วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า วิกาลไร้เมฆไร้จันทร์

 

วิกาลไร้เมฆไร้จันทร์

รถม้าหยุดที่กระท่อมทางด้านหลังอุทยานแนเฮียงฮึ้ง กระท่อมนี้คล้ายดั่งเตรียมไว้ให้พวกมันพักผ่อนก็ปาน

          เจ๊ม่วยฝาแฝดน่ารักสองนางนั้น พากันนอนขดอยู่ที่มุมรถ หลับใหลไปแล้ว

          ไซมึ้งจับซามองดูร่างที่เติบใหญ่เต็มสาวของสองนาง อดมิได้ต้องถอนใจถาม

          “หรือค่ำคืนนี้ พวกเราจะพักแรมกันที่นี่จริงๆ”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะตอบ

          “หากท่านอดกลั้นไม่ได้ ถือข้าพเจ้าเป็นคนตาบอดไปก็แล้วกัน”

          ไซมึ้งจับซาแย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้ากลับมิได้กระวนกระวายถึงปานนั้น เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ ท่านวันนี้ไฉนกลับกลายเป็นสำรวมปานนี้ได้”

          “ค่ำนี้ข้าพเจ้ามีกำหนดนัด”

          “มีกำหนดนัด? นัดกับผู้ใด?”

          “ย่อมเป็นสตรีนางหนึ่ง”

          ไซมึ้งจับซาถามทันที

          “นางมีรูปโฉมโนมพรรณเยี่ยงไร?”

          เต็งลิ้งแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยลึกลับพลางตอบ

          “งามอย่างยิ่ง”

          ไซมึ้งจับซายิ่งกระวนกระวายจนโพล่งขึ้น

          “หรือท่านคิดจะลอบหนีไปเพียงลำพัง? ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่ในกระท่อมนี้?”

          “ท่านจะไปด้วยก็ได้”

          “ข้าพเจ้าทราบแต่แรกแล้วว่า ท่านมิใช่เป็นคนเห็นสตรีมีคุณค่ากว่ามิตรสหาย”

          เต็งลิ้งพลันกล่าววาจาที่น่าตระหนก

          “แต่ทว่า การไปของพวกเราคราวนี้ ไม่แน่จะสามารถรอดกลับมา!

          “ไฮ้ ท่านนัดผู้ใด?”

          “เชยมิ่นกวนอิม... น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ!

          ไซมึ้งจับซาตะลึงลานไปแล้ว

          เต็งลิ้งชายตามองพลางกล่าวต่อ

          “ท่านยังคิดจะไปด้วยหรือไม่?”

          ไซมึ้งจับซากลับตอบอย่างรวบรัดชัดเจน

          “ไม่คิด”

          แต่มันอดมิได้ต้องถามอีก

          “ท่านตั้งใจจะไปในค่ำคืนนี้จริงๆ?”

          “ข้าพเจ้าก็มีความรุ่มร้อน ใครได้เห็นน่ำไฮ้เนี่ยจื้อที่ทรงเสน่ห์จนผู้คนลุ่มหลงทั้งแดนดิน เป็นโฉมสะคราญที่งามถึงระดับใดกันแน่?”

          “อย่างนั้น ท่านตอนนี้ยังรอกระไร?”

          “รอคนผู้หนึ่ง”

          “รอผู้ใด?”

          ไซมึ้งจับซาเพิ่งถามไป ก็ได้ยินสารถีที่อยู่ภายนอกดีดนิ้วเป็นรหัส

          เต็งลิ้งตาลุกวาว ร้องเบาๆ

          “มาแล้ว!

          ไซมึ้งจับซาพอผลักหน้าต่างรถ เห็นในความมืดมีคนผู้หนึ่งสวมเสื้อฟาง หมวกกุ้ยเล้ย มือถือไม้ไผ่ยาวหกวา สะกิดไม้ไผ่อยู่กับพื้นเบาๆ ร่างก็พุ่งไกลมาร่วมสิบวาละลิ่วลงท่หน้ากระท่อมดั่งไร้น้ำหนัก

          เต็งลิ้งถามขึ้น

          “ท่านดูวิชาตัวเบาของมันเป็นอย่างไร?”

          ไซมึ้งจับซาฝืนยิ้มตอบ

          “คนในที่นี้ ดูท่าพอมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ”

          ตอนนั้น ผู้มาได้เปลื้องเสื้อฟางออกแขวนบนเสา แย้มยิ้มกล่าว

          “ข้าพเจ้ากลับมิใช่เพราะต้องการอวดโอ่วิชาตัวเบา เพียงแต่กลัวจะทิ้งรอยเท้าอยู่บนพื้นหิมะเท่านั้น”

          เต็งลิ้งกล่าวบ้าง

          “นึกมิถึง ท่านมีความสุขุมรอบคอบปานนี้”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้ายังคิดจะมีชีวิตอีกสองสามปี”

          มันเดินช้าๆ เข้าไป ถอดกุยเล้ยบนศีรษะออก ไซมึ้งจับซาจึงเห็น มันเป็นชายกลางคนวัยสามสิบเศษ ชั้นนอกเสื้อขนสัตว์ยังสวมเสื้อยาวผ้าฝ้ายสีครามอยู่อีกตัวหนึ่ง ดูไปคล้ายเป็นนายวาณิชที่สัตย์ซื่อเรียบร้อย เพียงแต่ว่า ในดวงตาที่มีประกายคมวาว มักจะมีรอยยิ้มที่กลอกกลิ้งอยู่เสมอ

          เต็งลิ้งแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่านผู้นี้ก็คือจ้งก้วงใหญ่ของแนเฮียงฮึ้ง นามเอี้ยฮึง”

          เอี้ยฮึงเหลือบมองไซมึ้งจับซาแล้วถาม

          “คิดว่าท่านผู้นี้คงเป็นจับซากงจื้อ ศิษย์รักของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย? ยินดีที่ได้พบ”

          ไซมึ้งจับซามองมันด้วยความตระหนก อดมิได้ต้องถาม

          “ท่านก็คือเอี้ยฮึ้ง ที่ลักกอ (พี่ที่หก) ของข้าพเจ้าพบเมื่อคราวก่อน?”

          “ถูกแล้ว”

          ไซมึ้งจับซาฝืนยิ้มกล่าว

          “มันถึงกับบอก ท่านเป็นเพียงคนค้าขายที่ขวัญฝ่อ ดูท่ามันอิ่มหนำสำราญเกินไปจริงๆ แล้ว”

          เอี้ยฮึ้งกล่าวเสียงเรียบ

          “ข้าพเจ้าความจริงเป็นคนค้าขายที่มีขวัญฝ่ออยู่แล้ว มันมิได้ดูผิด”

          เต็งลิ้งกล่าว

          “แต่ข้าพเจ้ากลับดูผิด”

          “อ้อ?”

          “ข้าพเจ้ายังเข้าใจว่า ท่านคือปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน) เอี้ยเทียนเสียอีก”

          เอี้ยฮึ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไซมึ้งจับซาตื่นเต้นจนหน้าแปรเปลี่ยน

          นามปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน) เอี้ยเทียนนี้ มันเคยได้ยินมา

          ความจริงแล้ว ชนชาวนักเลงที่มิเคยได้ยินนามนี้มีน้อยยิ่งนัก มันมิเพียงเป็นโจรโดดเดี่ยว ที่มีชื่อที่สุดในระยะสิบปีนี้เท่านั้น ยังเป็นคนหนึ่งที่ฝึกวิชาตัวอ่อนได้เยี่ยมยอดที่สุดในสิบปีนี้ ฟังว่าแม้จะใช้กุญแจมือเหล็กสวมใส่มือเท้ามัน พันธนาการซ้ำด้วยเชือกเอ็นวัวให้แนบแน่น ขังอยู่ในคุกที่มีช่องระบายอากาศเล็กๆ มันยังคงสามารถหนีรอดออกมาได้!

          ยอดฝีมือระดับนี้ ถึงกับยอมมาเป็นคนดูแลอุทยานแนเฮียงฮึ้ง ย่อมต้องมิใช่ไม่มีจุดหมายอื่นแอบแฝงเด็ดขาด

          จุดมุ่งหมายที่มันต้องการ ย่อมมิใช่เป็นเรื่องของธรรมดาเด็ดขาด

          ไซมึ้งจับซาเริ่มรู้สึก เรื่องนี้ยิ่งนานยิ่งน่าสนใจ โดยนัยเดียวกัน ยิ่งนานยิ่งกลับกลายเป็นน่าสะพรึงกลัว

          เต็งลิ้งคล้ายดั่งรู้ตัวว่าปากมากเกินไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

          “น่ำไฮ้เนี่ยจื้อผู้นั้นมาแล้ว?”

          เอี้ยฮึงผงกศีรษะตอบ

          “เพิ่งมา”

          “ท่านเห็นนาง”

          “มิได้ ข้าพเจ้าเพียงเห็นพวกศิษย์ พวกคนรับใช้ทั้งหญิงชายของนางเท่านั้น”

          “พวกนางมาด้วยจำนวนเท่าใด?”

          “สามสิบเจ็ดคน”

          “สตรีที่กินดาบนางนั้นอยู่ด้วยหรือไม่?”

          “อยู่ นางมีนามทิโกว (นางเหล็ก) ในหมู่คนพวกนั้นนางคล้ายมีตำแหน่งเป็นก้วงสื่อ (หัวหน้าดูแล)”

          เต้งลิ้งแย้มยิ้มกล่าว

          “อย่าลืมว่าท่านก็มีตำแหน่งก้วงสื่อ พวกท่านทั้งสองไยมิใช่เป็นคู่ที่ฟ้าสร้างสรรค์?”

          เอี้ยฮึงปั้นหน้าเคร่งเครียด ไม่เอ่ยปากแล้ว

          ดูท่ามันมิใช่เป็นคนพอใจการหยอกล้อเท่าใด

          เต็งลิ้งกระแอมเบาๆ จำเป็นต้องการเปลี่ยนเรื่องถาม

          “พวกนางอยู่ในตึกหลังใด?”

          “เทียทิ้วเล้า (หอฟังคลื่น)”

          “ตอนนี้ห่างจากเที่ยงคืนอีกนานเท่าใด?”

          “ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ในอุทยานมียามตีเกราะบอกเวลาอยู่ ท่านพอเข้าไปก็ได้ยิน”

          ดวงตาเต็งลิ้งเป็นประกายวาว กล่าวว่า

          “ดูท่าข้าพเจ้าดื่มอีกจอกหนึ่ง ก็เดินทางได้แล้ว”

          เอี้ยฮึงจับตามองเนิ่นนานอย่างยิ่ง จึงกล่าว

          “ที่พวกเราร่วมมือกันในครั้งนี้ เนื่องเพราะข้าพเจ้าจำเป็นต้องพึ่งท่าน ท่านก็จำเป็นต้องพึ่งข้าพเจ้า”

          เต็งลิ้งแย้มยิ้มกล่าว

          “พวกเราความจริงเป็นหุ้นส่วนที่ดียิ่ง”

          เอี้ยฮึงส่งเสียงราบเรียบ

          “แต่พวกเรากลับมิใช่เป็นมิตรสหาย ประการนี้ท่านควรจำไว้จะประเสริฐสุด”

          มันไม่เปิดโอกาสให้เต็งลิ้งกล่าวกระไรอีก หันกายช้าๆ ไปคว้ากุยเล้ยขึ้นสวมคลุมเสื้อฟางลงแล้ว หยิบไม้ไผ่สะกิดพื้นเบาๆ ร่างละลิ่วออกไปไกลกว่าสิบวา จากนั้นลับหายไปในความมืด

          เต็งลิ้งจับตามองจนเงาร่างมันลับหาย จึงแย้มยิ้มกล่าว

          “ท่าร่างที่เยี่ยมยิ่ง ไม่เสียทีที่มีฉายาปวยฮู้ (จิ้งจอกบิน)”

          ไซมึ้งจับซาอดมิได้ต้องถาม

          “มันคือตัวปวยฮู้เทียนจริงๆ?”

          “ปวยฮู้เทียนมีมันคนเดียวเท่านั้น”

          หยุดถอนหายใจยาว ฝืนยิ้มกล่าวต่อ

          “และก็ดีที่มีเยี่ยงมันเพียงคนเดียวเท่านั้น”

-------------------------------

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น