วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวฯ (2) เพชฌฆาตในมวลมนุษย์

 

เพชฌฆาตในมวลมนุษย์

เอี๊ยบไคออกไปแล้ว แต่เอี้ยเทียนยังคงพริ้มตาแช่อยู่ในน้ำ รอจนความร้อนของน้ำคลาย จึงเห็นสีหน้ามันซีดขาว คล้ายไม่มีกำลังพอจะลุกขึ้นได้จริงๆ

แต่ทว่า น้ำใกล้จะเย็นแล้ว มันมิอาจไม่ลุกขึ้น

น้ำไหลลงจากไหล่ของมัน ในน้ำถึงกับมีโลหิตเป็นเส้นสาย!

โลหิตไหลออกจากที่ใด?

เฮ้งกัวหูเดินเบาๆ เข้ามา จับตามองมันด้วยประกายเวทนา

เอี้ยเทียนทรงกายขึ้น ใบหน้าที่เผือดขาว บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ครางเบาๆ

“ด้านนอกจะมีคนบุกรุกเข้ามาอีกหรือไม่?”

เฮ้งกัวหูส่ายหน้า พลันถามขึ้น

“ท่านบาดเจ็บเพราะสาเหตุใดกันแน่? ไฉนจึงกลัวผู้คนเห็น?”

เอี้ยเทียนขบกรามแนบแน่น มิได้ตอบคำถาม แต่ดึงหนังออกจากไหล่มาแผ่นหนึ่ง

หนังบางๆ ที่เป็นสีเดียวกับผิวของมัน พอถูกดึงออกมา น้ำเลือดน้ำหนองทะลักเต็มทรวงอกมันทันที....

--------------------

รถม้าคันใหญ่จอดอยู่ที่ปากทาง

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนเอนกายพิงพนัก สารถีรอคอยอยู่

ตอนนางเห็นเอี๊ยบไคเดินเข้ามา ใบหน้าทีแดงเปล่งปลั่งเพราะแสงอาทิตย์ มีรอยยิ้มหยาดเยิ้มปานลมชุนเทียน

ท่านพอเห็นสีหน้านาง เป็นต้องรู้สึก ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะกรายมาแล้ว

เอี๊ยบไคลอบถอนใจ เนื่องเพราะพลันนึกถึงวาจาที่คนเคยเปรียบเทียบบรรยายลิ้มเซียนยี้เมื่อครั้งกระโน้น

... สตรีที่สวยสะคราญปานเทพธิดาหยาดฟ้า แต่จงใจล่อบุรุษหนุ่มให้ลงอเวจีโดยเฉพาะ

วาจานี้ใช้มาเปรียบเทียบเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน จะเหมาะสมเช่นกันหรือไม่?

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนแย้มยิ้มถาม

“ท่านหาพวกมันพบแล้ว?”

“อืมม์”

“สองคนนั้นบาดเจ็บหรือไม่?”

“มิได้... อย่างน้อยข้าพเจ้าสังเกตไม่ออก”

“ดังนั้น พวกมันต่างมิใช่โกวฮง (ยอดเขาโดดเดี่ยว... หมายถึงปูตาลา)?”

เอี๊ยบไคผงกศีรษะ เพราะสังเกตบาดแผลเอี้ยเทียนไม่ออกจริงๆ หนังที่ติดอยู่บนไหล่เอี้ยเทียน เมื่อดูในน้ำ มิผิดกับสีของผิวกายสักน้อยนิด

เอี๊ยบไคก็นึกไม่ถึง คนที่บาดเจ็บยังจะแช่อยู่ในน้ำร้อนได้

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกล่าว

“เพียงแต่... แม้นับว่าพวกมันมิได้บาดเจ็บ ยังคงไม่อาจยืนยัน พวกมันมิใช่สาวกม้อก้า”

“ถูกแล้ว”

“แต่ท่านกลับไม่ตั้งใจจะสืบสาวต่อไป?”

“พวกมันเป็นคนของท่าน จะสืบสาวต่อไปก็ต้องเป็นเรื่องของท่าน”

“ดังนั้น ท่านเตรียมจะไปแล้ว?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ท่านไยมิใช่เตรียมรถโอ่อ่าสบายให้ข้าพเจ้าก่อนแล้ว?”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนก็แย้มยิ้ม แต่ยิ้มด้วยสีหน้ารันทดหดหู่ กล่าวต่อไป

“นั่นเนื่องเพราะข้าพเจ้าก็ทราบ ข้าพเจ้ารั้งท่านไม่อยู่”

เอี๊ยบไคกระโดดขึ้นรถ กล่าวอีก

“เอี้ยเทียนเมื่อครู่เตือนข้าพเจ้าคำหนึ่ง”

“คำใด?”

“มันเตือนข้าพเจ้า อย่าได้ไปหาคนสวมหมวกหญ้า”

เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนถอนหายใจกล่าว

“วาจาที่ผู้อื่นเตือนท่าน ไฉนท่านมิเชื่อฟังเลย”

เอี๊ยบไคปิดประตูรถ แต่โผล่ศีรษะออกจากหน้าต่างไป แย้มยิ้มกล่าว

“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเป็นคนมีโรคหนึ่งเสมอมา”

“โรคใด?”

“โรคโง่”

 

รถม้าทิ้งฝุ่นคละคลุ้งเป็นทางยาว

ฝุ่นจากรถไกลไปมากแล้ว

ใบหน้าเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนยังคงมีรอยยิ้มที่หยาดเยิ้ม เนื่องเพราะศีรษะเอี๊ยบไคยังคงโผล่ออกจากหน้าต่างมองนางอยู่

นางแย้มยิ้มพลางโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหวๆ

แต่ตอนนางยกแขนขึ้น รอยยิ้มของนางพลันคลายไป ใบหน้าที่แดงเปล่งปลั่งเพราแสงอาทิตย์ กลับกลายเป็นซีดขาวทันที

เสียดายที่ตอนนั้น เอี๊ยบไคออกจากหลืบเขา ไม่อาจเห็นแล้ว

-----------------------------

ในลานวัดเงียบสงบและสวยงาม เนื่องเพราะในลานมีไผ่

ป่าไผ่

ลานที่มีป่าไผ่รายล้อม มักบันดาลให้คนรู้สึกงามสงบผิดธรรมดา

โดยเฉพาะในเวลาสนธยา ลมโชยพัดกอไผ่ ส่งเสียงซู่ซ่าราวเป็นคลื่นใหญ่

เอี๊ยบไคกำลังเดินไปมาอยู่ที่หน้าป่าไผ่

“หากข้าพเจ้าทราบแต่แรก ในนครเชี่ยงอันยังมีสถานที่งามสงบเช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องมาอยู่ที่นี้แน่๐

หยุดถอนใจแล้วกล่าวต่อ

“เสียดายที่คล้ายมีผู้ทราบสถานที่นี้ไม่มากนัก”

เอี๊ยบไคมิใช่รำพึงกับตัวเอง วาจานั้นเป็นกล่าวกับโค้วเต็ก (ไผ่ขม)

โค้วเต็กคือหลวงจีนปฏิคมของวัดเต็กลิ้มยี่

ร่างของท่านเฉกเช่นกับสมญา ผ่ายผอมราวไม้ไผ่ มาตรว่าไม่มีเนื้อ แต่ไม่ซูบซีดร่วงโรย ท่านกำลังแย้มยิ้มโต้เถียง

“ประสกของวัดแม้ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย”

เอี๊ยบไคหัวร่อแล้ว

ตั้งแต่ถายนอกจนถึงที่นี้ เอี๊ยบไคยังไม่เห็น มีพุทธมามกะมากราบไหว้นมัสการสักผู้เดียว กุฏิที่ข้างลาน ก็วังเวงไม่มีเสียงคน

โค้วเต็กกล่าว

“กุฏิทั้งเจ็ดหลัง ล้วนแล้วเป็นที่พักของพุทธมามกะ ความจริงมิได้ว่างอยู่”

“อ้อ?”

“เมื่อค่ำวาน ยังมีประสกหลายท่านมาพักแรม ล้วนแล้วเป็นผู้มีรสนิยมดีงาม”

“บัดนี้เล่า?”

โค้วเต็ก (ไผ่ขม) ถอนใจกล่าว

“ตอนนี้ต่างพากันไปที่วัดไต้เสียงก๊กแล้ว”

“อ้อ พวกท่านต่างไปเมื่อค่ำวาน?”

“ใช่แล้ว พอประสกแซ่แป๊ะที่สวมหมวกหญ้ามา ผู้อื่นต่างพากันไปหมดสิ้น”

“เป็นผู้แซ่แป๊ะขับไล่?”

“ท่านมิได้ขับไล่คนไป แต่พอท่านมา ผู้อื่นก็ไม่มีปัญญาอยู่ต่อ”

“เพราะกระไร?”

โค้วเต็กถอนใจอีกครั้ง ใบหน้าที่ซูบสดใส พลันมีประกายที่พิกลอย่างยิ่ง

ท่านมิได้ตอบคำเอี๊ยบไคตรงไ แต่กล่าวอย่างครุ่นคิด

“อาตมาพาท่านไปดูที่กุฏิ ท่านก็เข้าใจได้เอง”

-------------------------

ผนังทั้งสี่ดานของกุฏิ ว่างเปล่าไม่มีกระไรทั้งสิ้น ไม่มีกระทั่งโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีเตียง

กุฏิที่กว้างใหญ่มีตะปูเพียงสองตัว ตัวหนึ่งตอกอยู่บนผนังด้านซ้าย ตัวหนึ่งตอกที่ผนังตรงข้าม

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องหัวร่อ

ตอนนี้เข้าใจแล้วจริงๆ ผู้อื่นไฉนไม่มีปัญญาอยู่ที่นี้สืบไป

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“กระทั่งข้าพเจ้ายังไม่อาจอยู่ต่อไปได้ ในเมื่อมิใช่แมลงวันและมิใช่แมลงปอ ย่อมมิอาจนอนอยู่บนตะปูเพียงตัวเดียว”

“ที่นี้มีตะปูสองตัว”

“ตะปูสองตัวกับตัวเดียว คล้ายไม่มีที่ใดผิดกัน”

“มีที่ผิดกัน”

“แต่ข้าพเจ้าดูไม่ออก ผิดกันในที่ใด?”

“แต่ท่านสมควรคาดคิดได้”

“อ้อ”

“ตะปูสองตัว พอจะโยงเชือกเส้นหนึ่ง”

เอี๊ยบไคยังคงไม่เข้าใจจึงถามอีก

“เชือกมีประโยชน์ใด?ไ

“บนเชือกพอจะแขวนเสื้อผ้า และก็พอจะเอนกายนอน”

“ประสกแซ่แป๊ะที่สวมหมวกหญ้าผู้นั้น ตอนกลางคืนนอนอยู่บนเชือก?”

“และยังเป็นเชือกเล็กอย่างยิ่งด้วย”

เอี๊ยบไคตะลึงลานไปแล้ว

หากคนเราพอใจนอนอยู่บนเชือก นั่นมิเพียงมีนิสัยพิกลเท่านั้น พลังฝีมือก็ต้องพิกลอย่างยิ่ง

โค้วเต็กกล่าวต่อไป

“ความจริง ในกุฏินี้ก็มิใช่ว่างเวิ้งว่าง”

“อ้อ”

“ในที่นี้มิเพียงมีโต๊ะเตียงเก้าอี้เท่านั้น ยังมีจิ้งจกมากอย่างยิ่ง”

“โต๊ะเก้าอี้เป็นผู้แซ่แป๊ะขนออกไป?”

“ถูกแล้ว”

“จิ้งจกเล่า?”

ใบหน้าโค้วเต็กมีประกายพิกลขึ้นอีกครา กล่าวช้าๆ

“จิ้งจกถูกท่านจับรับทานหมดสิ้น”

เอี๊ยบไคตะลึงลานอีกครา!

คนผู้นี้มีเพียงชมชอบสวมหมวกหญ้าในฤดูหนาว พอใจนอนบนเชือกเท่านั้น ยังชมชอบกินจิ้งจกอีกด้วย!

คนที่พิกลเยี่ยงนี้ กระทั่งเอี๊ยบไคก็ยังมิเคยเห็นมา ใบหน้าจึงมีประกายเช่นเดียวกับโค้วเต็ก ฝืนยิ้มกล่าว

“ดูท่ากระเพาะของผู้แซ่แป๊ะ คล้ายไม่ใหญ่โตเท่าใด รับทานจิ้งจกไม่กี่ตัว ถึงกับสามารถอิ่มหนำได้”

“นอกจากจิ้งจกแล้ว ท่านย่อมยังรับทานของอื่น”

“รับทานกระไร?”

“ประสกที่อาศัยอยู่ในวัด พอถึงพลบค่ำ ปกติมักจะมิใคร่เดินออกไปเที่ยว”

“อ้อ?”

“เนื่องเพราะทางด้านนอกมีงูพิษ”

“งูพิษก็ถูกมันจับกินไป?”

“นอกจากงูพิษแล้ว ยังมีตะขาบ”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“ที่แท้มันยังเจริญอาหารไม่น้อย”

“ดังนั้น อาตมาได้เริ่มวิตกความเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใด?”

โค้วเต็กถอนใจกล่าว

“หากจิ้งจกกับอสรพิษในที่นี้ ถูกท่านจับรับทานหมดสิ้น ตอนนั้นท่านจะรับทานกระไร?”

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องแย้มยิ้มกล่าว

“หรือท่านกลัวมันจับท่านรับทาน?”

โค้วเต็กถอนใจยาวมิได้เอ่ยปาก พลันมีเสียงยะเยียบเย็นชาของคนผู้หนึ่งดังขึ้น

“บางครั้งเราก็กินคน แต่มิใคร่พอใจกินหลวงจีน”

 

ลมโชยพัดอยู่ อาทิตย์อัสดงลงไปแล้ว ลานวัดในยามสนธยา ไยมิใช่มักจะเหน็บหนาวและวังเวงผิดธรรมดา

ลานวัดนี้มิเพียงเหน็บหนาวเท่านั้น ยังคล้ายมีบรรยากาศเหี้ยมอำมหิตครอบงำจนบอกไม่ถูก

คนที่สวมหมวกหญ้าปีกกว้างผู้หนึ่ง...

ในอากาศที่หนาวเหน็บเยี่ยงนี้ มันถึงกับยังสวมเสื้อผ้าปอที่บางอย่างยิ่งเพียงตัวเดียว หมวกหญ้าบนศีรษะมัน ยังมีลักษณะพิกล ดูไปคล้ายเป็นข้องเก็บปลาของพวกชาวประมง

มันสวมต่ำอย่างยิ่ง จนแทบบดบังใบหน้าไปหมดสิ้น เผยเห็นแต่ริมฝีปากบางๆ ตอนไม่ส่งเสียง มักคล้ายเม้มสนิทแน่นประหนึ่งถาดขึ้นจากดาบกระบี่

เอี๊ยบไคพลันหัวร่อแล้ว

ยิ่งเป็นเวลาที่ผู้อื่นหัวร่อไม่ออก เอี๊ยบไคกลับยิ่งพาลจะหัวร่อ

เอี๊ยบไคหัวร่อพลางกล่าว

“ท่านมิใคร่ยอมรับทานหลวงจีน? หรือมิเคยรับทานมาเลย?”

คนเสื้อขาวสวมหมวกหญ้าแค่นเสียงเย็นชา

“ปกติเรารับทานคนประเภทเดียว”

“ประเภทใด?”

“ที่สมควรตาย”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้ม

“โลกนี้มีมนุษย์บางประเภท ที่คล้ายกับอสรพิษ หากท่านไม่คิดถูกมันกินไป ท่านก็มีแต่ต้องกินมันก่อน”

“แต่ทว่า คนที่สมควรตายอย่างแท้จริง กลับมีไม่มาก”

“ไม่มากจริงๆ”

เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“อย่างนั้นท่านไฉนไม่ไปเลียนเช่นผู้อื่น รับทานของที่หาได้ง่ายดายกว่าบ้าง”

“ท่านรับทานกระไร?”

“ข้าพเจ้ารับทานเนื้อสุกร และก็รับทานเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อวัวย่างไฟแดง เส้นเนื้อผัดหัวหอมกับน้ำมันหอยก็ไม่เลว”

คนชุดขาวพลันสวนคำ

“เตียซา (เป็นนามสมมติเช่นดั่งนาย ก นาย ข) เป็นคนที่อำมหิตกลอกกลิ้งจนชั่วร้าย ลี้สี่ (นามสมมติเช่นเดียวกัน) เป็นวิญญูชนที่สัตย์ซื่อถือคุณธรรม ในระหว่างสองคนนี้ หากท่านจะต้องฆ่าสักคนหนึ่งให้ได้ ท่านฆ่าผู้ใด?”

“เตียซา”

คนชุดขาวแค่นเสียงเย็นชา

“แต่ที่ท่านฆ่าตอนนี้เป็นลี้สี่”

คนชุดขาวผงกศีรษะ เอี๊ยบไคฝืนยิ้มกล่าว

“เสียดายที่ข้าพเจ้ากระทั่งยังมิทราบมันอยู่ที่ใด?”

“ท่านสมควรทราบได้ มันอยู่ในท้องท่านเอง”

เอี๊ยบไคไม่เข้าใจ

วาจาคนเสื้อขาวคล้ายดั่งวกไปเวียนมา จนไม่มีทางที่จะเข้าใจได้

คนชุดขาวแค่นหัวร่อกล่าว

“ที่มีพิษคืองู มิใช่วัว แต่ที่ท่านฆ่ากลับเป็นวัว ฆ่ามันแล้วยังฝักซากศพของมันไว้ในท้องท่าน”

เอี๊ยบไครู้สึกพะอืดพะอมขึ้นทันที จนแทบจะต้องอาเจียนออกมา

ในท้องของเอี๊ยบไคมีเนื้อวัวอยู่จริงๆ เนื้อวัวที่รับทานในมือเที่ยง ตอนนี้ต้องยังย่อยไม่หมดแน่

แต่ทว่า ครั้งหน้าหากมีคนต้องการเชิญให้เอี๊ยบไครับทานเนื้อวัวอีก เอี๊ยบไคต้องยากยิ่งจะกลืนลงคอ

คนชุดขาวมองเอี๊ยบไคแน่วนิ่ง พลางกล่าวต่อ

“ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของเราได้แล้วกระมัง?”

เอี๊ยบไคถอนใจยาวฝืนยิ้ม กล่าวต่อ

“วาจาของท่านฟังแล้ว กลับมิใช่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง”

“เหตุผลนี้ ท่านมิเคยได้ยินมาเลย?”

เอี๊ยบไคถอนใจอีกครั้งตอบ

“ข้าพเจ้ากระทั่งคิดยังมิเคยคิดเลย”

...ฝังซากศพวัวอยู่ในท้อง เป็นวาจาที่มันอุตส่าห์คิดหาออกมาว่ากล่าวได้

คนชุดขาวกล่าวต่อไป

“ดูไปท่านแม้มิใช่เป็นวิญญูชนที่สัตย์ซื่อถือคุณธรรม แต่ต้องมิใช่คนต่ำช้าที่อำมหิตชั่วร้าย”

“ท่านดูออก?”

“เนื่องเพราะเราดูออก ดังนั้นท่านตอนนี้จึงยังมีชีวิตอยู่”

“ท่านเล่า? ท่านเป็นคนเยี่ยงไร?”

“ท่านดูไม่ออก?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“ท่านย่อมมิใช่แซ่แป๊ะจริงๆ”

คนเสื้อขาวยอมรับ เอี๊ยบไคถามอีก

“ท่านมาจากแซเซี้ย?”

คนชุดขาวมิได้ปฏิเสธ เอี๊ยบไคจึงเพ่งมองพลางกล่าวช้าๆ

“ฟังว่า ในภูเขาแซเซี้ย มียอดคนท่านหนึ่งนามบั๊กเก้าแช”

คนชุดขาวสอดคำเสียงเย็นชา

“เรื่องที่ท่านทราบ คล้ายดั่งยังไม่น้อย”

“มาตรว่าไม่มากนัก แต่ก็มิน้อยเกินไป”

“เสียดายที่ท่านสมควรทราบ ท่านกลับไม่ทราบ”

“อ้อ?”

“ท่านทราบหรือไม่? ตอเออกาเป็นผู้ใด?”

“มิทราบ”

“ท่านทราบหรือไม่ ปูตาลาเป็นผู้ใด?”

เอี๊ยบไคถอนใจอีกครั้งตอบ

“ดูท่า เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบ ไม่นับว่ามากจริงๆ”

“ท่านต้องการพบพวกมันหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบพวกมัน?”

“ขอเพียงท่านยินยอมอยู่รอ ท่านต้องได้พบมันแน่”

ดวงตาเอี๊ยบไคสุกใสทันที ย่อมยินดีอยู่รอต่อไป ดังนั้นรีบกล่าว

“แม้นับว่าให้ข้าพเจ้ารอสามวันสามคืน ข้าพเจ้าก็ยินดี”

“ท่านมิต้องรอสามวันสามคืน ท่านมาได้ประจวบเหมาะพอดี”

เอี๊ยบไคคึกคักขึ้นอีกอักโข รีบสวนคำ

“หรือวันนี้พวกมันจะมาที่นี่ได้?”

คนชุดขาวตอบเสียงเย็นชา

“ในเมื่อท่านยินดีรอ ก็มิต้องถามให้มากความ หากท่านไม่ยินดีรอ ยิ่งไม่มีผู้ใดรั้งท่านไว้”

เอี๊ยบไคหุบปากทันที แต่ดวงตาเบิ่งจนกลมใหญ่กว่าเดิม

เอี๊ยบไคความจริงมิใช่คนปากมากอยู่แล้ว

คนชุดขาวพลันกล่าว

“ความจริงหลวงจีนไม่สมควรปากมาก”

โค้วเต็กก้มศีรษะต่ำ คนชุดขาวกล่าวต่อ

“แต่หลวงจีนท่านกลับมีวาจามากเกินไป”

โค้วเต็กเม้มปากไว้ กระทั่งยังมิกล้าถามแม้สักคำเดียว

คนชุดขาวกล่าวต่อ

“หลวงจีนมิเพียงต้องรู้สึก สมควรหุบปากในเวลาใด ยังคงต้องรู้จัก เวลาใดสมควรหลับตาไว้”

โค้วเต็กพริ้มตาลงทันที เดินลูบคลำออกจากที่ไป

เอี๊ยบไคอดมิได้ต้องแย้มยิ้มกล่าว

“ดูท่านเป็นหลวงจีนที่รู้ความอย่างยิ่ง”

“หลวงจีนที่ไม่รู้ความโดยแท้จริง มีเพียงประเภทเดียว”

“ประเภทใด?”

“หลวงจีนที่ควรตาย”

“ในสายตาของท่าน คนในแผ่นดิน คล้ายดั่งมีเพียงสองประเภทเท่านั้น”

“ใช่ ความจริงมีเพียงสองประเภท ประเภทหนึ่งไม่ควรตาย ประเภทหนึ่งสมควรตาย”

“ที่มาหาท่านในค่ำคืนนี้ เป็นคนประเภทใด?”

“ประเภทสมควรตาย”

------------------------

วิกาล

คนเสื้อขาวล้วงขวดไม้เล็กๆ ออกมาโรยฝุ่นสีเงินไปบนพื้นชั้นหนึ่ง ดูไปคล้ายดั่งเป็นฝุ่นละออง

แต่ทว่า รอจนเมื่อแสงเดือนดาวปรากฏ ฝุ่นได้เริ่มมีประกายคล้ายเป็นเงินบริสุทธิ์

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าว

“ค่ำคืนนี้ ท่านคงจะเตรียมรับทานลานวัดนี้เข้าไป ดังนั้นจึงได้โรยพริกไทยไว้ก่อน”

คนเสื้อขาวแค่นเสียงเย็นชา

“วาจาของท่านมากเกินไป”

“อ้อ?”

“ท่านก็หัวร่อมากเกินไปด้วย”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มกล่าวอีก

“นั่นเนื่องเพราะข้าพเจ้าเคยเห็นเรื่องหนึ่งมา”

“เรื่องอันใด?”

“ข้าพเจ้าดูออก ท่านมิใช่เป็นคนกระด้างเย็นชาอย่างยิ่ง มีบางครั้ง ในใจคิดจะหัวร่อ เพียงแต่ว่ามักพยายามข่มกลั้นตัวเองไว้เท่านั้น”

“เฮอะ เราไฉนต้องพยายามข่มกลั้นตัวเอง?”

“เนื่องเพราะท่านต้องการให้ผู้อื่นกลัวท่าน”

คนชุดขาวหันกายผลักหน้าต่างเปิดออก อีกเนิ่นนานให้หลัง จึงกล่าวช้าๆ

“ท่านยังดูกระไรออกอีก?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มตอบ

“หากท่านยินยอมให้ข้าพเจ้าดูใบหน้าท่าน ข้าพเจ้าต้องพอจะดูเรื่องราวอีกมากหลาย”

คนชุดขาวพลันหันกาย เลิกหมวกหญ้าขึ้น

ใบหน้าของมัน ความจริงไม่มีส่วนสัดใดผิดกว่าคนอื่นๆ แต่กลับมีดาวมากบนใบหน้าผู้อื่นอีกเก้าดวง

ดาวเก้าดวงที่เป็นสีดำสนิท!

 

ดูในวิกาลเหน็บหนาว ดาวโดดเดี่ยวบนฟากฟ้า มักจะห่างไกลผิดธรรมดา สุกใสผิดธรรมดา

แต่ดาวบนใบหน้าคนชุดขาวยิ่งเย็นยะเยียบ ยิ่งสุกใส

ดาวเก้าดวงบนใบหน้ามัน เรียงขึ้นเป็นรูปที่ทั้งพิกลทั้งลี้ลับ ดาวแต่ละดวง คล้ายตอกตรึงติดกับเนื้อบนใบหน้ามัน

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“นี่เป็นการลงโทษตัวของท่าน?”

คนชุดขาวถึงกับผงกศีรษะรับ

“แต่ละคนต่างมีโทษทัณฑ์”

“ท่านก็ไม่นอกเหนือกฎนี้?”

“เราก็เป็นคน”

“โทษทัณฑ์ของท่านคือกระไร?”

“เราเพียงแค้น ที่ไม่สามารถสังหารคนต่ำช้าสามานย์ในแผ่นดินให้หมดสิ้น”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“นี่ไม่อาจนับเป็นโทษทัณฑ์ของท่าน โทษทัณฑ์ที่ท่านรับออกจะรุนแรงไปบ้าง”

“หากพบคนที่มีโทษทัณฑ์มากกว่า ดาวเก้าดวงนี้ ก็คืออาวุธร้ายที่ฆ่าคนได้”

“อาวุธที่ฆ่าคน?”

“ท่านดูไม่ออก?”

เอี๊ยบไคส่วนหน้าฝืนยิ้มกล่าว

“ข้าพเจ้ากระทั่งคิดยังคิดไม่ถึง”

คนชุดขาวสวมหมวกหญ้าลงปิดหน้าอีกครา กล่าวเสียงเย็นชา

“คนที่เคยเห็นใบหน้าของเรา ความจริงมีไม่มากอยู่แล้ว ที่รอดชีวิตได้กลับน้อยกว่า”

“ความจริงใบหน้าท่าน มิใช่มีดาวเพียงห้าดวง?”

คนชุดขาวผงกศีรษะอีก เอี๊ยบไคถามต่อ

“ดาวหน้าดวงไฉนกลายเป็นเก้าดวง?”

“เนื่องเพราะคนมีบาปกรรมในโลกนี้ ยิ่งนานยิ่งมากเป็นทวีคูณ โทษทัณฑ์ของเรา ก็ยิ่งนานยิ่งหนักหนา”

“ดังนั้น บั๊กโง้แช (ห้าดวง) จึงเปลี่ยนเป็นบั๊กเก้าแช (เก้าดวง)?”

“ตอนนี้ไม่มีบั๊กโง้วแช มีแต่บั๊กเก้าแช”

“มิน่าเล่า นางจึงได้ก่อกวนผิดไป”

“นางเป็นผู้ใด?”

“ท่านเดาไม่ออก?”

“ใช่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนหรือไม่?”

“ท่านก็รู้จักนาง?”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อ เอี๊ยบไคถามอีก

“ท่านรู้จักนางเป็นคนเช่นไรหรือไม่?”

“ที่เราตั้งใจมาสังหารครานี้ มีอยู่สามคน”

“นางเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น?”

“นางความจริงใช่”

“บัดนี้เล่า?”

“บัดนี้เราจึงพบเห็น ในโลกนี้ ผู้ที่ชั่วร้ายสมควรตายยิ่งกว่านาง มีอีกมากมายนัก”

“ที่สมควรตายมีกี่คน?”

“ตอเออกา กับปูตาลา”

เอี๊ยบไคถอนใจกล่าว

“จะฆ่าสองคนนั้น น่ากลัวไม่ง่ายดาย”

“เราความจริงก็ไม่ตั้งใจมีชีวิตกลับไปอยู่แล้ว”

มันกล่าวช้าๆ สืบไป

“สี่จ้าวฟ้ายิ่งใหญ่ของม้อก้า ขอเพียงมีผู้รอดชีวิตอยู่หนึ่งเดียว เราก็ต้องไม่ได้กลับแซเซี้ยเด็ดขาด”

“แต่แม้นับว่าท่านฆ่ามันสองไป ยังมีอีกสองคนที่รอดอยู่”

“ไม่มีแล้ว”

“ไฉนไม่มี?”

“ปันซาปานาตายกับมือก้วยเต๋งแล้ว”

“เตียเออปูเล่า?”

บั๊กเก้าแชพลันล้วงป้ายหยกออกมาจากอกเสื้อโยนให้เอี๊ยบไค บนป้ายหยกเป็นประกายสุกใส สลักรูปอสูรที่มือถือจานหมึกอยู่

นี่ก็คือสัญลักษณ์ประจำตัวของเตียเออปู ตอนมันมีชีวิตจะต้องพกติดตัวตลอดเวลา

“ตอนนี้ไฉนจึงมาอยู่ที่มือท่าน?”

บั๊กเก้าแชตอบเสียงเย็นชา

“เนื่องเพราะมันเป็นคนตายไปแล้ว”

“ท่านฆ่ามัน?”

บั๊กเก้าแชผงกศีรษะ เอี๊ยบไคถามอีก

“ท่านพบกับมันในที่ใด?”

“นอกนครเชี่ยงอัน”

“มันก็ลงจากภูเขาอสูรแล้ว?”

“ความจริงภูเขาอสูรของมัน อยู่ในอุปาทานที่เวิ้งว้างเท่านั้น ตัวพวกมันอยู่ที่นั่น ที่นั้นก็เป็นภูเขาอสูรของพวกมัน”

“ดังนั้น ภูเขาอสูรของพวกมันในตอนนี้ ก็คือนครเชี่ยงอัน?”

“ใช่ หากพวกมันยังไม่ตาย ภายในแปดสิบเอ็ดวันนี้ นครเชี่ยงอันต้องกลายเป็นนครอสูรไป”

“ไฮ้! นครอสูร?”

“ในม้อก้า ก็มีคนอยู่เพียงสองประเภท”

“สองประเภทใด?”

“ประเภทหนึ่งเป็นสาวกม้อก้า อีกประเภทหนึ่งคือคนตาย”

เอี๊ยบไคระบายลมจากปากกล่าว

“โชคดีที่ความลับของมัน ถูกท่านพบเห็นก่อน”

บั๊กเก้าแชกล่าวอย่างโอหัง

“สำหรับเราแล้ว ในโลกไม่มีความลับใดอยู่เลย”

“ท่านรู้จักคนไม่น้อยจริงๆ”

บั๊กเก้าแชยอมรับ เอี๊ยบไคกล่าวต่อ

“แต่ข้าพเจ้าประหลาดใจ ท่านไฉน ล่วงรู้เรื่องราวมากหลายปานนี้ ท่านความจริงเป็นผู้สำรวมตัวมิออกจากภูเขาเลย”

“ท่านผิดแล้ว”

“อ้อ?”

“กฎของตระกูลบั๊ก มิใช่ปลีกตัวหนีโลกียวิสัย แต่เป็นเข้าต่อสู้ในโลกกว้างใหญ่เพื่อช่วยกำจัดภัยพาลอภิบาลคนดี บุตรหลานตระกูลบั๊ก ไม่เสียดายที่สละชีวิตเข้าพิชิตมาร ยอมทนทุกข์ทรามานนานา โดยมิบ่ายเบี่ยงย่อท้อ”

เอี๊ยบไคจ้องมองมัน ดวงตามีประกายเคารพเทิดทูนขึ้นกว่าเดิม

คนผู้นี้แม้ไปจะกระด้างเย็นชาจนพิกล แต่ความจริงมีจิตใจยิ่งใหญ่ดีงาม

ชนชาวโลก ผู้ที่สามารถบำเพ็ญตนเพื่อความสุขของผู้อื่นมีไม่มากเลย เอี๊ยบไคเคารพเทิดทูนคนประเภทนี้เสมอมา

 

ในกุฏิมิได้จุดโคมไฟ

ในหมวกหญ้าของบั๊กเก้าแช เป็นประกายระยิบระยับเสมอมา โดยมิทราบเป็นประกายตาหรือเป็นดาวที่ฆ่าคนบนใบหน้ามัน

มันเพ่งมองเอี๊ยบไคพลางถาม

“เราก็รู้ท่านอยู่ก่อนแล้ว”

“อ้อ?”

“ท่านแซ่เอี๊ยบนามไค?”

“เอี๊ยบที่แปลว่าใบไม้ ไคที่แปลว่าเบิกบาน”

“ท่านมักรู้สึกเบิกบานอย่างยิ่ง”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้า น้อยครั้งนักที่จะไปคิดถึงเรื่องไม่เบิกบานใจ”

“ฟังว่า มีดสั้นของท่าน ตอนนี้นับเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินได้แล้ว”

เอี๊ยบไคฝืนยิ้มตอบ

“ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินผู้คนว่าดั่งนี้ ดังนั้นเรื่องยุ่งยากรำคาญของข้าพเจ้า จึงพลอยนับเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินเช่นกัน”

หากวิจารณ์เรื่องยุ่งยากที่มากหลาย กลับมีน้อยคนนักที่จะทัดเทียมเอี๊ยบไคได้

บั๊กเก้าแชสงบงัน อีกเนิ่นนานให้หลังจึงกล่าวช้าๆ

“ต้องมีสักวันที่เราย่อมทราบ”

“ทราบกระไร?”

“ทราบว่ามีดสั้นของท่าน เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินจริงหรือไม่?”

“หากท่านคิดจะทราบจริงๆ เรื่องยุ่งยากข้าพเจ้าก็ต้องเพิ่มอีกรายหนึ่งแล้ว”

“ท่านไม่คิดได้ดู ดาวบนหน้าเราสามารถฆ่าคนได้จริงหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าไม่คิด”

“เพราะกระไร?”

“เนื่องเพราะพวกเราเป็นสหายกัน”

บั๊กเก้าแชแค่นหัวร่อกล่าว

“น่ากลัวสหายของท่านมากเกินไปแล้ว”

“สหายมากไว้ ย่อมประเสริฐกว่าไม่มีสหายอยู่”

“อาจบางที เนื่องเพราะท่านรู้จักมิตรสหายมากกว่าผู้อื่น ดังนั้น เรื่องยุ่งยากจึงได้มากกว่าผู้อื่น”

“เรื่องยุ่งยากมากไปบ้าง ยังประเสริฐกว่าไม่มีเรื่องยุ่งยาก”

“อ้อ?”

“เนื่องเพราะคนที่ไม่มีเรื่องยุ่งยากโดยแท้จริง มีเพียงประเภทเดียว”

“คนตาย?”

เอี๊ยบไคแย้มยิ้มผงกศีรษะ พลันมีเสียงตูมดังสนั่น กำแพงเตี้ยหน้าลานวัดถูกคนกระแทกแตกเป็นโพรงใหญ่ คนผุ้หนึ่งเดินมือไพล่หลังเข้ามาอย่างเชื่องช้า

------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น