วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ อิทธิฤทธิ์ของมีดสั้น จบเล่ม 1

 

อิทธิฤทธิ์ของมีดสั้น

ยาที่ฮั้วจือเช็งทิ้งไว้นั้นมีสองห่อ ห่อนหนึ่งกินห่อหนึ่งทา

ยาที่กินมีสรรพคุณอย่างยิ่ง และคล้ายดั่งยังมีสรรพคุณ ขัดเกลาจิตใจให้เยือกเย็นด้วย ดังนั้นเอี๊ยบไคจึงหลับสนิทยิ่ง

เมื่อตื่นมา รู้สึกปลอดโปร่งแจ่มใสจนเบิกบานอย่างยิ่ง เนื่องเพราะความเจ็บปวดที่บาดแผลบรรเทาลงมากหลายแล้ว และยังได้กลิ่นหอมของข้าวต้มไก่ ที่โชยมาจากม่านประตู

คิดว่าชุยเง็กจินคงอยู่ในครัว กำลังตุ๋นข้าวต้มไก่ให้แก่ตน

แสงอาทิตย์แจ่มใสอยู่ที่หน้าต่าง ลมโชยเฉื่อยฉิว คิดว่าวันนี้คงเป็นวันที่ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่ง

เอี๊ยบไคแทบลืมเลือกนความหงุดหงิดกลัดกลุ้มทั้งมวลจนหมดสิ้น ส่งเสียงดังๆ

“ข้าวต้มสุกแล้วหรือไม่? รีบตักให้ข้าพเจ้าสามชามใหญ่”

“มาแล้ว”

ม่านประตูพลันถูกเลิกขึ้น ข้าวต้มไก่ชามใหญ่ลอยฝ่าอากาศเข้ามา ฟาดใส่ผนังห้องดังโครม!

เอี๊ยบไคตะลึงลาน!

ข้าวต้มไก่ที่ติดบนผนัง ไหลช้าๆ ลงมาเป็นทาง คนผู้หนึ่งปรากฏที่ปากประตู ส่งเสียงแค่นหัวร่ออย่างประสงค์ร้าย

อีแม้เข่า!

มันยังคงสวมเสื้อยาวสีแดงฉาน ที่ปักโบตั๋นดำอยู่เต็มตัว ดูไปคล้ายผีตายซากมิผิดเพี้ยน

เอี๊ยบไคกลับหัวร่อให้มันแล้วทักทาย

“ท่านเช้า?”

อีแม้เข่าส่งเสียงเย็นชา

“ท่านแม้ตื่นไม่เข้า แต่ยังตื่นได้ประจวบเหมาะยิ่ง”

“อ้อ?”

“หากท่านตื่นสายอีกชั่วครู่ น่ากลัวจะไม่ตื่นได้อีกตลอดกาล”

เอี๊ยบไคหัวร่ออีกครั้ง

“ท่านแม้มาไม่ประจวบเหมาะ แต่กลับเช้าอย่างยิ่ง”

“กระจอกตื่นเข้ากินอาหาร กระจอกตื่นสายกินอุจจาระ หากมิใช่เราตื่นเช้าไหนเลยจะได้พบศิษย์ทรยศต่อสำนักอาจารย์ของนางโดยประจวบเหมาะ”

“โอ...ดูท่าตื่นเช้าเกินไป ก็มิใช่เป็นเรื่องดีงาม หากนางมิใช่ตื่นเช้า ไหนเลยจะพบภูตผี”

“นั่นต้องตำหนิท่าน?”

“ตำหนิข้าพเจ้า?”

“หากมิใช่นางลุ่มหลงท่านจนงมงาย ไหนเลยพอเข้าตรู่ก็เล็ดลอดไปที่โรงเตี๊ยมนั้น สืบข่าวคราวฮั่นเจ็งให้แก่ท่าน”

หัวใจเอี๊ยบไควาบหวิวลง

เมื่อค่ำวานเคยถามชุยเง็กจิน

นางย่อมไม่ทราบฮั่นเจ็งเป็นเช่นไร เมื่อนางเห็นเอี๊ยบไคบาดเจ็บ นางมีแต่รีบพาเอี๊ยบไคหลบหนีออกมา ไหนเลยยังไปคำนึงถึงผู้อื่น

แม้เอี๊ยบไคมิได้ถามต่อ และมิได้ตำหนินาง แต่ทว่าในใจย่อมอดเกิดความละอายเล็กน้อย เสียใจเล็กน้อยมิได้

เอี๊ยบไครู้สึกละอายต่อฮั่นเจ็ง

ดังนั้น ชุยเง็กจินจึงพลอยเสียใจไปด้วย

เอี๊ยบไคดูออก แต่นึกไม่ถึง พอเช้าตรู่นางก็ลอดเร้นไปสืบเสาะข่าวคราวฮั่นเจ็งมาให้ตน

ขอเพียงตนกล่าวคำเดียว นางก็ไม่คำนึงถึงเภทภัยใด ไปกระทำเรื่องราวใดๆ แก่ตนได้

อีแม้เข่าแค่นเสียงเย็นชาต่อไป

“นางคำนวณแน่ว่า เง็กเซียวต้องไปแล้ว แต่นางคิดไม่ถึง เราถึงกับยังอยู่ที่นั้น”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“ค่ำคืนนั้นมันมิได้ฆ่าท่าน?”

“เฮอะเฮอะ ท่านเข้าใจมันจะฆ่าเราจริงๆ”

“หรือมิใช่ความจริง?”

“พวกเราเพียงแต่แสดงละครกัน แสดงให้ท่านดูโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านมีโอกาสไปช่วยคน”

“ตอนนั้นพวกท่านพบเห็นข้าพเจ้าอยู่ทางภายนอกแล้ว?”

“เฮอะ พอพวกท่านเข้าไปในลานตึก มันก็รู้ตัวก่อนแล้ว”

เอี๊ยบไคถอนใจยาวฝืนยิ้มกล่าว

“ดูท่านข้าพเจ้ากลับประเมินมันต่ำไปฎ

“มันก็ประเมินท่านต่ำ มันเข้าใจว่าท่านต้องตายแน่นอนแล้ว”

“ท่านเล่า?”

“เราทราบ จะให้คนเช่นดั่งท่านตาย มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายนัก”

“ครั้งนี้ นับว่าท่านมิได้ดูผิด”

“แต่หากท่านตอนนี้ ไม่มอบเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมา ยังคงต้องตายแน่นอน”

“ครั้งนี้ท่านดูผิดแล้ว”

“ท่านควรเข้าใจความเรื่องหนึ่งจึงประเสริฐ”

“ท่านบอกมา”

“เราชมชอบฆ่าคน”

“นี่เป็นวาจาสัตย์จริง”

“คนที่เราต้องการฆ่าที่สุดก็คือท่าน”

“นี่ก็เป็นวาจาสัตย์จริง”

“ดังนั้น หากท่านไม่รีบมอบเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมา เราต้องไม่รอคอยเด็ดขาด เรายินยอมไม่ต้องการนาง ก็ต้องฆ่าท่านให้ได้”

“ท่านก็ควรเข้าใจความเรื่องหนึ่งจึงประเสริฐ”

“เราก็ให้ท่านบอก”

“ข้าพเจ้าไม่พอใจฆ่าคน แต่คนเช่นท่าน กลับอยู่นอกเหนือกฎนั้น”

อีแม้เข่าแผดหัวร่อกล่าว

“ท่านตอนนี้ยังสามารถฆ่าเราได้?”

“เราไม่สามารถ มันสามารถ?”

มือพอพลิก มีดปรากฏในมือ

มีดที่ยาวเพียงสามนิ้วเจ็ดหุน... มีดบิน!

อีแม้เข่าพอเห็นมีดเล่มนั้น แก้วตาพลันหดเล็กลงทันที!

มันก็ย่อมรู้จัก นั่นเป็นมีดบินของเซี่ยวลี้ปวยตอที่ถ่ายทอดให้ทายาทรุ่นละคน มีดสั้นที่ไม่เคยผิดเป้าเลย!

เอี๊ยบไคกล่าว

“ข้าพเข้าเพียงหวัง ท่านอย่าได้บีบบังคับให้ข้าพเจ้าฆ่าท่าน”

ก่อนที่จะลงมือทุกครั้ง เอี๊ยบไคต่างกล่าววาจาเช่นนี้เสมอ

เนื่องเพราะมีสั้นนี้ มิใช่ใช้มือซัดออกไป จะซัดมีดสั้นเยี่ยงนี้ ต้องให้ประสาทความรู้สึกทั้งตัว ใช้พละกำลังทั้งร่าง

มีดสั้นพอซัดออกไป กระทั่งตัวเองก็ไม่มีปัญญาข่มบังคับได้

อีแม้เข่าเพ่งมองมีดสั้นแน่วนิ่ง กล่าวช้าๆ

“เรารู้จักมีดเล่มนี้”

“รู้จักเป็นประเสริฐสุด”

“แต่เสียดาย ท่านมิใช่เซี่ยวลี้ถ้ำฮวย”

“ข้าพเจ้ามิใช่”

“ท่านตอนนี้เป็นเพียงเศษสวะที่บาดเจ็บ มีดสั้นเล่มนี้ของท่าน กระทั่งสุนัขยังฆ่าไม่ตายไปได้”

“มีดเล่มนี้ไม่ฆ่าสุนัข เพียงฆ่าคน”

“ฮา ฮา เราต้องการทดลองดู มันสามารถฆ่าข้าพเจ้าได้หรือไม่?”

ร่างของมันโฉบขึ้นจากพื้น โถมเข้าใส่เอี๊ยบไคปานประกายไฟ มันมีมีดที่ทำลายอาวุธลับโดยเฉพาะอยู่คู่หนึ่ง

แต่มีดสั้นนี้มิใช่อาวุธลับ!

มีดนี้แทบมิใช่มีด แต่เป็นอานุภาพที่ทลายของแข็งทุกประการ พลานุภาพที่ไม่มีกำลังใดต่อต้านได้!

ประกายมีดวูบขึ้น!

ร่างอีแม้เข่าพลันบิดงอกลางอากาศ ร่วงฟาดลงกับพื้น

ไม่มีเสียงแผดร้อง และมิได้ตะเกียกตะกายดิ้นรน พลันคล้ายเป็นกระสอบเปล่าที่ถูกทิ้งกองอยู่กับพื้น

คอหอยของมัน มีมีดสั้นเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง!

มีดบิน.... มีดบินที่โดดเด่นเป็นเอกในพิภพจบแดน! มีดบินที่ไม่มีทั้งฟากฟ้าและพสุธา!

เอี๊ยบไคนั่งสงบในที่นั้น ดวงตามีประกายไม่อาจบรรยาย คล้ายดั่งเป็นสมเพช และก็คล้ายพลันรู้สึกว้าเหว่อย่างยิ่ง

ฆ่าคน มิใช่เป็นเรื่องสนุกสนานเบิกบานใจเลย

แต่ทันใด นอกหน้าต่างพลันมีเสียงหัวร่อสดใสปานระฆังดังขึ้น เป็นเสียงหัวร่อของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน!

“มีดที่เร็วอย่างยิ่ง”

เสียงหัวร่อยังดังอยู่นอกหน้าต่าง แต่ร่างนางกลับเดินเข้ามาทางประตู ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ดั่งเป็นนกนางแอ่นตัวน้อย

เอี๊ยบไคยังคงนั่งสงบในที่นั้น กระทั่งยังมิเหลือบมองนางสักแวบเดียว

ตอนนี้มิว่านางปรากฏตัวในเวลาใด เอี๊ยบไคต่างไม่รู้สึกแตกตื่นสงสัยอีกแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปรบมือหัวร่อพลางกล่าว

“ข้าพเจ้ามิได้ดูท่านผิดไปจริงๆ ข้าพเจ้ายังมิเคยเห็น มีดที่เร็วถึงปานนี้มาก่อนเลย”

เอี๊ยบไคพลันแค่นหัวร่อสวนคำ

“ท่านยังคิดดูอีกหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าไม่คิด ข้าพเจ้าก็ทราบ ท่านต้องไม่ฆ่าข้าพเจ้าแน่ ใช้มีดเช่นนี้มาฆ่าสตรีที่ว้าเหว่เดียวดาย เซี่ยวลี้ถ้ำฮวยทราบแล้วมีโทสะรุนแรงยิ่ง”

หยุดหัวร่อด้วยความพอใจแล้วกล่าวต่อ

“อย่าว่าแต่ท่านความจริง สมควรขอบคุณข้าพเจ้าจึงถูก หากมิใช่เมื่อวานข้าพเจ้าให้ฮั้วจือเช็งทิ้งยาไว้สองห่อ ท่านวันนี้ไม่แน่จะสามารถฆ่ามันได้”

เอี๊ยบไคไม่อาจปฏิเสธ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้มกล่าว

“แต่ข้าพเจ้าก็ขอบคุณท่านอย่างยิ่ง นับว่าท่านได้ฆ่าคนให้แก่ข้าพเจ้าไปผู้หนึ่งแล้ว”

วาจานี้คล้ายเป็นแส้หนัง โบยเข้าใส่หน้าเอี๊ยบไคควับใหญ่

ทั้งที่ทราบแน่ว่าถูกคนใช้ ยังคงยอมถูกใช้อยู่ นั่นนับเป็นเรื่องที่ยากจะทนทานจริงๆ

เอี๊ยบไคแค่นเสียงเย็นชา

“ในเมื่อข้าพเจ้าฆ่าไปคนหนึ่ง ก็ยังสามารถฆ่าคนที่สองได้”

“ข้าพเจ้าเชื่อ”

“ดังนั้น ท่านควรรีบไปจึงประเสริฐ”

“ท่านจะขับไล่ข้าพเจ้าอีก?”

“ใช่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าอัปลักษณ์ขัดตากว่านักพรตหญิงนางนั้น? หรือข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ปรนนิบัติท่าน เช่นกับนักพรตหญิงนางนั้น?”

บนโต๊ะเล็กๆ ที่หัวเตียง มีเสื้อผ้าที่ซักสะอาดพับเรียบร้อยวางอยู่ชุดหนึ่ง

นั่นย่อมเป็นชุยเง็กจินเตรียมไว้ให้เอี๊ยบไค

แต่ตัวนางเล่า?

เต็งฮุ้นลิ้มเล่า?

เอี๊ยบไคหยิบเสื้อผ้า ไม่มีปัญญาเอนกายนอนอีกแล้ว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านจะไปแล้ว? ไปที่ใด?”

เอี๊ยบไคไม่เอ่ยปาก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ไปหานักพรตหญิงนางนั้น?”

เอี๊ยบไคยังคงไม่เอ่ยปาก เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“หากท่านจะไปหานาง ข้าพเจ้าเตือนท่าน มิสู้เอนกายนอนพักผ่อนประเสริฐกว่า เนื่องเพราะท่านต้องหานางไม่พบ”

เอี๊ยบไคคิดจะเอ่ยปาก แต่แล้วหักห้ามไว้

เอี๊ยบไคยังเข้าใจเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกระจ่างยิ่ง หากเป็นเรื่องที่นางไม่คิดจะบอก ไม่มีผู้ใดสามารถถามจนนางบอกมาได้ หากนางคิดจะบอก ก็ไม่จำเป็นต้องถาม

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“หากท่านคิดจะไปถามเต็งฮุ้นลิ้ม ก็มิสู้อยู่เป็นเพื่อนสนทนากับข้าพเจ้าในที่นี้เนื่องเพราะแม้นับว่าท่านหานางพบ ก็มีแต่ยิ่งเศร้าเสียใจกว่าเดิม”

เอี๊ยบไคเม้มปากมิส่งเสียง เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“อาจบางที ท่านตอนนี้ยังพอจะไปหาคนผู้หนึ่งพบ”

เอี๊ยบไคเริ่มสวมรองเท้า เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“หนึ่งเดียวที่ท่านหากพบในตอนนี้ก็คือฮั่นเจ็ง และพอไปหาก็พบได้ ท่านทราบเพราะเหตุใดหรือไม่?”

เอี๊ยบไคไม่ถาม เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะมันนอนอยู่ในโลง กระทั่งเคลื่อนไหวก็ยังไม่อาจแล้ว”

เอี๊ยบไคพลันผุดลุกขึ้น ถลึงจ้องมองด้วยประกายตาแวววาวน่ากลัว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านทั้งที่ทราบแน่ มันมิใช่ถูกข้าพเจ้าฆ่า ถลึงจ้องข้าพเจ้าไปไย? หากท่านคิดจะล้างแค้นแทนมัน ก็ควรหาศัตรูของมันให้พบก่อน”

นางกล่าวต่อด้วยเสียงราบเรียบ

“แต่ข้าพเจ้าเตือนท่าน ยังคงอย่าไปประเสริฐกว่า หนึ่งเดียวที่ท่านสมควรกระทำในตอนนี้ คือเอนกายลงไปนอนให้หลับสักตื่น”

เอี๊ยบไคมิได้ยินนางกล่าวจบคำ

เอี๊ยบไคโถมออกจากห้องไปแล้ว

-----------------------------------------

ฝาโลงผิดแล้ว แต่ยังมิได้ตอกตะปู

โลงไม้ที่บางๆ ช่วงชีวิตที่สั้นๆ

ใบหน้าของฮั่นเจ็ง ดูไปคล้ายดั่งหลับอยู่.... มันความจริงตายในตอนหลับอยู่

“ตอนข้าพเจ้าพบเห็นมัน มันขาดใจตายไปแล้ว จึงจำใจซื้อโลงมาเก็บศพมันไว้ชั่วคราว แต่ข้าพเจ้าก็มิทราบมันมีญาติเป็นผู้ใดบ้าง เพียงหวังให้มันยังมีญาติมิตรมาเก็บศพมัน”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนี้ ถึงกับมิใช่เป็นคนเห็นแก่เงินนัก

ไม้ของโลงแม้บาง แต่อย่างน้อยยังประเสริฐกว่าใช้เสื่อม้วนมากนัก

“ขอบคุณท่าน”

เอี๊ยบไคตื้นตันพระคุณจริงๆ แต่ใจกลับยิ่งปวดแปลบกว่าเดิม เคียดแค้นกว่าเดิม

หากมิใช่เพราะตน ฮั่นเจ็งต้องไม่บาดเจ็บ

หากมิใช่เพราะตนชะล่าใจจนเลินเล่อ อาการบาดเจ็บของฮั่นเจ็งพอจะรักษาได้

แต่ทว่าบัดนี้ฮั่นเจ็งตายไปแล้ว แต่เอี๊ยบไคยังมีชีวิตอยู่

“มันตายอย่างไร?”

“เป็นถูกกระบี่เล่มหนึ่ง ปักตรึงติดกับพื้นเตียง”

“กระบี่เล่า?”

“กระบี่อยู่”

กระบี่เป็นประกายในแสงโคมไฟ

เป็นกระบี่ยาวที่มีลักษณะสวยงามโบราณ ถลุงจากเหล็กกล้าเนื้อดี คมกริบอย่างยิ่ง สันกระบี่ยังมีลายสน

คราบโลหิตถูกล้างสะอาดแล้ว ใช้ผ้าสีเหลืองห่อไว้

“ผู้รับใช้สองคนของโรงเตี๊ยมเราทุ่มเทกำลังอย่างมาก จึงสามารถถอนกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาได้”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกำลังประจบ อ้างความดีความชอบ

มันแม้มิใช่เป็นคนเห็นแก่เงิน แต่มันก็หวังได้รับผลประโยชน์สักเล็กน้อย ตอนมีโอกาสได้รับรางวัลมาบ้าง มันก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผ่านไป

แต่เอี๊ยบไคจำต้องมารยาเป็นไม่เข้าใจความหมายนี้

ในใจเอี๊ยบไคกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น

หรือกระบี่เล่มนี้ ถูกพุ่งเข้ามาทางนอกหน้าต่างปักใส่ทรวงอกฮั่นเจ็ง จึงตรึงติดกับพื้นเตียง

กำลังพุ่งกระบี่คราวนี้ ต้องหนักหน่วงไม่น้อย

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวอีก

“โกวเนี้ยที่มาพร้อมกับตั้วเอี๊ยท่านนางนั้น เมื่อค่ำวานก่อนก็เคยกลับมาครั้ง นางก็คล้ายดั่งป่วยเช่นกัน เป็ฯถูกก้วยไต้เฮี้ยบที่พิชิตน่ำเก็งเอี๊ยงอุ้มกลับมา”

“พวกมันไปที่ใดแล้ว?”

“มิทราบ พวกท่านเพียงปรากฏตัววูบเดียวเท่านั้น”

ผู้รับใช้คนหนึ่งรีบเสริมขึ้น

“ค่ำวันนั้น พอดีเป็นเวรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าไปในลานตึก ก็เห็นในห้องมีประกายแวบขึ้นวูบหนึ่ง คล้ายดั่งเป็นสายฟ้าแลบ...

รอจนข้าพเจ้ารีบเข้าไป สหายท่านนี้ของตั้วเอี๊ยก็ถูกตรึงรายอยู่บนเตียงแล้ว...

ภายหลัง ก้วยไต้เฮี้ยบก็อุ้มโกวเนี้ยท่านนั้นกลับมา เมื่อก้วยไต้เฮี้ยบกับน่ำเก็งเอี๊ยงประลองกระบี่กันนั้น ข้าพเจ้าก็เคยหนีงานไปดู ดังนั้นข้าพเจ้าจำก้วยไต้เฮี้ยบได้...

รอจนข้าพเจ้าไปรายงานกับเถ้าแก่ ค่อยกลับไปดูอีกครั้ง ก้วยไต้เฮี้ยบกับโกวเนี้ยท่านนั้น ก็ไม่อยู่อีกแล้ว”

เอี๊ยบไคสันนิษฐานไม่ผิด

กระบี่นี้ถูกซัดเข้ามาทางนอกหน้าต่างจริงๆ ดังนั้นผู้รับใช้จึงเห็น ประกายกระบี่ที่วูบขึ้นดั่งสายฟ้าแลบ

รอจนฆาตกรคิดจะกลับไปนำอาวุธ ก้วยเต๋งก็ได้กลับมาแล้ว

มันต้องฉวยโอกาสลงมือในตอนที่ชุยเง็กจินพาตัวเอี๊ยบไคหนี ก้วยเต๋งไปไล่ตามเต็งฮุ้นลิ้มยังไม่กลับมา

เวลาช่วงนั้นไม่ยาว อาจบางทีมันไม่มีเวลากลับมาชักกระบี่คืนไป หรืออาจบางที ในวาระที่ฉุกละหุกนั้น ไม่ทันจะชักกระบี่กลับ.... ผู้รับใช้สองคนทุ่มเทเรี่ยวแรงมากหลาย จึงสามารถชักกระบี่ออกมาได้

ก้วยเต๋งพาเต็งฮุ้นลิ้มไปที่ใดอีก?

พวกมันไฉนไม่รออยู่ที่นี้? ไฉนไม่ไปหาเอี๊ยบไค?

ปัญหาเหล่านี้ เอี๊ยบไคไม่ต้องการไปคิด

ตอนนี้ ที่คิดอยู่มีเพียงเรื่องเดียว... ต้องมิให้ฮั่นเจ็งตายเปล่าได้

ความสำนึกเสียใจและเคียดแค้นของเอี๊ยบไค กลับกลายเป็นความเดือดดาลอาฆาตแล้ว

“กระบี่เล่มนี้ ท่านยอมให้ข้าพเจ้านำไปหรือไม่?”

“ย่อมได้อยู่...”

เอี๊ยบไคบอกไปเป็นไป

เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบร้องขึ้น

“หรือตั้วเอี๊ยไม่เตรียมเก็บศพสหายท่านนี้?”

“ข้าพเจ้าต้องมาแน่ วันพรุ่งข้าพเจ้าต้องมาอีก”

เอี๊ยบไคมิใช่ไม่เข้าใจความหมายของเจ้าของโรงเตี๊ยม เพียงแต่ว่า ยามเมื่อในตัวคนไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว ก็จำต้องมารยาเป็นโง่เขลาแล้ว

------------------------------

อาทิตย์เจิดจ้าแจ่มใส ในสิบกว่าวันที่ผ่าน วันนี้นับเป็นครั้งแรก ที่ได้เห็นแสงอาทิตย์เจิดจ้าแจ่มใส

หิมะในถนนหนทางเริ่มละลาย กลายเป็นดินโคลนไปทั่ว

แต่ผู้คนบนถนนยังมากอย่างยิ่ง ทั้งปวงต่างคิดจะฉวยโอกาสที่ยากจะมี ออกมาเดินเล่นในเวลาดินฟ้าอากาศแจ่มใสสักครั้ง

ป้ายยี่ห้อตัวทองของโป้ยฮึงเปียเก๊ก (สำนักคุ้มกันสินค้าแปดทิศ) มองในแสงอาทิตย์ เป็นประกายภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

ชายชราสวนเสื้อนวมสีเขียวผู้หนึ่ง กำลังกวาดหิมะและโคลนที่หน้าประตู

เอี๊ยบไคก้าวอาดๆ เข้าไป

เอี๊ยบไคเพียงเดินเร็วสักเล็กน้อย บาดแผลที่ทรวงอกก็เจ็บปวดขึ้น แต่ยังคงเร่งฝีเท้าอย่างยิ่ง

ความเจ็บปวดของร่างกาย ไม่เป็นที่แยแสสนใจสักน้อยนิด

ตอนเอี๊ยบไคเดินเข้าไปในลานหน้าตึก พอดีมีสองคนเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่

ผู้หนึ่งเป็นชายกลางคนวัยสี่สิบเศษ สวมใส่อาภรณ์สวยงามสูงค่า เค้าโอ่อ่า ภาคภูมิอำนาจ มือยังบีบลูกเหล็กจนเสียงติงตัง ติงตัง

อีกผู้หนึ่งมีวัยเยาว์กว่า แต่ไว้หนวดสองแหยมเหนือริมฝีปาก ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา มือขาวสะอาดเรียบร้อย

เอี๊ยบไคดาหน้าเข้าหา

ตอนมีอารมณ์ดี ความจริงเป็นคนเปี่ยมมารยาท ให้ความน้อมยำเกรงใจต่อผู้อื่นเสมอมา แต่ตอนนี้อารมณ์ของเอี๊ยบไคหงุดหงิดเดือดดาลอย่างยิ่ง

กระทั่งประสานมือคารวะทักทายตามมารยาทก็ไม่มี พอเห็นหน้าก็ถาม

“จ้งเปียเท้า (หัวหน้าใหญ่) ของที่นี้เป็นผู้ใด?”

ชายกลางคนที่บีบลูกเหล็กเล่น กวาดมองเอี๊ยบไคขึ้นๆ ลงๆ สองครั้ง จึงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“จ้งเปียเท้าในที่นี้ก็คือเรา”

กับคนที่ไม่มีมารยาด มันย่อมไม่ใคร่เกรงใจเท่าใดนัก

ทิฉุ่ยติ้งโป้ยฮึง (ปากเหล็กสยบแปดทิศ) ไต้เกากัง มิใช่เป็นคนตอแยได้ง่ายดายนัก

“แล้วท่านเป็นผู้ใด? มาหาผู้ใด?”

ไต้เกากังถามต่อด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เอี๊ยบไคจึงตอบ

“ข้าพเจ้ามาเพื่อหาท่าน”

“มีเรื่องใด?”

“มีสองเรื่อง”

“ลองบอกเรื่องแรกมาฟังดู?”

“ข้าพเจ้ามาเพื่อขอยืมเงินท่านห้าร้อยตำลึง โดยใช้คืนท่านในสามวัน”

ไต้เกากังหัวร่อ แต่ดวงตาไม่มีประกายแย้มยิ้มสักน้อยนิด จับตาเย็นชา มองทรวงอกเอี๊ยบไคพลางถาม

“ท่านบาดเจ็บแล้ว?”

บาดแผลที่ทรวงอกเอี๊ยบไคปริออก โลหิตซึมถึงอกเสื้อจนเห็นชัด

ไต้เกากังแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

“หากท่านไม่คิดจะบาดเจ็บอีกครั้ง ควรรีบเร่งกลับไปในเส้นทางเดิมของท่านโดยด่วน”

เอี๊ยบไคเพ่งมองมันแน่วนิ่ง กล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้ารับฟังมานาน ทิฉุ่ยติ้งโป้ยฮึงเป็นคนป่าเถื่อนถืออำนาจ ดูท่าผู้อื่นมิได้กล่าวหาผิด”

ไต้เกากังหัวร่อแค่นๆ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้ามาขอยืมเงินท่านห้าร้อยตำลึง ท่านมีสิทธิ์มิให้ยืมได้ ไยต้องให้ข้าพเจ้าบาดเจ็บอีกครั้ง? ไยต้องให้ข้าพเจ้าไสหัวออกไป?”

“เพ้ย! เราต้องการให้ท่านไสหัว”

มันพลันลงมือ ตะปบใส่ปกเสื้อเอี๊ยบไคโดยมีความตั้งใจหิ้วเอี๊ยบไคขึ้นเหวี่ยงออกจากที่นั้น

มือของมันทั้งหยาดทั้งแข็ง เส้นเลือดสีเขียวขึ้นโปน แสดงว่าฝึกวิชาประเภทเอ็งเยี่ยวกง (พลังเล็บเหยี่ยว)

เอี๊ยบไคมิได้เคลื่อนไหว

แต่การตะปบของมัน มิได้คว้าปกเสื้อเอี๊ยบไคไว้ได้

ที่มันคว้าได้ เป็นมือของเอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคได้ยกมือขึ้นรับ พอนิ้วทั้งสิบของสองคนเกาะเกี่ยวกัน ไต้เกากังแค่นหัวร่อตวาด

“หัก”

มันทะนงตัวว่า พลังกรงเล็บเหยี่ยวของมันฝึกได้ถึงระดับแปดเก้าส่วนแล้ว ถึงกับคิดจะบิดนิ้วทั้งห้าของเอี๊ยบไคให้หักไป

นิ้วของเอี๊ยบไคย่อมมิได้หัก

ไต้เกากังพลันรู้สึก พลังในนิ้วของฝ่ายตรงข้ามถึงกับแข็งแกร่งกว่ามันเป็นสิบเท่า เพียงใช้กำลังเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของมันกลับจะต้องถูกหักออกไป !

มีดบินความจริงต้องใช้กำลังนิ้วซัดออก หากไม่มีกำลังนิ้วที่แข็งแกร่ง ไหนเลยสามารถซัดมีดสั้นที่ทำลวงของแข็งทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าได้

ใบหน้าไต้เกากังแปรเปลี่ยนไปทันที เหงื่อที่หน้าผากโซมออกมาเป็นเส้นสายดั่งฝนสาดซัด

แต่เอี๊ยบไคมิได้ใช้กำลัง เพียงจับตาเย็นชามองมันแล้วกล่าวช้าๆ

“ท่านเคยบิดนิ้วคนหักมามากน้อยเท่าใดแล้ว?”

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ครั้งหน้าเมื่อท่านจะหักนิ้วผู้อื่น ควรจะใช้สมองครุ่นคิดชั่ววูบจึงประเสริฐ”

กล่าวแล้วคลายมือ สะบัดหน้าเดินออกไปทันที

บุรุษหนุ่มที่ยืนมือไพล่หลัง จ้องมองอย่างเย็นชาอยู่ตลอดมา พลันส่งเสียงขึ้น

“โปรดหยุดก่อน”

เอี๊ยบไคหยุดเท้าหันหน้าถาม

“ท่านมีเงินห้าร้อยตำลึงยืมให้ข้าพเจ้า?”

บุรุษหนุ่มไว้หนวดเรียบร้อยแย้มยิ้ม พลางย้อนถาม

“สหายแซ่ไร?”

“เอี๊ยบ”

“เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ บุรุษหนุ่มจ้องมองแน่วนิ่ง พลางเน้นเสียง

“เอี๊ยบไค”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะอีกครั้ง

“ใช่ ไคที่แปลว่าเบิกบาน”

ไต้เกากังตระหนกจนใจสั่นสะท้านตาเหลือกค้าง ร้องโพล่งขึ้น

“ท่านที่นับถือก็คือเอี๊ยบไค?”

“ใช่”

ไต้เกากังระบายลมจากปากยาวๆ ฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านไฉนไม่บอกแต่แรก?”

เอี๊ยบไคส่งเสียงราบเรียบ

“ข้าพเจ้ามิใช่มาเพื่อรีดไถ เพียงแต่มาขอยืมเท่านั้น และยืมเพียงสามวัน”

ไต้เกากังลนลานถาม

“ห้าร้อยตำลึงพอหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าเพียงแต่คิด จะซื้อโลงสักสองโลงเท่านั้น”

ไต้เกากังมิกล้าถามอีก ตอนนั้นเสมียนที่มีไหวพริบตื่นตัวส่งตั๋วแลกเงินห้าร้อยตำลึงออกมาแล้ว

“โปรดรับไว้”

เอี๊ยบไคมิได้เกรงใจ ศพของฮั่นเจ็งต้องจัดการก็จริง ศพของอีแม้เข่าก็ต้องจัดการด้วย

เอี๊ยบไคมิใช่คนที่ฆ่าผู้อื่นแล้วทอดทิ้งมิแยแส จำต้องใช้เงินจำนวนนี้

ไต้เกากังที่ตอนแรกโอหัง ตอนหลังประจบสอพลอ น้อมกายถามอีกครั้ง

“ท่านที่นับถือเมื่อครู่ว่ามีสองเรื่อง?”

“ข้าพเจ้ายังต้องการสืบถามคนผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด?”

“ลู่เต๊ก แป๊ะอีเกี้ยมแขะ (มือกระบี่เนื้อขาว) ลู่เต๊ก !

ใบหน้าไต้เกากังพลันมีแววประหลาดจนบอกไม่ถูกทันที เอี๊ยบไคถามต่อ

“ฟังว่ามันมาเซี่ยงอันแล้ว ท่านทราบมันอยู่ที่ใดหรือไม่?”

“อยู่ที่นี้เอง”

“................”

----------------------------------

บุรุษหนุ่มผู้นี้ มีท่าทีเรียบร้อยนุ่มนวล บุคลิกสง่าหน้าตาหล่อเหลา สวมเสื้อยาวสีขาวอยู่จริงๆ ประกายตาของมัน มีแววกระด้างเย็นชา และทระนงโอหังจนบอกมิถูก

ในที่สุด เอี๊ยบไคเห็นมันถนัดชัดตาแล้ว

“ท่านหรือคือลู่เต๊ก?”

“ถูกแล้ว”

เอี๊ยบไคแก้ห่อผ้าเหลืองในมือซ้ายออก หยิบกระบี่เล่มนั้นยื่นทางด้านไปให้ มันพลางถาม

“ท่านจำกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่?”

ลู่เต๊กมิได้รับ เพียงเหลือบมองแวบเดียวก็ตอบ

“นี่เป็นกระบี่ลายสนของสำนักบู๊ตึง”

“ต้องเป็นศิษย์บู๊ตึง จึงสามารถใช้กระบี่เช่นนี้?”

“ถูกแล้ว”

“ท่านเป็นศิษย์สำนักบู๊ตึงหรือไม่?”

“ใช่แล้ว”

“นี่เป็นกระบี่ของท่านหรือไม่?”

“ไม่ใช่”

“กระบี่ท่านเล่า?”

ลู่เต๊กตอบอย่างโอหัง

“ข้าพเจ้ามิได้ใช้กระบี่มาหลายปีแล้ว”

“ใช้มือ?”

ลู่เต๊กยืนมือไพล่หลังอยู่ตลอดมา แค่นเสียงเย็นชา

“ถูกแล้ว มีมือของคนบางจำพวก ก็เป็นอาวุธร้ายได้เช่นกัน”

“แต่หากท่านคิดจะฆ่าคนจากนอกหน้าต่าง ยังคงต้องใช้กระบี่”

ลู่เต๊กขมวดคิ้ว คล้ายดั่งไม่เข้าใจวาจานี้ เอี๊ยบไคจึงกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะแขนของท่าน ยาวไม่เพียงพอ”

“นี่เป็นความหมายใดของท่าน?”

“ท่านสมควรเข้าใจความหมายข้าพเจ้า”

“ท่านหมายความ ข้าพเจ้าใช้กระบี่เล่มนี้ไปฆ่าคน?”

“ท่านไม่ยอมรับ?”

“ข้าพเจ้าฆ่าผู้ใด?”

“ท่านฆ่าคน มิเคยถามชื่อแซ่ฝ่ายตรงข้ามมาก่อนเลย?”

“ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังถาม”

“มันแซ่ฮั่น นามฮั่นเจ็ง”

“ฮั่นเจ็ง?”

ลู่เต๊กทวนคำแล้วหันไปถามไต้เกากัง

“ท่านรู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”

ไต้เกากังผงกศีรษะตอบ

“มันเป็นสมองของอุ้ยเทียนพ้ง ผู้อื่นต่างเรียกมันเป็นจุยจื้อ (เหล็กแหลม.... สว่าน)”

ดวงตาลูเต๊กเป็นประกายแจ่มใส หันไปถามเอี๊ยบไค

“จุยจื้อเป็นผู้ใดของท่าน?”

“เป็นสหายของข้าพเจ้า”

“ท่านต้องการล้างแค้นแทนมัน?”

“ถูกแล้ว”

“ท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้าฆ่ามัน?”

“ใช่หรือไม่?”

ลู่เต๊กตอบอย่างโอหัง

“แม้นับเป็นข้าพเจ้ามันก็จะเป็นไร? คนเช่นนี้ อย่าว่าแต่ฆ่าเพียงผู้เดียวเลย แม้ฆ่าเป็นสิบคนแปดคน สุมใส่บัญชีของข้าพเจ้าได้มิเป็นไร”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อสวนคำ

“ท่านเข้าใจท่านเป็นผู้ใด?”

“เป็นคนที่ไม่กลัวผู้อื่นมาก่อกวนรังควาน รอบาดแผลท่านทุเลา พร้อมที่จะมาล้างแค้นข้าพเจ้าได้ทุกเวลา”

“นั่นกลับไม่ต้อง”

“ไม่ต้อง?”

“ใช่ ไม่ต้องรอ”

“ท่านคิดจะลงมือตอนนี้?”

“วันนี้อากาศไม่เลว สถานที่นี้ก็ไม่เลว”

ลู่เต๊กจ้องมองแน่วนิ่ง พลันถามขึ้น

“ท่านเมื่อครู่ว่าต้องการซื้อโลงสองโลง โลงหนึ่งซื้อให้ฮั่นเจ็ง?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ ลู่เต๊กถามอีก

“โลงอีกโลงหนึ่งเล่า?”

“ให้อีแม้เข่า”

“เซียะม้อชิ้ว?”

“ถูกแล้ว”

“มันตายกับมือท่าน?”

“หลังจากข้าพเจ้าฆ่าคน ไม่ลืมเก็บศพให้มันเสมอมา”

“ประเสริฐมาก หากท่านตายไป โลงทั้งสองนั้นข้าพเจ้าซื้อแทนท่านเอง โลงของท่านข้าพเจ้าก็ซื้อให้ด้วย”

“ไม่ต้อง”

“ไม่ต้อง?”

“หากข้าพเจ้าตาย ท่านลากซากศพข้าพเจ้า ไปเป็นเหยื่อสุนัขก็ได้”

ลู่เต๊กพลันหัวร่อเสียงก้อง หัวร่อพลางกล่าว

“ประเสริฐ ประเสริฐที่สุด”

“หากท่านตาย?”

“หากข้าพเจ้าตาย ท่านก็ถลกหนังข้าพเจ้าออก ทิ้งศพไว้ที่หน้าโลงฮั่นเจ็ง เฉือนเนื้อกินชิ้นหนึ่ง กรอกสุราตามอึกหนึ่ง”

เอี๊ยบไคก็หัวร่อเสียงก้อง พลางกล่าว

“ประเสริฐ ประเสริฐที่สุด ชายชาตรีจะล้างแค้นแทนมิตรสหาย สมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ”

จบคำพลันหันกาย เนื่องเพราะปากแผลถูกหัวร่อจนปริออก โลหิตทะลักเปียกอกเสื้ออีกแล้ว

 

แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าแจ่มใส

มีคนมาหลายที่พอใจฆ่าคนในดินฟ้าอากาศเยี่ยงนี้ เนื่องเพราะโลหิตแห้งได้เร็ว

หากตัวเองถูกฆ่า โลหิตก็แห้งได้เร็วเช่นกัน

------------------------------ 

ลู่เต๊กยืนอยู่ในแสงอาทิตย์ ยังคงยกมือไพล่หลัง

มันรักถนอมมือทั้งสองของตัวเอง เฉกเช่นกับทาสเฝ้าสมบัติ ที่รักทรัพย์สินของตัวเอง กระทั่งดูก็ยังไม่ยินยอมถูกผู้อื่นเห็น

เอี๊ยบไคเดินช้าๆ ออกไป ยื่นกระบี่ให้มันเป็นคำรบสอง

“นี่เป็นกระบี่ของท่าน”

ลู่เต๊กแค่นหัวร่อรับมา พลันสะบัดมือ กระบี่ยาวพุ่งวาบออกไป ปักฉึกอยู่บนต้นไม้ที่ไกลกว่าสิบวา

คมกระบี่จมเข้าไปในลำต้นหมดสิ้น เหลือเพียงด้ามโผล่อยู่เท่านั้น

พลังซัดครานี้ เพียงพอจะทะลวงร่างทุกผู้คนปักตรึงติดกับพื้นเตียงได้อย่างง่ายดาย

แก้วตาเอี๊ยบไคหดเล็กลง แค่นหัวร่อกล่าว

“ประเสริฐ เป็นกระบี่ที่ฆ่าคนจริงๆ”

ลู่เต๊กยังคงยกมือไพล่หลัง กล่าวอย่างโอหัง

“ข้าพเจ้าบอกแล้ว ข้าพเจ้าไม่ต้องใช้กระบี่”

“ข้าพเจ้าได้ยิน”

“ตอนท่านฆ่าคน ก็ย่อมไม่ใช้กระบี่”

“ข้าพเจ้ามิเคยใช้มาก่อนเลย”

ลู่เต๊กจ้องมองมือเอี๊ยบไคพลางถาม

“มีดของท่านเล่า?”

มันย่อมรู้จักมีดของเอี๊ยบไค

ในวงพวกนักเลงยุคนี้ แทบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักมีดสั้นของเอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคจ้องมองมันแน่วนิ่ง อีกเนิ่นนาน จึงได้ตอบเสียงเย็นชา

“มีดอยู่”

มือพอพลิก มีดอยู่ในมือจริงๆ

มีดที่เป็นประกายแวววาวราวน้ำค้าง

ตัวมีดทั้งบางทั้งคม เป็นประกายแวววาวอยู่ในแสงอาทิตย์เจิดจ้า พอจะคร่าวิญญาณทุกผู้คนได้

หากอยู่ในมือผู้อื่น มีดสั้นเล่มนี้ไม่อาจนับเป็นอาวุธร้ายได้

แต่ตอนนี้อยู่ในมือเอี๊ยบไค

แก้วตาลู่เต๊กพลันหดลงเช่นกัน กระทั่งไต้เกากังที่ยืนห่างถึงสิบวา ลมหายใจยังขาดห้วงไป

มันพลันรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่ไม่เคยพบพานมาก่อนเลย

ลู่เต๊กร้องโพล่งขึ้น

“ประเสริฐ เป็นมีดที่ฆ่าคนจริงๆ”

เอี๊ยบไคหัวร่อเบาๆ พลันสะบัดมีด

ประกายมีดพอวูบ หายวับไป

มีดนั้นเล่มนี้คล้ายดั่งพลันสาบสูญไปในสายลม โดยไม่มีร่องรอยหลงเหลือ

แม้นับว่าผู้มีสายตาคมกล้าที่สุด จะเพียงเห็นประกายมีดวูบขึ้นในสุดแสนไกลเพียงแวบเดียวก็หายลับ

พลังและความเร็วของมีดนี้ ไม่มีผู้ใดใต้หล้าจะเปรียบเทียบบรรยายได้เด็ดขาด

ลู่เต๊กต้องมีสีหน้าตื่นเต้นโดยไม่อาจข่มกลั้น โพล่งถามไป

“เป็นความหมายใดของท่าน?”

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

“ในเมื่อท่านไม่ใช้กระบี่ ข้าพเจ้าไยต้องใช้มีดสั้น?”

ลู่เต๊กเพ่งมองอยู่เนิ่นนาน ในดวงตามีประกายพิสดารจนบอกมิถูก แล้วพลันยื่นมือ

“ท่านดูมือข้าพเจ้า”

 

ในสายตาของผู้อื่น นี่ไม่อาจนับเป็นมือพิเศษพิสดารอย่างไร

นิ้วเรียวยาว เล็บถูกตัดไว้นั้นอย่างยิ่ง รักษาไว้สะอาดหมดจดตลอดกาล เหมาะสมเป็นมือของบุรุษหนุ่มที่มีความเป็นอยู่ดี

แต่ทว่า เอี๊ยบไคกลับดูความพิเศษพิสดารของมือทั้งสองข้างนั้นออก

มือคู่นี้ ดูไปถึงคล้ายไม่มีเส้นเลือด กล้ามเนื้อผิวนุ่มละเอียดมีประกายคล้ายโลหะ

มือคู่นี้ ถึงกับมิใช่เป็นมือที่มีกระดูกเลือดเนื้อ ดูไปคล้ายเป็นโลหะพิสดาร มิใช่ทองคำ แต่ยังสูงกว่าทองคำ มิใช่เหล็กกล้า แต่ยังแข็งแรงยิ่งกว่าเหล็กกล้า

ลู่เต๊กเพ่งมองมือของมันพลางกล่าวช้าๆ

“ท่านเห็นชัดแล้ว นี่มิใช่มือ นี่คืออาวุธที่ฆ่าคน”

เอี๊ยบไคมิอาจไม่ยอมรับ ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“ท่านรู้จักเจ๊กเจ่กข้าพเจ้าหรือไม่?”

ที่มันกล่าวถึงคืออุนโฮ้วยงึ่นเก็กลู่ฮ่งเซย

เอี๊ยบไคย่อมรู้จัก ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“นี่ก็คือวิชาที่ท่านฝึกเมื่อครั้งกระโน้น โชควาสนาของข้าพเจ้าดีกว่าท่าน เนื่องเพราะข้าพเจ้าเริ่มฝึกวิชานี้ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ”

ลู่ฮ่งเซยมีชื่อเกรียงไกรแล้วจึงเริ่มฝึก และฝึกสำเร็จเพียงสามนิ้วเท่านั้น แต่ลู่เต๊กฝึกสำเร็จสิบนิ้ว กระทั่งสองฝ่ามืออีกด้วย

ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“เท่าที่เจ๊กเจ่กฝึกวิชานี้ เนื่องเพราะท่านไม่ยินยอมตกอยู่เบื้องล่างของผู้อื่น”

อันดับภายในตำราอาวุธ เจ้าทวนเงิน (อุนโฮ้วงึ่นเก็ก) อยู่รองจากเทียนกีซิ่งฮ่ง (กระบองเทพนิมิต) เล่งหงส์ซังฮ้วง (สองห่วงหงส์มังกร) เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินลี้น้อย) และซงเอี๊ยงทิเกี่ยม (กระบี่เหล็กซงเอี๊ยง)

ลู่เต๊กกล่าวต่อ

“หลังจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งเรียบเรียงตำราอาวุธออกมาแล้ว เจ๊กเจ่กคร่ำเคร่งฝึกปรือถึงสิบปี จึงออกสู่วงพวกนักเลงอีกครั้ง ต้องการใช้มือข้างนั้นของท่านช่วงชิงเกียรติภูมิกับบรรดาผู้มีนามเหนือนาน ให้รู้ความสูงต่ำกันโดยกระจ่าง”

มันมิได้กล่าวสืบต่อไป

เนื่องเพราะลู่ฮ่งเซยแพ้แล้ว แพ้กับมือสตรีนางหนึ่ง

สวยสะคราญปานเทพธิดาจำแลง แต่จงใจล่อบุรุษอเวจีโดยเฉพาะ...ลิ่มเซียนยี้ !

(เรื่องตำราอาวุธและยอดฝีมืออันดับสูงในตำรา มีอยู่ในเรื่อง “ฤทธิ์มีดสั้น”)

ลู่เต๊กกล่าวต่อไป

“เจ๊กเจ่กก็เคยบอก นี่มิใช่เป็นมือ แต่เป็นอาวุธคมกริบที่สังหารผู้คน พอจะบันทึกในตำราอาวุธได้”

เอี๊ยบไคสงบฟังอยู่ตลอดมา ทราบว่าที่ลู่เต๊กกล่าวเป็นความสัตย์จริงทุกถ้อยคำ

เอี๊ยบไคมิเคยสอดแทรกวาจาสัตย์จริงของผู้คนเสมอมา

ลู่เต๊กเงยหน้าเพ่งมอง พลางกล่าวต่อ

“ท่านไฉนสามารถใช้มือเปล่า ต่อต้านกับอาวุธคมกริบเยี่ยงนี้ได้?”

“ข้าพเจ้าทดลองดู”

ลู่เต๊กมิถามอีก เอี๊ยบไคก็ไม่กล่าวอีก

ตอนนี้ มิว่ากล่าวกระไรอีก ต่างมากเกินความจำเป็นแล้ว

-------------------------------

แสงอาทิตย์เจิดจ้าแจ่มใส

แต่ลานตึกที่มีแสงอาทิตย์แจ่มใส ตอนนี้กลับพลันเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศเหี้ยมอำมหิตจนบอกมิถูก

ไต้เกากังถึงกับรู้สึกหนาวอย่างยิ่ง

เสื้อผ้าที่มันสวมอบอุ่นยิ่ง แสงอาทิตย์ก็อบอุ่นยิ่ง แต่ทว่ามันพลันรู้สึก มีความหนาวเหน็บที่มิทราบแผ่ซ่านมาจากแห่งหนใด ชำแรกเข้าไปในคอเสื้อของมัน ชำแรกเข้าไปเกาะกุมหัวใจมัน

มีดสั้นโบยบินเข้าไปในม่านเมฆที่สุดแสนไกล?กระบี่จมลึกอยู่ในลำต้นไม้แล้ว?

นี่ทั้งมิใช่ความหนาวเหน็บของประกายมีด และมิใช่รังสีกระบี่ แต่กลับยิ่งเหน็บหนาว ยิ่งคุกคามผู้คนยิ่งกว่าคมดาบกระบี่เสียอีก

ไต้เกากังแทบไม่ยินยอมอยู่ที่ลานตึกต่อไป แต่ทว่ามันย่อมไม่อาจตัดใจปลีกตัวไป

มิว่าผู้ใดต่างพอคาดคิดได้ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องเป็นการต่อสู้สั่นขวัญสะท้านวิญญาณที่สุดในยุคนี้ จะต้องถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์บู๊ลิ้มไปชั่วกาลนาน

มีโอกาสได้ยืนดูการต่อสู้ทางด้านข้าง นับเป็นประสบการณ์ที่ยากจะแสวงหาในชั่วชีวิตหนึ่งของชนชาวบู๊ลิ้ม

มิว่าผู้ใด ต่างไม่ยินยอมคลาดโอกาสนี้เด็ดขาด

ไต้เกากังเพียงหวัง ให้ทั้งสองรีบลงมือเร็วกว่าเดิม ยุติเรื่องราวนี้เร็วยิ่งขึ้น

แต่เอี๊ยบไคมิได้ลงมือ

ลู่เต๊กก็มิได้

กระทั่งไต้เกากังที่เป็นผู้ชม ยังทนทานพลังกดดันไร้สภาพที่น่าสะพรึงกลัวนี้มิได้ แต่คู่ต่อสู้ทั้งสอง กลับคล้ายไม่มีความหวันไหวสักน้อยนิด

ใช่หรือไม่ว่า เนื่องเพราะพลังกดดันนี้ ความจริงเป็นทั้งสองปล่อยออกมา ดังนั้นทั้งสองจึงไม่รู้สึก?

หรือเนื่องเพราะว่า ทั้งสองความจริงได้ฝึกร่างจนกลายเป็นเหล็กกล้าแท่งหนึ่ง ศิลาแลงก้อนหนึ่ง ในโลกไม่มีพลังกดดันใดๆ สามารถคุกคามให้มันสองหวั่นไหว?

ไต้เกากังดูไม่ออก

ที่มันสามารถดูออก เป็นเพียงสีหน้าท่าทีของเอี๊ยบไค ยังคงเยือกเย็นอย่างยิ่ง หนักแน่นอย่างยิ่ง เพลิงโทสะที่เกิดขึ้นเพราะความเคียดแค้นของเมื่อครู่ ตอนนี้สงบไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

มันย่อมทราบ ในเวลาเยี่ยงนี้ เดือดดาลกับพลุ่งพล่าน ไม่สามารถพิชิตศัตรู แต่อาจเป็นชนวนปลิดชีวิตตัวเอง

สีหน้าทระนงของลู่เต๊ก ปลาสนาการหมดสิ้นแล้ว

ในการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่อาจชะล่าเลินเล่อเด็ดขาดนี้ ทระนงโอหังก็เป็นความผิดพลาดที่สามารถปลิดชีวิตได้เช่นกัน

โอหัง เดือดดาล ท้อแท้ เสียใจ ขวัญฝ่อ... ล้วนแล้วเป็นชนวน บันดาลให้การตัดสินใจของผู้คนผิดพลาดได้

ไต้เกากังเคยเห็นยอดฝีมือต่อสู้กันมาไม่น้อย ความผิดพลาดเหล่านั้น มิว่าผู้ใดต่างไม่มีปัญญาหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง

แต่บัดนี้มันพลันพบเห็น บุรุษหนุ่มทั้งสอง ถึงกับไม่มีความผิดพลาดแม้สักน้อยนิด !

จิตใจของมันทั้งสอง ท่าทีของมันทั้งสอง บุคลิกภาพของมันสอง ถึงกับงามพร้อมสมบูรณ์ ไม่อาจหาจุดบกพร่องตำหนิได้เด็ดขาด

การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นผู้ใดมีชัยกันแน่?

ไต้เกากังยิ่งสังเกตไม่ออก

มันเพียงทราบ มีคนมากหลายต่างยอมรับ เอี๊ยบไคเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในบู๊ลิ้มยุคนี้

และมันก็ทราบ มีคนเคยว่า หากเรียบเรียงตำราอาวุธขึ้นใหม่ มีดสั้นของเอี๊ยบไค พอจะถูกยกอยู่ในอันดับหนึ่งได้เต็มภาคภูมิ

แต่ทว่า เอี๊ยบไคตอนนี้ไม่มีมีด !

มาตรว่าไม่มีมีด แต่มีรังสีอำมหิตที่กราดเกรี้ยวดุดันจนคมกริบ ครอบคลุมอยู่รอบร่าง

เอี๊ยบไคสามารถมีชัย?

ไต้เกากังไม่อาจระบุแน่

และมันก็ทราบ มือของลู่เต๊ก นับเป็นมือคู่ที่น่ากลัวที่สุดในบู๊ลิ้มทั้งแผ่นดิน

มือคู่นี้ แทบจะอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายมือคู่นี้ไปได้

ลู่เต๊กสามารถมีชัย?

ไต้เกากังไม่อาจระบุแน่

ดูเอี๊ยบไค รู้สึกหนักแน่นอย่างยิ่ง มีความมั่นใจอย่างยิ่ง นอกจากมีดสั้นแล้ว เอี๊ยบไคจะต้องฝึกได้วิชาน่าสะพรึงกลัวใดอีก... วิชาบู๊ที่ผู้ใดต่างไม่มีปัญญาหยั่งคำนวณ ต่างไม่มีปัญญาคาดคิดถึง ? !

ตอนนี้หากมีคนพนันกับไต้เกากัง มันอาจจะพนันว่าเอี๊ยบไคเป็นฝ่ายมีชัยอย่างยิ่ง

มันมีความเห็น โอกาสมีชัยของเอี๊ยบไค อย่างน้อยต้องมากกว่าลู่เต๊กอีกสองส่วน

แต่มันผิดแล้ว

เนื่องเพราะมันมองไม่ทะลุถึงหัวใจของเอี๊ยบไค และมองไม่เห็นเรื่องบางประการที่เอี๊ยบไคมองเห็น

เรื่องบางประการ ที่เพียงพอบันดาลให้หัวใจเอี๊ยบไคปวดแปลบจนแทบมีน้ำขมหลั่งไหล!

 

หลังจากลู่เต๊กซัดกระบี่ไปแล้ว เอี๊ยบไคก็เริ่มมีความรักพอใจในบุรุษหนุ่มที่เย่อหยิ่งโอหังผู้นี้

แต่เอี๊ยบไคก็เคยได้ยินคำสอน

ความผิดแปลกระหว่างศัตรูกับสหาย เฉกเช่นกับความผิดแปลกของเป็นและตาย

หากมีคนคิดจะให้ท่านตาย ท่านก็ต้องให้มันตาย ครามนี้ไม่มีที่เลือกเฟ้นเด็ดขาด

นั่นเป็นวาจาที่อาฮุยบอกกับเอี๊ยบไค

อาฮุยเติบใหญ่ในทุ่งโล่งดงทึบ ที่สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก ซึ่งนั่นเป็นหลักการของชีวิตในป่าเขา และก็เป็นหลักการของความเป็นความตาย

ในการต่อสู้ที่ความเป็นความตายจะเกิดขึ้นทุกพริบตา ต้องไม่อาจมีไมตรีต่อศัตรู ยิ่งไม่อาจมีความรักปรานีเกิดขึ้นเป็นอันขาด!

เอี๊ยบไคเข้าใจเหตุผลนี้

และเอี๊ยบไคก็ทราบ ชนวนที่จะบันดาลให้มีชัยมิใช่อยู่ที่รวดเร็วและดุร้าย แต่อยู่ที่ “มั่นคง” และ “แม่นยำ”

เนื่องเพราะลู่เต๊กอาจจะยิ่ง “รวดเร็ว” กว่า ยิ่ง “ดุร้าย” กว่าตนก็เป็นได้

เนื่องเพราะทรวงอกของตนในตอนนี้ มีความปวดแปลบดั่งถูกเหล็กเผาไฟนาบอยู่ ปากแผลมิเพียงปริเท่านั้น ถึงกับเริ่มเน่ากลัดหนอง!

ยาที่เมี่ยวชิ้วนึ้งตงให้ อย่างไรก็มิใช่โอสถทิพย์ ไม่อาจสร้างปรากฏการณ์พิสดารมาได้

เจ็บปวด บางครั้งแม้สามารถกระตุ้นผู้คนให้แจ่มใสคึกคัก แต่เสียดาย พละกำลังของเอี๊ยบไค ไม่มีปัญญาผสานกับประสาทความรู้สึกได้

ดังนั้น เอี๊ยบไคพอลงมือ ก็ต้องพิชิตฝ่ายตรงข้ามให้ตาย อย่างน้อยตอนมีความมั่นใจถึงเจ็ดส่วน จึงสามารถลงมือได้

ดังนั้น เอี๊ยบไคจำเป็นต้องรอ

รอจนฝ่ายตรงข้ามมีจุดอ่อนช่องว่าง รอจนฝ่ายตรงข้ามอ่อนล้าระโหย ท้อแท้ พังทลาย รอให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดโอกาสแก่ตน

แต่เอี๊ยบไคผิดหวังแล้ว!

จวบจนบัดนี้ เอี๊ยบไคยังไม่มีปัญญาหาจุดอ่อนช่องว่างได้จากตัวลู่เต๊กแม้สักน้อยนิด!

ลู่เต๊กดูไป ยืนปล่อยตัวตามสบายในที่นั้น ตลอดร่างแต่สูงจนต่ำทุกส่วนสัดคล้ายดั่งล้วนเป็นจุดอ่อนช่องว่าง!

มิว่าเอี๊ยบไคพลันนึกถึงวาจาที่เซี่ยวลี้ถ้ำฮวยเคยบอกมา

กาลก่อนที่อาฮุยต่อสู้กับลู่ฮ่งเซย มีแต่ลี้คิมฮวงเป็นผู้ดูอยู่ทางด้านข้างเพียงคนเดียว

ลู่ฮ่งเซยในตอนนั้น เฉกเช่นลู่เต๊กในตอนนี้

ตอนนั้น กระบี่ของอาฮุยคล้ายดั่ง พอจะแทงเข้าใส่ทุกส่วนสัดในร่างมันได้ทุกเวลา

แต่ทว่า จุดอ่อนช่องว่างมากเกินไป กลับกลายเป็นไม่มีจุดอ่อนช่องว่าง

ตลอดร่างของมัน คล้ายดั่งกลายเป็นโครงที่เวิ้งว้าง

โครงที่เวิ้งว้าง ก็คือสุดยอดของความเลอเลิศในหลักวิชาบู๊

มีดสั้นของเรา อย่างน้อยมีความมั่นใจเก้าส่วน

แต่หากเราเป็นอาฮุยในตอนนั้น มีดสั้นของเรามิแน่จะกล้าซัดใส่ลู่ฮงเซยก่อน

ขอเพียงเป็นวาจาที่ลี้คิมฮวงเคยกล่าว เอี๊ยบไคต้องไม่ลืมเลือนตลอดกาลนาน

บัดนี้ ร่างของลู่เต๊ก ไยมิกลายเป็นโครงว่างเปล่า!

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก ตนประเมินบุรุษผู้นี้ต่ำไป คนผู้นี้จึงเป็นสุดยอดฝีมือ ที่ไม่เคยพบพานมาในชั่วชีวิตโดยแท้จริง

เอี๊ยบไคแม้มิได้กระทำความผิดที่อาจเป็นชนวนปลิดชีวิตใดๆ แต่ทว่าเอี๊ยบไคกลับสูญเสียชนวนสำคัญที่พอจะพิชิตเอาชัย

เอี๊ยบไคสูญเสียความ “มั่นใจ” ในการพิชิตเอาชัยไปแล้ว

ลู่เต๊กจับตาเย็นชาจ้องมอง ดวงตายิ่งนานยิ่งสุกใส ยิ่งนานยิ่งกราดเกรี้ยวดุร้าย พลันส่งเสียงขึ้นสามคำ

“ท่านแพ้แล้ว?”

เอี๊ยบไคยังมิได้ลงมือ ลู่เต๊กก็บอกเอี๊ยบไคแพ้แล้ว?

สามคำนี้มิใช่มากเกินจำเป็น แต่กลับคล้ายเป็นกระบี่ แทงเข้าใส่ความมั่นใจของเอี๊ยบไคจนบอบช้ำไป

เอี๊ยบไคถึงกับมิได้คัดค้าน!

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคพลันรู้สึก อย่างไรลู่เต๊กก็ให้โอกาสแก่ตนครั้งหนึ่ง... ยามเมื่อคนเราเอ่ยปาก ประสาทและกล้ามเนื้อจะต้องผ่อนคลายลงไป

---------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น