วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) ทิเกี่ยมเผชิญเง็กเซียว

 

ทิเกี่ยมเผชิญเง็กเซียว

เสียดายที่พวกเราพบกันเมื่อสายเกินไปแล้ว

นี่คือวาจาประโยคสุดท้ายที่เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อก้วยเต๋ง และก็เป็นวาจาหนึ่งเดียวที่นางสามารถกล่าวได้

แต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน มิทราบมีผู้คนกล่าววาจาประโยคนี้มามากน้อยเพียงใด และมิทราบมีผู้คนเคยได้ฟังวาจานี้มามากเพียงไหน

แต่นอกจากท่านเคยได้กล่าวมาจริง ได้ยินมาจริง ท่านต้องไม่มีปัญญาคาดคิดคำนวณ วาจานี้ได้แฝงความเจ็บปวดใจเพียงใด เศร้ารันทดเพียงไหน? !

เหม่อมองดูเต็งฮุ้นลิ้มที่เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง ก้วยเต๋งรู้สึก ร่างคล้ายกลายเป็นเวิ้งว้างว่างเปล่า ลอยละล่องเข้าไปในหมู่เมฆที่อับชื้นเย็นยะเยียบ แล้วร่วงหล่นลงไปในหุบเหวที่ลึกล้ำไม่เห็นกัน

แสงอาทิตย์ที่ยากจะพบเห็นในฤดูหนาวเหน็บเพิ่งกระจายขึ้นขอบฟ้าบูรพาสาดส่องเข้ามาในห้องที่มืดเลือนรางนี้

แต่สำหรับด้วยเต๋ง ในห้องตอนนี้ เหลือแต่ความเหน็บหนาว และมืดมิดที่เวิ้งว้างไร้ขอบเขต

ก้วยเต๋งทราบ ชั่วชีวิตคน ไม่อาจมีแสงอาทิตย์และความอบอุ่นอีกตลอดกาล เนื่องเพราะนางไปในครั้งนี้ จะต้องไม่มีทางกลับมาได้อีกตลอดกาล ก้วยเต๋งทราบ มันก็ไม่มีทางได้เห็นนางอีกตลอดกาล

สตรีจะรับมือบุรุษ มาตรว่ามีวิธีอยู่มากหลาย แต่ทว่าคนที่นางจะไปรับมือนี้ กลับมีอันตรายอย่างยิ่ง น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งจริงๆ

อย่าว่าแต่แม้นับว่านางสามารถจัดการพวกมันได้ นางเองก็ต้องไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมา

เนื่องเพราะนางตกลงใจไปหาที่ตายอยู่ก่อนแล้ว

นางฆ่าเอี๊ยบไค ความเจ็บช้ำและสำนึกเสียใจของนาง มีแต่ตายจึงสามารถปลดเปลื้องได้

นางตกลงใจแน่วแน่ จะใช้ความตายมาไถ่โทษทัณฑ์ของนาง

ตอนนี้ เง็กเซียวกับลู่เต๊กจะรอคอยอยู่ในโรงเตี๊ยมฮ้งปินหรือไม่?... รอคอยเพื่อสังหารนาง!

บุรุษเช่นพวกมัน จะรับมือกับสตรีเพียงลำพัง มีวิธีมากหลายเช่นกัน

พวกมันจะใช้วิธีใด?

นึกถึงอาถรรพณ์ชั่วร้ายของเง็กเซียว นึกถึงความกลอกกลิ้งเลือดเย็นของลู่เต๊ก ก้วยเต๋งมิกล้าครุ่นคิดต่อไปอีก

แสงอาทิตย์ในฤดูหนาว จะอย่างไรก็ยังอบอุ่นนุ่มนวลอยู่ เฉกเช่นกับการลูบคลำของคนรัก

แสงอาทิตย์พอดีส่องอยู่บนใบหน้ามัน น้ำตามันหลั่งไหลออกมาแล้ว!

----------------------------

เที่ยงตรง

โรงเตี๊ยมฮ้งปิน

ตอนเต็งฮุ้นลิ้มเดินเข้าไป แสงอาทิตย์พอดีสาดส่องอยู่บนป้ายตัวทองเหนือประตู

ในตัวนาง มิได้ผูกกระพรวนทองชิงชีวิตของนาง และมิได้นำอาวุธใดๆ มาด้วย

อาวุธที่นางเตรียมใช้ในวันนี้ คือการตกลงใจของนาง ความกล้าหาญของนาง ภูมิปัญญาและวิญญาณของนาง

นางมีความมั่นใจในตัวเองอยู่เต็มที่

โลกนี้มิทราบมีบุรุษมากน้อยเท่าใด ที่พ่ายแพ้ต่ออาวุธทั้งหลายประการนั้นของอิสตรี

นางนับเป็นสตรีที่สวยสะคราญเหนือธรรมดาจริงๆ และวันนี้ยังตั้งอกตั้งใจแต่งอีกด้วย

เมื่อเห็นนางเดินเข้าไป สายตาของบุรุษทั้งหลายต่างมีประกายชื่นชม และหื่นกระหายโดยมิอาจข่มกลั้น

มีแต่เจ้าของโรงเตี๊ยม ที่เปี่ยมน้ำใจการุณย์คุณธรรม กลับมีสีหน้าหวั่นวิตกอยู่บ้าง คล้ายดั่งดูออกวันนี้จะต้องมีเภทภัยร้ายแรง กรายเข้ารังควานสตรีที่สวยสะคราญแน่

เต็งฮุ้นลิ้มพอเข้าประตู มันก็ออกจากหลังโต๊ะเก็บเงินไปรับหน้า พยายามฝืนยิ้มถาม

“ใช่เต็งโกวเนี้ยหรือไม่?”

“ถูกแล้ว”

“อาคันตุกะทั้งสองท่านของเต็งโกวเนี้ย รอคอยอยู่ที่ตึกช่วงหลังนานแล้ว”

เง็กเซียวกับลู่เต๊กถึงกับมากันจริงๆ

เต็งฮุ้นลิ้มพลันรู้สึก หัวใจนางเต้นถี่เร็วอย่างยิ่ง

มาตรว่านางตกลงใจมาตายอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ยังคงมิอาจข่มความตื่นเต้นไว้ได้

นางก็ทราบ สองคนนี้มีอันตราย และน่าสะพรึงกลัวปานใด

“ที่มามีเพียงสองคน?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมชราผงกศีรษะ ลดเสียงแผ่วเบากล่าว

“หากโกวเนี้ยไม่มีเรื่องสำคัญใด มิสู้ยังคงกลับไปเถิด”

เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านทั้งที่ทราบแน่ว่า เป็นข้าพเจ้านัดพวกมันมา ไฉนยังให้ข้าพเจ้ากลับไปเสีย?”

“เนื่องเพราะ...”

ในที่สุด มันยังคงมิได้บอกความหวั่นวิตกในใจมันออกมา เพียงแต่ถอนใจเบาๆ เท่านั้น

เต็งฮุ้นลิ้มเดินแย้มยิ้มเข้าไป ในใจหาใช่ไม่ทราบความปรารถนาดีของชายชราผู้นี้ไม่

แต่นางไม่มีทางที่สองพอจะเดินได้ แม้นับว่ารู้แน่ ที่รอนางอยู่ทางเบื้องหน้าคืออสรพิษและปิศาจร้าย นางยังคงจำต้องเข้าไป ไม่อาจหลบหนี

--------------------------

ตึกช่วงหลังเพิ่งกวาดมา หิมะถูกกวาดกองไว้สะอาดเอี่ยม พื้นเรียบลื่นเป็นประกาย ยิ่งบันดาลให้รู้สึกเหน็บหนาวกว่าเดิม

“อาคันตุกะสองท่านนั้น อยู่ในห้องโถงนี้เอง”

ผู้รับใช้ที่นำทางกล่าวแล้ว รีบถอยออกไปจากลานตึกโดยเร็ว

แสดงว่ามันดูออก กำหนดนัดวันนี้ มิใช่เป็นที่ล้อเล่นกันได้

ประตูห้องโถงเปิดอยู่ ภายในไม่มีเสียงคน และไม่ได้ยินเสียงหัวร่อ เง็กเซียวกับลู่เต๊ก ต่างเป็นคนไม่พอใจกล่าววาจา ยิ่งไม่พอใจหัวร่อต่อกระซิก

ตอนพวกมันหัวร่อ ปกติมักเนื่องเพราะคนที่พวกมันต้องการฆ่า ได้ตายอยู่ที่เบื้องหน้าพวกมันแล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มสูดลมหายใจลึกๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มจนหยาดเยิ้ม ใช้ท่วงท่าสวยงามที่สุดเดินเข้าไป

ที่รอนางอยู่ในห้อง เป็นเง็กเซียวกับลู่เต๊กจริงๆ

ในห้องก็มีแสงอาทิตย์ แต่มิว่าผู้ใด เพียงเหยียบย่างเข้าไปก้าวเดียว ก็ต้องรู้สึกคล้ายดั่งตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง

เง็กเซียวเต้าหยินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้ประตู เมื่อมันจะนั่ง เป็นต้องเลือกเก้าอี้ที่มีความสุขสบายที่สุดเสมอมา

การแต่งกายของมัน ยังคงสวยงามล้ำค่าดั่งเดิม ดูไปยังคงโอ่อ่าภาคภูมิ ผยองจนเหยียบแผ่นดินไว้ใต้ฝ่าเท้า

มาตรว่าในห้องยังมีอีกผู้หนึ่ง แต่มันคล้ายดั่งมิทราบเลย

มันมิเคยแยแสผู้ใดในสายตาเสมอมา

ลู่เต๊กกลับจ้องมองมันอยู่ ความรู้สึกบนสีหน้าคล้ายดั่งเป็นคนท่องเที่ยวที่ไม่กระตือรือร้น กำลังเหม่อมองดูราชสีห์ชราจนใกล้จะตาย กำลังอวดโอ่ความเป็นเจ้าสัตว์ร้ายของมันในกรงใหญ่ก็ปาน

หน้าซีดขาวของมันกระด้างเย็นชา เหยียดหยามดูแคลนอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันทราบ มาตรว่าขนหนังของราชสีห์ตัวนี้ยังสวยงาม แต่เขี้ยวได้กร่อน เล็บได้ทู่ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะคุกคามมันได้เลย

สีหน้าของมันกระด้างเย็นชา แต่งกายสมถะอย่างยิ่ง มาตรว่าในห้องยังมีเก้าอี้ นั่งสบายแช่นเดียวกันอีก แต่มันกลับยินยอมยืน

เต็งฮุ้นลิ้มยืนที่ปากประตู กวาดตามองพวกมัน รอยยิ้มยิ่งหยาดเยิ้มกว่าเดิม

สองคนนี้ นับเป็นคู่เปรียบเทียบที่ผิดกันเป็นตรงข้ามจริงๆ นางมองปราดแรกก็ดูออก ทั้งสองต้องไม่อาจอยู่ร่วมกันโดยสันติได้เด็ดขาด

“ข้าพเจ้าแซ่เต็ง เรียกว่าเต็งฮุ้นลิ้ม”

นางแย้มยิ้มพลางก้าวเข้าไปในห้อง เง็กเซียวเต้าหยินแค่นเสียงเย็นชา

“เราจำท่านได้”

เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มตอบ

“พวกท่านทั้งสองต่างรู้จักกัน?”

เง็กเซียวเต้าหยินกล่าวอย่างโอหัง

“มันสมควรรู้จักเราเป็นผู้ใด?”

มือมันเคลื่อนลงไป ลูบขลุ่ยหยกที่สายรัดเอวเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“มันก็สมควรรู้จักขลุ่ยเลานี้”

เต็งฮุ้นลิ้มแย้มยิ้มกล่าว

“ใช่ว่าทุกคนต่างต้องรู้จักขลุ่ยเชานี้ มิเช่นนั้นก็สมควรตาย?”

นางปรายตามองลู่เต๊ก แต่สีหน้าลู่เต๊กไม่มีความรู้สึกใดๆ

แสดงว่ามันมิใช่เป็นคนถูกยุแหย่ให้หวั่นไหวได้ง่ายดายนัก

เต็งฮุ้นลิ้มกลอกตาไปมา แย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้านึกไม่ถึงจริงๆ ลู่กงจื้อก็จะมาที่นี้ ข้าพเจ้า...”

ลู่เต๊กพลันสอดคำด้วยเสียงราบเรียบ

“ท่านสมควรได้คิด”

“เพราะเหตุใด?”

“ขุมทรัพย์กับคัมภีร์ฝีมือ ที่เซี่ยงกัวกิมฮ้งเหลือไว้ ความจริงโยกคลอนจิตใจคนให้หวั่นไหวได้ง่ายดายยิ่ง๐

“ลู่กงจื้อก็หวั่นไหว?”

“ข้าพเจ้าก็เป็นคน”

“แต่เสียดายความลับของขุมทรัพย์นั้น ลู่กงจื้อต้องไม่ทราบเด็ดขาด”

ลู่เต๊กยอมรับ ดวงตาเต็งฮุ้นลิ้มเป็นประกายสุกใสกว่าเดิม

“แต่ข้าพเจ้ากลับทราบ มีข้าพเจ้าทราบเพียงคนเดียว”

“อ้อ?”

“ความจริงข้าพเจ้าไม่ต้องการบอกความลับนี้ไปเลย แต่ตอนนี้กลับมิอาจไม่บอกได้”

“เพราะเหตุใด?”

เต็งฮุ้นลิ้มถอนใจเบาๆ รอยยิ้มคล้ายดั่งเศร้ารันทดกว่าเดิม

“เนื่องเพราะตอนนี้เอี๊ยบไคตายไปแล้ว อาศัยกำลังข้าพเจ้าเพียงลำพัง ต้องไม่มีปัญญาได้ขุมทรัพย์นั้นมาแน่”

“ดังนั้นท่านจึงหาพวกเรา?”

“ใช่ ข้าพเจ้านับไปนับมา วีรบุรุษผู้กล้าในแผ่นดิน ต้องไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมท่านทั้งสองได้”

ลู่เต๊กเพียงแต่สงบฟังอยู่ แต่เง็กเซียวเต้าหยินกลับแค่นหัวร่อ

เต็งฮุ้นลิ้มกล่าวต่อ

“ที่เชิญสองท่านมาในวันนี้ ก็เพราะจะบอกความลับนั้นแก่สองท่าน เนื่องเพราะ...”

ลู่เต๊กพลันสอดคำเสียงกระด้าง

“ท่านมิต้องบอกข้าพเจ้า”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการทราบ”

เต็งฮุ้นลิ้มตะลึงตะลานไป รอยยิ้มคล้ายดั่งชาค้างแล้ว

ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“แต่ข้าพเจ้ากลับทราบความเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องดันใด?”

“หากมีสองคนต่างทราบความลับโดยพร้อมกัน ที่รอดชีวิตออกไปได้ ต้องมีเพียงผู้เดียว”

เต็งฮุ้นลิ้มหัวร่อไม่ออกแล้ว แต่ลู่เต๊กกลับแย้มยิ้มกล่าว

“มาตรว่าขุมทรัพย์นั้นกระตุ้นจิตใจคนอย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้ากลับไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตกับน่ำไฮ้เง็กเซียวเพราะมัน”

เง็กเซียวผงกศีรษะกล่าว

“ดูท่าท่านกลับเป็นคนชาญฉลาดอยู่”

ลู่เต๊กแค่นเสียงเย็นชา

“เต้าเจี้ยงก็เข้าใจความหมายของนางแล้ว?”

“นางไม่ชาญฉลาดเทียบเท่าท่าน”

“แต่นางก็มิโง่เขลาเกินไป และยังงามอย่างยิ่งด้วย”

“นางมักพอใจอวดฉลาด ข้าพเจ้าไม่พอใจสตรีที่อวดฉลาดเสมอมา”

ลู่เต๊กแย้มยิ้มกล่าว

“สตรีในโลก มีสักกี่นางที่ไม่ชมชอบอวดฉลาด?”

สายตาเง็กเซียวจับนิ่งอยู่บนใบหน้ามัน กล่าวเสียงเย็นชา

“ท่านต้องการกล่าวกระไรกันแน่?”

ลู่เต๊กส่งเสียงราบเรียบ

“ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการเตือนสติเต้าเจี้ยง สตรีเช่นดั่งนาง ในโลกมีไม่มากนัก”

เง็กเซียวต้องเหลือบมองเต็งฮุ้นลิ้มอีกสองคราโดยไม่อาจอดกลั้น ดวงตามีประกายชื่นชมขึ้นโดยไม่อาจอดกลั้นเช่นกัน แต่ถอนใจกล่าว

“เสียดาย เป็นที่น่าเสียดายจริงๆ”

“เสียดาย?”

“หากกระบี่มีรอยบิ่น ท่านดูออกหรือไม่?”

ลู่เต๊กผงกศีรษะ เง็กเซียวกล่าวต่อ

“สตรีนางนีน้มีรอยบิ่นแล้ว”

“ท่านดูออก?”

มันย่อมเข้าใจความหมายของเง็กเซียว ความสัมพันธ์ของเต็งฮุ้นลิ้มกับเอี๊ยบไค มิใช่เป็นความลับมานานแล้ว

เง็กเซียวกล่าว

“หากเราดูไม่ออก ครั้งก่อนที่นางตกอยู่ในอุ้งมือเรา เราต้องไม่ยอมปล่อยนางผ่านไปแน่”

ลู่เต๊กก็เคยได้ยิน ก้วยซงเอี๊ยงมิยอมใช้กระบี่ที่มีรอยบิ่น เง็กเซียวก็มิเคยใช้สตรีที่ผ่านบุรุษมาเลย

มันมองเง็กเซียวแล้วมิเอ่ยปากอีก แต่ดวงตากลับมีประกายแย้มยิ้มเย้ยหยัน

เง็กเซียวถาม

“ท่านยังไม่เข้าใจ?”

“ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกประหลาดใจ”

“ประหลาดใจเรื่องอันใด?”

“ประหลาดใจที่ท่านไฉนเลือกเก้าอี้นั่งลง?”

“ท่านสมควรดูออก สถานที่นี้มีเก้าอี้ตัวนี้นั่งสบายที่สุด”

“ข้าพเจ้าดูออก แต่ข้าพเจ้ายิ่งทราบ เก้าอี้ตัวนี้ก่อนๆ ก็ต้องเคยมีคนมานั่งเช่นกัน”

มันพลันยุติการสนทนาลงกลางคัน เดินอาดๆ เฉียดข้างกายเต็งฮุ้นลิ้มออกไป

หัวใจเต็งฮุ้นลิ้มวาบหวิวลง โลหิตก็เย็นเฉียบ จนกระทั่งตัวแทบแข็งแล้ว

เง็กเซียวกำลังจ้องมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นถึงศีรษะอย่างเชื่องช้า

ประกายตาของมัน คล้ายทะลุเสื้อผ้านางไปได้

เต็งฮุ้นลิ้มรู้สึก นางคล้ายดั่งถูกเปลื้องจนเปลือยเปล่าทั้งร่าง

นางมิใช่ไม่เคยถูกบุรุษจ้องมองมา แต่ตอนนี้ยังคงไม่อาจทนทานได้ พลันหันกายคิดจะโถมออกไป

นางมิได้กลัวตาย แต่นางก็ทราบ ในโลกยังมีเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวกว่าความตายมากนัก

มิคาด นางเพิ่งหันกาย ประตูกลับถูกปิดลง เง็กเซียวได้ไปถึงเบื้องหน้านาง ยืนมือไพล่หลังขวางทางนางไว้ ยังคงใช้ประกายตาเช่นนั้นกวาดมองนาง

เต็งฮุ้นลิ้มกำหมัดแนบแน่น ถอยหลังไปทีละก้าวจนถึงเก้าอี้ที่มันนั่งเมื่อครู่ ทรุดกายนั่งพลางกล่าว

“ข้าพเจ้า... ทราบว่าท่านต้องไม่แตะต้องข้าพเจ้าเด็ดขาด”

“อ้อ?”

“ข้าพเจ้ามีรอยบิ่นแล้วจริงๆ และเป็นรอยบิ่นที่ใหญ่อย่างยิ่ง”

เง็กเซียวหัวร่อพลางกล่าว

“เราความจริงเข้าใจท่านเติบใหญ่แล้ว เนื่องเพราะที่ท่านจะกระทำในวันนี้ ความจริงเป็นเรื่องของผู้เติบใหญ่กระทำ บัดนี้เราจึงทราบ ที่แท้ท่านเป็นทารกเท่านั้น”

เต็งฮุ้นลิ้มมิเคยยอมรับว่านางเป็นทารกมาเลย โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าเอี๊ยบไค ยิ่งไม่ยินยอม

แต่ตอนนี้นางกลับมิอาจไม่ยอมรับ

เง็กเซียวกล่าวเสียงอ้อยอิ่ง

“ท่านทราบหรือไม่? ทารกจะกระทำเรื่องราวของคนเติบใหญ่ มักมีอันตรายหวาดเสียวอย่างยิ่ง?”

เต็งฮุ้นลิ้มปลุกปลอบใจกล่าวไป

“แต่ข้าพเจ้ากลับดูไม่ออก ตอนนี้มีอันตรายใด?”

“เนื่องเพราะท่านทราบ เราไม่แตะต้องตัวท่าน?”

เต็งฮุ้นลิ้มฝืนหัวร่อ แต่หัวร่อไม่ออก จำต้องขบริมฝีปากแนบแน่น ผงกศีรษะไม่หยุดยั้ง

เง็กเซียวกล่าวต่อไป

“ความจริงเรามิเคยแตกต้องสตรีที่ผ่านบุรุษมาก่อนเลยจริงๆ สำหรับท่าน กลับพอจะนอกเหนือกฎเกณฑ์ได้สักครั้ง”

เต็งฮุ้นลิ้มมิอาจไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว

ตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ กระทั่งลิ้นยังไม่อาจเคลื่อนไหว

ประกายตาเง็กเซียวที่จ้องมองนาง ก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิม

เต็งฮุ้นลิ้มรู้สึก ดวงตามันคล้ายดั่งมีพลังดึงดูดอันพิสดาร มิเพียงดึงดูดสายตานางเท่านั้น ยังดึงดูดร่างนางด้วย

นางคิดจะดิ้นรน คิดจะหลบหนี แต่เพียงสามารถนั่งซึมเซาอยู่ในที่นั้น เหม่อมองมันจนซึมเซาเท่านั้น

ดวงตามันคล้ายมีประกายอยู่วูบวาบ ประหนึ่งพลันจุดไฟปิศาจขึ้นในดวงตาก็ปาน

เต็งฮุ้นลิ้มประสานสายตามัน ในที่สุด นึกถึงเรื่องครั้งก่อนได้โดยสิ้นเชิง

....ไปฆ่าเอี๊ยบไค ใช้มีดเล่มนี้ ไปฆ่าเอี๊ยบไค

เรื่องที่มันต้องการให้นางไปกระทำครั้งนี้ ยังน่าสะพรึงกลัวกว่าครั้งก่อนหรือไม่?

นางทุ่มเทกำลังทั้งมวลดิ้นรนขัดขืน เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกจนชุ่มโชกเสื้อผ้าแล้ว

แต่นางยังคงไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้

ไฟปิศาจในดวงตาเง็กเซียว คล้ายดั่งเผาผลาญพละกำลังขุมสุดท้ายของนางจนมอดมลายไป

นางมีแต่ต้องคล้อยตามเท่านั้น

มิว่าเง็กเซียวสั่งนางไปทำกระไร นางต่างไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืน

ขณะเวลานั้นเอง พลันมีเสียงโครมดังสนั่น ประตูถูกกระแทกเปิดออก คนผู้หนึ่งยืนตัวตรงดั่งปลายทวนที่ปากประตู

เง็กเซียวตระหนกจนเหลียวขวับกลับไป ตวาดด้วยโทสะ

“ผู้ใดกัน?”

“ซงเอี๊ยงก้วยเต๋ง!

ก้วยเต๋งถึงกับมาทันเวลาพอดี!

มันมาได้อย่างไร? เป็นผู้ใดคลายจุดให้มัน?

เป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน? หรือเป็นลู่เต๊ก?

พวกมันย่อมทราบ ขอเพียงก้วยเต๋งมาถึงที่นี้ ในระหว่างมันกับเง็กเซียว ต้องมีคนเดียวที่รอดออกจากห้องไปได้!

 

แสงอาทิตย์ที่เพิ่งเจิดจ้าได้ไม่นาน ถูกกลืนหายเข้าไปในหมู่เมฆที่หนาทึบอีก ความหนาวเหน็บครอบคลุมแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครา

ลมเหน็บหนาวราวคมมีด!

ก้วยเต๋งกับเง็กเซียว ยืนอยู่ในลมหนาวปานคมมีด ทั้งสองต่างเข้าใจกระจ่าง ในระหว่างพวกมัน ต้องมีผู้หนึ่งล้มลงไป

มิว่าผู้ใดจะออกจากตึกช่วงนี้ มีทางให้เดินอยู่เพียงสายเดียว... เดินข้ามซากศพฝ่ายตรงข้าม!

กระบี่ของก้วยเต๋งอยู่ในมือแล้ว

กระบี่เป็นสีดำสนิท หมองคล้ำไม่มีประกาย แต่มีรังสีอำมหิต ที่ยิ่งกราดเกรี้ยว ดุดันกว่าสายลมหนาว

กระบี่เล่มนี้คล้ายดั่งเป็นตัวของมัน

แต่ขลุ่ยหยกกลับเป็นสีเขียวสดใส กลมเกลี้ยงมีประกาย

ทั้งสองคนนี้ พอดีเป็นคู่ที่ผิดกันไกลสุดกู่ เป็นคู่ที่ผิดกันราวฟ้าและดิน

ก้วยเต๋งเพ่งมองขลุ่ยหยกในมือมัน พยายามหลบหลีกมิประสานสายตากับมัน

สายตาเง็กเซียวมีไฟปิศาจคุโพลงขึ้นอีกครั้ง พลันถามไป

“ท่านเป็นทายาทของก้วยซงเอี้ยง?”

“ใช่”

“เมื่อยี่สิบปีก่อน เรามีความตั้งใจประลองฝีมือกับก้วยซงเอี๊ยงดูสักครั้งอยู่แล้ว เสียดายที่มันตายไปเสียก่อน”

“ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

“เฮอะ เฮอะ ท่านนับเป็นตัวกระไร? กระบี่เหล็กซงเอี๊ยงถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่ของตำราอาวุธ แต่กระบี่ในมือท่าน กลับไม่มีคุณค่าแม้สักอีแปะเดียว”

“อ้อ?”

“ท่านไม่คู่ควรใช้กระบี่เล่มนี้เลย”

ก้วยเต๋งเม้มปากแนบแน่น พยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะไว้เต็มที่

เดือดดาล บางครั้งแม้จะเป็นพละกำลังประเภทหนึ่ง แต่ในตอนสุดยอดฝีมือต่อสู้กัน กลับคล้ายเป็นยาพิษ ที่สามารถปลิดชีวิตคนได้

เง็กเซียวเพ่งมองแน่วนิ่งพลางกล่าวช้าๆ

“ฟังว่า ท่านก็เป็นสหายของเอี๊ยบไค?”

ก้วยเต๋งยอมรับ เง็กเซียวแค่นเสียงเย็นชาต่อ

“พวกท่านเป็นสหายประเภทใด?”

“สหายก็คือสหาย สหายที่แท้จริงมีเพียงประเภทเดียว”

“แต่ระหว่างท่านทั้งสอง กลับเป็นสหายที่พิเศษผิดธรรมดา”

“อ้อ?”

“หลังจากเอี๊ยบไคตายไปแล้ว ท่านถึงกับเตรียมรับมอบสตรีของเอี๊ยบไคทันที สหายเยี่ยงท่าน ไยมิใช่น้อยอย่างยิ่ง?”

ก้วยเต๋งพลันรู้สึกมีเพลิงโทสะพลุ่งขึ้น จนอดมิได้ต้องเงยหน้ามองไป

สายตาเง็กเซียวกำลังจ้องมองก้วยเต๋งอยู่

สายตาของก้วยเต๋งจึงดึงดูดไว้ทันที ประหนึ่งเศษเหล็กพบแม่เหล็กก็ปาน!

เต็งฮุ้นลิ้มนั่งตัวอ่อนระทวยอยู่บนเก้าอี้ หอบหายใจถี่เร็ว จวบจนตอนนี้จึงมองไปถึงปากประตู

นางเห็นดวงตาเง็กเซียว และก็เห็นดวงตาก้วยเต๋ง

หัวใจนางพลันวาบหวิวลง!

เปลวไฟปิศาจในดวงตาเง็กเซียว จะเร็วจะช้าต้องเผาผลาญพละกำลังของก้วยเต๋งจนมอดมลายสิ้นแน่

นางต้องไม่ยอมเห็นก้วยเต๋งตกต่ำเช่นเดียวกับนาง ตกลงไปในหุบเหวลึกล้ำ มิอาจตะกายขึ้นได้

แต่จนใจที่นางได้แต่ดูเท่านั้น!

บัดนี้ นางต้องมิอาจเตือนสติก้วยเต๋ง หากก้วยเต๋งเสียสมาธิ ต้องยิ่งตายเร็วกว่าเดิม

ลมยิ่งเหน็บหนาว ในเมฆหนาทึบ คล้ายดั่งมีหิมะโปรยปรายลงมาอีก

ตอนหิมะโปรยปราย โลหิตอาจจะกระจายตามมาก็เป็นได้

ย่อมเป็นโลหิตของก้วยเต๋ง!

มันความจริงไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงชีวิตกับเง็กเซียวเลย มันความจริงพอจะมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ยิ่ง

บัดนี้ มันไฉนจึงกลายเป็นสภาพนี้?

เต็งฮุ้นลิ้มทราบ มีแต่นางทราบเท่านั้น

...มันยังมิได้เสพความหวานของรัก แต่ได้ลิ้มรสความเจ็บช้ำของรักมาจนเต็มที่แล้ว

สวรรค์ไยมิใช่อยุติธรรมต่อมันเกินไป?

น้ำตาเต็งฮุ้นลิ้มใกล้จะหยดหยาด พลันได้ยินเสียงเง็กเซียวสั่ง

“ทิ้งกระบี่ของท่าน คุกเข่าลง”

เสียงของมันก็คล้ายมีพลานุภาพอันพิสดาร

พลานุภาพที่ผู้คนไม่มีปัญญาต่อต้านขัดขืน!

มือที่กำกระบี่ของก้วยเต๋งไม่มั่นคงอีกแล้ว ตลอดร่างคล้ายดั่งยังสั่นระริกด้วย

เง็กเซียวกล่าวช้าๆ

“ท่านไยต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน ไยต้องทนทรมาน ขอเพียงท่านคลายมือ ความเจ็บปวดทั้งมวลก็จะผ่านพ้นไปโดยสิ้นเชิง”

คนตายย่อมไม่เจ็บปวดได้อีก!

ขอเพียงคลายมือ มันก็จะปลดเปลื้องได้ทันที

นี่นับว่าง่ายดายอย่างยิ่งจริงๆ

เส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือขวาที่กุมกระบี่ของก้วยเต๋งเลือนหายไปทีละน้อย พละกำลังก็เสื่อมโทรมลงทีละน้อย

มือของก้วยเต๋งคลายออกทีละน้อย....

ใบหน้าเง็กเซียวเป็นประกายแจ่มใส มือที่กุมขลุ่ยหยกคลายออกทีละน้อยเช่นกัน

การต่อสู้ครานี้จะผ่านพ้นแล้ว มันไม่จำเป็นต้องลงมือเลย

หลายปีที่ผ่าน มันมิเคยต่อสู้ระยะประชิดตัวกับผู้คนมาเลย มันฝึกได้วิธีที่ยิ่งง่ายดาย ไม่ต้องเปลืองเรี่ยวแรงสักน้อยนิด ก็สามารถพิชิตฝ่ายตรงข้ามให้พ่ายแพ้

นี่ยิ่งบันดาลให้มันกลับกลายเป็นทระนงโอหัง กลับกลายเป็นเกียจคร้านกว่าเดิม

มันเดินทางสายนี้จนคุ้นเคยติดนิสัย แต่ทว่าครั้งนี้มันยังคงเดินผิดไปก้าวหนึ่ง

 

ทางลัดย่อมมิใช่เป็นทางแท้จริง

กระบี่ในมือก้วยเต๋ง ที่คล้ายจะถูกคลายทิ้ง พลันกำแนบแน่นอีกครา ประกายกระบี่วูบขึ้น พุ่งวาบออกจู่โจม!

เพลงกระบี่ของซงเอี๊ยงทิเกี่ยม ความจริงมิใช่มีจุดเด่นอยู่ในการพลิกแพลงแปรเปลี่ยนซับซ้อน

กระบี่ของก้วยเต๋งก็เป็นเช่นกัน

ตอนไม่มีความมั่นใจ ก้วยเต๋งต้องไม่ลงมือเด็ดขาด ขอเพียงกระบี่นี้แทงออกไป ก็ต้องมีผลปรากฏขึ้น

รวบรัด รวดเร็ว แน่นอน มีผล

นี่คือศูนย์รวมจุดเด่น ของเพลงกระบี่ซงเอี๊ยงทิเกี่ยม!

กระบี่นี้ของก้วยเต๋ง มิได้แทงใส่คอหอยของเง็กเซียว ส่วนสัดที่ทรวงอก ย่อมกว้างใหญ่กว่าคอหอยมากมายก่ายกองนัก

เป้ายิ่งกว้างใหญ่ ยิ่งยากจะพลาดพลั้งไปได้

ยอดฝีมือต่อสู้กัน ผิดพลาดเพียงน้อยนิด ก็ต้องเป็นชนวนปลิดชีวิตได้

ประสาทความรู้สึก พละกำลังทั้งมวลของเง็กเซียว ต่างรวมอยู่ในดวงตาของมัน ซึ่งตัวมันหลงเข้าใจว่าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว

เสียดายที่ดวงตามันมิใช่อาวุธ

มิว่าเป็นดวงตาน่ากลัวปานใด ต้องไม่มีทางต่อต้านกระบี่มีความเร็วยิ่งกว่าอสนีบาตฟาดลง

ตอนมันสะบัดขลุ่ยในมือขึ้น คมกระบี่ก็ได้ฝ่าขลุ่ยของมัน เข้าไปแทงใส่ทรวงอกมันแล้ว

หิมะเริ่มโปรยปราย โลหิตก็เริ่มกระเซ็น

แต่กลับมิใช่โลหิตของก้วยเต๋ง... โลหิตที่กระจาย ออกจากทรวงอกเง็กเซียว เป็นสีแดงฉานเช่นเดียวกัน

ใบหน้ามันบิดเบี้ยว ดวงตามันถลนออกนอกเบ้า แต่ไฟปิศาจในดวงตากลับมอดดับแล้ว

มันยังมิได้ล้มลง ดวงตาที่ถลนออกนอกเบ้า ยังถลึงจ้องก้วยเต๋งอย่างดุร้าย มันแผดเสียง

“ท่านมีนามก้วยเต๋ง?”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะตอบ

“ตัวจริงมิแปลกปลอม”

เง็กเซียวถอนใจยาวกล่าวต่อ

“ท่านมีความมั่นคงอย่างบยิ่งจริงๆ เรากลับดูแคลนท่านไป”

“แต่ข้าพเจ้ามิได้ดูแคลนท่าน ข้าพเจ้าคำนวณวิธีรับมือท่านไว้ได้ก่อนแล้ว”

เง็กเซียวฝืนยิ้มกล่าว

“วิธีที่ท่านใช้ไม่เลวอย่างยิ่ง”

“แต่วิธีที่ท่านใช้กลับผิดไป”

“อ้อ?”

“ด้วยพลังฝีมือของท่าน ความจริงไม่ต้องใช้วิธีชั่วร้ายมีอาถรรพณ์ของพวกเหล่ามาร มาจัดการต่อข้าพเจ้าเลย”

ดวงตาเง็กเซียีวกลายเป็นขุ่นขาวฝ้ามัว เหม่อมองดูสุดแสนไกล พลางกล่าวช้าๆ

“เราความจริงไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแต่ว่าหากคนเราสามารถฝึกได้วิธีพิชิตชัยชนะที่ง่ายดายกว่า ย่อมไม่ยินยอมจะเปลืองกำลัง...”

มันกล่วช้าอย่างยิ่ง กระแสเสียงเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น สำนึกผิด

จวบจนบัดนี้มันจึงเข้าใจ ชัยชนะมิใช่มีได้เพราะโชคช่วยโดยบังเอิญเด็ดขาด ท่านต้องการชัยชนะ ก็ต้องทุ่มเทคุณค่าออกไป

ก้วยเต๋งอดมิได้ต้องถอนใจยาว

เง็กเซียวพลันร้องสุดเสียง

“ชักกระบี่ท่านออก ให้เราล้มลงไป ให้เราตายเสีย”

กระบี่ยังคงตรึงอยู่ในทรวงอกมัน มันไอไม่หยุดยั้ง หอบหายใจถี่เร็วแล้ว

หากไม่ชักกระบี่ออกมา อาจบางทีมันยังพอมีชีวิตได้อีกชั่วครู่

แต่บัดนี้ มันเพียงหวังให้ตายเร็วขึ้น

ก้วยเต๋งกล่าว

“ท่าน... ยังมีวาจาใดจะสั่งเสีย?”

“ไม่มี! ไม่มีแม้แต่คำเดียว”

“ก็ได้ ท่านวางใจตายเถิด ข้าพเจ้าต้องจัดการศพของท่านให้สมเกียรติ”

ในที่สุด ก้วยเต๋งชักกระบี่ออกมา

ตอนชักกระบี่ ศอกย่อมถูกถึงกลับไปทางด้านหลัง ทรวงอกจึงถูกเปิดเป็นช่องว่าง

ทันใดนั้น มีเสียงติงเบาๆ

ในขลุ่ยหยก พลันมีประกายแวววับสามจุดพุ่งวาบออกมา เข้าใส่ทรวงอกก้วยเต๋งหมดสิ้น!

ร่างก้วยเต๋งถึงกับถูกพลังอาวุธลับพุ่งใส่จนหงายตึงลงไป

แต่เง็กเซียวยังคงยืนอยู่ หอบหายใจพลางหัวร่อกล่าว

“ตอนนี้เราวางใจตายได้แล้ว เนื่องเพราะเราทราบ ท่านต้องติดตามเราไปแน่นอน”

ในที่สุด มันล้มลงแล้ว ล้มลงไปในกองโลหิตของตัวมัน

หิมะโปรยปราย ร่วงหล่นลงบนใบหน้าที่ซีดขาว....

--------------------------------

สองฟากข้างประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมฮ้งปิน ติดกระดาษคำขวัญเตรียมต้อนรับปีใหม่แล้ว

วันนี้เป็นวันสุดสิ้นของปี

ผู้ที่พักแรมและคนรับใช้ที่มีบ้านช่องครอบครัว ต่างเร่งรุดกลับไปหมดสิ้น โรงเตี๊ยมที่มีกิจการค้าคึกคักพลันกลับกลายเป็นเงียบเหงาวังเวง

แต่ในห้องครัวกลับยุ่งวุ่นวาย เนื่องเพราะครอบครัวเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่ในนี้เอง ยังมีผู้รับใช้โสดโดดเดี่ยวอีกหลายคน ก็เตรียมจะอยู่เพื่อรับทานมื้อส่งท้ายปีเก่า รับทานเสร็จสิ้น ค่อยเล่นการพนันให้สมใจสักครั้ง

ในสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเป็ดไก่เนื้อ โชยไปที่ตึกหลังเป็นระยะๆ

ในห้องข้างของตึกหลัง จุดโคมไฟขึ้นแล้ว

มีแต่พวกพเนจรร่อนเร่จนเคยชินเท่านั้น จึงทราบรสชาติของการอยู่โรงเตี๊ยมในวันปีใหม่

--------------------------------

เต็งฮุ้นลิ้มนั่งอยู่ใต้โคมโดดเดี่ยว เหม่อมองก้วยเต๋งบนเตียง

ตาเป็นประกายสุกใสของก้วยเต๋งพริ้มสนิท ใบหน้าเป็นสีเทาซีดราวซากศพ หากมิใช่ชังมีลมหายใจรวยริน ดูไปไม่ผิดกับคนตายเลย

ก้วยเต๋งยังมิได้ตาย แต่มันจะสามารถรอดอยู่ได้อีกนานเท่าใด?

ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องเพราะอาวุธลับของเง็กเซียว ถึงกับไม่มียาพิษ

หยกย่อมสูงส่งบริสุทธิ์เสมอมา ย่อมไม่ให้พิษไปแตะต้องเป็นราคี

มาตรว่าสันดานของเง็กเซียวเปลี่ยนแปรไปแล้ว แต่ขลุ่ยหยกของมันกลับมิได้เปลี่ยนตาม

นับว่ามันยังได้เหลือความสะอาดหมดจด ไว้แก่ตัวมันเล็กน้อย... มันอย่างไร ยังนับเป็นคนทระนงโอหังได้

แต่ตอนอาวุธลับพุ่งออกมา ทั้งสองมีระยะใกล้เกินไป ตะปูหยกสามตัวนั้น แทบจะตัดชีพจรหัวใจก้วยเต๋ง ขาดไป

เท่าที่สามารถรอดอยู่จนถึงบัดนี้ นับเป็นปรากฏการณ์พิสดารได้แล้ว

เต็งฮุ้นลิ้มนั่งอยู่ที่ข้างเตียง มิทราบนั่งนานเท่าใดแล้ว คราบน้ำตาบนใบหน้าเปียกแล้วแห้ง แห้งแล้วเปียกมิทราบกี่ครั้ง

พลันมีเสียงเคาะประตูดังเบาๆ เต็งฮุ้นลิ้มถามไป

“ผู้ใดกัน?”

ผู้เคาะประตูเป็นคนรับใช้วัยฉกรรจ์ มันฝืนยิ้มกล่าว

“เจ้าของโรงเตี๊ยมพวกเรา สั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญโกวเนี้ยเป็นพิเศษ ไปร่วมรับทานอาหารส่งท้ายปี ที่ด้านหน้า”

“รับทานอาหารส่งท้ายปี? ไฮ้ วันนี้เป็นวันสิ้นปีแล้ว?”

เต็งฮุ้นลิ้มต้องตระหนกอย่างยิ่ง นึกมิถึงว่านางจะว้าวุ่นจนลืมไป

ผู้รับใช้ผงกศีรษะ จับตามองดูดรุณีที่สวยสะคราญ ถึงกับลมกระทั่งวันสิ้นปี ในใจมันอดรู้สึกเห็นใจเสียใจมิได้

เต็งฮุ้นลิ้มนั่งซึมเซาในที่นั้น มิได้ส่งเสียงอีก โดยมิทราบกำลังครุ่นคิดกระไร?

ผู้รับใช้ถามอีกสองครั้ง นางต่างมิได้ยิน

โคมโดดเดี่ยวที่ริบหรี่ คนป่วยที่ใกล้ตาย หากท่านเป็นนาง ยังมีกะใจไปรับประทานอาหารส่งท้ายปีของผู้อื่น?

ผู้รับใช้ถอนใจเบาๆ ปิดประตูเบาๆ ถอยออกไปด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง

ดรุณีที่เยาว์วัยปานนี้ สวยสะคราญปานนี้ ไฉนจึงมีชะตาชีวิตที่น่าเวทนาปานนี้?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น