วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) จิตใจเริ่มหวั่นไหว

 

จิตใจเริ่มหวั่นไหว

เอี๊ยบไคกำลังรับทานอาหาร

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก ตนพอมาที่เบื้องหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน ก็คล้ายดั่งกลายเป็นโง่เขลาไปจริงๆ

แต่ท้องของเอี๊ยบไคก็ว่างเปล่าจริงๆ เดินทางมาครึ่งวัน กระเพาะย่อมว่างเปล่าแล้ว ไม่นั่งลงรับทานยังพอทำเนา เมื่อนั่งลงคว้าตะเกียบขึ้น ก็ยากที่จะวางลงได้อีก

อย่าว่าแต่อาหารหลายจานนั้นถูกปากเอี๊ยบไคอย่างยิ่ง โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดชามนี้ มิเพียงถูกปากคล่องคอเท่านั้น ยังขจัดฤทธิ์สุราอีกด้วย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ข้าพเจ้ามิได้เตรียมสุราให้ท่าน เนื่องเพราะข้าพเจ้าทราบ ท้องของท่านว่างเปล่า รับทานอาหารอิ่มหนำแล้ว ข้าพเจ้าค่อยเป็นเพื่อนร่วมดื่มกับท่าน”

มิว่าผู้ใดมาดู มิว่าจะดูเยี่ยงไร นางต่างเป็นสตรีที่นอบน้อมนุ่มนวล เอาองเอาใจเก่งอย่างยิ่ง

หากบุรุษพบพานสตรีเยี่ยงนี้ สมควรทำอย่างไร?

เอี๊ยบไคตกลงใจแน่วแน่... ไม่แยแสนาง แม้นับว่านางสามารถกล่าวจนมีบุปผาผุดโผล่ขึ้นมา ก็ไม่แยแสสนใจนาง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าทราบ ในใจท่านต้องตำหนิข้าพเจ้าไม่สมควรรั้งท่านอยู่ที่นี้ มิเช่นนั้น เต็งโกวเนี้ยต้องไม่วิวาห์กับก้วยเต๋ง หากนางไม่วิวาห์กับก้วยเต๋ง ก็ต้องไม่เกิดเรื่องราวในค่ำคืนนั้นขึ้นมากมายหลายราย”

นี่เป็นวาจาที่เอี๊ยบไคคิดจะกล่าวอยู่ในใจจริงๆ

เอี๊ยบไคยังมิได้บอกไป เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับชิงกล่าวออกมาเสียก่อน

“แต่ท่านสมควรคิดเห็นแทนข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าก็เป็นสตรี มิใช่นางปิศาจ”

นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้าละห้อย

“เมื่อสตรีพอใจบุรุษใด มักจะไม่อาจหักห้ามใจไปเหนี่ยวรั้งมันไว้ มิว่าเป็นสตรีอย่างไร ต่างเป็นเช่นกัน”

เอี๊ยบไคแค่นหัวร่อ

แต่ในใจมิอาจไม่ยอมรับ ที่นางกล่าวมา หาใช่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง

รักมิได้ผิด และมิใช่เป็นบาปกรรม

สตรีที่รักบุรุษ ความจริงเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม เป็นเรื่องตามธรรมชาติ ไม่มีความผิดแม้แต่น้อยนิด

สตรีเมื่อรักบุรุษ ย่อมไม่หวังจะรีบขับไล่มันไปเด็ดขาด

ประการนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวหานางผิดได้

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก หัวใจถูกนางโยกคลอนจนหวั่นไหวแล้ว จึงรีบผุดลุกขึ้นกล่าว

“วาจาท่านหมดสิ้นแล้วหรือไม่?”

“ยังมี”

“แต่อาหารของข้าพเจ้ารับทานอิ่มแล้ว”

“ท่านคิดจะดื่มสุรา?”

“ไม่คิด”

“ท่านก็ไม่คิดสืบสาวดู ตอเออกากับปูตาลาเป็นผู้ใด?”

“ข้าพเจ้ารู้จักไปสืบเสาะเอง”

“แม้นับว่าท่านสามารถสืบเสาะออกได้จริงก็จะทำอย่างไร? หรือท่านเพียงลำพัง สามารถรับมือกับม้อก้าทั้งนิกายได้?”

นางถอนใจอีกครั้ง กล่าวต่อไป

“ท่านทราบหรือไม่ ม้อก้ามีสาวกอยู่มากน้อยเท่าใด? ท่านทราบหรือไม่ พวกมันมีกำลังยิ่งใหญ่เพียงไหน?”

เอี๊ยบไคทราบ

ความน่ากลัวของม้อก้า น้อยคนนักที่จะทราบกระจ่างเทียบเท่าเอี๊ยบไค

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ดังนั้น ท่านก็สมควรทราบ จะรับมือม้อก้า มีอยู่เพียงวิธีเดียว”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“วิธีใด?”

รอยยิ้มที่หยาดเยิ้มของเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปลาสนาการไปแล้ว ในดวงตาคู่งามพลันมีประกายคุกคามผู้คนจนแวววาว

นางตอนนี้ไม่คล้ายเป็นเล่าปั้งเนี้ยที่นุ่มนวลเอาใจอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นประมุขพรรคกิมจี๊ปัง ที่มีอิทธิพลอำนาจสยบแผ่นดิน

นางเพ่งมองเอี๊ยบไคพลางกล่าวช้าๆ

“ทอดตาทั่วแผ่นดิน ที่สามารถต่อต้านกับม้อก้าได้ มีแต่พวกเรากิมจี๊ปังเท่านั้น”

“อ้อ?”

“ผ่านการวางแผน และตระเตรียมมาหลายปี ปัจจุบันนี้พรรคกิมจี๊ปังมิว่าเป็นกำลังคน กำลังทรัพย์ต่างถึงระดับสุดยอดทั้งสิ้น”

“อ้อ?”

“ในสำนักเสียวลิ้ม บู๊ตึง คุนลุ้ม เตียมชัง ฮั่วซัวเหล่านั้น ตอนนี้ต่างมีคนของพวกเราแทรกซึม...”

“ดังนั้น ท่านตอนนี้จึงคิดจะซื้อตัวข้าพเจ้าไว้อีก?”

“มิใช่ซื้อตัว เพียงแต่ว่า หากท่านต้องการรับมือม้อก้า มีแต่ต้องร่วมมือกับกิมจี๊ปัง”

“เฮอะ หรือท่านมีความต้องการ ให้ข้าพเจ้ามาเป็นฮู่ฮวบของกิมจี๊ปังอีก?”

“ขอเพียงท่านยินยอม ข้าพเจ้ากระทั่งยังยกตำแหน่งปังจู๊แก่ท่านได้”

“ท่านไฉนต้องเสียสละปานนี้?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจยาว ดวงตามีประกายนุ่มนวลขึ้นอีกครั้ง กล่าวเบาๆ

“เพื่อบุรุษที่สตรีที่นางนั้นรักโดยบริสุทธิ์จริงใจ ความจริงไม่เสียดายที่จะเสียสละทุกสรรพสิ่ง อย่าว่าแต่...”

“อย่าว่าแต่ ม้อก้าความจริงเป็นศัตรูที่กล้าแข็งของพวกท่าน?”

“มิเพียงเป็นศัตรูพวกเราเท่านั้น ยังเป็นศัตรูที่ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันด้วย โดยเฉพาะระหว่างนี้...”

“ระหว่างนี้เป็นไร?”

“ระหว่างนี้ แม้นับว่าพวกเราไม่ไปหาพวกมัน พวกมันก็ต้องมาหาพวกเรา”

เอี๊ยบไคทราบ นี่มิใช่เป็นวาจามดเท็จ

กิมจี๊ปังกับม้อก้า ระหว่างนี้ต่างตระเตรียมฟื้นฟูเกียรติภูมิขึ้นอีก ตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดินอีกครา การปะทะของพวกมัน ย่อมยิ่งนางยิ่งกราดเกรี้ยวดุดัน

นกกับหอยเกี่ยงกัน ประมงได้ประโยชน์!

“นิทานสุภาษิต... หอยกาบอ้าปากตากแดดที่ชายหาด นกกระสาเดินมา จิกเนื้อหอยหมายกิน หอยจึงหนีบปากนกกระสาไว้ ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงกัน นกกระสาไม่ยอมอ้าปากปล่อยเนื้อหอย หอยก็ไม่ยอมคลายเปลือกหนีบปากนก ผลที่สุด ถูกชาวประมงจับไปโดยง่ายดาย เป็นคติสอนใจเช่นเดียวกับเรื่องตาอินตานาและตาอยู่แบ่งปลา)

นี่นับเป็นโอกาสดีของเอี๊ยบไค มาตรว่าเอี๊ยบไคไม่คิดจะเป็นชาวประมง แต่อย่างน้อยพอจะฉวยโอกาสนี้ กระทำเรื่องที่คิดกระทำอยู่นานแล้ว และสมควรกระทำอยู่นานแล้วด้วย

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“สภาพของท่านก็เป็นเช่นกัน ตอนนี้สี่จ้าวฟ้าใหญ่มีสองคนมาเชี่ยงอันแล้ว จุดประสงค์ของมัน ต้องมิเพียงรับมือกิมจี๊ปังเด็ดขาด ต้องมีความประสงค์จัดการกับท่านด้วย”

เอี๊ยบไคกล่าว

“ดังนั้น แม้นับว่าข้าพเจ้าไม่ไปหาพวกมัน พวกมันก็ต้องไม่ยอมปล่อยข้าพเจ้า?”

“พวกมันเป็นศัตรูของท่าน ข้าพเจ้าอย่างน้อยยังเป็นสหายของท่าน ท่านมิว่าจะเป็นส่วนรวมหรือส่วนตัว ต่างสมควรร่วมมือกับพวกเรา”

เอี๊ยบไคนั่งลงแล้ว เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ในใจท่านตอนนี้อาจมีความเห็น ข้าพเจ้าคิดจะใช้ท่านเป็นเครื่องมือ แสวงหาผลประโชน์อีก”

“หรือท่านไม่ใช่?”

“แม้นับข้าพเจ้าหลอกใช้ท่าน ท่านไยมิใช่พอจะหลอกใช้ข้าพเจ้าได้เช่นกัน ฉวยโอกาสนี้ทำลายม้อก้าให้ย่อยยับดับสูญไป”

เอี๊ยบไคพลันถอนใจกล่าว

“ท่านนับเป็นสตรีที่มีคารมคมคายยิ่ง”

“ข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมท่าน จนหวั่นไหวแล้วหรือไร?”

“คล้ายดั่งใช่”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มอีกครา รอยยิ้มของนาง กลับกลายเป็นนุ่มนวลมีเสน่ห์

“อย่างนั้น พวกเราตอนนี้ สมควรดื่มสุรากันแล้วหรือไม่?”

เอี๊ยบไคถอนใจตอบ

“ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงประหลาดใจเรื่องเดียว”

“เรื่องอันใด?”

“เรื่องที่ท่านต้องการให้ข้าพเจ้ากระทำ ข้าพเจ้าไฉนมักไม่มีปัญญาปฏิเสธเลย”

------------------------

สุราถูกยกมาแล้ว

แต่ที่บันดาลผู้คนเมากลับมิใช่สุรา เป็นเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน

ความนุ่มนวลของนาง เอาใจของนาง ประกายตาของนาง รอยยิ้มของนาง ทุกประการล้วนเพียงพอโน้มน้าวให้บุรุษต้องเมามาย

เอี๊ยบไคเมาแล้วหรือไม่?

เอี๊ยบไคอย่างไรก็เป็นบุรุษ และมิใช่เป็นบุรุษที่ไร้น้ำใจดั่งที่ตัวเองเคยคาดคิด

เอี๊ยบไคกระทั่งยังสงสัยตัวเอง ถูกความนุ่มนวลของนางมอมเมาจนเคลิบเคลิ้มอยู่นานแล้วหรือไม่?

นางมิเพียงเป็นสตรี ยังเป็นสตรีในสตรีอีกด้วย

สตรีประเภทนี้ ความจริงไม่มีบุรุษใดสามารถขัดขืนปฏิเสธได้

นางอาจบางที ไม่มีความงามแจ่มใสเทียบเท่าเต็งฮุ้นลิ้ม และไม่บอบบางน่าถนอมเทียบเท่าชุยเง็กจิน

แต่นางมีความเข้าใจบุรุษได้กระจ่างยิ่งกว่าพวกนางมากนัก และรู้จักกุมหัวใจของบุรุษได้ยิ่งกว่าพวกนางด้วย

หัวใจของเอี๊ยบไค ถูกนางเกาะกุมไปแล้วหรือไม่?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“ท่านเมาแล้วหรือไม่?”

“มาตรว่าตอนนี้ยังไม่เมา จะเร็วจะช้าย่อมต้องเมา”

“ท่านเตรียมจะเมา?”

“ขอเพียงพอเริ่มดื่มก็เตรียมเมาแล้ว”

“ดังนั้น หากข้าพเจ้ามีวาจาจะว่ากล่าว ต้องฉวยโอกาสตอนที่ท่านยังไม่เมาไป?”

“มิผิดแม้แต่น้อย”

“บัญชีเล่มนี้ท่านดูแล้ว?”

“ดูแล้ว”

“ท่านดูกระไรออก”

“ข้าพเจ้าเพียงดูออก การให้ของขวัญของกิมจี๊ปัง คล้ายไม่ใจกว้างเทียบเท่าม้อก้า”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“กิมจี๊ปังไม่คิดจะซื้อชีวิตผู้คน ดังนั้นจึงไม่ต้องส่งของขวัญสูงค่าเกินไป”

เอี๊ยบไคเพ่งมองสุราในจอกพลางกล่าวช้าๆ

“อาจบางทีท่านดูออกแต่แรก มิว่าส่งของขวัญสูงค่าปานใด พวกมันต่างไม่ได้คืนไป”

“หากข้าพเจ้าดูออกจริง อาจบางทีจะส่งให้มากกว่านี้บ้าง”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะมิว่าข้าพเจ้าส่งมากน้อยเพียงใด ตอนนี้ต่างรับคืนมาหมดสิ้นแล้ว”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มถาม

“แล้วท่านดูกระไรออกบ้าง?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้าเพียงดูออก ท่านเป็นคนที่มีน้ำใจฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง”

“อ้อ?”

“ดังนั้น ท่านมิใช่หนึ่งในสี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ม้อก้า คนของม้อก้าต่างไม่มีน้ำใจ”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ประการนี้ท่านเพิ่งดูออก?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้ม

“ดูออกตอนนี้ยังคงไม่สาย”

“หรือก่อนนี้ท่านเคยสงสัยข้าพเจ้า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยอมรับ

“เนื่องเพราะผู้มีคุณสมบัติรับตำแหน่งจ้าวฟ้าในม้อก้า มีอยู่ไม่มากเลยจริงๆ”

“นอกจากข้าพเจ้า ในนครเชี่ยงอัน ยังมีอีกกี่คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอ”

“อย่างมากไม่เกินสี่ห้าคน”

“คนแรกย่อมเป็นลู่เต๊ก?”

“ถูกแล้ว”

“ฮั่นเจ็งย่อมนับเป็นคนหนึ่ง?”

“แน่นอน”

“ยังมีเล่า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“หมายถึงเอี้ยเทียน?”

“ใช่ จิ้งจอกที่บินไม่ได้ นับว่าน่ากลัวอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จิ้งจอกที่บินได้”

“มันไยมิใช่เป็นคนสนิทของท่าน?”

“ข้าพเจ้าไม่มีคนสนิทคู่ใจ”

นางเงยหน้าขึ้นประสานตาเอี๊ยบไคแล้วกล่าวต่อ

“หนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้าเชื่อถือสนิทใจคือท่าน แต่เสียดาย...”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มสอดคำ

“เสียดายที่ข้าพเจ้ากลับไม่ยอมเชื่อถือท่าน อาจบางทีหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อถือก็คือท่าน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าไม่ตำหนิท่าน แต่ทว่าย่อมมีสักวันที่ท่านทราบว่าท่านผิดแล้ว”

เอี๊ยบไคมิได้ทุ่มเถียง ยังคงแย้มยิ้มเปลี่ยนเรื่อง

“ลู่เต๊ก ฮั่นเจ็ง เอี้ยเทียน บวกแล้วก็มีเพียงสามคนเท่านั้น”

“ยังมีอีกผู้หนึ่งที่อาจเป็นไปได้เช่นกัน”

“ผู้ใด?”

“ผู้ที่เพิ่งมาเชี่ยงอันเมื่อวาน”

“ท่านรู้จักมัน?”

“ไม่รู้จัก”

“ท่านรู้จักมันเป็นผู้ใด?”

“ไม่รู้จัก”

เอี๊ยบไคหัวร่ออีกแล้ว แต่สีหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับเคร่งเครียดกว่าเดิมกล่าวช้าๆ

“แต่ข้าพเจ้ากลับทราบ มันเป็นคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติได้ตำแหน่งจ้าวฟ้าของม้อก้า”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะคนที่ข้าพเจ้าใช้ไปสืบประวัติความเป็นมาของมัน ต่างสาบสูญไปหมดสิ้น”

“สาบสูญไปเป็นความหมายใด?”

“ความหมายของสาบสูญ คือเมื่อพวกเหล่านั้นออกไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกลับมากระทั่งข่าวก็ยังไม่มีเลย เมื่อข้าพเจ้าใช้คนออกไปอีกระลอกหนึ่ง คนที่ออกไประลอกหลังก็มิได้กลับมา”

“ท่านรวมใช้คนไปมากน้อยเท่าใด?”

“รวมใช้สามระลอก ระลอกแรกสองคน ระลอกสองสี่คน ระลอกสามหกคน”

“รวมแล้วมีจำนวนสิบสองคน?”

“และล้วนเป็นมือดีทั้งสิบสองคนด้วย หกคนในระลอกสุดท้าย ยิ่งเป็นมือดีในหมู่มือดี”

“บรรดามือดีเหล่านั้นต่างหายสาบสูญ?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนผงกศีรษะตอบ

“ทั้งสิบสองคน เมื่อไปแล้วก็สาบสูญร่องรอยทันที คล้ายดั่งพลันถูกธรณีสูบหายไปจากแผ่นดินก็ปาน”

“พวกมันแม้นับเป็นตอไม้สิบสองท่าน คิดจะหาสถานที่ซ่อนพวกมันไว้ ยังมิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจกล่าว

“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็น ผู้นั้นอาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าพวกลู่เต๊กมากนัก”

สีหน้าเอี๊ยบไคก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง กล่าวช้าๆ

“จวบจนบัดนี้ ท่านยังมิทราบมันเป็นผู้ใด? มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?”

“ข้าพเจ้าเพียงทราบ มันเพิ่งปรากฏตัวเมื่อวาน ในอากาศที่หนาวเหน็บปานนั้น มันเพียงสวมเสื้อบางเบาตัวเดียว แต่ศีรษะถึงกับสวมหมวกหญ้าปีกกว้างใหญ่”

“ยังมีเล่า?”

“ไม่มีแล้ว”

“หรือกระทั่งมันมาจากที่ใด ท่านก็ยังมิทราบ?”

“มิทราบจริงๆ”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนตอบแล้ว ถอนใจฝืนยิ้มกล่าวต่อ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิทราบ ดังนั้นจึงใช้คนไปสืบเสาะดู”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ดูท่าเรื่องราวที่ท่านทราบก็มีไม่มากนัก”

“หรือท่านทราบยังมากกว่าข้าพเจ้า?”

“เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ท่านยังทราบกระไร?”

ข้าพเจ้าอย่างน้อย พอมีเบาะแสสืบสาวตัวปูตาลาออกมา”

“จ้าวฟ้ายอดเขาโดดเดี่ยว?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถาม

“ท่านทราบว่ามันเป็นผู้ใดแล้ว?”

“วิชาฝ่ามือของมันร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่ก็บาดเจ็บสาหันแล้ว”

ดวงตาเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสุกใสทันที ร้องเบาๆ

“ผู้มีวิชาฝ่ามือร้ายกาจคือลู่เต๊ก แต่มิทราบมันจะบาดเจ็บหรือไม่?”

“จะสืบความนี้ออกมิใช่ยากเย็นนัก...”

“ท่านเตรียมไปหามัน?”

“หรือท่านคัดค้าน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนสั่นศีรษะตอบ

“ข้าพเจ้าเพียงแต่...”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวต่อแทนนาง

“เพียงแต่กลัวข้าพเจ้าก็คล้ายคนเหล่านั้น พลันหายสาบสูญไปจากแผ่นดิน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็แย้มยิ้ม จ้องมองเอี๊ยบไคพลางกล่าว

“ครั้งนี้ข้าพเจ้าต้องไม่ยอมให้ท่านหายสาบสูญเด็ดขาด ข้าพเจ้า...”

ครั้งนี้ เอี๊ยบไคมิได้ช่วยกล่าวต่อแทนนาง และมิให้นางกล่าวสืบไป โดยผุดลุกขึ้นสอดคำ

“ดังนั้น ข้าพเจ้าควรฉวยโอกาสที่ยังไม่เมา รีบเร่งไปจะประเสริฐสุด”

“ท่านจะไปในตอนนี้?”

“ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการหา มิเพียงลู่เต๊กคนเดียว เอี้ยเทียนกับฮั่นเจ็ง ก็มีวิชาฝ่ามือไม่เลวเช่นกัน”

“อย่าลืม ยังมีคนที่สวมหมวกหญ้าปีกกว้างในฤดูหนาว”

“ผู้นั้นพักในที่ใด?”

“ท่านทราบหรือไม่? ที่หลังวัดไต้เสียงเก๊ก ยังมีวัดเต็กลิ้มอยู่อีกวัดหนึ่ง”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะตอบ

“ฟังว่า อาหารเจที่วัดนั้นรสชาติไม่เลวยิ่ง”

“มันเมื่อค่ำวานไปพักอยู่ในวัดนั้น”

“เอี้ยเทียนเล่า?”

“ท่านจะไปหามันก่อน?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้ม

“อย่าลืม มันเป็นสหายเก่าของข้าพเจ้า?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็แย้มยิ้ม

“ในเมื่อพวกท่านเป็นสหายเก่า ท่านก็ควรทราบมันพอใจกระไรที่สุด?”

“สตรี?”

“สตรีประเภทใด?”

“หญิงม่าย”

-----------------------

ถนนสายนี้

สร้างเช่นเดียวกับในนครเชี่ยงอันไม่ผิดเพี้ยน

ในถนนสายนี้ ก็มีร้านขายเต้าหู้ของหญิงม่ายแซ่เฮ้งเช่นกัน

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

“หญิงหม้ายแซ่เฮ้งของถนนสายนี้ นับเป็นหญิงหม้ายที่กรุ้มกริ่มอย่างยิ่ง”

เอี๊ยบไคแสร้งถอนใจกล่าว

“เสียดายที่เอี้ยเทียนไปก่อนแล้ว”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มจนหยากเยิ้ม

“ดังนั้น ท่านตอนนี้รีบเร่งไปก้ไม่มีประโยชน์ ไฉนไม่ไปดูที่ร้านน้ำชาทางด้านข้างนี้ก่อน”

“ร้านน้ำชามีที่ใดน่าดู?”

“มีจุยจื้อที่น่าดูอย่างยิ่งอยู่แท่งหนึ่ง”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มเดินออกไปพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าเพียงหวัง เหล็กแหลมท่อนนี้ ต้องไม่ทะลวงข้าพเจ้าเป็นโพรงใหญ่”

มิว่าจุยจื้อที่น่าดูปานใด หากทะลวงใส่ร่างท่าน ท่านต้องรู้สึกมันไม่น่าดูแล้ว!

-------------------

ฮั่นเจ็งทั้งมิใช่เป็นจุยจื้อที่น่าดู และไม่อาจนับเป็นคนน่าดูอย่างยิ่ง

มิว่าจมูกของผู้ใดถูกต่อยแบนไปแล้ว ต่างต้องไม่น่าดูเท่าใด

แต่วันนี้ สีหน้ามันกลับไม่เลวอย่างยิ่ง มิเพียงแดงเปล่งปลั่งเท่านั้น ยังคึกคักเข้มแข็งด้วย

มิว่าผู้ใดต่างดูออก มันต้องมิใช่เป็นคนบาดเจ็บสาหัส

เมื่อมันเห็นเอี๊ยบไค รีบผุดลุกขึ้นแย้มยิ้มทักทาย

“นั่งลงดื่มน้ำชากันก่อนเป็นไร?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ ฮั่นเจ็งถาม

“ดื่มสักถ้วย?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะ ฮั่นเจ็งกล่าว

“อาหารว่างที่นี่ไม่เลวเช่นกัน ท่านไม่คิดรับทานสักเล็กน้อย!

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“หนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้าต้องการรับทานในตอนนี้ มีแต่เต้าหู้!

-------------------

ที่ร้านเต้าหู้ของเฮ้งกัวหู มิใช่ขายเต้าหู้สด แต่เป็นเต้าหู้นึ่ง เต้าหู้ก้อนๆ นึ่ง จนทางผิวเป็นรูๆ ดั่งรังผึ้ง

ตัวเฮ้งกัวหูกลับไม่ชรา เต้าหู้ยิ่งนึ่งไว้นานยิ่งน่ารับทาน แต่คนกลับอยู่ในวัยกลางคนเท่านั้น

สตรีวัยกลางคน เต้าหู้เก่าที่นึ่งนาน การค้าย่อมไม่เลว

เฮ้งกัวหูสวมเสื้อนวมและกระโปรงสีดำ ผมดำขลับของนางเกล้าเป็นมวยแหลมๆ ยิ่งเน้นให้เห็นใบหน้ารูปไข่ของนางเป็นสีแดงเปล่งปลั่ง

นางดูไปไม่รู้สึกแก่ชราแม้สักน้อยนิด นับว่ายังนุ่มยิ่งกว่าเต้าหู้อ่อนมากมายนัก

ที่ร้ายกาจสุด ยังคงเป็นดวงตาของนาง ตาเล็กๆ งอนๆ ยามยิ้มคล้ายเป็นเดือนดวงใหม่ และก็คล้ายเป็นตะขอ พอจะเกี่ยววิญญาณของท่านไปได้ในทันที

ตอนนี้ นางใช้ดวงตาคู่นั้น ชม้ายมองเอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“เต้าหู้ของท่านจะใช้เครื่องปรุงใด?”

“ข้าพเจ้าไม่รับทานเต้าหู้”

“เต้าหู้นี้ไม่ดี?”

“เต้าหู้นี้ย่อมวิเศษสุด ข้าพเจ้าก็ปรารถนารับทานสักสองชิ้น แต่เสียดายที่ข้าพเจ้าไม่กล้า”

รอยยิ้มของเฮ้งกัวหูยิ่งหยาดเยิ้ม

“บุรุษโตใหญ่ปานนี้ กระทั่งเต้าหู้ก็ยังมิกล้ารับทาน? (แผลเป็น.... และเล็ม.... แทะโลม)”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“เต้าหู้ผู้อื่นกล้ารับทาน แต่เต้าหูของท่าน ข้าพเจ้ากลับไม่กล้า”

เฮ้งกัวหูไม่ยิ้มแย้มแล้ว แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านมาเพื่อหาเอี้ยเทียน?”

“ถูกแล้ว มันอยู่หรือไม่?”

เฮ้งกัวหูรีดนิ้วเรียวงามราวลำเทียนของนางชี้ไปที่ด้านหลัง คล้ายดั่งกระทั่งยังไม่ยอมเหลือบมองเอี๊ยบไคสักแวบเดียว

มีสตรีมากหลาย ที่พอใจแต่บุรุษฮึกเหิมทะเยอทะยาน

หากท่านมีความปรารถนาในตัวนาง นางก็มีความกระตือรือร้นสนใจตัวท่าน

เอี๊ยบหัวร่อแล้ว

เอี๊ยบไคเดินแย้มยิ้มเข้าไป แต่ยังหันมากล่าว

“ความจริงข้าพเจ้าก็มิใช่มีวัญฝ่อเช่นนี้มาเลย”

เฮ้งกัวหูชายตามอง ขบริมฝีปากกล่าว

“แล้ววันนี้ ไฉนขวัญของท่านจึงฝ่อปานนี้?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่คิดจะให้จิ้งจอกงับใส่ข้าพเจ้า”

เอี้ยเทียนดูไปไม่คล้ายเป็นจิ้งจอกที่กัดคนได้แล้ว

มิว่าคนที่น่ากลัวปานใด ตอนอาบน้ำ ต่างต้องกลับกลายเป็นดีงามกว่าเดิมบ้าง

เอี้ยเทียนกำลังอาบน้ำ!

มันแช่อยู่ในกระถางไม้ใบใหญ่ น้ำในกระถางร้อนมีควันกรุ่น มันคลายมือเท้าทั้งสี่เต็มที่ ดูไปคล้ายเป็นตัวนากที่เกียจคร้าน

ผิวกายของมันก็เรียบลื่นเป็นประกายดั่งตัวนาก ตลอดร่างไม่มีรอยบาดแผลแม้สักน้อยนิด

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจเฮือกใหญ่

เอี้ยเทียนจับตามองพลางแย้มยิ้มถาม

“สหายรักพบหน้า ท่านไฉนถอนหายใจ?”

“เนื่องเพราะท่านมิได้บาดเจ็บ”

“ข้าพเจ้าบาดเจ็บแล้วท่านจึงพอใจ?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการกินเต้าหู้”

เอี้ยเทียนหัวร่อเสียงก้องกล่าว

“ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังอาบน้ำ ไยมิใช่เป็นโอกาสประเสริฐของท่าน”

“มีโอกาสประเสริฐใด?”

“ตอนนี้มิว่าท่านกระทำอย่างไรทางภายนอก ข้าพเจ้าไม่อาจวิ่งออกไปโดยตัวเปล่าได้”

“เสียดายที่ภรรยาของสหาย มิอาจหยามกล้ำกราย”

“จะหยามภรรยาของสหาย ต้องรอสหายตายเสียก่อน”

“เสียดายที่ท่านยังไม่ตาย”

“อย่างนั้น พวกเราตอนนี้ ยังเป็นสหายกัน”

“ความจริงไม่ใช่ ตอนนี้ใช่อีกแล้ว”

เอี้ยเทียนจับตามองแน่วนิ่ง ดวงตามีประกายคนกริบราวอาวุธ ส่งเสียงเย็นชา

“ท่านก็ลงน้ำแล้ว?”

“ท่านนึกไม่ถึง?”

“ท่านไฉนต้องลงน้ำ”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ท่านไม่สมควรถามข้าพเจ้า ตัวท่านไยมิใช่ก็แช่อยู่ในน้ำ?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าออกไปไม่ได้”

“หากมีคนมาฉุดท่าน?”

“ผู้ใดยอมฉุดข้าพเจ้า?”

“ข้าพเจ้าเอง”

เอี๊ยบไคยื่นมือไปจริงๆ แต่เอี้ยเทียนมิได้ยื่นมือรับ กลับส่งเสียงราบเรียบ

“ออกไปหนาวเกินไป ยังคงเป็นในน้ำอบอุ่นกว่า”

“มิว่าเป็นน้ำอุ่นปานใด ย่อมมีเวลาเย็นได้”

“อย่างนั้น ท่านก็ควรฉวยโอกาส กระโดดออกไปแต่เนิ่นๆ”

“ท่านกำลังตักเตือนข้าพเจ้า? หรืออัปเปหิข้าพเจ้า?”

“ในความเห็นของท่าน?”

“หรือท่านรังเกียจคนในน้ำมากเกินไป? เบียดเสียดเกินไป?”

เอี้ยเทียนแค่นหัวรอตอบ

“ไปหรือไม่แล้วแต่ท่าน แต่ทว่าพวกเราอย่างไรยังนับถือเป็นสหายกัน มีวาจาประโยคหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ามิอาจไม่บอก”

“ท่านบอกมา”

“อย่าไปหาคนสวมหมวกหญ้าเป็นอันขาด”

“เพราะกระไร?”

เอี้ยเทียนพริ้มตาลงไม่เอ่ยปากอีก

แต่เอี๊ยบไคยังคงถาม

“ท่านไฉนทราบ ข้าพเจ้าจะไปหามัน?”

เอี้ยเทียนยังคงไม่เอ่ยปาก

น้ำร้อนอย่างยิ่ง ร้อนจนควันกรุ่น คล้ายเป็นหมอกบางก็ปาน

เอี๊ยบไคพลันแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านยังคงแช่อยู่ในน้ำประเสริฐกว่าจริงๆ ลุกขึ้นจากน้ำที่ร้อนปานนี้ ต้องหนาวจนเป็นไข้แน่”

----------------------------

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น