วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) ดำเนินแผนแก้มือ

 

ดำเนินแผนแก้มือ

แสงอาทิตย์เจิดจ้าแจ่มใส

เอี๊ยบไคก้าวยาวๆ อยู่ในแสงอาทิตย์

มาตรว่าใบหน้ายังมีน้ำตา แต่เอี๊ยบไคทราบ น้ำตาก็เช่นเดียวกับโลหิต เมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์เช่นนี้ จะแห้งได้รวดเร็วยิ่ง

น้ำตาแห้งแล้ว โลหิตก็แห้ง

คราบน้ำตานั้นมองไม่เห็น แต่คราบโลหิตที่หลงเหลือจะต้องใช้น้ำตาและโลหิตมาล้าง จึงจะหมดสิ้นไปได้

ใช้ฟันต่อฟัน ใช้เลือดต่อเลือด!’

ปกติเอี๊ยบไคมักใช้อโหสิมาแทนการล้างแค้นเสมอ มีดของเอี๊ยบไค ปกติมิใช่เป็นมีดฆ่าคน

แต่จิตใจเอี๊ยบไคตอนนี้ ถึงกับเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาลและอาฆาตแค้น!

เอี๊ยบไคพลันรู้สึก ตนเป็นหุ่นที่น่าหัวร่อ ถูกคนใช้ด้ายที่มองไม่เห็น ชักกระโดดโลกเต้นอยู่ตลอดเวลา

เอี๊ยบไคไม่ต้องการถูกคนกลั่นแกล้งอย่างโง่เขลาเยี่ยงนี้สืบไป ยิ่งไม่ต้องการเป็นเครื่องมือถูกผู้อื่นใช้

ไม่มีผู้ใดยินยอมเป็นหุ่นให้เชิดแน่

มิว่าความอดกลั้นของผู้ใด ต่างมีขอบเขตจำกัด เอี๊ยบไคก็เช่นเดียวกัน!

-----------------------

แผ่นดินที่มีหิมะ ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนกลายเป็นพื้นสีเหลืองซีด

บนทางหลวงใหญ่นอกนครเชี่ยงอัน โคลนแห้งไปแล้ว แต่ไม่เห็นมีผู้เดินทาง

ไม่มีผู้ใดต้องการเดินทางในวันชิวยี่ของปี

มีแต่เอี๊ยบไค

เอี๊ยบไคพบรถเทียมล่อคันหนึ่ง แต่หาสารถีขับรถไม่ได้

เอี๊ยบไคไม่กังวล

เอี๊ยบไคนอนบนพื้นรถที่บรรทุกถ่านหิน ปล่อยให้ล้อเทียมรถวิ่งไปตามทางหลวงใหญ่โดยไม่นำพา

พื้นรถยังมีเศษถ่านหิน ตำจนตลอดร่างปวดแปลบ แต่เอี๊ยบไคไม่กังวล

ล่อเทียมรถถึงกับวิ่งไม่ช้า ตอนไม่มีแส้ไล่โบย มันกลับยังวิ่งได้คึกคัดกว่าธรรมดา

ความจริง ล่อก็มีสันดานเช่นนี้

ประหลาดที่ว่า ในโลกมีคนสันดานเช่นนี้อยู่มากหลาย เฉกเช่นกับล่อเทียมรถ ไม่ผิดเพี้ยน

เอี๊ยบไคถึงกับซื้อถั่วยี่สงห่อใหญ่ นอนแกะอยู่ในตัวรถ แกะเม็ดหนึ่งแล้ว โยนขึ้นไปอ้าปากรับมันไว้ ค่อยๆ เคี้ยวอย่างสุขุม

เอี๊ยบไคเองก็ไม่ทราบ ไปเพาะนิสัยนี้ตั้งแต่เมื่อใด อาจบางทียังไม่ลืมมือกะเทาะถั่วยี่สงโล่วเซี่ยวเกีย ที่แต่ละครั้งจะฆ่าคน เป็นต้องกินถั่วยี่สงก่อนสักหลายเม็ดก็ได้

เสียดายที่ตอนนี้ไม่มีสุรา เอี๊ยบไคลืมซื้อมา

หลังจากเมาจนสิ้นสติแล้ว หากวันรุ่งขึ้นสามารถได้ดื่มสุรา “คืนวิญญาณ (ฮ่วงฮุ้นจิ้ว... หมายถึงถอน) สักหลายจอก จะต้องรู้สึกสุขสบายขึ้นได้ทันที

ตอนเมื่อเอี๊ยบไคนึกถึงสุรา ก็เห็นชายธงสีเขียวที่บอกขายสุรา พลิ้วอยู่ในไม้โกร๋นทางด้านข้าง

แม้นับเป็นวันชิวยี่ของปี ก็ต้องไม่ใช่ปราศจากผู้ต้องการกำไรหาเงินทางเด็ดขาด

เอี๊ยบไคหัวร่อพลางรำพึงกับตัวเอง

“ดูท่า ชะตาของเราเริ่มดีขึ้นทีละน้อยแล้ว”

ตอนปรารถนาจะดื่มสุรา พลันมีสุราให้ดื่มได้ โชคเยี่ยงนี้นับว่าไม่เลวจริงๆ

เอี๊ยบไคกระโดดขึ้นจากที่นอน จูงรถเทียมล่อไปไว้ข้างทางแล้ว เดินช้าๆ เข้าไปในป่าพุทราที่ยังมีหิมะสุมหนา

ในป่ามีเก๋งสุราเล็กๆ อยู่จริ ยังมีอีกเจ็ดแปดคน ยืนแน่วนิ่งอยู่นอกเก๋งสุรา ยืนเหลือกตาอ้าปากค้าง คล้ายดั่งเป็นกลุ่มคนที่ปั้นจากดินโคลนก็ปาน

หนึ่งในจำนวนนั้นยังมีผ้าขาวพันศีรษะ พอเห็นเอี๊ยบไคเดินเข้าไป ใบหน้าปรากฏแววแตกตื่นขวัญเสีย

เอี๊ยบไคกลับหัวร่อ

เอี๊ยบไคจำคนผู้นี้ได้ มันก็คืออันธพาลประจำถิ่นที่เมื่อค่ำวาน ต้องการให้เอี๊ยบไคประลองมีดกับมันให้ได้นั่นเอง

“โท้วป้าจื้อ (เสือดาวประจำถิ่น) โท้วตั้วกอ”

เอี๊ยบไคพลันนึกถึงนามที่ผู้อื่นตั้งให้มัน แย้มยิ้มเดินเข้าไปกล่าว

“โท้วตั้วกอ ท่านสร่างเมาแล้ว?”

ใบหน้าโท้วป้าจื้อเขียวคล้ำ คิดจะผงกศีรษะ แต่ลำคอกกลับคล้ายเป็นท่อนไม้ ตลอดร่างคล้ายดั่งแข็งจนเป็นท่อนไม้

มิเพียงมันเท่านั้น อีกหกเจ็ดคนก็เป็นเช่นกัน

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ผู้ถูกทุบตี (ซ้อม) ไม่หวาดกลัว คนที่ทุบตีผู้อื่นไฉนกลับหวาดกลัวได้? ใช่หรือไม่ว่า กระดูกของเราแข็งเกินไป ทำให้มือเท้าพวกท่านเจ็บปว อย่างนั้นก็เป็นที่เสียใจยิ่ง

เอี๊ยบไคเดาไม่ผิด มือของพวกเหล่านี้ ต่างเขียวช้ำจนบวม

คนที่สามารถฝึกวิชาบู๊ถึงระดับเอี๊ยบไค มาตรว่าอยู่ในระหว่างเมาจนแทบครองสติมิได้ ยังคงมีความสามารถป้องกันตัวเช่นกัน

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“แต่ท่านทั้งหลายไม่ต้องหวาดกลัว เรามิใช่มารังควานหาเรื่องพวกท่าน มีโอกาสได้นอนบนกองขยะสักคืน ก็เป็นเรื่องสนุกสนานน่าสนใจมาก เรากำลังคิดจะขอบใจพวกท่านอย่างงามสักครั้ง”

ตบบ่าโท้วป่าจื้อเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“มา... ให้เราเลี้ยงสุราท่านสักสองจอก”

ใบหน้าโท้วป้าจื้อมีแววหวาดหวั่นขวัญเสียกว่าเดิม เอี๊ยบไคจึงถาม

“ท่านยังกลัวกระไร?”

ในที่สุด โท้วป้าจื้อกล่าว

“เล่าตั้ว (พี่ใหญ่) พวกเรา ทราบท่านเป็นชายชาตรีที่มีความเข้มแข็ง เพียงแต่ว่า ที่พวกเรากลัว กลับมิใช่ท่าน”

เอี๊ยบไคตะลึงลานไป ก่อกวนเป็นครึ่งวัน ที่แท้ผู้อื่นหาใช่กลัวตนไม่

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“แล้วพวกท่านกลัวอะไร?”

โท้วป้าจื้อฝืนยิ้มตอบ

“พวกเราเพียงกลัว ของบนศีรษะพวกเราร่วงหล่น พวกเราก็ต้องตายไม่มีทางรอด”

จนบัดนี้ เอี๊ยบไคจึงพบเห็น กลางขม่อมของพวกทั้งหลายมีเหรียญทองเหลืองวางอยู่อันหนึ่ง

เหรียญทองเป็นประกายในแสงอาทิตย์ คล้ายดั่งเป็นทองคำก็ปาน

“กิมจี๊ปัง (พรรคเหรียญทอง) !

โท้วป้าจื้อระบายลมจากปากยาวๆ แล้วกล่าว

“ในเมื่อท่านก็ทราบกฎของกิมจี๊ปัง เราย่อมวางใจได้แล้ว”

เอี๊ยบไคกะพริบตาถาม

“กฎใดกัน?”

ความจริงเอี๊ยบไคย่อมทราบ นี่เป็นกฎของพรรกิมจี๊ปัง

เหรียญทองเหลืองเยี่ยงนี้ คือสัญลักษณ์ของพวกมัน หากพวกมันวางเหรียญทองเหลืองอยู่บนศีรษะท่าน ท่านกระทั่งเคลื่อนไหวก็ยังไม่อาจ

โท้วป้าจื้อกล่าว

“ท่านมิทราบจริงๆ? ขอเพียงท่านกระทบเหรียญทองเหลืองบนศีรษะพวกเราร่วงหล่นลง พวกเราต้องตาย ท่านก็ต้องตาย พวกเราทั้งหลาย ต่างมีทางตายเหลืออยู่เพียงสายเดียว”

เอี๊ยบไคหัวร่ออีก ส่วนหน้าหัวร่อกล่าว

“ไหนเลยมีกฎเลวร้ายปานนี้? เราไม่เชื่อ”

เอี๊ยบไคพลันยื่นมือหยิบเหรียญทองเหลืองบนศีรษะโท้วป้าจื้อแล้วรำพึง

“เหรียญอันนี้ มีทราบจะซื้อสุราดื่มได้สักจอกหรือไม่?”

โท้วป้าจื้อแตกตื่นจนตาเหลือกค้างปากอ้ากว้าง ดุจดั่งถูกคนโบยเข้าแส้หนึ่ง เท้าทั้งสองอ่อนระทวยพลันคุกโครมลงไป

แต่เอี๊ยบไคคล้ายไม่เห็น ยังส่งเสียงต่อ

“เหรียญเดียวคงไม่พอซื้อสุราแน่ ดีที่ยังมีอีกหลายเหรียญ”

พลันแฉลบกายขึ้นจากพื้น ตอนพลิ้วลงอีกครา เหรียญบนศีรษะอีกหกเจ็ดคน ต่างอยู่ในมือเอี๊ยบไคหมดสิ้น

พวกเหล่านั้นต่างหวาดหวั่นจนขวัญหนีดีฝ่อ ชั่วชีวิตพวกมัน ยังมิเคยเห็นท่าร่างที่รวดเร็วถึงปานนี้มาก่อนเลย

โท้วป้าจื้อที่คุกเข่าอยู่พลันร้องสุดเสียง

“นี่เป็นมันกระทำ มิใช่เป็นความต้องการของพวกเรา พวกเราไม่เกี่ยวข้องด้วย”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“นี่ความจริง มิใช่เกี่ยวข้องกับพวกท่านอยู่แล้ว”

เอี๊ยบไคล้วงถั่วขึ้นหลายเม็ด วางไปในมือโท้วป้าจื้อพลางถาม

“ท่านทราบนี่เป็นความหมายใดหรือไม่?”

โท้วป้าจื้อย่อมไม่ทราบ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ความหมายนี้เป็นว่า พวกท่านตอนนี้พอจะลุกขึ้นมาดื่มสุราได้ แล้วแต่จะไปแห่งหนใดก็ได้ หากคนของกิมจี๊ปังกล้าไปรังควานหาเรื่องพวกท่าน ก็เรียกให้มันมาหาประมุขพรรคฮวยแซปัง (ถั่วยี่สง) บอกประมุขพรรคถั่วยี่สง ได้อ้าแขนรับเรื่องราวนี้ไว้แล้ว”

โท้วป้าจื้ออดมิได้ต้องถาม

“ประมุข.. พรรคถั่วยี่สงเป็นผู้ใด?”

เอี๊ยบไคชี้ปลายจมูกตัวเองพลางกล่าว

“คือเรานี่เอง”

โท้วป้าจื้อตะลึงลานเช่นกัน

พลันมีคนผู้หนึ่งแค่นเสียงเย็นชา

“ประเสริฐมาก อย่างนั้นพวกเราตอนนี้หาท่านเลยก็แล้วกัน”

 

เสียงยะเยียบเย็นชา ถ้อยคำยะเยียบโอหัง

ตัวของผู้ส่งเสียงก็ยะเยีบเย็นชา ใบหน้าเหลืองซีด ตาสุนัขจิ้งจอกจมูกปากเหยี่ยว ใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นยาว บันดาลให้ใบหน้ามันยิ่งเหี้ยมอำมหิต

เอี๊ยบไคมิได้เหลือบมองมัน... ที่เอี๊ยบไคสนใจสังเกตเพียงเสื้อผ้าที่มันสวมใส่

เสื้อสีเหลืองที่สะดุดตายิ่ง ดูในแสงอาทิตย์ เป็นประกายคล้ายทองคำไม่ผิดเพี้ยน

มันหยุดยืนบนบันไดศิลาของเก๋งสุรา ยังมีอีกสามคนยืนสงบอยู่ด้านหลัง ต่างสวมอาภรณ์สีทองเช่นเดียวกัน

เอี๊ยบไคหัวร่อพลางกล่าว

“เสื้อผ้าในร่างพวกท่านกลับไม่เลว มิทราบจะยอมถอดให้เราดูหรือไม่? เรากำลังต้องการ นำไปให้ล่อตัวนั้นของเราสวมใส่อยู่พอดี”

คนเสื้อเหลืองถลึงจ้องแน่วนิ่ง แก้วตาหดเล็กลงทีละน้อย ถึงกับยังข่มกลั้นไว้ได้ แค่นเสียงเย็นชา

“ท่านทราบกฎของพรรคเราหรือไม่?”

“เมื่อครู่เพิ่งได้ยิน”

“สี่สิบปีที่ผ่าน ยังไม่มีชนชาวนักเลงใด กล้าฝ่าฝืนกฎของพรรคเรา ท่านทราบเพราะสาเหตุใดหรือไม่?”

“ท่านลองบอกมาฟังดูก็ได้”

“เนื่องเพราะมิว่าผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎของพรรคเรา มันผู้นั้นต้องตายแน่นอน”

คนเสื้อเหลืองอีกผู้หนึ่งแค่นหัวร่อกล่าว

“มิว่าท่านเป็นประมุขพรรคถั่วยี่สงก็ดี เป็นประมุขพรรคแตงกวาก็ดี ต่างต้องตายแน่นอนเด็ดขาด”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“แต่มิว่าเป็นกฎใด จะเร็วจะช้าก็ต้องถูกคนฝ่าฝืนสักครา ซึ่งคล้ายดรุณีพรหมจารี จะเร็วจะช้าย่อมต้องวิวาห์ให้บุรุษ”

คนเสื้อเหลืองเหลือบมองสบกันแวบหนึ่งแล้วจึงก้าวช้าๆ ลงจากบันไดศิลาด้วยสีหน้าเหี้ยมอำมหิต

ฝีเท้าทั้งสี่ต่างหนักแน่นมั่นคง โดยเฉพาะชายฉกรรจ์หน้าบาก (หน้าแผลเป็น) ขมับสองข้างนุนเด่น เส้นเลือดที่มือขึ้นเขียวโปน แสดงว่ามีกำลังภายในกล้าแข็ง เป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มเต็มภาคภูมิ

เอี๊ยบไคดูมือมันแล้วพลันถามขึ้น

“หรือท่านฝึกหลักวิชาไต้เอ็งเยี้ยวลัก (พลังกรงเล็บเหยี่ยว)?”

คนเสื้อเหลืองแค่นหัวร่อ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“ดูรอยแผลเป็นบนใบหน้าท่าน หรือท่านก็คือทิมิ่นเอ็ง (เหยี่ยวหน้าเหล็ก) ของไฮว้ไซ?”

คนเสื้อเหลืองแค่นหัวร่อตอบ

“สายตาท่านกลับไม่เลว”

เอี๊ยบไคปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าวสวนคำ

“ท่านทราบก้วยเต๋งเป็นผู้ใดหรือไม่?”

“คล้ายเคยได้ยิน”

“มันเป็นสหายของเรา”

“เป็นสหายของท่านแล้วเป็นไร”

“ท่านรู้จักกับกฎสำนักถั่วยี่สงหรือไม่?”

“กฎใดกัน?”

“กฎของพรรคถั่วยี่สง คือไม่ยอมให้ผู้อื่นฆ่าสหายของเรา มิเช่นนั้น...”

“มิเช่นนั้นเป็นไร?”

เอี๊ยบไคพลันลงมือ ต่อยใส่ใบหน้าทิมิ่นเอ็ง (เหยี่ยวหน้าเหล็ก)

 

ทิมิ่นเอ็งมิใช่เป็นชนชั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม และมิใช่เป็นผู้ไร้ความสามารถ มันมิเพียงมีชื่อกระเดื่องเกรียงไกรที่สุดในดินแดนไฮว้ไซเท่านั้น ในบู๊ลิ้มกว้างใหญ่ นับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งได้เช่นกัน

เนื่องเพราะมันมีวิชาฝีมือแท้จริง

พลังกรงเล็บเหยี่ยวของมัน ได้รับถ่ายทอดจากเคล็ดวิชาที่แท้จริงของเอ็งเอี่ยวอ๊วง (พญาเล็บเหยี่ยว) มาตรว่าไฮว้ไซตั้วกอ (ดาบใหญ่ไฮว้ไซ) ที่เคยมีชื่ออยู่ในตำราอาวุธสมัยกระโน้น ฟันใส่หน้ามันดาบหนึ่ง ถึงกับไม่อาจฟันมันตาย ตัวไฮว้ไซไต้ตอเอง กลับตายอยู่ในพลังกรงเล็บเหยี่ยวของมัน

นามทิมิ่นเอ็งจึงได้มาเพราะเรื่องนั้น

กรงเล็บเหยี่ยวเร็ว ตาเหยี่ยวก็เร็ว

แต่รอจนเมื่อมันเห็นเอี๊ยบไคสะบัดหมัดต่อยไป หมัดก็ได้กระแทกใส่ดั้งจมูกของมันอย่างแม่นยำ!

มันไม่รู้สึกเจ็บปวด

หากมันจะรู้สึกเจ็บปวดได้ คงต้องเป็นเวลาอีกเนิ่นนานให้หลัง

ที่มันรู้สึกในตอนนี้ เพียงเบื้องหน้าพลันกลายเป็นมืดมิด พลันมีดาวทองจำนวนมากมาย ปรากฏขึ้นในสายตาจนระยิบระยับ

มันมิได้ล้มลงทันที

จวบจนร่างปลิวกระเด็นออกไปไกลกว่าสองวา กระแทกใส่กรอบประตูของเก๋งศิลา มันจึงได้ล้มลง

มันก็มิได้ยินเสียงกระดูกใบหน้าของมันแตก แต่ผู้อื่นกลับได้ยินถนัดชัดหู

เอี๊ยบไคมองหน้ามันที่ถูกต่อยแตกแล้ว กล่าวเสียงราบเรียบ

“ที่แท้ท่านมิใช่มีใบหน้าเหล็กจริงๆ ที่แท้หน้าท่านก็ถูกต่อยแหลกเละได้เช่นกัน”

คนชุดเหลืองอีกสามนั้น ต่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแนบแน่น กระทั่งยังมิได้เหลียวไปมองพวกพ้องของมัน

ประกายแวววับพุ่งวูบวาบ ทั้งสามต่างชักอาวุธออกพร้อมกัน ตาบเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่ง พู่กันจี้จุดคู่หนึ่ง

อาวุธทั้งสี่ของคนทั้งสาม พลันระดมใส่เอี๊ยบไคที่อยู่กลางโดยพร้อมเพรียงกัน

พอสองกระบวนท่าผ่านพ้น เอี๊ยบไคพบเห็นแล้ว ผู้มีฝีมือสูงสุดในพวกประเภทนี้ มิใช่เป็นบุรุษหนุ่มที่ใช้กระบี่

เพลงกระบี่ของมันกราดเกรี้ยวปราดเปรียว พลิกแพลงซับซ้อนสูงส่ง กระทั่งที่มันใช้ก็เป็นกระบี่ล้ำค่า

สิบสามกระบวนท่าให้หลัง เอี๊ยบไคยังมิได้ลงมือ

เอี๊ยบไคพอลงมือ ต้องไม่พลาดพลั้งเด็ดขาด

 

บัดนี้ เอี๊ยบไคลงมือแล้ว แต่มีเสียงร้องด้วยความแตกตื่น เสียงกระดูกดังสับสน จากนั้นเป็นเสียงเปาะสดใส

ชายชราที่ใช้พู่กันจี้จุดกลับถูกจี้จุดไว้ ชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบประคองชายโครงมันนอนกับพื้น ดาบมันถูกหักเป็นสองท่อนแล้ว

มีแต่บุรุษหนุ่มที่ใช้กระบี่มิได้ล้มลง แต่สีหน้าของมันแตกตื่นจนเผือดขาวราวซากศพ

เอี๊ยบไคทิ้งดาบหักสองท่อนในมืออย่างไม่แยแส หันถามบุรุษหนุ่ม

“ท่านทราบหรือไม่? เราไฉนจึงหักดาบมันทิ้ง?”

บุรุษหนุ่มสั่นศีรษะ

เอี๊ยบไคกล่าวเสียงราบเรียบ

“เนื่องเพราะมันลงมืออำมหิตชั่วร้ายเกินไป คนประเภทมัน ไม่คู่ควรใช้ดาบ

บุรุษกำกระบี่มันแนบแน่น อดมิได้ต้องถาม

“ท่านก็ใช้ดาบ?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ

ดาบเมื่อย่อเล็กลงก็กลายเป็นมีด ในโลกอาจบางทีไม่มีผู้ใดรู้จักใช้มีดยิ่งกว่าเอี๊ยบไค และไม่มีผู้ใดยิ่งเข้าใจคุณค่าของมีดได้กระจ่างเท่าเอี๊ยบไคด้วย

“ข้าพเจ้าให้ความเคารพต่อดาบเสมอมา หากท่านไม่เคารพดาบของท่าน ท่านก็ไม่คู่ควรใช้ดาบ หากท่านเคารพดาบของท่าน ตอนใช้มันก็สมควรระวังให้สุขุมเป็นพิเศษ”

บุรุษหนุ่มจ้องมองเอี๊ยบไค ดวงตามีประกายแตกตื่นสงสัยโดยไม่อาจข่มกลั้น

มันดูออกแล้ว เอี๊ยบไคมิใช่เป็นคนธรรมดา คนธรรมดาต้องกล่าวเหตุผลเช่นนี้ไม่ออกเด็ดขาด

มันอดมิได้ต้องถาม

“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่?”

“ข้าพเจ้าแซ่เอี๊ยบ เรียกว่าเอี๊ยบไค”

“เอี๊ยบไค?”

บุรุษหนุ่มร้องโพล่งสุดเสียง ด้วยความแตกตื่นจนหน้าบิดเบี้ยว เอี๊ยบไคกล่าว

“ใช่ เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้ ไคที่แปลว่าเบิกบาน”

บุรุษหนุ่มพลันตีลังกาขึ้นอากาศ โฉบปราดออกนอกป่าที่ใบร่วงหล่มจนโกร๋น

แต่มันพอพุ่งตัวพ้นพื้น พลันได้ยินเสียงพลังลมแหลมเล็กรุนแรง ประกายมีดวูบขึ้นแวบหนึ่ง

ประกายมีดที่เร็วดั่งสายฟ้า เฉียดผ่านศีรษะมันไปไกลอีกสิบกว่าวา ยังคงมีพลังรุนแรงมิโทรม ปักฉึกลงที่ลำต้นไม้ คมมีดหายลงหมดส้น เหลือแต่ด้ามโผล่อยู่เท่านั้น

บุรุษหนุ่มตระหนกจนต้องชะงักเท้า ผมก็สยายลงมาประบ่า ที่แท้ห่วงทองรัดมวยผม ถูกมีสั้นกรีดขาดไปแล้ว

ตัวมันชาด้านจนแข็งไปทันที

ชั่วชีวิต ยังมิเคยเห็นมีดที่เร็วปานนี้!

มีดบิน! !

 

ด้ามมีดยังสั่นระริกอยู่

เอี๊ยบไคเดินเข้าไปชักมีดออกจากต้นไม้ เพียงพลิกข้อมือมีดก็หายวับไป

เมื่อบุรุษหนุ่มเรียกขวัญคืนกลับมาได้ จึงระบายลมจากปากยาวๆ กล่าว

“ท่านเป็นเอี๊ยบไคจริงๆ”

“ข้าพเจ้าความจริงเป็นอยู่แล้ว”

บุรุษหนุ่มฝืนยิ้มกล่าว

“ท่านไฉนไม่บอกแต่แรก?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มย้อนถาม

“ท่านเป็นศิษย์ของต้วนซิงแซแห่งกิมตั๊ว?”

บุรุษหนุ่มต้องตระหนกอีกครา โพล่งขึ้นว่า

“ท่านไฉนทราบได้?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“เมื่อครู่ทิมิ่นเอ็งไยมิใช่บอกแล้ว สายตาของข้าพเจ้าไม่เลวเสมอมา”

“นับเป็นสายตาที่คมกล้าจริงๆ”

“ท่านเป็นศิษย์คนที่เท่าใดของต้วซิงแซ?”

“คนที่สาม”

“ท่านแซ่ไร?”

“แซ่ซี้นามซี้เมี้ย”

“ท่านเคยขับรถเทียมล่อหรือไม่?”

“ไม่เคย”

“ข้าพเจ้าก็ทราบท่านไม่เคย แต่มิว่าเรื่องราวใด ต่างต้องมีครั้งแรก”

----------------------------

“พาข้าพเจ้าไปพบเซี่ยงกัวป้งจู๊ของพวกท่าน มิว่านางอยู่ที่ใด ต่างต้องพาข้าพเจ้าไปพบนางให้ได้”

เอี๊ยบไคขึ้นไปบนกระดานรถที่มีเศษถ่านหินอีกครา เอนกายนอน กระทั่งตนยังหลับแล้วด้วย

เอี๊ยบไคทราบ บุรุษหนุ่มผู้นี้ ต้องไม่คิดหนีเด็ดขาด และต้องไม่พยศมิอยู่ในโอวาทด้วย

มิว่าผู้ใดเมื่อเห็นมีดบินของเอี๊ยบไคแล้ว ต่างต้องไม่กระทำเรื่องโง่เขลาอีกแน่นอน

ซี้เมี้ยกำลังเร่งรถเทียมล่ออยู่บนทางหลวงจริงๆ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของมันจริงๆ ด้วย

เมื่อมีคนตวัดแส้เร่งอยู่ทางด้านหลัง ล่อกลับวิ่งช้าเมื่อครู่

เอี๊ยบไคเริ่มแกถั่วยี่สงโยนขึ้น รอเม็ดถั่วร่วงเข้าปากแล้วจึงกล่าว

“ฟังว่า ต้วนซิงแซแห่งกิมตั๊ว เป็นคนพิถีพิถันเรื่องการกินอยู่และเสื้อผ้าเป็นที่สุด?”

“อืมม์”

“ฟังว่า ศิษย์ที่มันรับไว้ ก็ล้วนเป็นทายาทตระกูลใหญ่ที่กระเดื่องเกรียงไกร?”

“อืมม์”

“ท่านก็ใช่?”

“อืมม์”

แสดงว่าซี้เมี้ยไม่ต้องการถกปัญหานี้เลย แต่เอี๊ยบไคพาลจะถกต่อไป

“ท่านไม่ยินดีให้ข้าพเจ้าพาดพิงเรื่องนั้น คงรู้สึกกระดากอายกระมัง?”

ในที่สุด ซี้เมี้ยอดมิได้ต้องกล่าว

“ไฉนรู้สึกกระดากอาย?”

“เนื่องเพราะท่านก็ทราบ ด้วยสำนักอาจารย์และชาติตระกูลของท่าน ความจริงไม่บังควรมาเป็นข้าทาสในกิมจี๊ปังเลย”

ใบหน้าซี้เมี้ยแดงฉานทันที ส่งเสียงดังๆ

“ข้าพเจ้ามิใช่ข้าทาส”

“ข้าพเจ้าก็ทราบ ที่ท่านสวามิภักดิ์ต่อกิมจี๊ปัง ความจริงเพราะต้องการดิ้นหลุดออกจากตระกูลของท่าน มาสร้างรากฐานจากมือตัวเอง บุรุษหนุ่มแต่ละคนต่างมีความคิดเช่นนี้อยู่ทั่วหน้า”

หยุดหัวร่อเบาๆ กล่าวต่อด้วยเสียงราบเรียบ

“แต่ที่ท่านกระทำในตอนนี้ กลับเป็นงานของข้าทาส”

ซี้เมี้ยกล่าวด้วยสีหน้าแดงฉาน

“นี่เนื่องเพราะท่าน...”

“ใช่ เป็นข้าพเจ้าสั่งให้ท่านทำ แต่การวางเหรียญบนศีรษะผู้อื่น หรือมิใช่เป็นงานของข้าทาส?”

ซี้เมี้ยเม้มปากแนบแน่น เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“อย่าว่าแต่เรื่องที่ข้าพเจ้าให้ท่านทำ เนื่องเพราะตัวท่านความจริงเป็นข้าทาสของกิมจี๊ปังแล้ว มิเช่นนั้น ข้าพเจ้ากลับยินยอมคล้านกับพื้นต่างล่อ ให้ท่านขี่อยู่บนร่างข้าพเจ้า”

ใบหน้าซี้เมี้ยยิ่งแดง แต่ดวงตาปรากฏประกายเจ็บช้ำโดยมิอาจข่มกลั้น

เอี๊ยบไคพลันถามอีก

“ท่านทราบหรือไม่? ข้าพเจ้าเมื่อครู่ไฉนต้องซัดมีดนั้นไป?”

ซี้เมี้ยลังเล ในที่สุดตอบช้าๆ

“ข้าพเจ้าก็เคยได้ยิน มีดของท่านมิใช่ใช้ฆ่าคน แต่เป็นใช้ช่วยคน”

“ใช่ มีดที่ข้าพเจ้าซัดเมื่อครู่ คือต้องการให้ท่านทราบไว้ แม้ท่านอยู่ในพรรคกิมจี๊ปัง ยังคงไม่อาจสร้างเกียรติประวัติใด ไม่อาจสร้างรากฐานใดมาได้เลย”

ซี้เมี้ยขบกรามกล่าว

“นั่นเนื่องเพราะพลังฝีมือของข้าพเจ้า...”

“คนเราจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นหรือไม่ มิได้เกี่ยวข้องกับพลังฝีมือมันแน่ หากเรื่องที่ท่านกระทำเป็นคุณธรรม โอ่อ่าเปิดเผย ก็ต้องไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนท่าน มีดสั้นของข้าพเจ้า ต้องไม่บินเฉียดผ่านศีรษะท่านไป”

หยุดถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“มิเช่นนั้น มาตรว่าข้าพเจ้าไม่ฆ่าท่าน แต่จะเร็วจะช้าต้องมีผู้อื่นฆ่าท่านแน่นอน”

ซี้เมี้ยเม้มปากไว้อีกครา

ตอนนี้มันเข้าใจความหมายเอี๊ยบไคแล้ว เอี๊ยบไคก็ทราบ มันมิใช่เป็นคนเขลาเบาปัญญา

“ข้าพเจ้าเชื่อ ท่านต้องไม่ให้ข้าพเจ้าผิดหวังแน่”

เอี๊ยบไคกล่าวแล้วเริ่มแกะถั่วอีกครั้ง โยนขึ้นไป อ้าปากรอให้มันร่วงลงมา

เอี๊ยบไคทราบ เมื่อโยนเม็ดถั่วยี่สงขึ้นไป มันก็ต้องร่วงลงมาแน่

-----------------------

รถเทียมล่อห้อเข้าไปในถนนสายหนึ่ง... ถนนที่ไม่ผิดกับภายในนครเชี่ยงอันสักน้อยนิด

เพียงแต่ว่า โรงเตี๊ยมฮ้งปินในถนนสายนี้ ยังมิได้ถูกเผาผลาญจนเหลือซากปรักพัง

เมื่อเห็นป้ายตัวทองของยี่ห้อฮ้งปินเป็นประกายในแสงอาทิตย์ หัวใจเอี๊ยบไคบังเกิดความรู้สึกพิกลจนพิสดารขึ้นมิได้ คล้ายดั่งเห็นคนตายฟื้นคืนชีวิตมาอีกก็ปาน

ความเป็นจริง เอี๊ยบไคได้เห็นคนตายฟื้นคืนชีวิตมาจริงๆ แล้ว

เรื่องราวของชั่วชีวิตหนึ่ง คล้ายเป็นความฝันอย่างยิ่ง จริงหรือเท็จ ความจริงมีน้อยคนนักจะสามารถแยกแยะได้แน่ชัด

หัวใจเอี๊ยบไคสะทกสะท้อนยิ่ง แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม

เอี๊ยบไคทราบ ผู้คนในถนนต่างจับตามองตนอยู่

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง คนบนถนนไม่มากเท่าใด เป็นสภาพเช่นเดียวกับในนครเชี่ยงอัน ส่วนมากต่างรับทานอาหารกลางวันอยู่ในบ้าน

แต่ผู้สัญจนอยู่ในถนนสายนี้ ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ดูไปคล้ายตื่นเต้นอย่างยิ่ง ดุจดั่งทราบจะมีเรื่องใหญ่หลวงเกิดขึ้น มีลางสังหรณ์ที่อัปมงคลเกาะกุมจิตใจอยู่

เอี๊ยบไคก็ทราบ ที่นี้จะมีเรื่องใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว และยังทราบ เรื่องใหญ่หลวงนี้ เป็นตนสร้างขึ้นเอง

บัดนี้ ตนมาที่นี้แล้ว และตั้งใจจะไม่สำรวมมตัวเช่นครั้งก่อนออกจากที่นี้ไปโดยสงบเสงี่ยม ออกไปโดยสงบสันติ

-----------------------------

รถเทียมล่อ จอดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมฮ้งปินอีกครา

เอี๊ยบไคพอเดินเข้าไปก็เห็น เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนนั่งอยู่ที่หลังโต๊ะเก็บเงิน กำลังพลิกดูบัญชีเล่มหนึ่ง

นางดูไปคล้ายดั่งมีสภาพของเล่าปั้งเนี้ยจริงๆ เพียงแต่ว่าเล่าปั้งเนี้ยทั้งปวงต้องไม่งามสะคราญเทียบเท่านาง

ได้ยินเสียงฝีเท้าเอี๊ยบไค นางรีบเงิยหน้าขึ้นแย้มยิ้มทักทาย

“ข้าพเจ้าทราบอยู่แล้วว่าท่านต้องมา ข้าพเจ้ากำลังรอท่าน”

เอี๊ยบไคหยุดยืนหน้าโต๊ะ จ้องมองนางแน่วนิ่ง มิทราบเพราะกระไร หัวใจบังเกิดความเจ็บปวดอีกครา

มิว่านางเป็นจริงหรือเท็จ นางย่อมดีต่อตนไม่น้อย

หลายวันที่เคยอยู่ร่วมกัน นับเป็นรอยจารึกที่ไม่อาจลืมเลือนตลอดกาล

เอี๊ยบไคไม่ต้องการให้ระหว่างตนกับนาง กลายเป็นศัตรูกันเลยจริงๆ

มิว่าดูอย่างไร เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนต้องไม่คล้ายเป็นศัตรูของตนเด็ดขาด

นางแย้มยิ้มจนนุ่มนวลเปี่ยมเสน่ห์ เฉกเช่นกับเล่าปั้งเนี้ยที่เพิ่งเห็นเล่าปั้งกลับมา

“ข้าพเจ้าได้เตรียมอาหารที่ท่านชมชอบอยู่หลายอย่างแล้ว ตอนนี้คิดว่าใกล้จะถึงเวลาเริ่มรับทานกัน”

เอี๊ยบไคแค่นเสียงเย็นชา

“ข้าพเจ้ามิใช่มารับทานอาหาร”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มกล่าว

“แต่มิว่าผู้ใด ต่างต้องรับทานอาหาร ท่านก็ไม่นอกเหนือกฎนี้”

เอี๊ยบไคไม่ต้องการทุ่มเถียงกับนาง และไม่มีเวลาว่างพอมาทุ่มเถียงด้วย จึงถามขึ้น

“ท่านกำลังคิดบัญชี?”

“อืมม์”

“ใช่เป็นบัญชีที่เมื่อค่ำวาน ท่านฆ่าคนไปมากน้อยเท่าใด?”

“คิกคิก แม้นับว่าข้าพเจ้าฆ่าคน ก็ต้องไม่จดอยู่ในบัญชี”

“แล้วในบัญชีจดกระไร?”

“นี่เป็นบัญชีของขวัญ ในนี้จดผู้คนที่ประหลาดพิกลอยู่มากหลาย และก็ส่งของขวัญที่ประหลาดพิกลมามากมาย”

“ส่งให้ท่าน?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจตอบ

“ข้าพเจ้ายังไม่มีบุญวาสนาดีปานนั้น คิกคิก ท่านต้องการให้ข้าพเจ้า ท่องนามในบัญชีแก่ท่านฟังหรือไม่?”

เอี๊ยบไคมิได้ปฏิเสธ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจึงอ่านเบาๆ

“ชุยเง็กจิน ของที่ส่งมามีไก่ตัวหนึ่ง รังนกนางแอ่นชั่งหนึ่ง น่ำเก็งลั่ง ส่งภาพวาดม้วนหนึ่ง เอี๊ยบไคส่งคนเป็นๆ ผู้หนึ่ง”

สีหน้าเอี๊ยบไคเปลี่ยนแปรทันที

เอี๊ยบไคย่อมทราบ เป็นบัญชีของขวัญของผู้ใด?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหัวร่อคิกคิกกล่าวต่อ

“ชุยเง็กจินไฉนต้องส่งไก่เป็นของขวัญ หรือนางเข้าใจ ท่านที่เป็นเจ้าบ่าวต้องการกินข้าวต้มไก่หม้อหนึ่ง กินอาหารว่างในห้องหอ?”

นางไม่ยอมให้เอี๊ยบไคสอดแทรก รีบแย้มยิ้มกล่าวต่อ

“ของขวัญพิกลที่สุดในบัญชีนี้ น่ากลัวต้องเป็นของที่ท่านส่งไป แต่ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด ท่านต้องเดาไม่ออกเป็นผู้ใดส่งไป”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“เป็นผู้ใด?”

“สี่คน”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนตอบแล้ว อ่านนามทั้งสี่ช้าๆ

“เตียเออปู ตอเออกา ปูตาลา ปันซาปานา”

สีหน้าเอี๊ยบไคเปลี่ยนแปรอีกครา โพล่งขึ้นว่า

“พวกมันส่งของใด?”

“อัญมณีกระสอบหนึ่ง ภายในมีป้ายหยกอันหนึ่ง... ก็คือป้ายหยกอันนี้ฎ

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวแล้ว ดึงลิ้นชักหยิบป้ายหยกที่สลักรูปอสูรสี่ตัวออกมา

แสดงว่านางเตรียมไว้ให้เอี๊ยบไคดูอยู่ก่อนแล้ว!

ป้ายหยกเป็นหยกเนื้อดีมีประกายสวยงาม แต่รูปอสูรที่สลักอยู่ทั้งสี่ตัวนั้น สะดุดตาเอี๊ยบไคจนใจสั่นสะท้านหวั่นไหว

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามอีก

“ท่านทราบป้ายหยกนี้ มีความหมายกระไร?”

เอี๊ยบไคไม่ทราบ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจึงอธิบาย

“นี่เป็นป้ายล้างแค้น ตอนสี่จ้าวฟ้าม้อก้าจะล้างแค้น ต้องส่งป้ายหยกเช่นนี้ ออกไปเสมอ”

เอี๊ยบไคกำหมัดกัดฟันถาม

“พวกมันล้างแค้นแทนเง็กเซียว?”

“ใช่ อัญมณีกระสอบนั้น เป็นเงินที่พวกมันซื้อชีวิต”

“กระไรเรียกว่าซื้อชีวิต?”

“ก่อนที่สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่จะฆ่าคน เป็นต้องซื้อชีวิตพวกนั้นไว้ เนื่องเพราะพวกมันไม่ต้องการติดค้างหนี้สินในชาติหน้า”

นางหยุดถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อ

“อัญมณีที่พวกมันส่งไป มีจำนวนไม่น้อยจริงๆ คนที่ฆ่าก็ไม่น้อยเลย”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องถาม

“หรือฆาตกรที่ฆ่าคสคือพวกมัน?”

“โอ... แม้นับว่าท่านเป็นคนโง่เขลา ก็ควรดูออกว่าฆาตกรฆ่าคนคือผู้ใด?”

“แต่ที่เก็บศพกลับเป็นท่าน?”

“ฆ่าคนเป็นเรื่องเลวร้าย เก็บศพกลับเป็นเรื่องดีงาม”

เอี๊ยบไคแค่นเสียงเย็นชา

“ท่านไฉนต้องช่วยเก็บศพแทนพวกมัน?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการสืบเสาะเรื่องรายหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

“ข้าพเจ้าต้องการสืบให้ทราบ ตอเออกกับปูตาลาเป็นผู้ใดกันแน่?”

“เฮอะ แต่เสียดายที่คนตายต้องกล่าววาจาไม่ได้ ท่านเก็บศพพวกมันมาก็ไม่มีประโยชน์”

“มีประโยชน์”

“มีประโยชน์?”

“ข้าพเจ้าคำนวณแน่ ตอนนั้นพวกมันต้องอยู่ในห้องพิธีด้วย”

เอี๊ยบไคยอมรับ หากพวกมันไม่อยู่ในห้องพิธี ไหนเลยลงมือฆ่าคนได้!

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าวต่อ

“ดังนั้น หากตอนนั้น ในห้องพิธีมีอยู่หนึ่งร้อยคน ผู้ตายก็ต้องมีเก้าสิบแปดคนเท่านั้น”

“สองคนที่ไม่ตาย ต้องเป็นตอเออกากับปูตาลา?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าก็ทราบ ท่านมิใช่เป็นคนโง่เขลา”

“ดังนั้น ท่านจึงเก็บศพทั้งมวลกลับมา ดูว่าผู้ตายเป็นเหล่าใดบ้าง? ดูว่าตายไปมากน้อยเท่าใด?”

“ถูกแล้ว”

“แต่ท่านกลับยังตรวจสอบไม่ออก สองคนที่ไม่ตายเป็นผู้ใด?”

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพลอยฉวยบัญชีเล่มนี้มาด้วย ดูว่าพวกที่ส่งของขวัญมีผู้ใดบ้าง?”

“ผู้ส่งของขวัญ ไม่แน่ต้องไปดื่มสุรามงคล ผู้ไปดื่มสุรามงคล ไม่แน่ต้องส่งของขวัญ”

“ข้าพเจ้าอย่างน้อยพอจะสืบสาวได้เบาะแสมาเล็กน้อย ข้าพเจ้ามิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา”

“ท่านได้เบาะแสแล้ว?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนใจตอบ

“พอท่านมา หัวใจข้าพเจ้าก็ว้าวุ่น ไหนเลยยังจะตรวจสอบต่อไปได้”

นางผุดลุกขึ้น เดินออกจากโต๊ะเก็บเงินมาแล้วจึงกล่าว

“ข้าพเจ้ายังมีวาจาต้องถามท่านอีกคำหนึ่ง”

เอี๊ยบไคจำต้องปล่อยให้นางถาม

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มถาม

“มนุษย์ใช่ว่าต่างต้องรับทานอาหาร?”

เอี๊ยบไคก็จำต้องยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถามอีก

“ท่านใช้มนุษย์หรือไม่?”

เอี๊ยบไคก็จำต้องยอมรับ เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนจึงคว้าข้อมือเอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“อย่างนั้น พวกเราตอนนี้ควรไปรับทานอาหารกันได้”

--------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น