“มิว่าอย่างไร เตียเออปูกับปูตาลาต่างอยู่ในเชี่ยงอัน อาจบางทีเป็นสองคนที่ท่านคาดคิดมิถึง เนื่องเพราะร่องรอยของพวกมัน ต่างไม่มีผู้ใดจะคาดคิดถึงตลอดกาล นี่จึงเป็นอาถรรพณ์ชั่วร้ายที่สุดของม้อก้า”

เอี๊ยบไคถอนหายใจ ปรากฏสีหน้าวิตกโดยไม่รู้ตัว

สาวกม้อก้า หากมิใช่ถึงคราจำเป็นที่สุด ต้องไม่ยอมเปิดเผยร่องรอยเด็ดขาด มักจะรอจนตายกับมือพวกมัน จึงสามารถเห็นโฉมหน้าแท้จริงพวกมัน

ที่พวกมันมาในนครเชี่ยงอันครานี้ เป้าที่ต้องการหาโดยแท้จริงเป็นผู้ใด?

เป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน? หรือเป็นเอี๊ยบไค?

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ขอเพียงพวกมันมาเชี่ยงอันจริง ข้าพเจ้าจะเร็วจะช้าย่อมต้องหาพวกมันพบ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“แต่ทว่า วันนี้ท่านยังไม่อาจเริ่มหา”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะวันนี้ ท่านจะต้องไปดื่มสุรามงคล ในโรงเตี๊ยมฮ้งปินก่อน”

ดวงตาคู่งามของนาง มีรอยยิ้มที่เหี้ยมอำมหิตขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวต่อไป

“เนื่องเพราะหากท่านไม่ไป ต้องมีคนมากหลายเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง”

แต่เอี๊ยบไคกลับมิได้ไปโรงเตี๊ยมฮ้งปิน จวบจนก่อนสนธยา เอี๊ยบไคยังมิเคยไปปรากฏตัวที่หน้าโรงเตี๊ยมฮ้งปินเลย

----------------------------

หลังเที่ยงของวันชิวอิ้ด

ตอนเที่ยงวันนี้ อากาศถึงกับแจ่มใสอย่างยิ่ง ฟ้าสีคราม เมฆสีขาว แสงอาทิตย์เจิดจ้า พสุธาถึงกับมีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

สีหน้าก้วยเต๋งก็คล้ายดีขึ้นอีกมากหลาย “คนเมื่อมีงานมงคล จิตใจย่อมคึกคัก เป็นวาจาที่ว่ากล่าวกันมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว จะมากจะน้อยย่อมต้องมีเหตุผลอยู่”

เต็งฮุ้นลิ้มกำลังประคองชามน้ำโสม ป้อนให้มันกินทีละคำ

ทั้งสองมิใคร่เอ่ยปากสนทนา มิว่าผู้ใดต่างไม่ทราบควรกล่าวกระไร ในใจยิ่งมิทราบเป็นหวาน? เป็นขม? เป็นฝาด?

ชีวิต ไยมิใช่เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว? !

ชะตาชีวิตที่ระบุไว้ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืน อย่างนั้น ไยต้องดิ้นรนขัดขืนด้วย?

เต็งฮุ้นลิ้มปลุกใจให้คึกคัก มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า ดูไปคล้ายดั่งเป็นแสงอาทิตย์ในฤดูหนาวก็ปาน

ก้วยเต๋งคิดจะมองนางอีกสักหลายครั้ง แต่ยังไม่กล้า จำต้องก้มศีรษะต่ำ มองดูมือที่ขาวผ่องเป็นยองใยของนาง พลันถามขึ้น

“โสมนี้แพงอย่างยิ่งหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ ก้วยเต๋งถามต่อ

“พวกเรามีปัญญาซื้อได้?”

“ซื้อไม่ได้”

“อย่างนั้น โสมนี้....”

เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มสอดคำ

“นี่เป็นข้าพเจ้าเชื่อมา เนื่องเพราะวันนี้ ต้องมีคนส่งของขวัญมาให้มากหลายอย่างยิ่ง คนในนครเชี่ยงอัน ต้องมีมากหลายที่มาดูพวกเรา ดื่มสุรามงคลของพวกเรา คนเหล่านั้นต้องมิใช่เป็นคนตระหนี่ใจคับแคบแน่”

ก้วยเต๋งลังเลชั่วคณะจึงกล่าว

“เรื่อราวของเรา มีคนทราบมากหลายแล้ว?”

เต็งฮุ้นลิ้มผงกศีรษะ

“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสั่งให้เจ้าของโรงเตี๊ยม เตรียมสุรามงคลแก่พวกเราสิบสองโต๊ะ”

ก้วยเต๋งอดมิได้ต้องเงยหน้ามองนาง มิทราบเป็นปีติยินดี? หรือรันทดหดหู่?

“ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องทำดั่งนี้เลย ข้าพเจ้า...”

เต็งฮุ้นลิ้มมิยอมให้มันกล่าวต่อไป บีบมือมันแนบแน่นแล้ว ส่งเสียงนุ่มนวล

“ท่านเพียงปลุกปลอบใจให้คึกคัก รีบรักษาบาดแผลทุเลา อย่าได้ให้ข้าพเจ้าเป็นม่ายเด็ดขาด”

ก้วยเต๋งหัวร่อแล้ว มาตรว่าหัวร่อด้วยความคับแค้นรันทด แต่ยังมีความหวานชื่นปะปนอยู่หลายส่วน

มิว่าอย่างไร มันตกลงใจแล้ว จะต้องดูแลสตรีที่น่ารักนี้โดยดี ดูแลนางไปชั่วชีวิต

อาศัยการตกลงใจที่เด็ดเดี่ยวนี้ มันคงต้องไม่ตายไปได้

ความเด็ดเดี่ยวของการดิ้นรน หวังเอาชีวิตรอดของคนเรา มักจะมีสรรพคุณยิ่งกว่าโอสถใดๆ เสียอีก

เจ้าของโรงเตี๊ยมมาส่งเสียงขึ้นที่หน้าประตู

“เต็งโกวเนี้ย ท่านควรออกมาแต่งตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็หาอีกผู้หนึ่ง มาอาบน้ำแต่งตัวให้ก้วยกงจื้อด้วย”

เต็งฮุ้นลิ้มตบหลังมือก้วยเต๋งเบาๆ ผลักประตูออกไป ดูชายชราที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีแล้ว อดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“ท่านเป็นคนดีจริงๆ”

ความจริงในโลกนี้ ยังมีคนดีอยู่ทุกหนแห่งเสมอ

เจ้าของโรงเตี๊ยมแย้มยิ้มกล่าว

“วันนี้เป็นชิวอิดของปี ข้าพเจ้าเพียงหวัง เราทั้งหลายได้ผ่านปีนี้โดยราบรื่น เราทั้งหลายต่างเบิกบานสำราญใจ”

ท่านเป็นคนดีงาม ดังนั้น ท่านจึงมีความมุ่งหวังเยี่ยงนี้ แต่ทว่า ความหวังของท่าน จะเป็นความจริงได้หรือไม่?

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มพลันปวดแปลบ น้ำตาเอ่อคลอจนแทบมิอาจข่มกลั้น

นางปลุกปลอบใจให้คึกคัก ฝืนหัวร่อถาม

“ตอนนี้มีคนส่งของขวัญมาบ้างแล้วหรือไม่?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมแย้มยิ้มตอบ

“คนที่ส่งของขวัญกลับมีไม่น้อยจริงๆ ข้าพเจ้าต่างจดของขวัญอยู่ในบัญชี เต็งโกวเนี้ยคิดจะไปดูก่อนหรือไม่?”

เต็งฮุ้นลิ้มปรารถนาจะดูอย่างยิ่ง

นางได้คิดแล้ว ต้องมีคนประหลาดพิกลมากมายส่งของขวัญที่ประหลาดมาให้นาง

เต็งฮุ้นลิ้มนึกถึงเรื่องราวมากหลาย แต่กลับคาดคิดไม่ถึง ผู้ส่งของขวัญรายแรก ถึงกับเป็นปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน) เอี้ยเทียน!

นามแรกในบัญชีก็คือมัน

เอี้ยเทียน... ของขวัญสีรายการ ดอกไม้มุกหนึ่งคู่ กำไลหยกหนึ่งคู่ เครื่องประดับทองหนึ่งชุด เหรียญทองคำโบราณสี่สิบอัน รวมน้ำหนักสี่ร้อยตำลึง

เหรียญทองคำโบราณ ความหมายย่อมเป็นบอก ของขวัญนี้เป็นมันส่งแทนในนามพรรคกิมจี๊ปัง และก็เป็นผู้แทนของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่น แค่นหัวร่อในใจไม่หยุดยั้ง นางหวังให้คืนนี้ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมาดื่มสุรามงคลด้วย

ลู่เต๊กถึงกับส่งของขวัญมา เป็นส่งมาพร้อมกับโต้วตั๊งของสำนักคุ้มกันสินค้า โป้ยฮึงเปียเก๊ก นอกจากของขวัญสูงค่าสี่รายการแล้ว ยังมียาสมานแผลดีที่สุดอีกขวดหนึ่ง

เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องแค่นหัวร่อในใจ

นางตกลงใจไม่ใช้ยาขวดนี้ มิว่าลู่เต๊กมีกุศลเจตนาจริงหรือไม่ นางต่างไม่อาจเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้

ยังมีนามอีกมากหลายที่เต็งฮุ้นลิ้มคล้ายเคยรู้จัก แต่จดจำมิใคร่ได้ พวกเหล่านั้นคล้ายดั่งเป็นผู้มีความสัมพันธ์กับตระกูลเต็ง และเป็นสหายเก่าที่คบกันมานาน

ความจริงตระกูลเต็ง ก็เป็นตระกูลใหญ่ในบู๊ลิ้ม คบหากว้างขวางทั่วแผ่นดิน ในจำนวนนั้น ย่อมมีมากหลายที่มานครเชี่ยงอัน

แต่คนของตระกูลเต็งเล่า?

ตระกูลที่เคยมีเกียรติภูมิกระเดื่องเกรียงไกรในบู๊ลิ้มมายุคสมัยหนึ่ง ปัจจุบันกลายเป็นเช่นนี้แล้ว?

เต็งฮุ้นลิ้มกระทั่งคิดยังมิกล้าขบคิด

นางดูต่อไป พบนามที่ผิดคาดหมายอีกนามหนึ่ง

ชุยเง็กจิน!

นางถึงกับยังไม่ตาย!

ในวันเวลาเหล่านี้ นางไฉนมิเคยปรากฏตัวมาเลยสักครั้ง นางก็ทราบข่าวตายของเอี๊ยบไคหรือไม่?

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราแย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้านึกมิถึงจริงๆ เต็งโกวเนี้ยถึงกับมีมิตรสหายในเชี่ยงอันมากปานนี้ ค่ำคืนนี้จะต้องครึกครื้นอย่างยิ่งเป็นแน่แท้”

ดูท่าทีงานมงคลของเต็งฮุ้นลิ้ม สั่นสะเทือนนครเชี่ยงอันจนหวั่นไหวแล้วจริงๆ

เต็งฮุ้นลิ้มพลันพบเห็น ที่แท้ตัวนางก็เป็นคนมีชื่อเสียง... นั่นใช่เพราะเรื่องเอี๊ยบไคหรือไม่?

นางรีบยับยั้งตัวเองมิให้ครุ่นคิดสืบไป มิว่าอย่างไร นางวันนี้ต้องไม่อาจไปนึกถึงเอี๊ยบไคได้

อย่างน้อยวันนี้... วันนี้ไม่อาจคิดเด็ดขาด!

นางดูจนถึงนามสุดท้าย หัวใจพลันวาบหวิวลง

น่ำเก็งลั่ง ภาพวาดหนึ่งม้วน

นางรู้จักนามนี้ และรู้จักคนผู้นี้

ในตระกูลใหญ่ที่ขึ้นชื่อ ต้องมีคนสองคนที่ดุดันอำมหิตเป็นพิเศษอยู่

น่ำเก็งลั่ง คือผู้น่าสะพรึงกลัวที่สุด ของตระกูลน่ำเก็งอันเกรียงไกร

มันเป็นมหาโจที่มีชื่อชั่วร้ายอื้อฉาว เป็นบุตรหลานเลวร้ายของตระกูลน่ำเก็ง แต่มันกลับเป็นเจ๊กเจ่กแท้ๆ ของน่ำเก็งเอี๊ยง

เต็งฮุ้นลิ้มอดมิได้ต้องถาม

“ท่านเห็นคนส่งภาพวาดม้วนนี้มาหรือไม่?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราสั่นศีรษะ

“หากเต็งโกวเนี้ยต้องการดู ข้าพเจ้าพอจะหยิบมาให้ในตอนนี้”

เต็งฮุ้นลิ้มย่อมต้องการดูอย่างยิ่ง

--------------------------

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น