วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า จิตใจชายชาตรี

 

จิตใจชายชาตรี

วิกาลหนาวเหน็บ ลมกรรโชกอยู่ที่นอกหน้าต่างดังอึงคำนึง

ไฟในเตาเล็กๆ คล้ายใกล้จะมอด คนรับใช้ที่ท้อแท้ หดคออยู่ในเสื้อนวมเก่าคร่ำคร่า คล้ายดั่งจะหลับแล้ว

ในวิกาลที่เหน็บหนาวปานนี้ มีแต่บ้านจึงเป็นสถานที่อบอุ่น

พวกที่ระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างแดน บ้านของพวกท่านอยู่ที่ใด? พวกท่านไฉนยังไม่กลับไป?

สุราขุ่นข้น เย็นจนรู้สึกขม

แต่สุราเย็นเมื่อดื่มลงไปในท้องแล้ว ก็กลับกลายเป็นไฟกองหนึ่ง

“ดื่มกี่จอกแล้ว?”

“ผู้ใดไปจำมัน ผู้ใดจำได้แน่ชัด?”

เอี๊ยบไครินล้นจอกแล้ว กรอกลงไปโดยเร็ว

เอี๊ยบไคคิดจะเมา คิดจะหลบหนี

หากแม้นไปพบพานเรื่องที่ไม่มีปัญญาคลี่คลาย อับจนสิ้นทาง มีผู้ใดไม่คิดจะเมาให้สิ้นสติสักครั้ง?

ก้วยเต๋งเพ่งมองพลางถาม

“ข้าพเจ้าความจริงคิดจะมาดื่มให้เมาจนสิ้นสติเพียงลำพัง กลับคาดไม่ถึงจะมาพบท่านในสถานที่นี้”

“ท่านคิดมิถึง ข้าพเจ้าจะมาดื่มสุราในสถานที่เช่นนี้?”

“ข้าพเจ้านึกมิถึง ท่านจะมาเพียงลำพัง”

เอี๊ยบไคกรอกแห้งอีกจอกหนึ่ง แย้มยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าเองก็นึกไม่ถึง”

รอยยิ้มของเอี๊ยบไคฝืนอย่างยิ่ง ก้วยเต๋งจึงถามด้วยความสงสัย

“ตัวท่านเองก็นึกไม่ถึง?”

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้ง เป็นเนิ่นนานจึงถาม

“ท่านรู้จักน่ำไฮ้เง็กเซียวหรือไม่?”

ก้วยเต๋งย่อมรู้จัก แต่มิเคยเห็น จึงได้บอกตามความจริง

“แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมัน”

“ข้าพเจ้าเคยเห็น”

น่ำไฮ้เง็กเซียวมิได้ปรากฏตัวในวงพวกนักเลงมานานปีแล้ว เมื่อเอี๊ยบไคบอกเคยเห็น ก้วยเต๋งจึงอดมิได้ต้องถามอีก

“ท่านเห็นมันตั้งแต่เมื่อใด?”

“เมื่อครู่”

ดวงตาก้วยเต๋งเป็นประกายขึ้นทันที รีบถาม

“พวกท่านประมือกันแล้ว?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ก้วยเต๋งถามอีก

“ท่านก็พิชิตมัน ดังนั้นท่านจึงมาดื่มสุราในที่นี้?”

“ข้าพเจ้ามิได้มีชัย และมิได้ปราชัย”

ก้วยเต๋งไม่เข้าใจ ในความคาดคิดของมัน สองคนเพียงประมือต่อสู้ ต้องมีผู้หนึ่งมีชัยผู้หนึ่งพ่ายแพ้

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“พวกเราแม้ประมือกัน แต่มิได้พัวพันสืบไป”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการพ่ายแพ้แก่มัน”

“ท่านไม่มีความมั่นใจพิชิตมัน?”

“ไม่มี”

“ท่านดูออกว่าพลังฝีมือมันสูงกว่าท่าน?”

เอี๊ยบไคหัวร่อตอบ

“วิชาฝีมือของมันกว้างอย่างยิ่ง อาจบางทีเนื่องเพราะเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีอาจฝึกจนถึงระดับลึกซื้งสุดยอด”

“ท่านความจรงพอจะมีชัยมันได้?”

เอี๊ยบไคมิได้ปฏิเสธ ก้วยเต๋งถามต่อ

“แต่วันนี้ท่านกลับไม่มีความมั่นใจพิชิตมัน?”

“ไม่มีโดยสิ้นเชิง”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะหัวใจข้าพเจ้าวุ่นวายยิ่ง”

“ดูท่าท่านคล้ายมิใช่คนหัวใจมักวุ่นวาย”

“ข้าพเจ้าความจริงมิใช่มักมีใจวุ่นวาย แต่วันนี้...”

ก้วยเต๋งพลันเข้าใจได้ จึงสอดคำ

“หรือเต็งโกวเนี้ยท่านนั้น ตกอยู่ในมือเง็กเซียว?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ยกจอกขึ้นกรอกแห้งอีกครา

ก้วยเต๋งก็ตามกรอกแห้งจอกหนึ่งเช่นกัน

ทิเกี่ยมชอบชื่อเสียง เง็กเซียวชมชอบสตรี ก้วยเต๋งก็ย่อมเคยได้ยินคำวิจารณ์นี้ ดังนั้นชิงจอกสุราในมือเอี๊ยบไคมาแล้วส่งเสียงดังๆ

“วันนี้ท่านไม่อาจดื่มให้เมาเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

“ท่านต่อรีบคิดหาวิธี ไปช่วยนางออกมา”

“ข้าพเจ้าคิดหาวิธีได้แล้ว”

“เง็กเซียวคิดจะทำอย่างไร?”

“มันต้องการให้ข้าพเจ้า ใช้เซี่ยงกัวเซียวเซียนไปแลกนางกลับมา”

“ท่านไม่ยอม?”

“ข้าพเจ้ายอม แต่ข้าพเจ้าก็หาเซี่ยงกัวเซียวเซียนไม่พบ”

“ท่านก็มิทราบนางอยู่ที่ใด?”

“ไม่มีคนทราบ”

“นางมิใช่เป็นคนปัญญาอ่อน ดั่งที่เล่าลือกันจริงๆ?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าความจริงก็ถูกนางตบตาจนหลงเชื่อมา ในชั่วชีวิตข้าพเจ้า ยังไม่เคยเห็นสตรีนางใด ที่ยิ่งกลอกกลิ้ง ยิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่านางแล้ว”

ก้วยเต๋งเพ่งมองแน่วนิ่ง อีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“วาจาประดานี้ ข้าพเจ้าความจริงมิอาจเชื่อเลย”

“ข้าพเจ้าเข้าใจ”

“แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเชื่อถือแล้ว”

เอี๊ยบไคก็อึ้งอยู่เนิ่นนาน จึงกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าความจริงไม่ปรารถนาบอกเรื่องนี้แก่ท่าน แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ากลับบอกไปแล้ว”

เอี๊ยบไคมิได้ไปมองก้วยเต๋ง

ก้วยเต๋งก็มิได้มองเอี๊ยบไค

ทั้งสองถึงกับคล้ายพยายามหลีกสายตาฝ่ายตรงข้าม

ทั้งสองต่างมิใช่เป็นคนชมชอบแสดงน้ำใจตัวเองออกให้แก่ผู้อื่นทราบ

หรือทั้งสองต่างกลัว พอน้ำใจของตนพลุ่งพล่านจะมีน้ำตาหลั่งไหลมา?

แต่เรื่องของน้ำมิตรไมตรี ความจริงไม่ต้องใช้สายตาไปมองเลย

มาตรว่าทั้งสองไม่จ้องมอง แต่ไมตรีก็คล้ายเป็นพืชพันธุ์ที่ได้น้ำหล่อเลี้ยง งอกรากอยู่ในหัวใจแล้ว

นับเป็นเรื่องที่พิสดารอย่างยิ่งจริงๆ

คนเรามักจะอยู่ในเวลาพิสดารที่สุด สถานที่พิสดารที่สุด มาเป็นมิตรสหายกับคนที่คาดคิดไม่ถึงที่สุด กระทั่งตัวพวกมันเองก็ยังไม่ทราบ น้ำใจเยี่ยงนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

มิทราบอีกเนิ่นนานปานใด ก้วยเต๋งพลันกล่าว

“มาตรว่าหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนไม่พบ แต่น่ำไฮ้เง็กเซียวต้องหาพบแน่”

เอี๊ยบไคสงบฟัง ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

“มันเป็นคนชอบเสพสุขที่สุด สถานที่ดีเยี่ยมในเมืองนี้มีไม่มากเท่าใด”

“สถานที่ดีที่สุดของเมืองนี้ ความจริงเป็นแนเฮียงฮึ้ง แต่ตอนนี้ กลับได้แต่เย็นโดยไม่หอมแล้ว”

“แต่เง็กเซียวอาจยังต้องอยู่ในที่นั้น ฟังว่ามันไปแห่งหนใดก็ตาม มักจะพาผู้ติดตามเป็นจำนวนมากเสมอ”

“แม้นับว่าทราบที่อยู่ของมัน แล้วจะทำอย่างไร?”

“มันอยู่ในที่นั้น เต็งโกวเนี้ยย่อมต้องอยู่ที่นั้น”

“ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าไปช่วยนาง?”

“หรือท่านไม่ไป?”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้าตอนนี้ว้าวุ่นจนปั่นป่วน ยิ่งไม่มีความมั่นใจสามารถพิชิตมันได้”

“หรือข้าพเจ้ามิใช่เป็นคน?”

เอี๊ยบไคพลันเงยหน้าเพ่งมอง

“ท่าน.... “

“หรือข้าพเจ้าไม่อาจไปกับท่าน?”

“แต่ทว่า... เต็งฮุ้นลิ้มตกอยู่ในมือมัน”

“ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของท่าน ท่านเป็นขว้างมุสิกเกรงภาชนะ กลัวมันใช้เต็งโกวเนี้ยมาขู่กรรโชกท่าน กลัวมันทำอันตรายเต็งโกวเนี้ย?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ก้วยเต๋งกล่าวต่อ

“แต่ท่านกลับลืมเรื่องประการหนึ่ง”

“อ้อ?”

“มันจะต้องเข้าใจ ท่านตอนนี้กำลังรุ่มร้อนหาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ต้องนึกไม่ถึงท่านจะไปหามัน ดังนั้นต้องไม่มีการป้องกันที่เข้มงวดกวดขันเท่าใด”

มันเป็นคนวงนอก ย่อมมีจิตใจหนักแน่นเยือกเย็นกว่า

เอี๊ยบไคโพล่งขึ้น

“ถูกต้อง”

“อย่าว่าแต่มันยังคิดไม่ถึง พวกเราจะกลายเป็นมิตรสหายกันแล้ว”

สหาย!

เป็นคำที่อบอุ่นกระไรปานนั้น สวยงามกระไรปานนั้น

คำนี้ ถึงกับเปล่งออกมาจากปากบุรุษหนุ่ม ที่ทั้งโอหังทั้งกระด้างเย็นชาได้

เอี๊ยบไคยังจะกล่าวกระไรได้? ยังจำเป็นต้องกล่าวกระไรอีก?

เอี๊ยบไคไม่ต้องกล่วกระไรอีกแล้ว ผุดลุกขึ้นคว้าไหล่ก้วยเต๋งบีบแนบแน่น

“พวกเราไป”

“ไป”

--------------------------

แนเฮียงฮึ้ง

วิกาลเหน็บหนาว เหมยส่งกลิ่นหอมอบอวล ร่องรอยผู้คนสาบสูญ

เหมยทั้งป่าสั่นไหวระริก เป็นลมหรือเป็นวิญญาณของเหล่าที่ถูกฆ่าเมื่อคืนนี้?

“ท่านมิได้พบกับฮั่นเจ็งมาอีกเลย?”

“มิได้”

“อย่างนั้น มันไม่แน่ยังอยู่ที่นี้”

“ข้าพเจ้าเพียงหวังหาตัวมันพบ มิใช่พบซากศพมัน”

ซากศพคนเหล่านั้นเล่า?

หาไม่พบ

ทั้งบนและล่างของหอเทียทิ้วเล้า กระทั่งคราบโลหิตยังถูกล้างจนสะอาดหมดจด

เป็นผู้ใดเก็บศพพวกมัน?

“ซากศพพวกนั้นเมื่อคืนยังอยู่ที่นี้”

“อืมม์”

“เป็นผู้ใดเก็บศพให้พวกมัน?”

ไม่มีคำตอบ ไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้

หิมะที่เพิ่งละลาย พอตกกลางคืน ผนึกเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง

ลมที่กรรโชกสัมผัสหน้า มิคล้ายเป็นสายลม แต่เป็นดาบคมกริบ

ดอกเหมยในวิกาลเหน็บหนาว ยิ่งสะพรั่งงามตากว่าเดิม

“ท่านเห็นแสงโคมไฟบ้างหรือไม่?”

“ไม่เห็น”

“หรือเง็กเซียวมิได้อยู่ที่นี้?”

ทันใด บนทางน้อยที่เป็นน้ำแข็ง คล้ายมีเสียงฝีเท้าเบาอย่างยิ่งแว่วอยู่

วิกาลเหน็บหนาวปานนี้ มีผู้ใดมาเดินอยู่ในทางน้ำแข็งเพียงลำพัง หรือเป็นวิญญาณภูตผีเหล่านั้น?

วิญญาณภูตผี ไหนเลยมีเสียงฝีเท้าได้?

ยังคงไม่มีแสงไฟ ไม่มีโคม ไม่มีดาว ไม่มีเดือน

ในความมืด คล้ายมีเงาร่างปรากฏขึ้น กำลังเดินช้าๆ ออกจากทางน้อยในป่าเหมย

มันเดินช้าอย่างยิ่ง และยังเหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลา ถึงกับคล้ายกำลังหาของใด?!

วิกาลดึกสงัดที่เหน็บหนาวปานนี้ ในป่าเหมยที่วังเวงไม่มีร่องรอยผู้คน มันหากระไรกันแน่?

เดินเข้ามาใกล้มากแล้ว จึงได้ยินเสียงมันพึมพำอยู่ตลอดเวลา

“สุราเล่า... สุราเล่า... สถานที่ใดจึงมีสุรา....”

เอี๊ยบไคแทบอดมิได้ต้องร้องเรียกไป

“ฮั่นเจ็ง!

 

คนผู้นี้ถึงกับเป็นฮั่นเจ็งจริงๆ

หรือมันถึงกับยังหาสุราให้เอี๊ยบไคอยู่ตลอดเวลา?

ในแงสะท้อนของหิมะน้ำแข็ง เห็นใบหน้ามันชัดตา ใบหน้าถึงกับมีโลหิต โลหิตก็ผนึกเป็นน้ำแข็งแล้ว

เอี๊ยบไครู้สึกเลือดพลุ่งพล่านดาลเดือด พลันโถมออกจากหลังก้อนหินที่ซ่อนตัว โถมไปเบื้องหน้าฮั่นเจ็ง คว้าไหล่มันบีบแนบแน่น

ฮั่นเจ็งเหลือบมองแวบหนึ่ง พลันส่งเสียง

“สุราเล่า?.... ท่านทราบสถานที่ใดมีสุรา?”

มันถึงกับจำเอี๊ยบไคไม่ได้ แต่ทว่ายังคงหาสุราให้เอี๊ยบไคอยู่ตลอดมา

ใบหน้าของมันแทบจะแหลกเละบิดเบี้ยวหมดสิ้น ดุจดั่งเป็นผลไม้เปลือกแข็งที่ถูกคนกระทืบเต็มแรง

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถามอีก

“ท่าน... ไฉนกลายเป็นสารรูปเช่นนี้... เป็นผู้ใดใช้ฝีมืออำมหิตต่อท่าน?”

ฮั่นเจ็งคล้ายคิดจะหัวร่อ แต่หัวร่อไม่ออก ปากยังคงส่งเสียง

“สุราเล่า? สถานที่ใดมีสุรา?”

หัวใจของเอี๊ยบไคก็คล้ายถูกคนกระทืบอย่างหนักหน่วงไปเท้าหนึ่ง

ก้วยเต๋งที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง อดมิได้ต้องถาม

“มันก็คือฮั่นเจ็ง?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ

ก้วยเต๋งก็อดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“ดูท่าคงเป็นคนกำลังหาสุราให้ท่าน ถูกคนทุบตีอย่างดุดันมาพักใหญ่ ทุบตีจนสติสัมปชัญญะสูญสิ้นไป”

เอี๊ยบไคกำหมัดแนบแน่น กล่าวด้วยความรันทด

“แต่มันยังจำเรื่องหาสุราให้ข้าพเจ้าได้”

ก้วยเต๋งถอนใจกล่าว

“ดูท่านมันก็เป็นสหายที่ประเสริฐ”

เอี๊ยบไคแค่นเสียงด้วยความขุ่นแค้น

“เสียดายที่ข้าพเจ้ามิทราบเป็นผู้ใดลงมืออำมหิตต่อมันปานนี้ มิเช่นนั้น...”

“ข้าพเจ้าคิดว่า ต้องมิใช่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเด็ดขาด”

“อ้อ?”

“อิสตรี ต้องไม่มีกำลังมือหนักหน่วงปานนี้”

ฮั่นเจ็งถูกทุบตีจนน่าอนาถเกินไปจริงๆ มิเพียงใบหน้าแหลกเละบิดเบี้ยวเท่านั้น กระทั่งกระดูกชายโครงยังยุบต่ำ แสดงว่าอย่างน้อยต้องหักไปหกเจ็ดซี่!

มันไฉนจึงยังรอดชีวิตถึงบัดนี้?

ในดินฟ้าอากาศที่หนาวเหน็บ มันไฉนยังไม่หนาวตาย?

เอี๊ยบไคคิดจะถาม แต่ฮั่นเจ็งสะบัดมือเอี๊ยบไคออก

“ปล่อยเรา เราจะไปหาสุรา”

นอกจากเรื่องนี้แล้ว มันจำเรื่องอื่นใดไม่ได้ทั้งสิ้น!

เอี๊ยบไคถอนหายใจยาว กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ได้ ข้าพเจ้าพาท่านไปหาสุรา”

วาจาเพิ่งขาดคำ พลันจี้จุดหลับฮั่นเจ็งแล้วรวบเอวขึ้นอุ้มไว้ ก้วยเต๋งกล่าว

“ขอเพียงได้นอนโดยสงบสักวันหนึ่ง อาจบางทีจะมีสติแจ่มใสมาก็ได้”

“ขอให้เป็นเช่นนี้เถิด”

----------------------------------

ในห้องมีเตียงและโคมไฟ

เอี๊ยบไควางร่างฮั่นเจ็งลงบนเตียงแล้วถาม

“ในตัวท่านมีชุดไฟหรือไม่?”

ก้วยเต๋งจุดโคมขึ้น แสงโคมสาดส่องบนใบหน้าฮั่นเจ็ง ยิ่งอนาถจนมิอาจทนดู

เอี๊ยบไคแม้ไม่อาจทนดู แต่มิอาจไม่ดู เพราะจะต้องสืบเสาะให้ทราบ เป็นผู้ใดลงมืออำมหิตถึงปานนี้

มาตรว่าเอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนจดจำความอาฆาตแค้นของผู้อื่นนัก แต่ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผิดแปลกกัน

หากฮั่นเจ็งมิใช่เพราะไปหาสุราให้คน มันไหนเลยจะมีสภาพน่าอนาถปานนี้?

เพราะมิตรสหายเยี่ยงนี้ มิว่าเรื่องราวใด เอี๊ยบไคต่างสมควรกระทำ

ก้วยเต๋งก็มองฮั่นเจ็งแน่วนิ่งแล้วกล่าว

“นี่มิใช่ถูกตีด้วยภาชนะเหล็ก”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ

หากถูกเหล็กตีบาดเจ็บ บาดแผลต้องไม่เป็นเช่นนี้ พอจะดูออกกันได้

ก้วยเต๋งกล่าวอีก

“ผู้ใดมีกำลังมือหนักหน่วงปานนี้?”

“พลังฝีมือฮั่นเจ็งไม่ต่ำ คนที่สามารถต่อยใส่หน้ามันในหมัดเดียว คล้ายดั่งมีไม่มากนัก”

เอี๊ยบไคพลันนึกถึงตนที่เคยต่อยใส่ฮั่นเจ็งมาหมัดหนึ่ง แต่บาดแผลครั้งนั้นเบากว่าครั้งนี้มากนัก แสดงว่าคนผู้นั้นมิเพียงลงมือหนักหน่วงกว่าเท่านั้น ยังต้องฝึกหลักวิชามือที่พิเศษใดมาด้วย

แก้เสื้อออก กระดูกชายโครงหักไปห้าซี่

อากาศเหน็บหนาวปานนี้ เสื้อผ้าของฮั่นเจ็งย่อมต้องหนาอย่างยิ่ง

ก้วยเต๋งขมวดคิ้วกล่าว

“มีเสื้อกันอยู่หนาปานนี้ ยังสามารถต่อยกระดูกชายโครงมันหักถึงห้าซี่ในหมัดเดียว คนเช่นนี้มีไม่มากจริงๆ”

“และเป็นเพียงบาดแผลทางภายนอก ไม่ได้บอบช้ำภายใน”

หากมิใช่เสื้อผ้าไม่มีร่องรอยของภาชนะเหล็กเหลืออยู่ มิว่าผู้ใดต่างต้องเข้าใจถูกค้นเหล็กมหึมาฟาดบาดเจ็บ

ก้วยเต๋งกล่าว

“หรือมือของคนผู้นั้น จะแข็งแกร่งเช่นดั่งค้อนเหล็กได้?”

“ดูบาดแผลของมัน ไม่คล้ายถูกหลักวิชาฝ่ามือทรายเหล็กฟาดบาดเจ็บเลย”

ก้วยเต๋งผงกศีรษะ

“หากเป็นวิชาฝ่ามือประเภทนั้น ย่อมต้องกระแทกจนอวัยวะภายในบอบช้ำด้วย”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เข้าใจเลย นี่เป็นหลักวิชาบู๊ใดกันแน่?”

“ท่านจะเร็วจะช้า...”

เสียงของก้วยเต๋งพลันชะงักลงกลางคัน ในสายลมที่นอกหน้าต่าง พลันมีเสียงขลุ่ยวิเวกวังเวงแว่วมา

น่ำไฮ้เง็กเซียว!

ก้วยเต๋งพลิกมือปัดโคมดับวูบไป

“มันอยู่ที่นี้จริงๆ”

เอี๊ยบไคกล่าว

“ท่านยินยอมอยู่ที่นี่แทนข้าพเจ้า...”

“ฮั่นเจ็งหลับแล้ว ไม่ต้องให้พวกเราอยู่ดูแล แต่ท่านไม่อาจไปเพียงลำพัง”

นี่ก็คือน้ำมิตรไม่ตรี

น้ำมิตรไมตรีคือ เข้าใจและกังวลในกันและกัน

เอี๊ยบไคจับตามองฮั่นเจ็งพลางกล่าว

“แต่ว่ามัน...”

“ความเป็นตายร้ายดีของมันในตอนนี้ ไม่เป็นผลดีผลร้ายของผู้อื่นแล้ว ดังนั้นมันจึงรอดชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้ แต่ว่าท่าน...”

มันมิได้กล่าวต่อไป และมิต้องกล่าวต่อไปแล้ว

เอี๊ยบไครู้สึก เลือดลมในร่างพลุ่งพล่านขึ้นอีกครา มิอาจไม่ยอมรับวาจาของก้วยเต๋งมีเหตุผล

“ได้! พวกเราไป”

--------------------------------

เสียงขลุ่ยที่วิเวกวังเวง ฟังในวิกาลเหน็บหนาว บีบคั้นจิตใจผู้คนให้แหลกสลายได้

เสียงขลุ่ยดังมาจากในป่าเหมย

ข้างภูเขาจำลองนอกป่าเหมย มีเก๋งแปดเหลี่ยมหลังน้อยๆ ในเก๋งมีเงาร่างเลือนรางสายหนึ่ง

ร่างกำลังเป่าขลุ่ย

พวกเอี๊ยบไคลอบอ้อมออกจากทางด้านหลังเบาๆ ความเคลื่อนไหวของทั้งสองย่อมไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้น

คนเป่าขลุ่ยยังคงเป่าขลุ่ย เสียงขลุ่ยคล้ายสั่นสะท้านอยู่

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก นั่นมิใช่เสียงขลุ่ยของน่ำไฮ้เง็กเซียว เมื่อใกล้เข้าไปกว่าเดิม พบเห็นอีก คนผู้นั้นแม้สวมเสื้อนักพรตแต่เอวคอดกิ่ว ถึงกับเป็นนักพรตหญิง

ขณะเวลานั้นเอง เสียงขลุ่ยพลันชะงักหาย

นักพรตหญิงที่เป่าขลุ่ย คล้ายกำลังสะอึกสะอื้นเบาๆ

เอี๊ยบไคลังเลชั่วขณะ ในที่สุดเดินเข้าไปกระแอมเบาๆ

พนักพรตหญิงคล้ายดั่งถูกโดยไปแส้หนึ่ง ร่างสั่นระริกพลางร้องเสียงสะท้าน

“ข้าพเจ้าเป่า... ข้าพเจ้าต้องไม่กล้าหยุดอีกเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคเอ่ยปาก

“แต่ข้าพเจ้ามิได้ต้องการให้ท่านเป่าต่อไปโดยไม่ต้องหยุด”

นักพรตหญิงหันขวับกลับมา มาตรว่าตระหนกเช่นกัน แต่คล้ายดั่งระบายลมจากปากด้วยความโล่งอก

“ท่านเอง?”

นางจำเอี๊ยบไคได้ เอี๊ยบไคก็จำนางได้

นางคือศิษย์ที่มีรอยยิ้มสวยงามที่สุด ของหมู่ศิษย์สตรีเง็กเซียวเต้าหยิน

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“ท่านไฉนมาเป่าขลุ่ยในที่นี้เพียงลำพัง?”

“เป็น... เป็นผู้อื่นบังคับให้ข้าพเจ้ามา”

“ผู้ใด?”

“คนคลุมหน้า”

“มันไฉนจึงบังคับให้ท่านมาเป่าขลุ่ยในที่นี้?”

“ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ มันบังคับให้ข้าพเจ้ามาที่นี้ ให้ข้าพเจ้าเป่าตลอดเวลาไม่อาจหยุดได้ มิเช่นนั้นจะเปลื้องผ้าข้าพเจ้าให้เปล่าเปลือย แขวนข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้”

“ท่านไฉนจึงตกอยู่ในเงื้อมมือมัน?”

“ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลัง... กำลังอยู่ที่ด้านหลังเพียงลำพัง นึกมิถึง มันพลันบุกเข้าไป”

เอี๊ยบไคย่อมเข้าใจความหมายของ “ด้านหลัง” คือกระไร ตอนดรุณีปัสสาวะย่อมมีเพียงลำพัง เรื่องเช่นนี้นางย่อมไม่อาจหักความละอายบอกมาได้

แต่เอี๊ยบไคกลับถามอีก

“ตอนนั้นท่านอยู่ที่ด้านใดกันแน่?”

“อยู่ที่ด้านหลังลานตึกโรงเตี๊ยมกิกเซี้ยง”

โรงเตี๊ยมกิกเซี้ยง ก็เป็นที่พักของเอี๊ยบไคเช่นกัน ที่นั้นมิเพียงมีคนครัวเยี่ยมที่สุดเท่านั้น ยังมีเตียงสบายที่สุดอีกด้วย

คนที่พอใจเสพสุข ย่อมต้องพักแรมในที่นั้น

เอี๊ยบไคถอนใจเฮือกใหญ่ ฝืนยิ้มกล่าว

“ที่แท้พวกท่านพักอยู่ทางด้านตึกหลังของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ากลับหลงมาหาในที่นี้”

นักพรตหญิงเม้มปากสนิทแน่น แม้ตายก็มิยอมเอ่ยอีกแล้ว

นางทราบ นางพลั้งปากบอกไปเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้แม้นับว่าไม่เอ่ยปาก ก็สายเกินไป

เอี๊ยบไคกล่าว

“มีวาจาที่ข้าพเจ้าต้องการถามท่าน แต่ท่านก็พอจะไม่ตอบก็ได้”

นักพรตหญิงเม้มปากแนบแน่น เอี๊ยบไคถาม

“แต่หากท่านไม่บอก ข้าพเจ้าจะทิ้งท่านอยู่ที่นี้ให้คนคลุมหน้ามาหาท่านอีก”

ใบหน้านักพรตหญิงมีประกายหวาดกลัวขึ้นทันที รีบร้องเบาๆ

“ข้าพเจ้าบอก”

“โกวเนี้ยที่พวกท่านคร่าตัวไป ก็อยู่ในตึกนั้นหรือไม่?”

นักพรตหญิงแม้มิได้เอ่ยปาก แต่ก็เท่ากับยอมรับโดยดุษณี เอี๊ยบไคกล่าวอีก

“ประเสริฐ พวกเรามาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันก็ได้ ท่านพาข้าพเจ้าไปหานาง ข้าพเจ้าส่งท่านกลับไป”

นักพรตหญิงมิได้ปฏิเสธ

แสดงว่านางมีความหวาดกลัวต่อคนคลุมหน้ายิ่งกว่าหวาดกลัวในเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น

นางแม้ตายก็ไม่ยินยอมอยู่ที่นี้สืบไป

-----------------------------

คนคลุมหน้าเป็นผู้ใด?

ไฉนบีบบังคับให้นางมาเป่าขลุ่ยในที่นี้?

หรือมันก็ทราบ เอี๊ยบไคจะมาหาเง็กเซียวในที่นี้ ดังนั้นจงใจใช้วิธีนี้ มาชี้แนะทางสว่างให้แก่เอี๊ยบไคสายหนึ่ง

มันไฉนต้องทำดั่งนี้? มันมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่?

ปัญหาเหล่านี้เอี๊ยบไคย่อมไม่อาจคลี่คลายเข้าใจได้ จึงต้องถามอีกครา

“คนคลุมหน้า เป็นคนรูปลักษณะเยี่ยงไรกันแน่?”

“มันมิใช่คน นับเป็นภูตผี ภูตผีที่ชั่วร้ายชัดๆ”

เอ่ยถึงคนผู้นั้น ร่างนางสั่นระริกอีกครา

แสดงว่าคนผู้นั้นเพียงลงมือ ก็สยบนางอย่างง่ายดาย โดยนางไม่มีความสามารถพอจะต่อต้านเลย

แต่ทว่าศิษย์ของน่ำไฮ้เง็กเซียว ต้องไม่มีฝีมือที่ต่ำทรามเกินไปแน่ โดยเฉพาะศิษย์ที่มันจงใจคัดเลือกมา

เอี๊ยบไคมองก้วยเต๋ง ถอนใจยาวกล่าวขึ้น

“ท่านบอกไม่ผิด ตอนนี้แม้มิใช่เดือนเก้า แต่ก็มีฝูงเหยี่ยวโบยบินเต็มท้องฟ้าแล้ว และต่างบินมาที่นี้หมดสิ้นด้วย”

----------------------------

ผ้าห่มที่นอนยุ่งเหยิง บนหมอนอาจบางทียังมีผมของเต็งฮุ้นลิ้มเหลืออยู่

พอกลับมาถึงที่นี้ หัวใจเอี๊ยบไคเริ่มปวดแปลบขึ้นอีกครา... นางตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว? น่ำไฮ้เง็กเซียวจะ...

กระทั่งคิด เอี๊ยบไคยังไม่กล้าไปคิด

ก้วยเต๋งมองที่นอนยุ่งเหยิงบนเตียง ดวงตามีประกายพิสดารปรากฏขึ้นอีกครั้ง

มันมิได้เหลือบมองครั้งที่สอง หัวใจของมันคล้ายดั่งปวดแปลบอยู่เช่นกัน

บัดนี้นับว่ามันเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเอี๊ยบไคกับเต็งฮุ้นลิ้มกระจ่างแล้ว

ฮั่นเจ็งถูกวางลงบนเตียง ยังคงหลับสนิทยิ่ง

จุดหลับนับเป็นจุดที่พิกลยิ่ง

นักพรตหญิงนางนั้น ยืนก้มศีรษะอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าซีดขาวของนาง นับว่าพอมีสีเลือดกว่าเดิมบ้างแล้ว

ศิษย์สตรีของน่ำไฮ้เง็กเซียวต่างสวยงาม โดยเฉพาเนาง

นางมีความงามที่ผิดกว่าเต็งฮุ้นลิ้ม นางมิเพียงงามเท่านั้น ยังมีเสน่ห์อย่างยิ่ง เป็นสตรีที่เติบใหญ่เต็มสาวแล้ว

มิว่าผู้ใดเมื่อเห็นนางส่ายเอวบิดตะโพกเมื่อตอนสนธยา ทั้งยังพริ้มตาดุจกระสันรัญจวน ต่างต้องยากยิ่งที่จะข่มใจมิให้หวั่นไหวได้

เอี๊ยบไคเหลือบมองนางแล้วเชิญให้นั่ง แต่นักพรตหญิงส่ายหน้าช้าๆ พลันถามขึ้น

“ข้าพเจ้าตอนนี้กลับได้แล้วหรือไม่?”

“ยังไม่ได้”

นักพรตหญิงก้มศีรษะ ขบริมฝีปากกล่าว

“พวกท่านคิดจะใช้ข้าพเจ้าไปขู่เข็ญเง็กเซียวเต้าหยิน พวกท่านก็ผิดแล้ว”

เอี๊ยบไคร้องอ้อเป็นทีถาม นักพรตหญิงกล่าวต่อ

“แม้นับว่าพวกท่านสังหารข้าพเจ้าต่อหน้ามัน มันก็ต้องไม่กังวลสนใจ”

ในดวงตานางถึงกับมีประกายตัดพ้อรันทด กล่าวเบาๆ ต่อไป

“ข้าพเจ้ายังมิเคยเห็น มันมีความกังวลสนใจผู้มาก่อนเลย”

ก้วยเต๋งเพ่งมองพลางถาม

“หากพวกเราฆ่ามันต่อหน้าท่าน?”

นักพรตหญิงตอบ

“ข้าพเจ้าก็ไม่หลั่งน้ำตาสักหยดเดียว”

นางกล่าวปลอดโปร่งอย่างยิ่ง กระทั่งยังไม่ใคร่ครวญอีกด้วย ก้วยเต๋งถามอีก

“อย่างนั้นท่านไฉนยังจะกลับไป?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้า... ข้าพเจ้า... “

นางมิได้กล่าวต่อไป เสียงของนางคล้ายสั่นเครือ ดวงตาคู่งามก็มีหยาดน้ำเอ่อคลอ

เอี๊ยบไคเข้าใจความหมายของนาง

นางจะต้องกลับไป เนื่องเพราะนางไม่มีสถานที่อื่นใดพอจไปอีกเลย

เอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนใจแข็งนัก จึงถามขึ้น

“แซ่ไร?”

“แซ่ชุย... ชุยเง็กจิน”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านไฉนไม่นั่งลง? หรือกลัวเก้าอี้กัดท่าน?”

ชุยเง็กจินอดมิได้ต้องหัวร่อเบาๆ พลันพบเห็นตอนนางหัวร่อ... ใบหน้าที่หม่นหมองกังวล มีสีแดงระเรื่อขึ้นอีกชั้นหนึ่งทันที

ตอนนี้เอี๊ยบไคเห็นนางส่ายบิดสะโพกตามเสียงขลุ่ยเมื่อสนธยา ความจริง เข้าใจนางเป็นสตรีที่ลืมยางอายไปแล้ว

จนบัดนี้จึงพบเห็น นางยังคงรักษาความเอียงอาย และบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของดรุณีอยู่อีกส่วนหนึ่ง

เพียงแต่ว่า มิว่าผู้ใดเมื่ออยู่ในคราจำเป็น ต่างยากที่จะไม่กระทำเรื่องที่ผู้อื่นเห็นเป็นไร้ยางอาย ตัวเองก็สำนึกเสียใจสักครั้ง

มนุษย์เรา บางครั้งถึงกับคล้ายเป็นลาลากโม่ที่ถูกปิดตาไว้ ชีวิตก็คือแส้เส้นยาว

ยามแส้โบยใส่หลัง ท่านก็มีแต่เดินไปเบื้องหน้า มาตรว่ากระทั่งท่านเองก็มิทราบ ต้องเดินถึงเมื่อใดจึงยุติ

เอี๊ยบไคถอนใจเบาๆ กล่าว

“หากท่านไม่ต้องการกลับไป ท่านก็พอจะมิต้องกลับไปได้”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะตอบ

“แต่ข้าพเจ้า...”

“ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลปานนี้ ท่านจะค่อยๆ พบเห็น มีสถานที่อีกมากหลายที่ท่านพอจะไปได้”

ชุยเง็กจินก็เข้าใจความหมายของเอี๊ยบไค อดมิได้ต้องเงยขึ้นมองเอี๊ยบไคแวบหนึ่ง ดวงตามีประกายขอบคุณและตื้นตัน

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ท่านก็มิต้องพาพวกราไปหาเต็งโกวเนี้ย ขอเพียงบอกกับพวกเรา นางอยู่ที่ใด ก็ใช้ได้แล้ว”

ชุยเง็กจินลังเลอยู่ ในที่สุดยังคงตอบ

“อยู่ที่ตึกช่วงหลังนี้เอง”

เอี๊ยบไคสงบรอนางบอกต่อไป ชุยเง็กจินกล่าวต่อ

“ตึกช่วงนั้นใหญ่อย่างยิ่ง คล้ายมีอยู่ถึงสิบสามสิบสี่ห้อง เต็งโกวเนี้ยถูกล่ามอยู่ในห้องข้างทางด้านหลังสุด นอกหน้าต่างมีเหมยประดับอยู่สามกระถาง”

เอี๊ยบไคถาม

“มีคนเฝ้าอยู่ในห้องหรือไม่?”

“มีคนอยู่เป็นเพื่อนนางเพียงผู้เดียว เนื่องเพราะนางไม่อาจเคลื่อนไหว เง็กเซียวก็ไม่กลัวนางจะหนีไปได้”

“เง็กเซียวนอนอยู่ที่ใด?”

“กลางคืนมันมิใคร่ได้นอน”

“ไม่นอนมันกระทำกระไร?”

ชุยเง็กจินขบกรามแนบแน่นมิได้ตอบ แต่ใบหน้าปรากฏแววรันทดและหดหู่อีกครา

นางมิต้องกล่าวแล้ว

เง็กเซียวงมงายในราคะ มันตอนนี้สมควรมีวัยเจ็ดสิบเศษ แต่ดูไปยังเยาว์วัยกว่าอายุจริงมันมากนัก

มันมีศิษย์สตรีที่สวยงามอยู่มากหลาย

ยามวิกาลมันทำกระไร เอี๊ยบไคย่อมเดาออกได้ทันที

ก้วยเต๋งมีสีหน้าขุ่นเคือง จึงกล่าวขึ้น

“พวกท่านถูกมันบีบบังคับ จึงติดตามมันใช่หรือไม่?”

ชุยเง็กจินสั่นศีรษะ กล่าวด้วยความรันทด

“พวกเราความจริงเป็นธิดาของครอบครัวที่ยากจนเข็ญใจ”

“พวกท่านต่างถูกมันซื้อไว้?”

ชุยเง็กจินก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม น้ำตาหลั่งไหลเนืองนองหน้า

ก้วยเต๋งพลันตบโต๊ะฉาดใหญ่ ร้องเสียงเย็นชา

“แม้นับว่าไม่มีเรื่องของเต็งโกวเนี้ย ข้าพเจ้าก็ต้องไม่ยอมปล่อยมันผ่านมือเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคกล่าว

“แต่ตอนนี้... “

“ข้าพเจ้าทราบ ตอนนี้พวกเราย่อมช่วยเต็งโกวเนี้ยออกมาก่อนค่อยว่ากล่าว”

ชุยเง็กจินกล่าวอีก

“ตอนกลางคืนมันแม้ไม่หลับนอน แต่พอถึงตอนใกล้จะสว่าง จะต้องนอนสามชั่วยามแน่นอน”

ตอนนี้ยังห่างจากสว่างอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วยาม วิกาลของฤดูหนาว ย่อมยาวนานกว่าธรรมดา

เอี๊ยบไคเหลือบมองท้องฟ้าอีกแวบหนึ่งแล้วกล่าว

“ประเสริฐมาก พวกเรารอ”

ฮั่นเจ็งที่บนเตียงพลันพลิกตัว ส่งเสียงละเมอ... ตอนเอี๊ยบไคจี้จุดมัน มิได้ใช้กำลังหนักหน่วงเท่าใด

มันคล้ายยังละเมอ

“สุราเล่า? ที่ใดมีสุรา...”

ละเมอซ้ำซ้อนหลายครั้งแล้ว ร่างพลันกระโดดขึ้นจากเตียง แผดสุดเสียง

“ผู้แซ่ลู่ เราจำท่านได้ ท่านอำมหิตยิ่ง”

วาจานี้พอขาดคำ ร่างล้มฮวบลงอีกครั้ง เหงื่อซึมออกมาจนโซมหน้า

เอี๊ยบไคโพล่งด้วยความตื่นเต้น

“ผู้แซ่ลู่”

ก้วยเต๋งกล่าว

“ดูท่า คนที่ทุบตีมันบาดเจ็บจะต้องแซ่ลู่”

“ท่านทราบหรือไม่? ในวงพวกนักเลงมียอดฝีมือใดที่แซ่ลู่?”

“ระหว่างนี้คล้ายดั่งมีเพียงคนเดียว

“ลู่เต๊ก?”

“ใช่แล้ว แป๊ะอีเกี้ยมแขะ (มือกระบี่เสื้อขาว) ลู่เต๊ก”

“ท่านเคยเห็นมันลงมือหรือไม่?”

ก้วยเต๋งสั่นศีรษะตอบ

“ข้าพเจ้าเพียงทราบ มันแม้เป็นหลานของอุนโฮ้วงึ่นเก็ก (เจ้าทวนเงิน) ลู่ฮ่งเซย แต่วิชาที่ฝึก กลับเป็นเพลงกระบี่สำนักบู๊ตึง สำนักบู๊ตึงมีหลักวิชาภายในที่มาตรฐานต้องไม่...”

“ท่านว่ามันเป็นหลานผู้ใด?”

“ลู่ฮ่งเซย อุนโฮ้วงึ่นเก็กที่เมื่อกาลกระโน้น ถูกจัดอยู่ในอันดับห้าของตำราอาวุธ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง”

ดวงตาเอี๊ยบไคพลันเป็นประกายสุกใส ร้องโพล่งขึ้น

“ลู่ฮ่งเซย! ข้าพเจ้าไฉนลืมคนผู้นี้ไปได้”

“ท่านรู้จักมัน?”

“ทวนเงินมัน ถูกจัดอยู่ในอันดับห้าของตำราอาวุธ สำหรับผู้อื่น รู้สึกเป็นเกียรติสูงส่งอย่างยิ่ง แต่สำหรับมัน กลับถือเป็นความอัปยศอดสูที่สุด”

ก้วยเต๋งเข้าใจความรู้สึกเยี่ยงนี้ จึงกล่าวว่า

“มีคนมากหลาย ต่างไม่อาจทนอยู่ใต้อันดับของผู้อื่น”

“แต่ลู่ฮงเซยก็ทราบ แป๊ะเฮี่ยวเซ็งต้องไม่ผิดพลาด ดังนั้นมันจึงทำลายทวนเงินของมัน ฝึกวิชาบู๊ที่น่าสะพรึงกลัวอีกวิชา”

“วิชาบู๊ใด?”

“มือของมัน”

ดวงตาก้วยเต๋งก็เป็นประกายสุกใส

เอี๊ยบไคกล่าวต่อไป

“ฟังว่า มันได้ฝึกมือของมัน จนมีความแข็งแกร่งคมกริบดั่งเหล็กกล้าได้แล้ว”

“ท่านได้ยินผู้ใดบอก?”

“คนที่เคยเห็นมือข้างนั้นของมัน คนที่ต้องดูไม่ผิดพลาดเด็ดขาด”

“เซี่ยวลี้ถ้ำฮวย?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะตอบ

“ในโลกหากมีผู้ใดฝึกใช้มือเปล่าทำร้ายฮั่นเจ็งจนบอบช้ำปานนี้ คนผู้นั้นต้องเป็นลู่ฮ่งเซยเด็ดขาด”

“แต่ทว่า มันสาบสูญไปนานแล้ว”

“เฮอะเฮอะ กระทั่งคนตาย ยังอาจฟื้นคืนชีวิตมาได้ อย่าว่าแต่คนที่หายสาบสูญเลย”

“ท่านมีความเห็น มันก็อยู่ที่นี้?”

“ท่านบอกแล้ ตอนนี้แม้มิใช่เป็นเดือนเก้า แม้มิใช่เป็นฤดูกาลล่าจิ้งจอก”

ดวงตาก้วยเต๋งเป็นประกายวาว กล่าวต่อไปทันที

“ลู่ฮ่งเซยก็เป็นเหยี่ยวตัวหนึ่งโดยมิพักสงสัย”

“อาจบางทีมันนับเป็นเหยี่ยวที่น่ากลัวที่สุด ในฝูงเหยี่ยวคราครั้งนี้”

“หากมันมาจริง ท่านจะหามัน?”

เอี๊ยบไคเหลือบมองฮั่นเจ็งบนเตียง เม้มปากแนบแน่น

เอี๊ยบไคไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากตอบอีก

ดวงตาก้วยเต๋งสุกใสกว่าเดิม แต่คล้ายเหม่อมองในทิศทางสุดแสนไกล รำพึงเบาๆ

“มีโอกาสได้พิสูจน์ผลแพ้ชนะ กับบุคคลที่เมื่อกาลก่อนถูกจัดในอันดับห้าของตำราอาวุธ ก็เป็นเรื่องที่พึงปีติยินดีที่สุดในชั่วชีวิตหนึ่ง”

“แต่นี้กลับมิใช่เรื่องของท่าน”

“มิใช่?”

“มิใช่เด็ดขาด”

ก้วยเต๋งเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเอี๊ยบไคต้องหัวร่อ แล้วกล่าวต่อ

“ท่านมิต้องกลัวข้าพเจ้าชิงการค้าของท่าน ฮั่นเจ็งเป็นสหายของท่าน มิใช่ข้าพเจ้า”

ในที่สุด เอี๊ยบไคจึงหัวร่อพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าหวังอย่างยิ่ง ให้ท่านอย่าได้ลืมวาจาครานี้ของท่านจึงประเสริฐ”

สีหน้าของก้วยเต๋งก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง กล่าวช้าๆ

“ท่านก็ควรอย่าลืมเรื่องหนึ่งจึงประเสริฐสุด”

“เรื่องอันใด?”

“อุนโฮ้วงึ่นเก็กอยู่อันดับห้า แต่มือของมันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าทวนเงินมันมากนัก”

เพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง กล่าวช้าๆ สืบไป

“ข้าพเจ้าไม่ต้องการเห็น ท่านถูกคนฟาดจนเป็นสภาพดั่งฮั่นเจ็ง”

เอี๊ยบไคพลันหันกายผลักหน้าต่างออก

ลมนอกหน้าต่างเหน็บหนาวราวมีดกรีดเฉือน แต่หัวใจของเอี๊ยบไคกลับร้อนระอุ คล้ายดั่งเพิ่มดื่มสุราฉุนไปเต็มจอก

ขอบฟ้าสุดไกล ความจริงมืดมิดอยู่ แต่ตอนนี้ได้เริ่มกลายเป็นสีเทาทีละน้อย

จากนั้นจึงได้ยินเสียงไก่ขันเป็นครั้งแรก

เป็นห้องข้างทางด้านหลังสุด นอกหน้าต่างมีเหมยประดับอยู่สามกระถาง

-----------------------------

ตึกที่ช่วงหลังกว้างใหญ่อย่างยิ่งจริงๆ ขอบฟ้าบูรพาแม้มีแสงรำไร แต่ในหน้าต่างยังมีแสงโคมไฟสว่างอยู่

ในห้องมีคนแผดหัวร่อเสียงก้องพลางกล่าว

“ที่อาตมาย่างกรายสู่โลกียวิสัยอีกครั้ง เพราะต้องการดูวงพวกนักเลงยุคนี้เป็นแผ่นดินของตระกูลใดกันแน่?”

นั่นเป็นเสียงของเง็กเซียว

ในห้องถึงกับยังมีอีกผู้หนึ่ง

“ผู้เยาว์ย่อมไม่กล้าชิงดีชิงเด่นกับเต้าเจียง แต่เสียดายวงพวกนักเลงกับพาลมีพวกผู้เยาว์ ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่มากหลาย”

นั่นมิใช่เป็นเสียงของเง็กเซียว ฟังแล้วคุ้นหูอย่างยิ่ง

อีแม้เข่า !

เต็งฮุ้นลิ้มดูไม่ผิด มันเป็นคนต่ำทรามที่รู้จักฉกฉวยโอกาสประจบสอพลอหาประโยชน์จริงๆ

ดูท่ามันถึงกับมาสวามิภักดิ์ต่อน่ำไฮ้เง็กเซียว!

หัวใจเอี๊ยบไควาบหวิวลง

เง็กเซียวมิเพียงไม่ได้หลับนอน ยังมีผู้ช่วยเพิ่มอีกคนหนึ่ง

ได้ยินเง็กเซียีวถาม

“ท่านทราบบรรดาผู้เยาว์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหล่านั้น เป็นใครบ้าง?”

“ซงเอี๊ยงก้วยเต๋ง บู๊ตึงลู่เต๊ก จุยจื้อฮั่นเจ็ง ปวยฮู้เอี้ยเทียน น่ำไฮ้เตียงจู แซเซี้ยแซ่บั๊ก... เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ อย่างน้อยมีหลายคนมาในเชี่ยงอันนี้แล้ว”

แสดงว่ามันยังไม่ลืมความแค้น ที่ถูกทำลายอาวุธพินาศ ดังนั้นนามแรกที่มันเอ่ยก็คือก้วยเต๋ง

มันมีความปรารถนาอย่างยิ่ง ให้เง็กเซียวสังหารก้วยเต๋งแทนมัน

เง็กเซียวถามอีก

“ยังมีผู้อื่นมาอีกหรือไม่?”

“ย่อมมีอยู่”

“อย่างน้อยยังมีเอี๊ยบไค?”

อีแม้เข่าแค่นหัวร่อ

“เอี๊ยบไคไม่เป็นที่น่ากลัว”

เง็กเซียวอุทานด้วยความตื่นเต้นสงสัย เนื่องเพราะพลังฝีมือของเอี๊ยบไคสูงต่ำเพียงใดมันเคยรับทราบมาแล้ว ได้ยินอีแม้เข่ากล่าวต่อ

“เนื่องจากเอี๊ยบไคเท่ากับเป็นคนตายไปแล้ว”

“อ้อ?”

“ในมหานครเชี่ยงอัน ตอนนี้คนที่จะฆ่ามัน มิทราบมีอยู่มากน้อยเพียงใด มันนับว่าต้องตายแน่นอนแล้ว”

“ฮา ฮา เง็กย้ง ยังไม่มีสุราให้อีซิงแซ”

ดูท่าพวกมันถึงกับคิดจะดื่มกันทั้งคืน ไม่มีทีท่าจะหลับนอนพักผ่อนสักน้อยนิด

แต่เอี๊ยบไคตอนนี้ เหลือเวลาเพียงชั่วยามเดียว หากไม่ลงมือในตอนนี้ โอกาสภายหน้ายิ่งจะน้อยกว่านี้แล้ว

ก้วยเต๋งชะโงกเข้ามากระซิบที่ข้างหู

“ข้าพเจ้าจะพัวพันพวกมันไว้ ท่านไปช่วยคน”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะยืนกราน

“ไม่ได้”

“ไฉนไม่ได้?”

“ข้าพเจ้าไม่คิดจะเก็บศพให้ท่าน”

เสียงของเอี๊ยบไคแม้กระด้างเย็นชา แต่น้ำใจนี้กลับสามารถรุมเร้าเลือดลมผู้คน ให้พลุ่งพล่านดาลเดือดได้ยิ่งกว่าสุราฉุนเฉียวเสียอีก

ก้วยเต๋งเปลืองเสื้อออก แค่นเสียงเย็นชาเช่นกัน

“หรือท่านคิดจะเก็บศพเต็งฮุ้นลิ้ม?”

“ข้าพเจ้ามีวิธี ข้าพเจ้าต้องมีวิธี...”

ความจริงเอี๊ยบไคไม่มีวิธีสักน้อยนิด เพราะหัวใจว้าวุ่นจนปั่นป่วนแล้ว เพื่อความปลอดภัยของเต็งฮุ้นลิ้ม ต้องไม่ยอมเสี่ยงอันตรายใดๆ แม้สักน้อยนิด

ก้วยเต๋งทราบ มันเตรียมจะโถมออกไปแล้ว เพราะมันมิใช่เป็นคนที่เยือกเย็นเท่าใด

มันมีความเห็น มันพอโถมออกไป เอี๊ยบไคก็จำต้องไปช่วยคนทางด้านหลังเท่านั้น

แต่มันผิดแล้ว

หากมันโถมออกไป เอี๊ยบไคต้องไม่ยอมทิ้งมันเด็ดขาด ทั้งสองแม้พอจะรับมืออีแม้เข่ากับเง็กเซียว แต่เต็งฮุ้นลิ้มยังคงอยู่ในมือเง็กเซียว

หากเง็กเซียวใช้เต็งฮุ้นลิ้มมาขู่เข็ญเอี๊ยบไค เอี๊ยบไคก็จำต้องตายแน่นอน

ร่างของมันพลันกระโดดขึ้น

ทันใดนั้น มีเสียงร้องด้วยความตระหนกดังมาจากในหน้าต่าง นั่นเป็นเสียงของอีแม้เข่าแผดร้อง

“ท่าน... ท่านทำกระไร?”

เสียงกระด้างเย็นชาของเง็กเซียวดังตามติด

“เราฆ่าท่าน”

“ข้าพเจ้ามาด้วยกุศลเจตนา ท่านถึงกับจะสังหารข้าพเจ้า?”

“ท่านเห็นเราเป็นคนเช่นไร? ถึงกับคิดจะมาหลอดใช้เราเป็นเครื่องมือ ท่านจึงเป็นมุสิกที่ไม่รู้ความเป็นคน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เราไม่ฆ่าท่านจะฆ่าผู้ใด?”

มีเสียงโต๊ะเก้าอี้ในห้องล้มโครมคราม จอกป้านถ้วยชามแตกกระจัดกระจาย

ร่างก้วยเต๋งแม้กระโดดจากพื้น แต่เปลี่ยนทิศทาง ไถลตามผนังออกไปดั่งสายฟ้า

เอี๊ยบไคก็มิได้ล้าหลังกว่า

ทั้งสองต่างดูออก ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะช่วยเต็งฮุ้นลิ้ม อีแม้เข่าอย่างน้อยพอต้านทานฝีมือเง็กเซียวได้สักยี่สิบสามสิบกระบวนท่า

ช่วงเวลาแม้ไม่ยาว แต่ขอเพียงความเคลื่อนไหวของทั้งสองรวดเร็ว นับว่าเกินพอแล้ว

ดังนั้นทั้งสองจึงไม่อาจเสียเวลาแม้ชั่วกะพริบตา

โชคดีที่กระถางดอกเหมยทางนอกหน้าต่าง เป็นเป้าที่เห็นได้ชัดยิ่ง พวกทั้งสองจึงไม่ต้องเสียเวลาเสาะหา

ในหน้าต่างก็มีแสงโคมไฟ

บนหน้าต่างมีเงาร่างอยู่สองสาย ผู้หนึ่งเป็นนักพรตหญิงที่เกล้ามวย ผู้หนึ่งคือเต็งฮุ้นลิ้ม

ดูท่วงท่าของทั้งสอง คล้ายกำลังนั่งเดินหมากรุกกันอยู่ ก้วยเต๋งทลายหน้าต่างเข้าไปก่อน... มันมิว่ากระทำเรื่องราวใดต่างรวบรัดชัดเจนยิ่ง

แต่หัวใจของเอี๊ยบไคกลับวาบหวิวลง

เอี๊ยบไคทราบ เงาร่างหลังหน้าต่างต้องมิใช่เต็งฮุ้นลิ้ม

เต็งฮุ้นลิ้มต้องไม่เดินหมากรุก เต็งเล้าเฮาะตั้วกอนางแม้เป็นมือดีของหมากรุก แต่นางกลับเดินไม่เป็นเลย

นางมีความเห็นเสมอมา จับสองคนมานั่งด้วยกัน วางก้อนหินสีดำสีขาวอยู่บนแผ่นไม้กระดานไปๆ มาๆ เป็นเรื่องไร้สาระที่สุด

หรือนี่เป็นหลุมพรางอีก?

แต่ก้วยเต๋งโถมเข้าไปแล้ว เอี๊ยบไคก็จำต้องกัดฟันติดตามเข้าไปบ้าง

 

พอทลายหน้าต่างโถมเข้าในห้อง ก้วยเต๋งก็พบเห็น เต็งฮุ้นลิ้มมิได้อยู่ในห้องนี้

ดรุณีที่นั่งตรงข้ามนักพรตหญิง มาตรแม้นสวมเสื้อผ้าเต็งฮุ้นลิ้ม หวีผมทรงเดียวกับเต็งฮุ้นลิ้ม แต่มิใช่เต็งฮุ้นลิ้ม

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ต้องตระหนกจนลนลาน

แต่ก้วยเต๋งกระทำเรื่องราวใด กลับมีวิธีเฉพาะตัวของมันเสมอมา

มันพลิกมือชักกระบี่ออกจากฝัก ด้ามกระบี่กระแทกเข้าใส่คอหอยนักพรตหญิง

นางกระทั่งเสียงแผดร้องยังมิทันเปล่ง ร่างก็ล้มฮวบลง

ดรุณีอีกนางหนึ่งก็มิได้ส่งเสียง เนื่องเพราะกระบี่ของก้วยเต๋งจี้ใส่คอหอยของนาง

“เต็งโกวเนี้ยอยู่ที่ใด?”

ดรุณีนางนั้นแม้ตระหนกจนหน้าซีดขาว แต่ยังคงมีทีท่าที่ยอมตายก็ไม่ยอมบอก

ก้วยเต๋งก็มิถามอีก ตะปบมือซ้ายไปคว้าคอเสื้อนาง กระชากเสื้อนอกๆ ในๆ ห้าหกชั้นของนางขาดเป็นสองซีกหมดสิ้น เผยเห็นร่างขาวสะอาดปานหิมะ ทรวงอกที่ตั้งเต้าชูชัน เอวที่คอดกิ่ว

ใบหน้าดรุณีน้อยแตกตื่นจนกลายเป็นเขียวคล้ำแล้ว

ก้วยเต๋งแย้มยิ้มกล่าว

“หากยังไม่บอก เราจะฉีกร่างท่านเป็นสองเสี่ยง”

ดรุณีนางนั้นตระหนกจนกระทั่งเสียงยังมิอาจเปล่งได้ แต่ชี้ตู้เสื้อผ้าที่มุมห้องเท่านั้น

ตู้นี้ใหญ่อย่างยิ่ง

เอี๊ยบไคโถมเข้าไปกระชากประตูตู้ ภายในมีคนอยู่จริงๆ สตรีที่สวมเสื้อนักพรต ถูกจี้จุดหลับไว้ นางคือเต็งฮุ้นลิ้มเอง

ก้วยเต๋งส่งเสียง

“อยู่หรือไม่?”

“อยู่”

ทั้งสองตอบโต้กันเพียงสี่คำ เอี๊ยบไคก็อุ้มเต็งฮุ้นลิ้มพุ่งออกจากหน้าต่างไป

ก้วยเต๋งตบท้องน้อยของดรุณีนางนั้นเบาๆ พลางแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านใกล้จะลงพุงแล้ว จำไว้ คราวหน้าอย่าได้กินเนื้อติดมันเป็นอันขาด”

------------------------------

โคมถูกเป่าดับ แสงอุทัยลูบไล้กระดาษหน้าต่างเป็นสีขาว

ชุยเง็กจินกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้า ซับเหงื่อให้แก่ฮั่นเจ็ง นางมิได้หนีไปจริงๆ

เมื่อเห็นเอี๊ยบไคอุ้มเต็งฮุ้นลิ้มกลับมา นางถึงกับแย้มยิ้มต้อนรับ

ฮั่นเจ็งบนเตียงยังหลับสนิท เอี๊ยบไคจึงจำต้องวางเต็งฮุ้นลิ้มบนเก้าอี้

ในที่สุด นับว่าระบายลมจากปากเฮือกหนึ่ง

ชุยเง็กจินถาม

“ด้านหลังมีคนไล่ตามหรือไม่?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะแย้มยิ้มตอบ

“แม้นับว่าเง็กเซียวพบเห็นนางถูกช่วยมา ก็ต้องนึกไม่ถึงว่าพวกเรายังอยู่ที่นี้”

ก้วยเต๋งกลับมาแล้ว แค่นเสียงกล่าว

“ตอนนี้พวกเรากลับหวังให้มันไล่มาที่นี่ แม้นับว่ามันไม่มา ข้าพเจ้าก็ต้องไปหามัน”

เอี๊ยบไคกล่าว

“หากมิใช่ท่าน พวกเรามิทราบ ควรอย่างไรจึงให้ดรุณีนางนั้น สารภาพความจริงมาเลย”

“ให้สตรีสารภาพความจริงมิใช่เป็นเรื่องยาก”

“อ้อ?”

“หากเสื้อผ้าของดรุณีนางนั้น พลันถูกฉีกขาดจนเปลือยเปล่า น้อยคนนักที่จะกล้าไม่บอกความสัตย์จริง”

“ดูไม่ออกว่า ท่านก็มีความชำนาญในการรับมือสตรีจนโชกโชน”

ก้วยเต๋งหัวร่อพลางกล่าว

“ที่ข้าพเจ้าฝึกมิใช่เป็นพลังทารำ (ฝึกกำลังภายในตั้งแต่เป็นทารก ไม่อาจสมสู่กับสตรีเด็ดขาด)”

“คิดว่าบุรุษเช่นท่าน จะฝึกพลังทารกนั้น น่ากลัวยากจะสำเร็จได้”

ก้วยเต๋งเพ่งมองเต็งฮุ้นลิ้มแวบหนึ่ง รีบเบือนสายตาห่างไป พลางกล่าว

“นางถูกจี้จุดหลับไว้ใช่หรือไม่?”

“อืมม์”

“ตอนนี้นางมิต้องนอนต่อไปแล้ว”

เอี๊ยบไคหัวร่อเบาๆ ตบคลายจุดเต็งฮุ้นลิ้มออก เห็นดวงตาสุกใสของนางลืมขึ้นมาจ้องมองดูตนแล้วรู้สึกร่าเริงเป็นยิ่งนัก

แต่เต็งฮุ้นลิ้มคล้ายยังมิได้ตื่น ตาของนางยังเคลิบเคลิ้ม มองเอี๊ยบไคสองครา จึงถามด้วยความสงสัย

“เอี๊ยบไค?”

“หรือท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้แล้ว?”

“ข้าพเจ้าจำท่านได้”

นางพลันยื่นมือออกมา

ในมือนางถึงกับมีมีดเล่มหนึ่ง แทงมีดเข้าใส่ทรวงอกเอี๊ยบไคอย่างไม่คาดหมาย!

โลหิตสดๆ ฉีดออกเป็นลำราวเกาทัณฑ์ กระเซ็นเข้าใส่ใบหน้านาง หน้าที่ซีดขาวของนางพลันแดงฉานไปทันที

แต่หน้าของเอี๊ยบไคกลับเผือดขาวไร้สีเลือด เบิ่งตามองนางด้วยความตระหนก

แต่ละคนต่างจ้องมองนางด้วยความตระหนก มิว่าผู้ใดก็คาดฝันไม่ถึง นางจะใช้ฝีมืออำมหิตเช่นนี้ต่อเอี๊ยบไคได้!

แต่เต็งฮุ้นลิ้มกลับแผดหัวร่อ หัวร่อดั่งคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือน พลันกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ พุ่งตัวออกจากหน้าต่าง

มือข้างหนึ่งของเอี๊ยบไคกุมปากแผลไว้ คิดจะไล่แต่ร่างล้มฮวบลงเสียก่อน ยังคงส่งเสียงสะท้าน

“ไล่... ไล่ตามนางกลับมา”

มิรอให้เอี๊ยบไคกล่าวจบคำ ก้วยเต๋งไล่ตามออกไปแล้ว

เอี๊ยบไคคิดจะติดตามไปดูว่า ทั้งสองไปทิศทางใด แต่เท้าอ่อนระทวย เบื้องหน้ากลายเป็นความมืดมิดสนิท... มืดมิดของผิดหวัง

ที่เอี๊ยบไคเห็นในคราสุดท้าย เป็นดวงตาที่เปี่ยมความแตกตื่นหวาดกลัว วิตกกังวลของชุยเง็กจิน

ที่ได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย คือศีรษะของตนกระแทกเข้าใส่ขอบโต๊ะ!

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น