วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) สังหารโดยอำมหิต

 

สังหารโดยอำมหิต

ดวงดาวอยู่บนฟากฟ้า

แสงเลือนรางของดาว ลูบไล้บนใบหน้าคนผู้นั้น

ใบหน้ามันก็มีประกาย

ประกายสีเขียว

ไม่มีใบหน้าผู้คน จะปรากฏประกายสีเขียวเยี่ยงนี้มาได้ นอกเสียจากมันสวมหน้ากากทองเหลือง

ใบหน้าคนผู้นี้ สวมหน้ากากทองเหลืองอยู่จริงๆ ดูในแสงดาว ยิ่งลี้ลับน่าสะพรึงกลัว

ที่มันสวมใส่ เป็นเสื้อยาวปักลวดลายสวยงาม บนสายรัดเอว เสียบดาบงออยู่สามเล่ม

ด้ามดาบสีเขียวเรือง ฝังอัญมณีไว้เต็ม

“มาแล้ว มาแล้วจริงๆ”

เอี๊ยบไคระบายลมจากปากยาวๆ แล้วกล่าว

“ที่มาคือตอเออกา หรือเป็นปูตาลา?”

“ท่านดูไม่ออก?”

เอี๊ยบไคดูออกแล้ว ที่ปักอยู่บนเสื้อยาวคือคทาอสูร ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ

“ตอเออกา?”

“อาจบางทีมันยังมิใช่ตอเออกา”

“ยังมิใช่?”

“ตัวจำแลงของตอเออกา ยังมีอีกถึงสามคน”

อย่างไรเรียกว่าตัวจำแลง?

เอี๊ยบไคมิได้ถาม ก็เห็นอีกผู้หนึ่ง

ลมกรรโชกมาวูบหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งลอยละลิ่วข้ามกำแพงมาดั่งปุยนุ่น เสื้อยาวปัก หน้ากากอำมหิตน่ากลัว บนสายรัดเอวยังคงปักดาบงอ ที่ด้ามมีอัญมณีฝังอยู่เต็มสามเล่มเช่นเดียวกัน

แทบเป็นเวลาพริบตาเดียว ที่หลังป่าไผ่กับใต้ชายคา ก็มีคนในลักษณะเดียวกัน ปรากฏขึ้นอีกสองคน

สองคนที่คล้ายคลึงกันไม่ผิดเพี้ยน!

เอี๊ยบตะลึงลานแล้ว

ไม่มีปัญญาแยกแยะออก ผู้ใดจึงเป็นตอเออกาตัวจริง?

“แม้นับว่าท่านสามารถฆ่าพวกมันไปสามคน คนที่เป็นตัวจริงยังคงพอจะหนีได้เช่นกัน”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อ

“ในเมื่อมันมาแล้ว ก็อย่าหมายกลับไปได้”

“ท่านไฉนจึงทราบพวกมันมาจริงๆ? ท่านดูออก?”

“เราดูไม่ออก แต่เราทราบมันต้องมาแน่นอน”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะเราอยู่ที่นี้”

เอี๊ยบไคมิได้ถามสืบต่อไป และไม่อาจถามอีกด้วย เพราะแลเห็นคนผู้หนึ่ง กำลังเดินฝ่าแสงดาวเข้ามา

ผงเงินบนพื้นก็มีประกายอยู่

แต่ละก้าวของมันทิ้งรอยตื้นๆ อยู่บนพื้นชัดตา

...เพียงอาศัยรอยเท้านี้ หรือก็สามารถแยกแยะออก มันเป็นตอเออกาตัวจริง?

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจยาว อย่างน้อยตัวเอี๊ยบไคเองแยกแยะไม่ออก

สามคนเดินมือไพล่หลังอยู่ในลานวัดอย่างเชื่องช้า อีกผู้หนึ่งเดินมือไพล่หลังเข้ามา

พวกมันมิเพียงแต่งกายเป็นเช่นเดียวกันมิผิดเพี้ยนเท่านั้น กระทั่งท่าการเดินก็เป็นเช่นกันทุกคน

บั๊กเก้าแชอาศัยเค้ามูลใด แยกแยะตัวจริงตัวปลอมของพวกมันออก?

ในที่สุด ตอเออกาส่งเสียง

“แซเซี้ยบั๊กเก้าแช”

บั๊กเก้าแชผงกศีรษะ ตอเออกากล่าวถาม

“เป็นท่านต้องการให้ข้าพเจ้ามา?”

บั๊กเก้าแชผงกศีรษะอีกครั้ง ตอเออกากล่าว

“ตอนนี้ข้าพเจ้ามาแล้ว”

บั๊กเก้าแชพลันตวาด

“ไสหัวออกไป?”

ตอเออกาแค่นหัวร่อสวนคำ

“ในเมื่อข้าพเจ้ามาแล้ว จะให้ข้าพเจ้าไป น่ากลัวไม่ง่ายดายนัก”

“ท่านจะต้องตายในที่นี้ให้ได้?”

มือตอเออกากุมไปที่ด้ามมีด

บั๊กเก้าแชกล่าว

“ท่านยังไม่คู่ควรให้เราลงมือ แต่ตอนนี้...”

“ตอนนี้ท่านไม่ลงมือ ท่านก็ต้องตาย...”

ประกายดาบวูบขึ้น ดาบของมันถูกชักออกจากฝัก ดาบงอสีเขียวเรือง ฟันฉับเข้ามาสามกระบวนท่านในพริบตาเดียว

บั๊กเก้าแชมิได้เคลื่อนไหว กระทั่งปลายนิ้วยังไม่เคลื่อนไหว

มันดูออก สามดาบนี้ล้วนเป็นกระบวนท่าหลอกล่อ

ข้อมือตอเออกาพลิกวูบ ดาบที่สี่ฟันตรงลงมา มิใช่เป็นกระบวนท่าหลอกล่ออีกแล้ว

ปลายดาบกรีดปีกหมวกหญ้าบั๊กเก้าแชขาดไป เฉียดปลายจมูกบั๊กเก้าแชลงเพียงอีกครึ่งนิ้ว ใบหน้าบั๊กเก้าแชต้องถูกคมดาบเป็นสองเสี่ยง

แต่เสียดายที่มันยังขาดไปครึ่งนิ้ว

บั๊กเก้าแชถึงกับยังไม่ลงมือ แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทันใด ประกายแวววับจุดหนึ่ง พุ่งวาบเข้าใส่ไหล่ตอเออกา

ตอเออกามิใช่ไม่ได้หลบหลีก แต่เสียดายที่ประกายแวววับจุดนั้น พุ่งไปด้วยความเร็วเกินไป ผิดคาดหมายเกินไป

ตอนมันเป็นประกายแวววับพุ่งออก คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันท่วงทีแล้ว พลันขบกรามแนบแน่น พลิกดาบแทงเข้าใส่ท้องตัวเอง

ประกายโลหิตสาดกระจาย ร่างของมันล้มฮวบลง

บั๊กเก้าแชยังคงมิได้เคลื่อนไหว กระทั่งปลายนิ้วยังไม่เคลื่อนไหว แต่ดาวที่หว่างคิ้วของมันหายไปแล้ว

อาวุธลับนี้ ถึงกับไม่ต้องลงมือก็สามารถพุ่งออกไป มันเพียงขมวดคิ้ว ก็สามารถปลิดชีวิตคนตายไปได้!

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“เป็นอาวุธร้ายที่ฆ่าคนได้จริงๆ มิหลอกลวงจริงๆ”

“ตอเออกาผู้นี้เป็นตัวปลอม”

“ท่านดูออก?”

บั๊กเก้าแชผงกศีรษะ แค่นหัวร่อกล่าว

“การตายของมัน ก็หลอกลวงเช่นกัน”

“นี่กระทั่งข้าพเจ้าก็ดูออกแล้ว”

“อ้อ?”

“ดาบนี้เป็นดาบอสูร ที่คมดาบสามารถหดกลับเข้าไปในด้าม ข้าพเจ้าเคยเห็นมามิเพียงหนึ่งครั้ง แต่กลับไม่อาจหลอกลวงข้าพเจ้าได้แม้สักครั้งเดียว”

บั๊กเก้าแชกล่าวเสียงราบเรียบ

“จะหลอกลวงท่าน นับว่าไม่ง่ายดายจริงๆ”

ตอเออกาที่ล้มอยู่ในกองโลหิต พลันคืนชีวิตมาได้จริงๆ มันชักดาบอีกเล่มหนึ่ง พลิกตัวโถมเข้าใส่

แต่ดาบนี้ของมันยังมิทันฟันลงมา มีประกายแวววับอีกจุดหนึ่งพุ่งวาบไป ตรึงเข้าไปในคอหอยมันอย่างแม่นยำ!

มันล้มลงอีกครั้ง

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ครั้งนี้ดูท่ามิใช่หลอกลวง”

“มันความจริงไม่ต้องมาหาที่ตาย”

“มันก็ไม่คู่ควรให้ท่านลงมือ?”

“เรามิได้ลงมือเลย”

มันกระทั่งปลายนิ้วก็มิได้เคลื่อนไหวจริงๆ มิว่าผู้ใดต่างดูไม่ออก อาวุธลับของมัน จะพุ่งออกจากหน้าไปเมื่อใด ย่อมยิ่งไม่มีปัญญาหลบหลีกได้

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวอีก

“ดูท่าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนมิได้บอกผิด”

“นางว่ากระไร?”

“นางว่า ท่านเป็นหนึ่งในสามคน ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของโลกนี้ กระทั่งยังเป็นคนน่ากลัวที่สุดอีกด้วย”

บั๊กเก้าแชแค่นเสียงเย็นชา

“นางมิได้บอกผิดจริงๆ”

ในลานวัดมีคนหัวร่อแค่นๆ ขึ้น แต่มิทราบเป็นผู้ใดแค่นหัวร่อ

สามคนที่คล้ายคลึงกัน ต่างยืนมือไพล่หลังอยู่ในแสงดาว

ประกายตาคมกริบราวกระบี่ของบั๊กเก้าแช กวาดมองไปที่เท้าพวกมันแวบหนึ่งแล้ว พลันหยุดอยู่บนใบหน้าคนผู้หนึ่ง แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นมาตายแทนอีกแล้ว”

“ข้าพเจ้า?”

“ท่านนั่นเอง”

ดวงตาใต้ปีกหมวกหญ้าของมันเป็นประกายวาว ดวงตาหลังหน้ากากทองเหลืองของคนผู้นั้น ก็เป็นประกายแวววาว

ประกายตาของทั้งสอง คล้ายเป็นคมกระบี่ที่ปะทะกัน

ลมก็ยิ่งเหน็บหนาวราวคมดาบ

ผู้นั้นพลันหัวร่อเสียงก้อง เป็นเสียงหัวร่อที่ยิ่งคมกริบกว่ากระบี่ ส่งเสียงแหลมเล็ก

“ประเสริฐ สายตาที่ประเสริฐ ท่านดูออกได้อย่างไร?”

บั๊กเก้าแชแค่นเสียงเย็นชา

“ร่างของพวกท่าน พอจะปลอมตบตากันได้ แต่ฝีเท้ากลับไม่อาจปลอมได้”

ท่านมีวิชาฝีมือลึกล้ำปานใด ก็จะทิ้งรอยเท้าได้ลึกปานนั้น พลังภายในยิ่งสูงส่ง รอยเท้ายิ่งตื้น

นับเป็นเรื่องที่ไม่อาจตบตาได้จริงๆ

จนบัดนี้เอี๊ยบไคจึงเข้าใจ เหตุไฉนบั๊กเก้าแชจึงโดยฝุ่นสีเงินอยู่ในลานวัด

ตอเออกาก็ถอนใจกล่าว

“นึกมิถึง ท่านจะคุ้นเคยกับหลักวิชาของสำนักเราจนเจนจัดปานนี้”

บั๊กเก้าแชสวนคำ

“สิบสามยอดวิชาเทียนม้อ ในสายตาของเราไม่มีคุณค่าแม้สักอีกแปะเดียว”

“ประเสริฐ ประเสริฐมาก”

มันโบกมือเบาๆ อีกสองคนก็ถอยหลังออกไป

เอี๊ยบไคพลันพบเห็น มือของมันดูในแสงดาว กราดเกรี้ยวแหลมคนคล้ายอาวุธ

แสดงว่ามือมันก็เป็นอาวุธร้ายที่ฆ่าคนได้เช่นกัน

ที่ฆ่าคนได้ก็คืออาวุธ!

อาวุธที่ปลิดชีวิต!

ในตัวพวกมัน ต่างมีอาวุธที่ปลิดชีวิตได้เด็ดขาด อาวุธเยี่ยงนั้น ถึงกับเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายพวกมัน

ไม่มีผู้ใดสามารถชิงอาวุธพวกมันไป อาวุธพวกมันผนึกรวมกับชีวิตแล้ว

ท่านอย่างมากเพียงสามารถ ชิงชีวิตพวกมันได้เท่านั้น

นี่ก็คือที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของพวกมัน

พลังของชีวิต ไยมิใช่เป็นพลังน่ากลัวที่สุดของแผ่นดิน? !

เอี๊ยบไคถอนใจยาว

มาตรว่าทราบ การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องเปลี่ยนแปรวิถีชีวิตชนชาวนักเลงจำนวนมากหลาย กับการต่อสู้ครานี้ ก็มีความสนใจเช่นกัน

แต่ทว่าเอี๊ยบไคแทบไม่อาจสะกดกลั้นใจดูต่อไป

เนื่องเพราะเอี๊ยบไคทราบ จะสร้างอาวุธเยี่ยงนี้สำเร็จมาได้ มิทราบต้องหลั่งเหงื่อมากมายเพียงใด โลหิตมากมายเพียงไหน น้ำตามากมายเพียงใด

เอี๊ยบไคไม่อาจหักใจไปเห็นมันถูกทำลายเลยจริงๆ

ผลของการต่อสู้ครานี้ กลับมีแต่พินาศย่อยยับเท่านั้น

 

ก่อนพินาศ มักจะมีความสงบสันติอย่างยิ่งเสมอ

ในลานวัดยิ่งสงบวังเวง บรรยากาศอำมหิตที่ปลิดชีวิตได้ ไยมิใช่มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน!

ผู้สามารถเปล่งรัศมีอำมหิตเยี่ยงนี้ ความรู้สึกของตัวมันต้องปราดเปรียวกว่าผู้อื่น

เอี๊ยบไคพลันรู้สึกหนาวอย่างยิ่ง

ความหนาวที่เสียดกระดูกจับจิตใจ คล้ายดั่งเป็นคมมีดกรีดเข้าในไขกระดูก....

นี่ก็คือรังสีอำมหิต!

หมวกหญ้าขาดไปแล้ว แต่มิได้ถอดออกมาเลย เอี๊ยบไคยังคงไม่เห็นหน้าบั๊กเก้าแชชัดตา

แต่เอี๊ยบไคพอจะเห็นดวงตาตอเออกาได้

แก้วตาตอเออกาหดเล็กลงทุกขณะ พลันกล่าวขึ้น

“ตอนนี้ข้าพเจ้าเหลือเพียงคนเดียว”

อีกสองคนถอยออกจากลานวัดไปจริงๆ

ตอเออกากล่าวต่อ

“พวกท่านมีสองคน?”

เอี๊ยบไคชิงกล่าวขึ้น

“แต่ที่ลงมือมีเพียงผู้เดียว”

“มาตรว่าท่านไม่ลงมือ ก็คุกคามข้าพเจ้าเช่นกัน”

“เพราะเหตุใด?”

“เนื่องเพราะมีดของท่าน”

“มีดของข้าพเจ้า มิใช่ใช้ไปลอบประทุษร้ายผู้คน”

“แต่ขอเพียงมีมีดอยู่ ก็คุกคามถึงข้าพเจ้าได้”

“ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าไป?”

“ท่านก็ไม่อาจไป”

“เพราะกระไร?”

ตอเออกาแค่นเสียงเย็นชา

“ในเมื่อเราสามคนต่างมาแล้ว อย่างน้อยต้องมีสองคนตายในที่นี้”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มถาม

“ท่านฆ่ามันแล้ว ยังจะฆ่าข้าพเจ้า?”

“ดังนั้น ท่านไม่อาจไป”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“หรือท่านต้องการ ให้ข้าพเจ้ามอบมีดไปก่อน จากนั้นนั่งรอความตายในที่นี้?”

“ข้าพเจ้าเพียงต้องการ ให้ท่านรับปากเรื่องเดียว”

“ท่านบอกมา”

“ท่านเคยบอก พวกท่านสองคน ต้องไม่ลงมือพร้อมกันเด็ดขาด?”

“ถูกแล้ว”

“วาจาที่ท่านลั่นปากข้าพเจ้าเชื่อ ท่านมิใช่เป็นคนต่ำช้าที่ตระบัดสัตย์คืนคำ”

“ขอบคุณ”

“ดังนั้น ตอนมันมีชีวิต มีดของท่านก็ไม่อาจลงมือ”

“หากมันตาย?”

“ท่านเพียงเห็นกระบวนท่าของข้าพเจ้าได้ผล ท่านก็ใช้มีดมาได้ทันที”

“เยี่ยงไรจึงเรียกว่ากระบวนท่านได้ผล?”

“ขอเพียงมือของข้าพเจ้าฟาดใส่ร่างมัน ก็เรียกว่าได้ผลในการจู่โจม”

“เพียงมือท่านฟากใส่ร่างมัน มันก็ต้องตายแน่นอน?”

ตอเออกากล่าวอย่างโอหัง

“มือของข้าพเจ้าก็เป็นอาวุธ สามารถฆ่าคนในกระบวนท่าเดียว จึงสามารถนับเป็นอาวุธได้”

“บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว”

“ท่านรับปาก?”

เอี๊ยบไคจ้องมองมัน ดวงตามีประกายพิสดารอย่างยิ่ง จนเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“ข้าพเจ้ารับปาก เนื่องเพราะข้าพเจ้าติดค้างน้ำใจท่าน”

ตอเออกาเพ่งมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง อีกเนิ่นนานจึงกล่าวช้าๆ

“ท่านติดค้างน้ำใจข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มสวนคำ

“ในเมื่อข้าพเจ้ามิได้ลืมเรื่องราวครั้งนั้น ท่านย่อมไม่ลืมเช่นกัน”

“ข้าพเจ้าค้างท่านหรือไม่?”

เอี๊ยบไคสั่นศีรษะตอบ

“ดังนั้น หากครั้งนี้ท่านฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องไม่ตำหนิท่าน”

“ประเสริฐมาก วาจานี้ข้าพเจ้ามิได้ลืมจริงๆ”

มันพลันหันกาย เขม้นมองบั๊กเก้าแชแล้วแค่นเสียง

“เพียงแต่ว่า ผู้ตายคนแรกยังคงเป็นท่าน”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อกล่าว

“ท่านคล้ายดั่งยังลืมความไปเรื่องหนึ่ง”

“อ้อ?”

“หากข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจฆ่าท่านได้ ไหนเลยจะให้มันไปนัดท่านมา”

“อาจบางที ความจริงท่านมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่เสียดายท่านก็ลืมความเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

“ท่านไม่สมควรแพร่งพรายความลับของท่าน”

“ความลับใด?”

“ความลับที่ฆ่าคน”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อ แต่อดมิได้ต้องเหลือบมองคนตายบนพื้นแวบหนึ่ง

ตอเออกากล่าวต่อ

“ท่านไม่สมควรใช้วิธีนี้ฆ่ามัน ท่านความจริงควรงำไม้ตายนี้ไว้จัดการข้าพเจ้าจึงถูก”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อสวนคำ

“เราไม่ใช้วิธีนี้ ก็สามารถฆ่าท่านได้เช่นกัน”

ตอเออกาแผดเสียงหัวร่อดังก้อง

มิว่าผู้ใดเมื่ออยู่ในยามหัวร่อ ประสาทความรู้สึกย่อมยากจะไม่ผ่อนคลาย การระมัดระวังก็ยากจะเลินเล่อไป

มันพอเริ่มหัวร่อ เอี๊ยบไคก็พบเห็น มันเปิดช่องว่างมาแล้ว

ความหมายของช่องว่าง ก็คือตาย!

พริบตานั้นเอง บั๊กเก้าแชโถมปราดเข้าใส่

ท่าร่างของมันแผ่วเบาราวหมอกควัน รวดเร็วปานสายฟ้า แต่การลงมือของมันกลับคมกริมดั่งอสนีบาตฟาดทำลาย

มันเห็นจุดอ่อนของตอเออกาได้แม่นยำ

ตอเออกายังหัวร่ออยู่

แต่รอจนเมื่อบั๊กเก้าแชโถมเข้าไป ช่องว่างของมันพลันหายไป... ในพริบตาที่เร็วกว่าประกายไฟ ช่องว่างของมัน ถึงกับหายไปดั่งปาฏิหาริย์!

มือของมันรออยู่ในที่นั้นแล้ว

มือของผู้อื่น อย่างมากเป็นมือข้างเดียว แต่มือของมัน กลับเป็นอาวุธที่ปลิดชีวิต

บั๊กเก้าแชพอฟาดจู่โจม พลันพบเห็น ที่กระบวนท่านี้ฟาดไปมิใช่ช่องว่าง แต่เป็นมือของฝ่ายตรงข้าม

...มือของบั๊กเก้าแช เป็นเพียงมือข้างเดียวเท่านั้น

ไม่มีผู้ใดสามารถ ใช้มือข้างเดียวไปปะทะกับอาวุธร้ายที่ปลิดชีวิตได้โดยหักโหมตรงๆ

บั๊กเก้าแชคิดจะรั้งกระบวนท่ากลับ ย่อมไม่ทันท่วงทีแล้ว

การจู่โจมของมัน ถูกโหมสุดสิ้นกำลัง

ตอนมือของมันใกล้จะสัมผัสมือตอเออกา ก็รู้สึกมีรังสีอำมหิตที่เย็นยะเยียบแผ่ซ่านออกมา!

คล้ายเป็นรังสีที่กระจายออกจากคนดาบกระบี่!

ตอเออกาแค่นหัวร่อ

แต่เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถอนใจ

เอี๊ยบไคทราบ มิว่าผู้ใด ฟาดมือเข้าใส่มือตอเออกา ต่างต้องย่ำแย่จนยับเยิน

เอี๊ยบไคแทบพอจะคำนวณถึง สภาพมือของบั๊กเก้าแชที่แหลกเละในสภาพใด

มีเสียงฉาดเบาๆ มือทั้งสองปรบเข้าหากัน

มือของบั๊กเก้าแชมิได้แหลกเละ

มันถึงกับใช้ช่วงเวลาพริบตานั้น สลายพละกำลังที่ฝ่ามือออกไปหมดสิ้น มันถึงกับสามารถบังคับพละกำลังทั้งตัวให้ปล่อยออกรั้งเข้า ตามความปรารถนาทุกเวลาได้

การจู่โจมที่สุดสิ้นเรี่ยวแรง ถึงกับกลายเป็นตบเบาๆ ฉาดหนึ่ง เบาจนคล้ายเป็นลูบคลำ

การลูบคลำต้องไม่ทำอันตรายคนได้... ในเมื่อไม่อาจทำอันตรายผู้คน ย่อมต้องไม่ทำอันตรายตัวเอง

ขอเพียงท่านใช้กำลังได้แผ่วเบาเหมาะสม แม้นับว่าไปลูบคลำคมกระบี่ ก็ต้องไม่บาดมือท่าน

ตอเออกางุนงงไปแล้ว!

ตบเบาๆ เพียงฉาดเดียว ถึงกับสร้างความตระหนกแก่มัน ยิ่งกว่าถูกขุนเขาทลายลงทับเสียอีก!

มันยังมิเคยรับกระบวนท่า ที่แผ่วเบาเยี่ยงนี้มาก่อนเลยสักครั้ง!

 

สุดยอดฝีมือต่อสู้กัน มักจะตัดสินผลแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียว!

กระบวนท่านี้ กลับพลิกแพลงแประเปลี่ยนจนสุดพิสดาร ลึกล้ำไม่อาจหยั่งคำนวณได้!

ความเลิศพิสดารในกระบวนท่านี้ของบั๊กเก้าแช มิใช่อยู่ที่เปลี่ยนแปรได้พลิกแพลง ลงมือได้หนักหน่วง

กระบวนท่านี้ของมัน ที่สามารถพิชิตศัตรู เนื่องเพราะมันลงมือแผ่วเบาเพียงพอ

เอี๊ยบไคก็อดมิได้ต้องนึกชมเชยโดยจริงใจ

จวบจนบัดนี้จึงเข้าใจ ความพลิกแพลงแปรเปลี่ยนของหลักวิชาบู๊ นับว่าไม่อาจหยั่งคำนวณ ไม่มีขอบเขตสุดสิ้นจริงๆ

พริบตาที่ตอเออกางุนงง มือของบั๊กเก้าแช ก็ได้ไถลตามหลังมือของมัน คว้าจับชีพจรข้อมือมันไว้

มันต้องตระหนกอีกครา แต่แม้ตระหนก กลับไม่ปั่นป่วนวุ่นวาย

มืออีกข้างหนึ่งของมันพลันพลิกออก ฟันเข้าใส่ข้อศอกบั๊กเก้าแชอย่างดุดัน

แต่มันก็ลืมความไปเรื่องหนึ่ง

หากชีพจรของคนถูกผู้อื่นบีบไว้ มาตรว่ามีพละกำลังเป็นหมื่นๆ ชั่ง ต่างไม่อาจใช้ออกมาได้อีกแล้ว

เอี๊ยบไคได้ยินเสียงกระดูแหลกดังขึ้น... มิใช่กระดูกของบั๊กเก้าแช เป็นของตอเออกา ตอเออการ้องสุดเสียงด้วยความตระหนก

“ท่าน...”

มันเพียงส่งเสียง ท่าน ได้คำเดียว

ซึ่งก็เป็นคำสุดท้าย ที่ชั่วชีวิตมันสามารถเปล่งออกมา

ประกายดาวแวววับจุดหนึ่งพุ่งเข้าใส่คอหอยมัน

ดาวที่สามารถฆ่าคน!

 

ไม่มีเสียง ไม่มีเสียงแม้สักแผ่วเบา

กระทั่งสายลม ยังชะงักหายไม่โชยพัด

ตอเออกาล้มอยู่ในกองโลหิต พอมันล้มลง ร่างของมันถึงกับคล้ายหดเล็กแห้งฝ่อ

ตอนมันมีชีวิต มิว่าเป็นวีรบุรุษก็ดี เป็นจอมอสูรก็ดี บัดนี้มันกลับเป็นเพียงซากศพเท่านั้น

คนตายก็เป็นคนตาย

แม้นับเป็นคนน่าสะพรึงกลัวที่สุดในพิภพจบแดน เมื่อตายไปแล้ว ก็ไม่ผิดกับคนตายอื่นๆ แต่อย่างไร

หนึ่งเดียวที่ผิดกัน คือมือของมัน

มือของมันยังเป็นประกายอยู่ในแสงดาว คล้ายดั่งยังแสดงอำนาจขู่ขวัญบั๊กเก้าแช

มาตรว่าท่านฆ่าเรา ทำลายตัวเราไป แต่ยังมิได้ทำลายมือของเรา

มือทั้งสองของเรา ยังคงเป็นอาวุธ ที่ไม่มีใดในแดนดินทัดเทียมได้

 

ไม่มีโคมไฟ

บั๊กเก้าแชยืนอยู่ใต้แสงดาว แน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว

การต่อสู้ดุดันผ่านพ้นไป มาตรว่าเป็นผู้มีชัย ยังยากยิ่งจะมิรู้สึก ถึงความเวิ้งว้างและว้าเหว่จนบอกไม่ถูก

มันอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้หรือไม่?

เนิ่นนานให้หลัง มันจึงหันหน้ามา

เอี๊ยบไคกำลังเดินเข้าหา

บั๊กเก้าแชจับตามองเอี๊ยบไค พลันกล่าวขึ้น

“ท่านต้องการเลิกหน้ากาก ดูโฉมหน้าแท้จริงของมันหรือมไ?”

เอี๊ยบไคถอนใจตอบ

“ไม่ต้อง”

“ท่านรู้จักมันเป็นผู้ใดแล้ว”

“ข้าพเจ้าจำมือทั้งสองของมันได้”

“มือที่มีประกาย?”

เอี๊ยบไคดูมือนั้นแล้ว อดมิได้ต้องถอนใจกล่าว

“นับเป็นอาวุธ ที่ไม่มีใดในแดนดินทัดเทียมได้จริงๆ”

ในโลกไม่อาจจะหามือเช่นนี้มาได้อีกแล้วตลอดกาลนาน

บั๊กเก้าแชส่งเสียงราบเรียบ

“แต่เสียดาย มิว่าอาวุธน่าสะพรึงกลัวเพียงใด มันต่างไม่อาจฆ่าคนได้”

เอี๊ยบไคเข้าใจ

ที่ฆ่าคนมิใช่อาวุธ

ที่ฆ่าคนคือคน!

บั๊กเก้าแชกล่าวต่อ

“อาวุธที่น่ากลัวหรือไม่? สำคัญสุดต้องดูว่า มันอยู่ในมือผู้ใด?”

เหตุผลนี้ เอี๊ยบไคย่อมเข้าใจเช่นกัน

บั๊กเก้าแชกล่าวต่อ

“หากกระบวนท่านั้นของเรา ฟาดหนักหน่วงกว่านั้น มือของเราอาจจะถูกมันทำลายไปเสียก่อนก็ได้”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะเห็นพ้อง

“เป็นไปได้อย่างยิ่ง”

“แต่ทว่า กระบวนท่านั้นของเราเบาเพียงพอ ซึ่งนั่นก็เป็นปมสำคัญที่บ่งชี้ผลแพ้ชนะ”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“กระบวนท่านั้น พิสดารอย่างยิ่งจริงๆ”

ยอดฝีมือต่อสู้กัน ปมสำคัญที่บ่งชี้ผลแพ้ชนะ มักอยู่ในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น

เอี๊ยบไคนิ่งอึ้ง พลันก้มลงไปเลิกหน้ากากตอเออกา

 บั๊กเก้าแชกล่าว

“ในเมื่อท่านรู้จักมันเป็นผู้ใด ตอนนี้ยังคิดจะดูมัน?”

“อืมม์”

“คนตาย มิใช่มีที่ใดน่าดูเลย”

“แต่ข้าพเจ้ากลับต้องการดู ตอนมันก่อนตายเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ด้วยหรือไม่?”

 

หน้ากากทองเหลือง เป็นประกายเขียวเรืองอยู่ในแสงดาว

ใบหน้าลู่เต๊กก็เป็นสีเขียว แต่บิดเบี้ยวผิดรูป ตาที่เหลือกถลน เต็มไปด้วยความแตกตื่น หวาดกลัวและไม่เชื่อ

“มันกระทั่งตาย ยังไม่ยอมเชื่อความเรื่องหนึ่ง”

เป็นเรื่องอันใด?

“มันคล้ายกระทั่งตายยังไม่เชื่อ ท่านสามารถฆ่ามันได้”

บั๊กเก้าแชแค่นเสียงเย็นชา

“เนื่องเพราะมันไม่ยอม ดังนั้นมันจึงต้องตาย”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าวช้าๆ

“มีเรื่องบางประการ เป็นที่ผู้คนกระทั่งตายยังไม่ยอมเชื่อถือจริงๆ”

 

เอี๊ยบไคก็มีเรื่องหนึ่งยังไม่เข้าใจ

ในเมื่อตอเออกาเป็นลู่เต๊ก อย่างนั้นปูตาลาเป็นผู้ใด?

คนตายถูกลากไปแล้ว แต่ในกุฏิยังมิได้จุดโคมไฟ

เอี๊ยบไคถาม

“ตอนค่ำคืน ท่านมิจุดโคมไฟเลย?”

บั๊กเก้าแชย้อนถาม

“ไฉนต้องจุดโคมไฟ?”

เป็นคำย้อนถามที่พิสดารอย่างยิ่ง เอี๊ยบไคถึงกับถูกถามจนงุนงงไป ชั่วครู่จึงฝืนยิ้มกล่าว

“แต่ละคนเมื่อถึงยามค่ำคืน ต่างต้องจุดโคมไฟทั้งสิ้น เมื่อจุดโคมไฟ จึงพอจะเห็นเรื่องอีกมากหลายได้ชัดเจน”

“ไม่จุดโคมไฟ เราก็สามารถเห็นได้กระจ่างชัดเช่นกัน”

“ข้าพเจ้าเห็นไม่ชัด”

“เฮอะ ท่านไปได้ทุกเวลา เรามิได้เหนี่ยวรั้งท่านเลย”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“แต่ท่านก็มิได้ขับไล่ข้าพเจ้าไป”

“เราไม่จำเป็น”

“ไม่จำเป็น?”

“ถึงเวลาสมควรไป ท่านย่อมยังต้องไป”

“ต้องเป็นเวลาใดจึงสมควรไป”

“เวลาหาโกวฮง (ปูตาลา) พบ”

ดวงตาเอี๊ยบไคสุกใสอีกครา รีบถามไป

“ท่านทราบโกวฮงเป็นผู้ใดแล้ว?”

บั๊กเก้าแชไม่ตอบแต่ย้อนถาม

“ท่านเข้าใจอยู่เสมอมาว่า ลู่เต๊กก็คือโกวฮง?”

เอี๊ยบไคมิอาจปฏิเสธ ต้องฝืนยิ้มตอบ

“เนื่องเพราะมันเป็นคนที่ทระนงโอหังอย่างยิ่งจริงๆ”

“ตอนนี้ท่านแน่ใจได้แล้วว่า มันมิใช่ปูตาลา”

“โกวฮง (ปูตาลา) บาดเจ็บแล้ว ลู่เต๊กยังมิได้บาดเจ็บ”

เอี๊ยบไคตรวจโดยละเอียดมา บาดแผลเพียงหนึ่งเดียวที่มีในตัวลู่เต๊ก คือดาวที่บั๊กเก้าแชยิ่งใส่คอหอยมัน

บั๊กเก้าแชกล่าว

“ท่านแน่ใจว่าโกวฮงบาดเจ็บ?”

“มีคนเห็นกับตา”

“เป็นผู้ใดเห็นมากับตา?”

“เป็นคนที่ข้าพเจ้าเชื่อถือได้สนิทใจ”

“เฮอะ คนที่ท่านเชื่อถือคล้ายดั่งไม่น้อย”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“ข้าพเจ้าก็ทราบ นี่เป็นจุดอ่อนที่สุดของข้าพเจ้า แต่เสียดายที่ข้าพเจ้ามักไม่อาจกลับกลาย”

บั๊กเก้าแชมิส่งเสียงอีก

มาตรว่าหมวกหญ้าขาดไปแล้ว แต่ยังพอดีบังใบหน้ามันไว้ มิว่าผู้ใดต่างไม่อาจเห็นสีหน้ามัน

อาจบางที ใบหน้ามันไม่มีความรู้สึกใดพอให้จับเค้าอยู่เลย

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถามอีก

“ท่านไฉนยังสวมหมวกหญ้าที่ขาดแล้ว?”

“เนื่องเพราะทางภายนอกมีสุนัขเห่าอยู่”

“ไฮ้ ภายนอกมีสุนัขเห่า เกี่ยวข้องใดกับท่านที่ต้องสวมหมวก?”

“เฮอะ เราสวมหมวกหรือไม่? เกี่ยวข้องใดกับท่านอีก?”

เอี๊ยบไคหัวร่อแล้ว

เอี๊ยบไคพลันพบเห็น ผู้นี้แม้เงียบขรึมมิใคร่กล่าววาจา ความจริงเป็นคนมีคารมคมคายยิ่ง วาจาที่กล่าวมา มักจะอุดปากของผู้อื่นจนมิอาจตอบโต้เสมอ ทั้งบันดาลให้ผู้อื่นมิเพียงไม่อาจโต้เถียงเท่านั้น ยังไม่มีปัญญาสืบถามสืบไปอีกด้วย

แต่เอี๊ยบไคพาลยังมีวาจาต้องการถาม และต้องถามให้ได้อีกด้วย

บั๊กเก้าแชผูกเชือกไว้ที่ตะปูทั้งสองตัวนั้นแล้วถึงกับนอนบนเชือกจริงๆ และยังมีทีท่าสุขสบายอย่างยิ่งอีกด้วย

ตอนมันนอน มันคงสวมหมวกหญ้าไว้

ในกุฏิไม่มีโต๊ะเก้าอี้ใดๆ เอี๊ยบไคจึงจำต้องยืนอยู่ เลียบเคียงถาม

“ฟังว่าแชเซี้ยเป็นหนึ่งในสามสิบหกถ้ำ ที่นักพรตสำเร็จมรรคผล ถ้ำนั้นงามปานวิมานแมนแดนมนุษย์ จริงหรือไม่?”

บั๊กเก้าแชไม่แยแส

เอี๊ยบไคถามอีก

“พวกท่านปลีกตัวไปอยู่ในสถานที่ใด? จะต้องเป็นอุทยานสวรรค์ในแดนมนุษย์เป็นแน่ แต่มิทราบข้าพเจ้ามีบุญวาสนาได้ไปเห็นสักคราหรือไม่?”

บั๊กเก้าแชยังคงไม่แยแสสนใจ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ฟังว่า สถานที่นั้นไม่เคยมีคนนอกไปเลย พวกท่านก็ไม่ต้องการคบค้าหาสู่กับคนภายนอก แต่เมื่อท่านออกมา ก็หาตอเออกาพบ ความสามารถของท่านกลับไม่น้อยเลย”

บั๊กเก้าแชพริ้มตา คล้ายดั่งหลับไปแล้ว

แต่เอี๊ยบไคยังไม่ท้อแท้ ถามขึ้นอีก

“ท่านไฉนจึงทราบตอเออกาคือลู่เต๊ก? ท่านไฉนหามันพบได้?”

บั๊กเก้าแชพลันพลิกตัว กระโดดลงจากเชือก ก้าวอาดๆ ออกไป

เอี๊ยบไคย่อมติดตามหลัง กล่าวขึ้นอีก

“ท่านจะไปที่ใด?”

“ไปหาของสิ่งหนึ่ง”

“หาของใด? ใช่ไปหาปูตาลาหรือไม่? ท่านสามารถหามันพบ?”

“ของที่เราหา หากท่านต้องการ เราพอจะแบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่ง”

“ท่านจะไปหาในที่ใด?”

“ที่นี้เอง”

“ที่นี้มีของใดสมควรหา?”

บั๊กเก้าแชไม่ตอบอีกแล้ว แต่ล้วงขวดไม้ออกจากเสื้อ ในขวดเป็นผงเช่นกัน แต่เป็นสีเหลืองคล้ำ

มันโรยผงสีเหลืองคล้ำบนพื้น โรยเป็นวงกลม แต่เหลือไว้เป็นทางเข้าช่องหนึ่ง จากนั้น จึงยืนสงบรออยู่ที่ด้านข้าง

เอี๊ยบไคไม่เข้าใจเลย จึงต้องถาม

“ท่านกำลังทำกระไร?”

“กำลังปรุงอาหาร”

“ปรุงอาหาร?”

เอี๊ยบไคยิ่งไม่เข้าใจ บั๊กเก้าแชจึงกล่าว

“แต่ละคนต่างต้องกินอาหาร เราก็เป็นคน”

เอี๊ยบไคยังคิดจะถาม พลันเห็นในลานวัด มีแสงไฟปรากฏจุดหนึ่ง หลวงจีนผอมๆ สูงๆ รูปหนึ่ง มือซ้ายหิ้วโคม มือขวายกถาดไม้ เดินเข้ามาทางด้านหน้า ใบหน้ายังมีแวววหวาดกลัวสามส่วน ลังเลสามส่วน คิดจะเข้ามาแต่ไม่กล้า

หลวงจีนรูปนี้คือโค้วเต็กนั่นเอง

บั๊กเก้าแชกล่าว

“ท่านมาทำกระไร?”

“อาตมามาส่งของ”

“ส่งของใด?”

“ซากศพถูกอาตมาเก็บฝังแล้ว นี่เป็นของที่อาตมาหามาจากในตัวมัน... อยู่ที่นี้ โดยสิ้นเชิง”

บั๊กเก้าแชแค่นเสียงเย็นชา

“หลวงจีนท่านกลับยังสัตย์ซื่อยิ่ง”

โค้วเต็กฝืนยิ้มตอบ

“หลวงจีนแม้บางครั้งจะละโมบบ้าง แต่ยังไม่ถึงกับฮุบของในตัวคนตายไว้เป็นสมบัติ”

กล่าวแล้วเดินช้าๆ เข้ามา วางถาดไม้ลงแล้วหลบหน้าออกไปทันที

หลวงจีนย่อมกลัวเรื่องยุ่งยาก ยิ่งไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระให้มากความ

เอี๊ยบไคกล่าว

“ข้าพเจ้าเห็นว่า คนเราพอเป็นหลวงจีน คิดจะไม่ซื่อก็ไม่ได้แล้ว”

บั๊กเก้าแชกล่าว

“ดังนั้น ท่านก็ควรไปเป็นหลวงจีน เป็นหลวงจีนแล้ว ท่านอย่างน้อยพอจะมีชีวิตยืนยาวกว่าปกติบ้าง”

------------------------

ในถาดมีดาบงอห้าเล่ม ป้ายหยกอันหนึ่ง ไข่มุกสิบแปดลูก ยังมีจดหมายที่ฉีกแล้วฉบับหนึ่ง

ที่สลักอยู่ในป้ายหยก เป็นคทาอำนาจจริงๆ สี่จ้าวฟ้าใหญ่ของม้อก้า ในตัวแต่ละคน คล้ายมีป้ายหยกเช่นนี้อยู่อันหนึ่ง

นี่มิใช่น่าประหลาดใจ ที่ประหลาดยังคงเป็นจดหมายฉบับนั้น

จดหมายที่เขียนด้วยโลหิตสดๆ มีอักษรเพียงสิบกว่าตัว

“เข้าเชี่ยงอันในเที่ยงตรงของชิวซา (ขึ้นสามค่ำของปี) พบกันที่ประตูเอี้ยงเพ้ง โปรดรอคอย”

ท้ายจดหมายไม่มีนาม แต่วาดยอดเขาโดดเดี่ยวไว้

โกวฮง!

เอี๊ยบไคระบายลมจากปากยาวๆ กล่าว

“นี่ต้องเป็นจดหมายที่โกวฮงเขียนให้ตอเออกา ต้องการให้ตอเออกาไปรอมันที่ประตูเอี้ยงเพ้ง”

“ชิวซาก็เป็นพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้มันจะมาจริงๆ?”

“ย่อมต้องมา มันมิทราบว่า ตอเออกากลายเป็นคนตายไปแล้ว”

“ตอนนี้มันอยู่ที่ใด? หรือสถานที่นั้นไม่มีหมึกพู่กัน มันไฉนต้องใช้โลหิตมาเขียนจดหมาย?”

“ความหมายของจดหมายโลหิต ปกติมีเพียงสองสถาน”

“สองสถานใด?”

“หนึ่งคือ เขียนสั่งเสียตอนมีอันตรายใกล้จะตาย อีกหนึ่งแสดงว่า สถานการณ์คับขันเลวร้ายที่สุด”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“นี่อาจบางที เพียงเนื่องเพราะมันบาดเจ็บ กำลังมีโลหิตหลั่งไหลออกมา”

“คนของม้อก้าเขียนจดหมายโลหิต ปกติมิใช่ใช้โลหิตในตัวมัน”

“ท่านเห็นว่า จดหมายนี้เป็นความจริง?”

“ต้องไม่แปลกปลอมเด็ดขาด”

“ท่านไฉนแน่ใจถึงปานนี้ได้?”

บั๊กเก้าแชเม้มปากไว้อีกครา

ขณะเวลานั้น ในป่าไผ่พลันมีเสียงประหลาดพิกลดังขึ้น

เป็นเสียงที่ไม่มีปัญญาเปรียบเทียบบรรยาย เป็นเสียงไม่อาจคาดคิดคำนวณได้

มิว่าผู้ใดได้ยินเสียงนี้ ต่างต้องขนลุกเกรียว กระทั่งยังอดมิได้ต้องอาเจียน

ที่เอี๊ยบไคได้เห็น กลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเสียงนี้เสียอีก

เอี๊ยบไคพลันพบเห็น อสรพิษ จิ้งจก ตะขาบใหญ่ไ เล็กๆ จำนวนมากมายนับมิถ้วน กำลังเลื้อยคล้านออกมาจากป่าไผ่ เลื้อยคลานเข้าไปในวงกลมที่บั๊กเก้าแชใช้ฝุ่นเหลืองคล้ำโรยไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น