วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) แผนร้ายสัมฤทธิ์ผล

 

แผนร้ายสัมฤทธิ์ผล

แสงโคมไฟเลือนรางสลัว ก้วยเต๋งนั่งอยู่ที่ใต้โคมโดดเดี่ยว จับตามองนางแน่วนิ่ง

ก้วยเต๋งเองก็มิทราบกล่าววาจาใดจึงปลอดใจนางได้ แต่สายตาของมันมีประกายปลุกปลอบใจอยู่

ในที่สุด เต็งฮุ้นลิ้มตะเกียกตะกายผุดลุกขึ้น เหม่อมองโคมโดดเดี่ยวจนซึมเซา มิทราบอีกเนิ่นนานเท่าใดจึงกล่าวอย่างซึมเซา

“ข้าพเจ้าฆ่ามัน... เป็นข้าพเจ้าฆ่ามัน”

“ท่านมิใช่”

เสียงของก้วยเต๋งนุ่มนวลและหนักแน่น กล่าวต่อไป

“เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิท่านได้เลย”

“ท่านทราบเรื่องนี้?”

“เป็นเอี๊ยบไคกับข้าพเจ้า ร่วมกันไปช่วยท่านออกมา”

“ตอนข้าพเจ้าแทงใส่มันมีดหนึ่ง ท่านก็ดูอยู่ที่ด้านข้าง?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าดูอยู่ที่ด้านข้าง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทราบ นั่นไม่อาจตำหนิท่านได้ เนื่องเพราะท่านในตอนนั้น มิใช่เป็นตัวของท่านเองเลย”

เต็งฮุ้นลิ้มจ้องมองมันแล้ว จ้องมองมือตัวเอง

มิว่าอย่างไร มีดย่อมอยู่ในมือสองมือนี้ ซึ่งก็เป็นความจริงแท้แน่นอน นางทราบความเจ็บปวดและเศร้ารันทดในใจนาง ไม่มีวันคลี่คลายได้ตลอดกาล

มิว่าผู้ใด มิว่าใช้วาจาใดมาปลอดประโลมนางต่างไม่มีประโยชน์

ก้วยเต๋งกล่าวช้าๆ สืบไป

“หากท่านคิดจะล้างแค้นแทนเอี๊ยบไค ก็ไม่ควรทรมานตัวเอง คนที่พวกเราสมควรไปหา คือเง็กเซียว คือลู่เต๊ก”

“พวกเรา?”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะรับคำ

“ใช่ พวกเราคือข้าพเจ้ากับท่าน”

“แต่เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับท่านเลยสักน้อยนิด”

“ไฉนมิได้เกี่ยวข้อง? ท่านเป็นสหายของข้าพเจ้า เอี๊ยบไคก็เป็นสหายของข้าพเจ้า เรื่องราวของพวกท่าน ย่อมเป็นเรื่องราวของข้าพเจ้า”

เต็งฮุ้นลิ้มพลันเงยหน้าเพ่งมองมัน จนอีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“ท่านไม่ยอมบอกเรื่องราวนี้แก่ข้าพเจ้าเสมอมา ยินยอมทนให้ข้าพเจ้าหยามประณาม ก็มิยอมบอกข้าพเจ้า เพียงเพื่อมิให้ข้าพเจ้าต้องเสียใจ”

“ข้าพเจ้า...”

“บัดนี้ท่านจะไปล้างแค้นแทนเอี๊ยบไค ก็เนื่องเพราะท่านทราบ ข้าพเจ้าต้องมิใช่เป็นคู่มือของลู่เต๊กกับเง็กเซียว?”

ก้วยเต๋งก็ก้มมองมือตัวเอง เนื่องเพราะมันไม่กล้าสบสายตาของนาง

ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มไม่มีน้ำตา กล่าวช้าๆ

“ความหมายของท่าน ข้าพเจ้าเข้าใจกระจ่าง บัดนี้ข้าพเจ้าเพียงหวัง ท่านก็สามารถเข้าใจความหมายของข้าพเจ้า”

ก้วยเต๋งสงบฟัง เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเสียงละห้อย

“นี่เป็นเรื่องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านเกี่ยวข้อง มิว่าเง็กเซียวกับลู่เต๊กเป็นคนน่าสะพรึงกลัวปานใด ข้าพเจ้าต่างมีวิธีรับมือพวกมัน ไม่ต้องให้ท่านวิตกกังวล”

ก้วยเต๋งอดมิได้ต้องถาม

“ท่านมีวิธี?”

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่นตอบ

“ข้าพเจ้าเป็นสตรี สตรีที่จะรับมือบุรุษ ย่อมมีวิธีอยู่”

เสียงของนางก็แปรเปลี่ยน เป็นหนักแน่นเหี้ยมเกรียม

นางความจริงเป็นดรุณีที่สวยสะคราญไร้เดียงสา แต่บัดนี้กลับคล้ายเป็นอีกคนหนึ่งก็ปาน

หัวใจก้วยเต๋งวาบหวิวลงตลอดเวลา

มันพลันรู้สึก มีความหวาดกลัวอย่างบอกมิถูกจู่โจมจิตใจ มันรู้สึก เต็งฮุ้นลิ้มจะต้องไปกระทำเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว

มันคิดจะขัดขวาง แต่มิทราบควรขัดขวางเยี่ยงไร?

เต็งฮุ้นลิ้มผุดลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปที่หน้าต่าง เหม่อมองดูวิกาลนอกหน้าต่าง

วิกาลยังไม่ดึกนัก นางพลันหันไปถาม

“ในตัวท่านมีเงินหรือไม่?”

“มี”

“มีเท่าใด?”

“ไม่น้อย”

เต็งฮุ้นลิ้มเสยผมพลางกล่าว

“ตอนนี้ยังไม่ดึกเกินไป ข้าพเจ้าคิดจะไปซื้อของในถนนสักเล็กน้อย รับประทานอาหารสักมื้อ ท่านเป็นเพื่อนไปด้วยได้หรือไม่?”

-----------------------------

เหลาสุรายังมิได้เก็บร้านจริงๆ เต็งฮุ้นลิ้มสั่งอาหารเจ็ดแปดอย่าง นางรับทานช้าอย่างยิ่ง แต่รับทานมากอย่างยิ่ง และยังดื่มสุราอีกเล็กน้อย

จากนั้น นางไปเดินเที่ยวในถนนครึกครื้นจอแจที่สุดของนครเชี่ยงอัน ซื้อฝุ่นหอมเครื่องประทินผิวบ้างเล็กน้อย ซื้อเสื้อผ้าสีสันสดใสเล็กน้อย และยังซื้อเครื่องประดับที่ราคาไม่แพงแต่น่าดูอย่างยิ่งอีกเล็กน้อย

ของเหล่านี้ ความจริงเป็นของที่ดรุณีชมชอบที่สุด โดยเฉพาะดรุณีที่มีวัยเช่นนาง

เรื่องเหล่านี้ ความจริงธรรมดาอย่างยิ่ง

แต่ทว่าในสภาวะเช่นนางตอนนี้ ถึงกับยังมีกะใจกระทำเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

แสดงว่านางเยือกเย็นเกินไป!

มีแต่คนที่ตกลงใจเรื่องสำคัญได้เด็ดเดี่ยวที่สุด จึงกลับกลายเป็นเยือกเย็นถึงปานนี้ได้

นางตกลงใจเรื่องราวใดกันแน่?

ความหวาดกลัวของก้วยเต๋งยิ่งลึกซึ้งกว่าเดิม แต่จำต้องติดตามนางโดยเงียบขรึม มิอาจกล่าววาจากระไรทั้งสิ้น

มิว่านางตกลงใจไปกระทำเรื่องราวใด นางอย่างไรก็ยังมิได้กระทำ

เดินไปเดินไป พลันเดินมาถึงหน้าโป้ยฮึงเปียเก๊กอีก

เต็งฮุ้นลิ้มมอบห่อใหญ่ห่อเล็กในมือแก่ก้วยเต๋งหมดสิ้น จากนั้น เดินอย่างเยือกเย็นเข้าไป

พวกคนงานที่อยู่ทางปากประตุ จ้องมองนางด้วยความตระหนก ถึงกับไม่มีผู้ใดสกัดขวาง

เนื่องเพราะมันต่างพบเห็น สตรีนางนี้ถึงกับคล้ายเปลี่ยนแปรไปแล้ว เปลี่ยนแปรรวดเร็วเกินไป เปลี่ยนแปรจนน่าสะพรึงกลัวเกินไป

ดรุณีที่เพิ่งโศกเศร้าเสียใจปานนั้น พลุ่งพล่านเดือดดาลปานนั้น ถึงกับพลันกลายเป็นเยือกเย็นเยี่ยงนี้ นับเป็นเรื่องพิสดารที่ผู้คนไม่มีปัญญาหยั่งคำนวณออกจริงๆ

กระทั่งโต้วตั๊งเมื่อเห็นนาง ยังรู้สึกตระหนกจนร้องโพล่งไป

“ท่านมาด้วยสาเหตุใดอีก?”

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเสียงราบเรียบ

“ข้าพเจ้าคิดจะขอร้องให้ท่าน ไปบอกต่อเง็กเซียวเต้าหยินและลู่เต๊ก หากพวกมันคิดจะหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน หากพวกมันคิดจะได้คัมภีร์ฝีมือและขุมทรัพย์นั้น เรียกให้พวกมันไปหาข้าพเจ้า ที่โรงเตี๊ยมฮ้งปินในเที่ยงวันพรุ่ง”

โต้วตั๊งตะกุกตะกัก

“ข้าพเจ้า... จะหาพวกมันพบได้อย่างไร?”

“หาวิธีไปหา หากหาไม่พบ ท่านควรรีบกระแทกศีรษะกับผนังให้ตายโดยด่วนจึงประเสริฐ”

เสียงของนางก็ราบเรียบอย่างยิ่ง กระทั่งมุมปากยังมีรอยยิ้มเล็กน้อย

แต่รอยยิ้มเยี่ยงนี้ ยังน่ากลัวยิ่งกว่าสีหน้าอื่นใด โต้วตั๊งถึงกับไม่กล้ากล่าวกระไรสักคำเดียว

เต็งฮุ้นลิ้มเดินอย่างเยือกเย็นออกมา ถึงกับหาแผงขายหมี่เล็กๆ กินหมี่ไปครึ่งชามใหญ่ ดื่มสุราอีกเล็กน้อยแล้ว นางจึงแย้มยิ้มกล่าว

“วันนี้ข้าพเจ้าเจริญอาหารเป็นพิเศษ”

ดูรอยยิ้มของนางแล้ว ก้วยเต๋งยิ่งไม่อาจส่งเสียงแม้สักคำเดียว

--------------------------------------

ตอนนี้ดึกอย่างยิ่ง ทั้งสองเหยียบย่ำอยู่ในม่านวิกาลที่เหน็บหนาววังเวง กลับสู่โรงเตี๊ยมเล็กๆ อย่างเชื่องช้า กลับไปในห้องแคบๆ ที่มืดครึ้มเลือนราง

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าจะนอนแล้ว”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะโดยเงียบงัน ขณะเตรียมจะออกจากห้อง เต็งฮุ้นลิ้มกลับแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านมิต้องออกไป เตียงตัวนี้พอให้เราสองคนนอน”

ก้วยเต๋งตะลึงลาน

แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับคลี่ผ้าห่อมออกแล้วกล่าวต่อ

“ท่านเข้านอนทางด้านใน ข้าพเจ้าชมชอบนอนทางด้านนอก”

เสียงของนางยังคงราบเรียบ คล้ายดั่งมารดาเรียกบุตรให้ขึ้นเตียงนอนก็ปาน

ก้วยเต๋งถึงกับไม่มีปัญญาขัดขืนปฏิเสธ จำต้องเดินตัวแข็งขึ้นเตียง ล้มนอนตัวแข็งอยู่บนเตียง แนบร่างกับผนังจนสนิทแน่น

เต็งฮุ้นลิ้มก็นอนลงไป แย้มยิ้มกล่าว

“ค่ำนี้ข้าพเจ้าอาจจะฝันร้านหลายเรื่อง ท่านควรอย่าได้ถูกข้าพเจ้าขู่ขวัญจนกระโดดขึ้นจึงประเสริฐ”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะ

นอกจากผงกศีรษะแล้ว มันกระทั่งเคลื่อนไหวก็ยังมิกล้า

เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจเบาๆ รำพึงเบาๆ

“ท่านทราบหรือไม่? ข้าพเจ้ามิเคยนอนเตียงเดียวกับบุรุษใดมาก่อนเลย ความจริงข้าพเจ้าเข้าใจ ชีวิตชาตินี้ต้องไม่นอนร่วมเตียงกับบุรุษใดอีก...”

เสียงของนางยิ่งกล่าวยิ่งเบา จนครู่ใหญ่ ถึงกับหลับไปแล้ว

วิกาลเงียบจนวังเวง

ลมหายใจของนางเบาอย่างยิ่ง เบาจนคล้ายเป็นลมฤดูใบไม้ผลิ

ก้วยเต๋งก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว คิดจะหลับสักครู่หนึ่งเช่นกัน

แต่มันไหนเลยข่มตาให้หลับได้?

หัวใจมันไม่เคยว้าวุ่นดั่งตอนนี้มาก่อนเลย เรื่องที่มันคิดมีมากหลายอย่างยิ่ง

เรื่องมากมายที่สมควรกระทำ และมีเรื่องมากมายที่ไม่สมควรไปคิด

มันคาดฝันไม่ถึงเด็ดขาด มันจะมานอนร่วมเตียงกับเต็งฮุ้นลิ้ม และก็คาดฝันไม่ถึง เมื่อนอนกับดรุณีในเตียงเดียวกัน จะมีสภาพเช่นดั่งตอนนี้ได้

มันเป็นบุรุษ บุรุษวัยฉกรรจ์ที่เลือดลมร้อนแรง

มันเคยผ่านสตรีมา ในด้านนี้ มันมิใช่เคร่งเครียดสำรวมดุจดั่งรูปกายของมัน

ตอนนี้ ที่นอนข้างกายมัน เป็นสตรีที่มันใฝ่ฝันใคร่จะได้อยู่เสมอมา นับแต่เห็นนางในคำรบแรก มันก็มีความพอใจดรุณีนางนี้ อย่างกระทั่งตัวเองก็ไม่มีปัญญาอธิบาย

แต่บัดนี้ มันกลับไม่มีจิตใจเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง จิตใจมันตอนนี้ มีแต่ความหวาดกลัวและโศกเศร้า

มันทราบแล้ว เรื่องที่เต็งฮุ้นลิ้มตกลงใจไปกระทำคือเรื่องอันใด!

ขอเพียงเป็นสตรีที่ตกลงใจจะตาย จึงมีการเปลี่ยนแปรที่น่ากลัวปานนี้!

มันก็ตกลงใจเช่นกัน... มันไม่อาจปล่อยให้เต็งฮุ้นลิ้มตายเด็ดขาด

ขอเพียงสามารถให้สตรีนางนี้มีชีวิตอยู่ มันก็ไม่เสียดายที่จะไปกระทำเรื่องราวใด

วิกาลคล้อยดึกกว่าเดิม ลมหนาวกรรโชกที่นอกหน้าต่างดังอึงคะนึง มันพลันพบเห็น ร่างเต็งฮุ้นลิ้มเริ่มสั่นระริก

สั่นระริกไม่หยุดยั้ง ครวญครางไม่หยุดยั้ง สะอึกสะอื้นไม่หยุดยั้ง

แสงดาวลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้อยู่บนใบหน้านาง ใบหน้านางมีน้ำตาเนืองนอง

หัวใจมันก็คล้ายถูกมีดกรีดเฉือน แทบอดมิได้ต้องพลิกตัวไปโอบรัดนางให้แนบแน่น บอกกับนาง ชีวิตยังมีเรื่องที่น่าถนอมอยู่อีกมากหลาย มิว่าบาดแผลที่เจ็บปวดลึกซึ้งเพียงใด ต่างจะค่อยๆ ทุเลาเป็นปกติได้

แต่ทว่ามันมิกล้าทำดั่งนั้น และไม่อาจทำดั่งนั้นด้วย

มันมีแต่หลั่งน้ำตากับนาง จวบจนเมื่อน้ำตาแห้ง มันจึงเคลิ้มหลับไป

จากนั้น ร่างมันก็สั่นระริก สั่นระริกมิหยุดยั้ง

หากมันลืมตามาในตอนนี้ ก็จะพบเห็นเต็งฮุ้นลิ้มกำลังจ้องมองมัน ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยประกายเศร้ารันทด เห็นใจ เวทนา สะทกสะท้อน

เป็นประกายขอบคุณตื้นตัน ที่ไม่อาจสรรหาวาจาใดมาบ่งบอกบรรยาย และไม่มีปัญญาทดแทนได้ตลอดกาลนาน...

------------------------------

ตอนก้วยเต๋งตื่นมา ฟ้าสว่างจ้าแล้ว 

เต็งฮุ้นลิ้มได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่ซื้อเมื่อวาน กำลังนั่งหวีผมอยู่ที่ข้างหน้าต่าง

ท่วงท่าของนางนุ่มนวลสวยงาม ใบหน้านางในแสงอาทิตย์ เป็นประกายเจิดจ้า จนบอกไม่ถูก

กระทั่งห้องแคบๆ ที่เลือนราง ยังคล้ายถูกประกายของนาง กลับกลายให้เป็นมีชีวิตชีวา มีสีสันเจิดจ้า

ต้วยเต๋งเหม่อมองจนซึมเซาไปแล้ว

หากแม้นที่นี้เป็นบ้านของมัน หากแม้นนางคือภรรยามัน พอมันตื่นก็เห็นภรรยามันกำลังหวีผมอยู่ที่ริมหน้าต่าง

อย่างนั้น โลกนี้ยังจะมีความสุขใด เปรียบเทียบกับความสุขของมันได้?

หัวใจมันเริ่มปวดแปลบอีกครา

มันมิกล้าคิดสืบไป กระทั่งคิดยังไม่กล้าคิด

มันทราบ ประกายที่เจิดจ้าสดใส ประกายที่สวยงามสุดบรรยาย เป็นเพียงเพลงโหมโรงของความตาย ที่ใกล้จะกรายมาเท่านั้น!

บางครั้ง ความตายก้เป็นความสวยงามอย่างยิ่งเช่นกัน!

เต็งฮุ้นลิ้มพลันส่งเสียง

“ท่านตื่นแล้ว?”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะ ยันกายขึ้นนั่ง ฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าคงนอนหลับสนิทดั่งคนตาย”

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ท่านสมควรนอนให้สบายอีกตื่นหนึ่ง ข้าพเจ้าทราบ ท่านมิได้นอนมาหลายวันแล้ว”

“ตอนนี้เป็นเวลาใด?”

“คล้ายดั่งใกล้เที่ยง”

หัวใจของก้วยเต๋งวาบหวิวลงทันที

เที่ยงตรง!

เรียกพวกมันไปรอข้าพเจ้า ที่โรงเตี๊ยมฮ้งปินในเที่ยงวันพรุ่ง

ความจริงตอนเที่ยง นับเป็นเวลาสว่างที่สุดของวัน แต่สำหรับกับทั้งสองในตอนนี้ กลับเป็นเวลาของความตาย

เต็งฮุ้นลิ้มพลันผุดลุกขึ้น หมุนกายที่เบื้องหน้ามันแล้วแย้มยิ้มถาม

“ท่านดูข้าพเจ้าแต่งได้งามหรือไม่?”

นางงามสะคราญปานเทพธิดาจริงๆ

นางดูไปคล้ายไม่เคยมีความงามจนเจิดจ้าดั่งตอนนี้มาก่อนเลย เนื่องเพราะนางมิเคยตั้งอกตั้งใจแต่งตัวดุจดั่งวันนี้

นางดูไปคล้ายดั่งนกยูง ที่เพิ่งรำแพนเป็นครั้งแรก

นี่อาจบางทีเนื่องเพราะจวบจนบัดนี้ นางจึงได้กลายเป็นสตรีที่เติบใหญ่เต็มสาว

ความงามสุดหล้าฟ้าดินเยี่ยงนี้ กลับยิ่งเสียดแทงใจก้วยเต๋งให้ปวดแปลบกว่าเดิม

มันพลันได้คิดถึงตอนมารดามันตาย กำลังถูกหามเข้าโลงนั้น ก็เป็นเวลาที่นางถูกตบแต่งงาที่สุดในชั่วชีวิตของนาง

หัวใจก้วยเต๋งมีโลหิตหยดหยาดอยู่

เต็งฮุ้นลิ้มเพ่งมองพลางถาม

“ท่านไฉนไม่กล่าววาจา? ท่านครุ่นคิดเรื่องอันใด?”

ก้วยเต๋งไม่มีปัญญาตอบโต้ ได้แต่เหม่อมองนางจนซึมเซาชั่วครู่จึงถาม

“ท่านจะไปแล้ว?”

“ข้าพเจ้า... เพียงแต่ออกไปเดินเล่นสักรอบเดียว”

“ไปพบเง็กเซียวกับลู่เต๊ก?”

“ใช่ ท่านก็ทราบ ข้าพเจ้าอย่างไรต้องได้พบพวกมันสักครั้ง”

“ข้าพเจ้าจะเร็วจะช้า ก็ต้องพบพวกมันสักครั้งให้ได้”

“ท่านเป็นเพื่อข้าพเจ้าไป?”

“ท่านไม่ยอม?”

เต็งฮุ้นลิ้มยิ้มแย้มกล่าว

“ข้าพเจ้าไฉนไม่ยอม? มีท่านเป็นเพื่อนข้าพเจ้าไปย่อมประเสริฐสุด”

ก้วยเต๋งตะลึงลานอีกครา มันความจริงคาดคิดไม่ถึงว่าเต็งฮุ้นลิ้มจะยอมให้มันไปด้วย...

นี่เป็นเรื่องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านเกี่ยวข้อง

ก้วยเต๋งนึกไม่ถึง วันนี้นางถึงกับยอมเปลี่ยนความคิด

เต็งฮุ้นลิ้มยิ้มแย้มกล่าวต่อ

“หากท่านจะไป ก็รีบเร่งลุกขึ้นล้างหน้าหวีผม ข้าพเจ้าเตรียมน้ำไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว”

มุมห้องมีชามอ่างน้ำวางอยู่ใบหนึ่งจริง

ก้วยเต๋งกระโดดลงจากเตียง ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสด้วยความกระตือรือร้น รู้สึกทั้งร่างมีพละกำลังเข้มแข็งจนบอกมิถูก

มันก็ทราบ เง็กเซียวกับลู่เต๊ก เป็นคู่มือที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง

แต่มันไม่หวั่นวิตก

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นมีชัยหรือพ่ายแพ้ เป็นรอดชีวิตหรือตายไป มันต่างไม่กังวลสนใจ

ที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวคือ ตอนนี้มิใช่เป็นความตายของเต็งฮุ้นลิ้มเพียงลำพัง มันพลันรู้สึก การต่อสู้ครั้งนี้ มิใช่สูญสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง มันรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพละกำลัง

มันก้มตัวลงใช้สองมือวักน้ำขึ้นล้างหน้า

น้ำที่เย็นเฉียบคล้ายเป็นมีดคมกริบ บันดาลให้มันยิ่งแจ่มใสยิ่งคึกคัก

เต็งฮุ้นลิ้มเดินเข้าไปข้างกายมัน กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ท่านก็มิต้องเร่งร้อนเกินไป เพราะอย่างไรพวกมันต้องรอพวกเราแน่”

ก้วยเต๋งแย้มยิ้มตอบ

“ถูกแล้ว ให้พวกมันรอกันนานๆ ก็ประเสริฐอยู่ ข้าพเจ้า...”

วาจามันมิทันจบคำ พลันรู้สึกมีของชิ้นหนึ่ง จี้เข้าใส่จุดที่หลังเอวของมัน

ตัวมันล้มฮวบลงทันที

ได้ยินเต็งฮุ้นลิ้มกล่าวเบาๆ

“ข้าพเจ้ามิอาจไม่ทำดั่งนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจให้ท่านไปตายเพราข้าพเจ้า ท่านจะต้องอภัยให้แก่ข้าพเจ้า”

มาตรว่าก้วยเต๋งได้ยินคำพูดนาง แต่ไม่อาจเคลื่อนไหวและไม่อาจเอ่ยปากด้วย

เต็งฮุ้นลิ้มประคองมันขึ้นไปถึงเตียง ให้มันนอนลงแล้วยืนมองอยู่ที่ข้างเตียง

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายเวทนา ตื้นตัน และรันทดหดหู่อีกครั้ง

“จิตใจที่ท่านมีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบกระจ่าง ท่านเป็นคนเช่นไร ข้าพเจ้าก็เข้าใจได้ แต่เสียดาย... เสียดายที่พวกเราพบกันเมื่อสายเกินไปแล้ว”

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น