วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เหยี่ยวเดือนเก้า สังหารพวกกันเอง

 

สังหารพวกกันเอง

เปลื้องเสื้อขนสัตว์ออก ภายในเป็นชุดวิกาลที่รัดกุม สีดำสนิท ดำจนคล้ายวิกาลที่มืดมิดไร้ขอบเขต

          เต็งลิ้งถอดเสื้อขนสัตว์ออกแล้ว แต่มิได้ดื่มสุราจอกสุดท้ายของมัน

          ดวงตามันเป็นประกายแวววาว ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว ชุดวิกาลดำสนิทรัดร่างที่ผ่ายผอมแต่คล่องแคล่วของมันไว้

          ทันใดนั้น มันคล้ายกับกลายเป็นอีกคนหนึ่งไป

          บัดนั้น มันมิใช่เป็นบุรุษเจ้าสำราญเยี่ยงเมื่อครู่ กลับกลายเป็นหนักแน่นเยือกเย็นจนน่ากลัวยิ่ง

          ไซมึ้งจับซาเพ่งมองดูมัน ดวงตามีประกายพิกลอย่างยิ่ง คล้ายดั่งเลื่อมใสและคล้ายดั่งริษยา

          เต็งลิ้งกล่าว

          “ท่านควรอยู่ที่นี้จะประเสริฐสุด ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ข้าพเจ้าจะกลับมาอีก”

          ไซมึ้งจับซาแย้มยิ้มถาม

          “หากท่านไม่กลับ?”

          เต็งลิ้งก็แย้มยิ้มตอบ

          “อย่างนั้นท่านก็พาพวกนางไปทั้งสองคน ท่านไยมิใช่มีความคิดเช่นนี้อยู่นานแล้ว....”

          วาจานี้มิทันจบคำ ร่างพุ่งวาบออกไป คล้ายดั่งเป็นเหยี่ยวสีดำตัวมหึมาก็ปาน

          พอวาจาของมันจบคำ ร่างมันก็หายลับไปในวิกาลมืดสลัว

          ไซมึ้งจับซานิ่งงันในทันที กระทั่งยังมิได้เคลื่อนไหว

          มันความจริงมักเข้าใจ พลังฝีมือมันต้องไม่ด้อยกว่าบุรุษหนุ่มอื่นๆ เด็ดขาด จนบัดนี้จึงทราบ มันเข้าใจผิดแล้ว

          บุรุษหนุ่มยุคนี้ น่ากลัวกว่าที่มันคาดคิดไว้มากหลายนัก

          มันยกมือลูกแก้มที่ถูกตบจนบวมเบาๆ ดวงตามีประกายเจ็บปวดขึ้นมาอีกครา

          เจ้เจ๊ที่ความจริงคล้ายหลับสนิทยิ่ง ตอนนี้พลันพลิกตัวโถมเข้าโอบเท้าของมันไว้

          ไซมึ้งจับซายังคงมิเคลื่อนไหว

          เจ้เจ๊มิใช่ของมัน ม่วยม่วยจึงใช่

          มิคาด เจ้เจ๊พลันงับไปที่น่องมัน งับแรงอย่างยิ่ง ย่อมเจ็บปวดอย่างยิ่ง

          แต่ประกายเจ็บปวดในดวงตาไซมึ้งจับซา กลับสลายหายไปโดยเร็ว

          มันพลันพบเห็น หากคนที่คิดจะมีชัยเหนือผู้อื่น หาใช่จะต้องอาศัยวิชาบู๊เพียงประการเดียวไม่

          ดังนั้นเอง ใบหน้ามันจึงมีรอยยิ้มขึ้นอีกครา แย้มยิ้มหยิบจอกสุราที่เต็งลิ้งมิได้ดื่ม กรอกแห้งลงไปทันที

-------------------------------

          เทียทิ้วเล้า (หอฟังคลื่น) มิใช่ฟังเสียงคลื่นทะเล เป็นเสียงคลื่นไผ่

          แนเฮียงฮึ้ง นอกจากปลูกเหมยเป็นจำนวนหมื่นๆ ต้นแล้ว ยังมีสนหลายร้อยต้นไผ่หลายพันกอ

          นอกหอเทียทิ้วเล้า คลื่นไผ่ไพศาลปานทะเล

          เต็งลิ้งฟุบอยู่ในเงามืดของป่าไผ่ เปิดถุงหนังข้างเอวออก หยิบกระบอกขึ้นมาท่อนหนึ่ง

          ในกระบอกนี้เป็นน้ำมันดิบสีดำ มันใช้เกลือแลกมาจากพวกปศุสัตว์ชายแดนทิเบตมองโกล

          มันหมุนเกลียวที่ปากกระบอกออก ตอนมีลมโชยพัดมา น้ำมันดิบในกระบอกก็กระเซ็นออกไป กระเซ็นเป็นระลอกบางเบาอย่างยิ่ง

          น้ำมันดิบที่คล้ายหมอกลอยตามสายลม ไปร่วงหล่นบนหลังคาหอเทียทิ้วเล้า

          จากนั้น มันจึงปิดฝากระบอก ล้วงลูกกลมๆ โตประมาณหัวแม่มือออกมาอีกสิบหว่าลูก งอนิ้วดีดไปใส่ชายคาของหอทางเบื้องหน้า

          ทันใดนั้น เสียงพึ่บดังขึ้นแล้ว ชายคาของหอเทียทิ้วเล้ากลายเป็นทะเลเพลิงทันที เปลวไฟแดงฉานแลบเลียสูงกว่าหกวา

          เสียงเกราะแว่วมาแต่ไกล พอดีเป็นเวลาเที่ยงคืน

          เสียงเกราะกลับถูกเสียงคนตื่นไฟแผดร้องกลบไป

          “ไฟไหม้ ไฟไหม้...”

          เงาร่างหลายสิบสาย ตะลีตะลานวิ่งออกมาจากหอเทียทิ้วเล้า เปลวเพลิงที่ฮือโหมรุนแรงปานนี้ กระทั่งคนหนักแน่นเยือกเย็นที่สุด ยังยากจะไม่แตกตื่นจนขวัญเสียได้

          ขณะเวลานั้นเอง เต็งลิ้งได้พลิ้วตัวเข้าไปทางหน้าต่างด้านหลังหอที่ปิดแง้มไว้ดุจเป็นหมอกควัน

          ในห้องต้อนรับเล็กๆ ที่เงียบสงบ ตบแต่งไว้สวยงามวิจิตร วังเวงไม่มีเงาผู้คน

          เต็งลิ้งพลันร้องสุดเสียง

          “ไฟไหม้! ไฟไหม้แล้ว”

          ไม่มีคนเข้ามา ไม่มีเสียงขาน

          เต็งลิ้งผลักประตูพุ่งตัวออกไป เนื่องเพราะมิทราบน่ำไฮ้เนี่ยจื้อฝึกกำลังภายในที่ใด ดังนั้นความเคลื่อนไหวของมันจึงต้องรวดเร็วที่สุด

          มันยังจะต้องเสี่ยงโชคดูอีกด้วย

 

          โชคของมันคล้ายยังไม่เลวนัก ประตูบานที่สามลงกลอนด้านใน มันชักดาบออกเขี่ยกลอนประตู ภายในเป็นห้องพระ

          ในกระถางทองเหลืองบนแท่น มีกำยานลอยกรุ่น ยิ่งเพิ่มบรรยากาศในห้องพระที่สงบวังเวง มีความลี้ลับขึ้นอีกหลายส่วน

          หลังแท่นมีม่านเหลืองห้อยระพื้น คล้ายดั่งไม่มีคนเช่นกัน

          แต่เต็งลิ้งกลับไม่เชื่อ ในห้องที่ลงกลอนชั้นในจะไม่มีคนอยู่

          เต็งลิ้งมิลังเลสักน้อยนิด พุ่งปราดเข้าไปเลิกม่านที่ระพื้นขึ้น

          เต็งลิ้งตะลึงลานทันที

          หลังม่านถึงกับมีอยู่สี่คน!

          คนที่สวมเสื้อยาวสีม่วง ผมดำขลับเกล้าเป็นมวยสูง ใบหน้าต่างสวมหน้ากากที่สลักจากไม้แก่นจันทน์

          ทั้งสี่ต่างแต่งกายสวมหน้ากาก เป็นเช่นเดียวกันมิผิดเพี้ยน และนั่งขัดสมาธิแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหว แสงไฟที่เผาไหม้ทางด้านนอก สาดส่องหน้ากากของพวกนางจนเหี้ยมอำมหิตน่ากลัว ลึกลับสะท้านใจจนบอกมิถูก

          ทั้งสี่คนนี้ต่างอาจเป็นน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ แต่น่ำไฮ้เนี่ยจื้อกลับมีเพียงคนเดียว

          เต็งลิ้งทราบ โอกาสเช่นนี้ต้องไม่มีครั้งที่สองเด็ดขาด ตกลงใจขอเสี่ยงดูอีกครา

          เต็งลิ้งปราดเข้าไป เลิกหน้ากากของคนแรกขึ้น

          หลังหน้ากาก เป็นใบหน้าที่ซีดขาวแต่สวยสะคราญ ขนตางอนยาวพริ้มสนิท

          มิว่าผู้ใดต่างดูออก นางต้องมีวัยไม่เกินยี่สิบปี น่ำไฮ้เนี่ยจื้อย่อมไม่เยาว์วัยปานนี้เด็ดขาด

          เต็งลิ้งเลิกหน้ากากคนที่สองขึ้น

          คนนี้ถึงกับบุรุษ ใบหน้ายังมีเคราโกนไว้เขียวครึ้ม

          น่ำไฮ้เนี่ยจื้อก็ย่อมมิใช่บุรุษ

          คนที่สามดูไปแม้วัยเยาว์อย่างยิ่ง แต่หางตากลับมีรอยตีนกา

          คนที่สี่เป็นหญิงชราหน้าเหี่ยวย่น กระทั่งฟันยังหักจนปากห้อยย้อย

          เต็งลิ้งตะลึงลานอีกครา

          มันมิได้เห็นใบหน้าที่มันต้องการเห็น แต่ตอนนี้มันไม่มีทางที่จะจับเจ่าต่อไปได้แล้ว

          มันหันกายทะยานออกไปอย่างว่องไว แต่พริบตานั้นมันคล้ายเห็นมือของบุรุษที่เคราเขียวขยับเบาๆ

          มันทราบว่าไม่ถูกต้องแล้ว คิดจะกระโดดหลบหลีก แต่ผู้นั้นลงมือรวดเร็วจนผู้คนไม่มีปัญญาคาดคำนวณ

          มันเพิ่งเห็นมือคนผู้นั้นขยับ ก็รู้สึกปวดแปลบที่หว่างเอว คล้ายดั่งถูกเข็มแทงเข้าใส่

          จากนั้นจึงล้มฮวบลงไป!

-------------------------------

          ในห้องพระยังคงสงบวังเวง ไฟที่เผาไหม้ทางด้านนอกถูกดับแล้ว กำยานในกระถางยังคงส่งกลิ่นหอมรวยริน

          เต็งลิ้งลืมตา พลันพบเห็น ตัวเองถูกสวมใส่เสื้อผ้าสตรี

          เต็งลิ้งในยามตระหนกอย่างยิ่ง รีบยกมือลูบผม ผมถึงกับถูกเกล้าเป็นมวยที่นิยมอยู่ในสมัยนี้

          ฮวงนึ้งกุนเต็งลิ้งออกคลุกคลีในวงพวกนักเลงตั้งแต่อายุสิบหก ไม่เกินสามปีก็มีชื่อเสียงกระเดื่องดังอย่างยิ่ง

          ชนชาวนักเลงต่างทราบ เต็งลิ้งมิเพียงมีวิชาตัวเบาสูงเยี่ยมเท่านั้น ยังมีภูมิปัญญาที่ปราดเปรียวตื่นตัว และหนักแน่นเยือกเย็นยิ่ง

          แต่บัดนี้ เต็งลิ้งกลับอดมิได้ต้องกระโดดขึ้นด้วยความตระหนก

          มันกระโดดไม่ขึ้น เนื่องเพราะท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปล้วนอ่อนระทวย ไม่มีกำลังหลงเหลือแม้สักน้อยนิด

          มันจึงอ่อนระทวยไปทั้งร่าง หัวใจวาบหวิวราวร่วงหล่นลงในหุบเหวลึก

          บนแท่นพระพุทธรูป มีองค์น่ำไฮ้กวนอิมประทับ คล้ายกำลังจ้องมองมันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

          มองฝ่าควันกำยานไป รอยยิ้มของท่านยิ่งคล้ายดั่งมีความลี้ลับจนบอกมิถูก

          เต็งลิ้งพลันพบเห็น ใบหน้าขององค์กวนอิมนี้ถึงกับไม่ผิดเพี้ยนใบหน้าหลังหน้ากากที่เลิกดูเมื่อครู่เลย

          หรือดรุณีนางนั้นก็คือน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ?

          แต่ที่ลงมือสยบมัน กลับเป็นบุรุษทีเคราโกนไว้เขียวครึ้ม มันตอนแรกเข้าใจบุรุษหนุ่มผู้นั้นเป็น

น่ำไฮ้เนี่ยจื้อปลอมแปลง

          แต่บัดนี้ มันกลับงุนงงโดยสิ้นเชิง กระทั่งคิดยังมิกล้าครุ่นคิด

          มันกลัวคิดมากไปจะวิกลจริตได้

          โชคดีที่แม้มันจะครุ่นคิด ก็ไม่มีเวลาคิดอีกแล้ว เนื่องเพราะประตูห้องพระถูกผลักออกช้าๆ

          มีคนผู้หนึ่งเดินช้าๆ เข้ามา ใบหน้าที่สวยสะคราญ มีรอยยิ้มลี้ลับเปี่ยมเลศนัยแต่เค้าของนางไม่ผิดเพี้ยนกับองค์กวนอิมบนแท่นสักน้อยนิด        

          เต็งลิ้งไม่ต้องการดูต่อไปอีก เพราะกลัวดูมากจะวิกลจริตได้

          แต่เสียดายที่ไม่ดู ก็วิกลจริตได้เช่นกัน

          ดรุณีนางนั้นเดินไปที่เบื้องหน้าเต็งลิ้ง พลันแย้มยิ้มกล่าว

          “มวยผมของท่านวันนี้เกล้าได้สวยงามยิ่ง เป็นผู้ใดหวีให้ท่าน?”

          เต็งลิ้งอดมิได้ต้องถลึงตาจ้องนาง แล้วย้อนถาม

          “ข้าพเจ้ากำลังต้องการถามท่าน เป็นผู้ใดหวีให้ข้าพเจ้า?”

          ดรุณีนางนั้นกลับมีท่าคล้ายแตกตื่นสงสัยยิ่งนัก ร้องโพล่งขึ้น

          “หรือตัวท่านเองก็ไม่ทราบ?”

          “ข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไร?”

          “หรือท่านนึกไม่ออกสักน้อยนิด?”

          เต็งลิ้งฝืนยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้าจะนึกออกได้อย่างไร? ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกแม้สักนิดเลย แม้นับว่าพวกท่านฟาดศีรษะข้าพเจ้าแตก ข้าพเจ้าก็เดาไม่ออก พวกท่านไฉนจึงจับข้าพเจ้าแต่งกายเป็นสตรี?”

          ดรุณีนางนั้นคล้ายยิ่งแตกตื่นกว่าเดิม ร้องเสียงแหลม

          “ท่านว่ากระไร? ท่านว่าพวกเราแต่งตัวท่านเป็นสตรี? หรือกระทั่งตัวท่านความจริงเป็นสตรีก็ลืมแล้ว?”

          เต็งลิ้งอดมิได้ต้องร้องสุดเสียง

          “ผู้ใดว่าข้าพเจ้าความจริงเป็นสตรี?”

          ดรุณีนางนั้นเบิ่งตามองด้วยความแตกตื่น สีหน้าของนางตอนนี้คล้ายดั่งเห็นคนวิกลจริตก็ปาน

          เต็งลิ้งอดมิได้ต้องร้องอีก

          “หากท่านว่าข้าพเจ้าความจริงเป็นสตรี? ท่านต้องวิกลจริตแน่”

          ดรุณีนางนั้นถอนใจกล่าว

          “มิใช่ข้าพเจ้าวิกลจริต เป็นท่าน!

          นางหันไปร้องดังๆ

          “พวกท่านทั้งหลายเข้ามากัน เต็งเซี่ยวม่วยไฉนพลันกลับกลายเป็นเช่นนี้แล้ว”

          เต็งเซี่ยวม่วย (น้องหญิงคนเล็กแซ่เต็ง)?

          ฮวงนึ้งกุนเต็งลิ้งถึงกับกลายเป็นเต็งเซี่ยวม่วย!

          เต็งลิ้งคิดจะหัวร่อก็หัวร่อไม่ออก คิดจะร่ำไห้ก็ร่ำไห้ไม่ออก แลเห็นมีสตรีเข้ามาอีกสี่ห้านาง หนึ่งในจำนวนนั้นคือหญิงกลางคนรูปงาม ที่เมื่อครู่ยังสวมหน้ากากอยู่

          ที่แท้นางคือทิโกว (นางเหล็ก) เนื่องเพราะดรุณีนางนั้นกำลังเรียกนางอยู่

          “ทิโกว ท่านรีบเข้ามา เต็งเซี่ยวม่วยเมื่อครู่ยังปกติอยู่ ตอนนี้ไฉนพลันกลับกลาย... กลายเป็นเช่นนี้ไป?”

          ทิโกวจับตามองเต็งลิ้ง แย้มยิ้มกล่าว

          “นางดูไปไยมิใช่เป็นปกติอยู่ และทรงผมก็หวีสวยงามกว่าธรรมดา!

          ดรุณีนางนั้นร้อง

          “แต่ว่า... แต่ทว่า... นางถึงกับไม่ยอมับตัวนางเป็นสตรี”

          เต็งลิ้งพยายามข่มกลั้นตัวเองเต็มที่ ทราบว่าตอนนี้ต้องเยือกเย็น จึงสามารถรับมือเรื่องราวได้

          แต่เต็งลิ้งยังคงอดมิได้ต้องโต้เถียง

          “ข้าพเจ้าความจริงมิใช่เป็นสตรีอยู่แล้ว!

          ทิโกวจับตามองแน่วนิ่ง ถอนใจกล่าว

          “ข้าพเจ้าทราบความรู้สึกของท่าน มีบางครั้งกระทั่งข้าพเจ้าก็หวังให้ตัวเองมิใช่สตรี โลกยุคสมัยนี้ เป็นสตรีต้องเสียเปรียบมากหลายจริงๆ”

          เต็งลิ้งก็ถอนใจกล่าว

          “ความจริงข้าพเจ้ากลับไม่คัดค้านจะเป็นสตรี แต่เสียดายข้าพเจ้าพอกำเนิดมาก็เป็นบุรุษ จวบจนเมื่อครู่ยังเป็นบุรุษอยู่”

          เต็งลิ้งพยายามจนสุดความสามารถ จึงข่มกลั้นตัวเองไว้ได้ ไม่อาละวาดหรือกล่าววาจาหยาบคายไป

          ใบหน้าทิโกวกลับมีแววแตกตื่นสงสัยอย่างยิ่ง หันไปถามสตรีอีกหลายคน

          “พวกท่านรู้จักกับเต็งเซี่ยวม่วยมาแต่เมื่อใด?”

          “อย่างน้อยก็สองสามเดือนแล้ว”

          “นางเป็นบุรุษ? หรือเป็นสตรี?”

          “ย่อมเป็นสตรี”

          สตรีทั้งมวลต่างหัวร่อคิดคักด้วยความขบขัน มีนางหนึ่งร้องขึ้น

          “หากเต็งเซี่ยวม่วยเป็นบุรุณ พวกเราทั้งหลายก็ต่างกลายเป็นบุรุณแล้ว”

          เต็งลิ้งพอจะรู้สึกออก ใบหน้าตัวเองต้องเขียวคล้ำ แต่ยังคงอดกลั้นไว้ กล่าวเสียงราบเรียบ

          “เสียดายที่ข้าพเจ้าก็มิใช่เต็งเซี่ยวม่วย”

          ทิโกวแย้มยิ้มถาม

          “อย่างนั้นท่านเป็นผู้ใด?”

          “ข้าพเจ้าก็แซ่เต็ง มีนามเต็งลิ้ง”

          “ข้าพเจ้าทราบท่านมีนามเต็งฮุ้นลิ้ม”

          “มิใช่เต็งฮุ้นลิ้ม เป็นเต็งลิ้ง!

          “มิใช่เต็งลิ้ง เป็นเต็งฮุ้นลิ้ม ท่านไฉนกระทั่งนามตัวเองก็ลืมไปแล้ว?”

          ดรุณีที่มีเค้าคล้ายกับองค์กวนอิม แย้มยิ้มกล่าวบ้าง

          “ยังดีที่เสียงของนางมิได้เปลี่ยนแปร มิว่าผู้ใดต่างฟังออก นั่นเป็นเสียงของสตรี”

          เต็งลิ้งแค่นหัวร่อสวนคำ

          “มิว่าผู้ใดสมควรฟังออก ว่าข้าพเจ้าเป็นบุรุษ....”

          วาจาเต็งลิ้งพลันชะงักลงกลางคัน เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกมาชุ่มโชกร่างทันที!

          เต็งลิ้งพลันพบเห็น เสียงของตนแปรเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นทั้งแหลมทั้งเบา ถึงกับคล้ายเป็นเสียงสตรี!

          หรือเราพลันกลายเป็นสตรีไปจริงๆ ?

          เต็งลิ้งรู้สึกมีความหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก ประหนึ่งมีเข็มแทงเข้าใส่ท้ายทอยก็ปาน

          เต็งลิ้งคิดจะทดลองดูกล้าเนื้อส่วนสัดต่างๆ ของร่าง แต่เสียดาย เบื้องล่างจากเอวลงไป ชาด้านไม่มีความรู้สึก

          เต็งลิ้งกระทั่งยังคิดจะยื่นมือไปลูบส่วนสัดเหล่านั้น แต่อยู่ต่อหน้าสตรีเหล่านี้ยังไม่มีความกล้าระดับนั้น

          ทิโกวจับตามอง ในดวงตาคล้ายมีประกายเห็นใจและเวทนา กล่าวเสียงนุ่มนวล

          “ระหว่างนี้อารมณ์ของท่านหงุดหงิด และยังดื่มสุราไปมากหลาย หากยิ่งจะไม่ลืมเรื่องราวบางประการ อย่าว่าแต่เรื่องก่อนๆ นี้ ท่านความจริงก็ไม่ต้องการหวนคิดถึงอีก”

          เต็งลิ้งมีแต่ฟังอยู่ ทิโกวกล่าวต่อไป

          “แต่พวกเราพอจะเตือนสติท่านได มาตรว่าอดีตเป็นโศกนาฏกรรมเศร้ารันทด แต่หากลืมเลือนโดยสิ้นเชิง ก็มิเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง”

          เต็งลิ้งจำต้องถอนใจกล่าว

          “เอาเถิน ท่านบอก ข้าพเจ้ากำลังฟังอยู่”

          ทิโกวกล่าวช้าๆ ด้วยเสียงนุ่มนวล

          “ท่านมีนามเต็งฮุ้นลิ้ม เป็นดรุณีที่น่าดูอย่างยิ่ง ท่านความจริงมีคนรักที่ประเสริฐอยู่ผู้หนึ่ง ภายหลังกลับถูกผู้หนึ่งก่อกวนจนแตกหัก ดังนั้นท่านจึงวิ่งไปฆ่าตัวตายที่ชายทะเล โชคดีถูกซิมโกวช่วยชีวิตไว้”

          ที่แท้ดรุณีที่มีเค้าคล้ายเจ้าแม่กวนอิมมีนามซิมโกว นางกล่าวต่อไปทันที

          “หากมิใช่ข้าพเจ้าฉุดได้เร็ว วันนั้นท่านกระโดดลงทะเลไปแล้ว”

          เต็งลิ้งขบกรามแนบแน่น มิเอ่ยปาก

          เต็งลิ้งพลันกลายเป็นกลัวเสียงตัวเองอย่างยิ่ง

          ทิโกวกล่าวต่อไป

          “คนรับของท่านแซ่เอี๊ยบนามไค มัน....”

          เอี๊ยบไค!

          พอได้ยินนามนี้ สมองของเต็งลิ้งพลันลั่นอื้ออึงดั่งถูกสายฟ้าฟาด!

          ทันใดนั้น เต็งลิ้งเข้าใจโดยสิ้นเชิง เข้าใจโดยกระจ่าง!

          เต็งลิ้งทราบ ตนตกเข้าไปในวงจรของเล่ห์อุบายที่อำมหิตชั่วร้าย ลึกลักซับซ้อนและแนบเนียนที่สุดด้วย

          ความจริงเล่ห์อุบายนี้ เตรียมไว้จัดการเอี๊ยบไค แต่ตนกลับกระโดดเข้าไปอย่างเหลวไหลไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ

          ทิโกวยังกล่าวกระไรอีก เต็งลิ้งมิได้ยินโดยสิ้นเชิง กำลังพยายามเค้นสมองไม่คิดชีวิต

          ตนจะต้องคิดหาวิธีกระโดดออกจากวงเล่ห์อุบายนี้ แต่ก็ทราบ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเด็ดขาด

          ต้องเป็นเรื่องยากเข็ญที่สุด!

------------------------------------

          เวลาคล้ายผ่านไปนานอย่างยิ่ง แต่วาจาของทิโกวยังมิจบสิ้น

          ที่แท้นางได้ย้ำวาจาเหล่านั้นซ้ำๆ ซ้อนๆ มากครั้งยิ่ง คล้ายดั่งพยายามบังคับให้เต็งลิ้งยอมรับเรื่องนี้

          “คนรักของท่านแซ่เอี๊ยบ มีนามเอี๊ยบไค มันความจริงเป็นบุตรของประมุขพรคซิ่งตอตั้ง (ดาบเทพเจ้า) ภายหลังยกให้ไปสืบตระกูลเอี๊ยบ...

          บิดาของท่านนามว่าเต็งเซ่งฮวง โกวโกว (อาหญิง) ของท่านนามเต็งแป๊ะฮุ้นความจริงเป็นศัตรูของตระกูลเอี๊ยบ แต่ภายหลังความอาฆาตแค้นรายนั้น ถูกเอี๊ยบไคคลี่คลายไกล่เกลี่ยไป น้ำใจของท่านทั้งสอง ยิ่งผูกพันกันลึกซึ้งเพราะเรื่องรายนั้น....

          ท่านความจริงตกลงใจ นอกจากมันไม่ยอมวิวาห์กับผู้ใด เอี๊ยบไคเองก็ตกลงใจ มิยอมับใครอื่นเป็นภรรยานอกจากท่าน แต่ตอนนั้นพลันมีสตรีนามเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนปรากฏขึ้นสอดแทรก...

          ฟังว่าสตรีนางนี้เป็นธิดาของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง ประมุขพรรคกิมจี๊ปัง (เหรียญทอง) ที่มีเกียรติภูมิครอบคลุมแผ่นดินในอดีต กับลิ่มเซียนยี้ที่ยุคสมัยนั้น ถูกยกเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ลิ่มเซียนยี้แม้งามสะคราญปานเทพธิดาหยาดฟ้าแต่หลอกล่อให้เหล่าบุรุษเพศตกอเวจีโดยเฉพาะ...

          ธิดาที่นางให้กำเนิดก็ชั่วช้าอำมหิตเช่นเดียวกับนาง ความรักของท่านกับเอี๊ยบไคถูกนางเป็นผู้ทำลายไปเอง...

          เรื่องนี้ท่านย่อมไม่อาจลืมได้ และไม่ยอมลืมเด็ดขาด”

          เต็งลิ้งฟังนางกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึก ความคิดของตนมิเพียงไม่มีปัญญาผนึกรวมเท่านั้น ยังคล้ายรู้สึก ถูกวาจาของนางโยกคลอนจนหวั่นไหวไปด้วย

          ทันใดนั้น เต็งลิ้งถึงกับบังเกิดความเคียดแค้นชิงชัง สตรีที่มีนามเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน (เซียนน้อย) อย่างบอกมิถูก

          เต็งลิ้งแทบใกล้จะยอมรับ ตนเป็นเต็งฮุ้นลิ้ม ยอมรับตนความจริงเป็นสตรี!

          ควันกำยานในกระถางลอยมาตามลม ลอยตามลมหายใจของเต็งลิ้งเข้าไปในห้วงสมอง

          เต็งลิ้งถึงกับคล้ายสูญเสียสติบ่งชี้เรื่องผิดชอบชั่วดีโดยสิ้นเชิง

          ทิโกวจับตามอง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ลี้ลับและพึงพอใจ กล่าวช้าๆ สืบต่อไป

          “ท่านมีนามเต็งฮุ้นลิ้ม เป็นสตรีที่น่าดูอย่างยิ่ง ท่าน...”

          เต็งลิ้งพลันใช้กำลังเท่าที่มี กัดริมฝีปากตัวเองสุดแรง ความเจ็บปวดเสียดแทงจนจิตใจแจ่มใสในบัดดล

          จึงคำรามสุดเสียงไปทันที

          “อย่าได้กล่าวต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจความมุ่งหมายของท่านแล้ว”

          ทิโกวแย้มยิ้มถาม

          “ท่านเข้าใจจริงๆ?”

          “ใช่ ข้าพเจ้าจะต้องมีเค้าหน้าคล้ายเต็งฮุ้นลิ้มอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกท่านจึงคิดจะใช้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือไปทำร้ายเอี๊ยบไค”

          “ท่านความจริงเป็นเต็งฮุ้นลิ้มอยู่แล้ว”

          เต็งลิ้งแค่นหัวร่อสวนคำ

          “ความจริงท่านมิต้องทำดั่งนี้ พวกท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าก็รับปากได้”

          “อ้อ?”

          “แต่พวกท่านก็ต้องรับปากเงื่อนไขข้าพเจ้าหลายข้อก่อน”

          “ท่านบอกมา”

          “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบอก เป็นพวกท่านบังเอิญพบเห็นข้าพเจ้ามีเค้าคล้ายเต็งฮุ้นลิ้ม จึงได้ตกลงวางแผนร้ายนี้ หรือได้ถือข้าพเจ้าเป็นเป้าอยู่ก่อนแล้วแน่?”

          ทิโกวไม่เอ่ยปากแล้ว เต็งลิ้งกล่าวสืบไป

          “จากนั้น อย่างน้อยท่านควรคลายจุดข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าได้พบน่ำไฮ้เนี่ยจื้อหลังจากเรื่องนี้สำเร็จ ข้าพเจ้าอย่างน้อยต้องได้ส่วนแบ่งจำนวนหนึ่ง”

          ทิโกวแย้มยิ้มกล่าว

          “ความจริงน่ำไฮ้เนี่ยจื้ออยู่ที่นี้มาตลอดเวลา หรือท่านไม่เห็น?”

          “นางอยู่ที่ใด?”

          ได้ยินเสียงสดในไพเราะอันลึกลับดังขึ้นช้าๆ

          “อยู่ที่นี้”

         

          เสียงนี้ถึงกับคล้ายดังมาจากองค์กวนอิมบนแท่นบูชา!

          เต็งลิ้งหันขวับกลับไป แต่เมื่อมององค์พระพุทธรูปสลักลึกลับนั้นแล้ว สายตาถึงกับไม่มีปัญญาเบือนออกไปได้

          มองฝ่าควันกำยานอันเรือนรางเข้าไป เต็งลิ้งพลันพบเห็นรูปสลักนั้นถึงกับเปลี่ยนเป็นอีกเค้าหน้าหนึ่ง

          ใบหน้าที่ความจริงยิ้มแย้ม ตอนนี้ถึงกับกลายเป็นกราดเกรี้ยวเย็นชา หว่างคิ้วถึงกับคล้ายยังมีความขุ่นเคือง

          รูปสลักที่ไม่มีชีวิต ถึงกับพลันคล้ายกลายเป็นมีชีวิตได้!

          “เราก็คือคนที่ท่านต้องการพบ ดังนั้นตอนนี้สมควรดูเรา วาจาที่เรากล่าวแต่ละถ้อยคำ ท่านมิอาจไม่เชื่อถือได้”

          ควันธูป ควันกำยานที่ลอยละล่อง เสียงนี้ถึงกับคล้ายเปล่งออกมาจากปากนางเองก็ปาน!

          เต็งลิ้งรู้สึกเย็นเฉียบทั้งร่าง ถึงกับผงกศีรษะรับโดยไม่รู้ตัว มาตรว่าคิดจะมิยอมดูอีก แต่สายตากลับพาลไม่มีปัญญาเบือนห่างออกจากรูปสลักที่มีอาถรรพณ์ชั่วร้ายได้

          “ท่านก็คือเต็งฮุ้นลิ้ม เอี๊ยบไคความจริงเป็นคนรักของท่าน เป็นสามีของท่าน แต่เซี่ยงกัวเซี่ยวเซียนกลับชิงมันไปจากข้างกายท่าน บัดนี้พวกมันคลอเคลียอยู่ด้วยกันทุกวันทุกคืน ทุกเวลาทุกเช้าค่ำ แต่ท่านกลับต้องอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย อยู่โดยเงียบเหงาเพียงลำพัง”

          เต็งลิ้งจับตามองนาง ใบหน้าถึงกับปรากฏความเจ็บช้ำรันทดโดยไม่รู้ตัว

          “เราทราบ ความอาฆาตแค้นเยี่ยงนี้ ไม่มีผู้ใดลืมเลือนได้ ดังนั้นท่านต้องล้างแค้น”

          ใบหน้าเต็งลิ้งกลับมีแววอาฆาตจนกราดเกรี้ยว รำพึงเบาๆ

          “ข้าพเจ้าต้องล้างแค้น... ข้าพเจ้าต้องล้างแค้น...”

          “บัดนี้เอี๊ยบไคจะพาสตรีที่น่าชังผู้นั้นมาที่นี้ ท่านพอดีมีโอกาส”

          เต็งลิ้งสงบฟัง ดวงตาที่สุกใสเริ่มกลายเป็นขุ่นฝ้าเวิ้งว้าง แววอาฆาตแค้นบนใบหน้ายิ่งรุนแรงกว่าเดิม

          “เอี๊ยบไคต้องนึกไม่ถึง่าท่านอยู่ที่นี้ ดังนั้นเมื่อท่านพลันปรากฏตัว มันจะต้องรู้สึกตระหนกอย่างยิ่ง...

          แต่มันกลับไม่มีความระมัดระวังท่านสักน้อยนิดเด็ดขาด ดังนั้นท่านพอจะฉวยโอกาส ชิงสตรีที่อำมหิตชั่วร้ายที่ข้างกายมัน พานางมาที่นี้ ทำลายใบหน้าที่งามสะคราญของนาง ให้นางวันหน้าไม่มีทางไปยั่วยวนบุรุษอื่นใดตลอดกาลนาน...

          ท่านเจ้าใจความหมายของเราแล้วหรือไม่?”

          เต็งลิ้งผงกศีรษะช้าๆ รับคำช้าๆ

          “ท่านยินยอมปฏิบัติตามวาจาเราหรือไม่?”

          “ยินยอม”

          “เพียงเป็นวาจาที่เรากล่าวไป ท่านต่างเชื่อถือโดยสิ้นเชิง?”

          “ถูกแล้ว”

          “ประเสริฐมาก ท่านตอนนี้ลุกขึ้น จุดของท่านถูกคล้ายออกแล้ว ท่านลุกขึ้นยืนได้แล้ว

          เต็งลิ้งทรงกายขึ้นช้าๆ มาจริงๆ

          เท้าทั้งสองที่ชาด้านไม่มีความรู้สึกมานาน ตอนนี้ถึงกับพลันมีพละกำลังเกิดขึ้น

          “ประเสริฐ ในตัวท่านก็มีมีด ตอนนี้เราจะให้ท่านใช้มีดเล่มนั้นไปฆ่าคนผู้หนึ่งให้เรา”

          “ฆ่าผู้ใด?”

          “เอี้ยฮึง”

          เต็งลิ้งหันกายช้าๆ เดินช้าๆ ผ่านหน้าซิมโกวกับทิโกวไป

          สายตาของเต็งลิ้งมองตรงไปเบื้องหน้า มือกำมีดในอกเสื้อแนบแน่น ในใจมีความคิดอยู่เพียงหนึ่งเดียว

          ใช้มีดเล่มนี้ไปฆ่าเอี้ยฮึง

-----------------------

          ในห้องแม้มีเตาไป แต่ยังคงหนาวอย่างยิ่ง

          เอี้ยฮึงนั่งสงบอยู่ข้างเตาไฟ ดูไปคล้ายมีความกระวนกระวายไม่น้อย

          มันกำลังรอคอยข่าวของเต็งลิ้ง

          จบจนบัดนี้ เต็งลิ้งยังไม่มีข่าวคราวใดมา

          ขณะเวลานั้นเอง มีผู้หนึ่งผลักประตูออกช้าๆ เดินช้าๆ เข้ามา

          สตรีที่สวยสะคราญ ผมดำขลับถูกม้วนเป็นมวยทันสมัย บนมวยผมยังปักปิ่นหงส์ทองอีกเล่มหนึ่ง เอี้ยฮึงผุดลุกขึ้นแย้มยิ้มถาม

          “โกวเนี้ยมีคำสั่งใด?”

          แสดงว่ามันถือสตรีนางนี้เป็นศิษย์น่ำไฮ้เนี่ยจื้อ กระทั่งยังมิกล้าเหลือบมองมาอีกสักครั้ง

          แต่สตรีนางนั้นกลับจับตามองมันแน่วนิ่ง ดวงตามีประกายพิกลพิสดารอย่างยิ่ง

          เอี้ยฮึงอดมิได้ต้องเงยมองนางอีกแวบหนึ่ง พลันพบเห็นนางคล้ายคนผู้หนึ่งยิ่ง

          ดวงตาสตรีนางนั้น ถึงกับยังจ้องมองเอี้ยฮึงแน่วนิ่ง เน้นทีละคำ

          “ท่านคือเอี้ยฮึง?”

          เอี้ยฮึงผงกศีรษะ พลันร้องสุดเสียงด้วยความตระหนก

          “ท่านคือเต็งลิ้ง?”

          “ข้าพเจ้ามิใช่เต็งลิ้ง เป็นเต็งฮุ้นลิ้ม”

          เอี้ยฮึงจ้องมองนางด้วยความตระหนก ละล่ำละลัก

          “ท่าน..ไฉนกลายเป็นสารรูปนี้ได?”

          “ข้าพเจ้าความจริงมีรูปลักษณะนี้ ข้าพเจ้าความจริงเป็นสตรี”

          สีหน้าเอี้ยฮึงก็แปรเปลี่ยนไป ร้องโพล่งขึ้น

          “หรือท่านวิกลจริตแล้ว?”

          “ข้าพเจ้ามิได้วิกลจริต ที่วิกลจริตคือท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าต้องฆ่าท่าน”

          มันพลันชักมีดสั้นออกจากอกเสื้อมาเล่มหนึ่ง แทงเข้าใส่ทราวงอกเอี้ยฮึงดั่งสายฟ้า

          เอี้ยฮึงคาดฝันไม่ถึงเด็ดขาด ฝ่ายตรงข้ามจะพลันลงมืออำมหิตเยี่ยงนี้ โดยมันไม่มีทางป้องกันทัน และไม่มีทางหลบหลีกทันอีกด้วย

          โลหิตสดๆ ฉีดออกจากทรวงอกมันดั่งเกาทัณฑ์ กระเซ็นเข้าใส่เสื้อผ้าเต็งลิ้งเป็นจุดแต้ม

          ใบหน้าเต็งลิ้งชาด้านไม่มีความรู้สึก จับตาเย็นชามองเอี้ยฮึงที่ล้มลง จากนั้นหันช้าๆ กลับไป

          นอกประตูมีหมอกบาง วิกาลยิ่งดึกสงัด

          เต็งลิ้งเดินช้าๆ เข้าไปในหมอก ในความมืดมีเสียงไพเราะแต่ลึกลับแว่วขึ้นอีก

          “ท่านกระทำได้ประเสริฐยิ่ง แต่ท่านเหนื่อยเกินไปแล้ว เหน็ดเหนื่อยจนหนังตายังลืมไม่ขึ้น”

          เต็งลิ้งรับคำ

          “ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ”        

          หนังตาของเต็งลิ้งถึงกับพริ้มลงช้าๆ ไปจริงๆ

          “นั่นเป็นเตียงที่สบายอย่างยิ่ง ตอนนี้ท่านพอจะนอนลงไปได้ รอจนสตรีชั่วร้ายของเอี๊ยบไคมาถึง พวกเราค่อยปลุกท่านให้ตื่นมา”

          พื้นมีฝุ่นละออกเกาะหนาอย่างยิ่ง แต่เต็งลิ้งกลับเอนกายลงนอนไป

          คล้ายดั่งมันเอนกายนอนบนเตียงที่สุขสบายจริงๆ และถึงกับหลับใหลไปได้จริงๆ

          หมอกยิ่งหนากว่าเดิม

-------------------------

          ม่วยม่วยหลับสนิทอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้เจ๊กลับหอบหายใจเบาๆ ในที่สุดตาพริ้มลง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่เหน็ดเหนื่อยแต่เป็นสุขใจ

          ไซมึ้งจับซามองดูพวกนาง ในใจรู้สึกอิ่มเอิบยินดีจนบอกไม่ถูก คล้ายดั่งสามารถพิชิตเต็งลิ้งพ่ายแพ้ไปก็ปาน

          แต่ละคนย่อมไม่อาจเป็นผู้พิชิตในทุกเรื่องราว เราก็ย่อมมีบางเรื่องที่เข้มแข็งกว่าท่านอยู่

          มันแย้มยิ้มเล็กน้อย ขณะจะดื่มสุราสักจอก แต่มีเสียงคนเคาะประตู

          ใช่เต็งลิ้งกลับมาหรือไม่?

          ม่านหน้าต่างรถถูกดึงลงแล้ว มันไม่เห็นคนทางภายนอกเป็นผู้ใด?

          “ผู้ใด?”

          ไม่มีคำตอบ

          ไซมึ้งจับซาลังเลอยู่ ในที่สุดอดมิได้ต้องเปิดประตูรถ

          นอกประตูไม่มีคน

          ด้านนอกมืดมิดสนิท หมอกหนาวเหน็บเพิ่งลอยขึ้นจากพื้น

          “เมื่อครู่ผู้ใดเคาะประตู?”

          มันกระชับอกเสื้อแนบแน่น ถามไปอีกครา ยังคงไม่มีคนตอบมา... สารถีที่ดูต้นทางอยู่นอกรถตลอดเวลาเล่า?

          อากาศเหน็บจริงๆ มันความจริงไม่ต้องการออกจากตัวรถที่อบอุ่นเลย แต่คนเราเมื่อกระทำควาผิดพลาดแล้วย่อมไม่อาจหักใจ มิระแวงเรื่องนั้น หวาดหวั่นเรื่องนี้ได้ ในที่สุดมันสวมรองเท้ากระโดดลงจากรถ รอบข้างมืดเลือนราง เหน็บหนาวและวังเวง

          สารถีที่สวมเสื้อนวมหนา นั่งยองๆ อยู่บนกองหญ้าแห้ง ศีรษะซบกับเข่า สองมือโอบเท้าไว้ คล้ายดั่งหลับใหลแล้ว

          เมื่อครู่เป็นผู้ใดเคาะประตูรถ? หรือมันฟังผิดไป?

          มันฟังผิดไปหรือไม่?

          มันยังมีวัยเยาว์ นัยน์ตากับโสตประสาทปราดเปรียวแจ่มใสเสมอมา

          สารถีผู้นี้มิทราบเป็นเต็งลิ้งหามาจากที่ใด? เมื่อครู่หากมีคนผ่านมา มันย่อมสมควรได้ยินความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ไซมึ้งจับซาเดินเข้าไป ขณะจะผลักมันให้ตื่นขึ้นถาม

          มิคาด สารถีถึงกับกระโดยขึ้นจากกองฟาง ตีลังกากลางอากาศ พุ่งปราดออกไปดั่งเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง ความรวดเร็วของท่าร้าง มาตรว่าไม่อาจเปรียบกับเต็งลิ้งได้ แต่ต้องไม่ด้อยไปกว่าไซมึ้งจับซาเด็ดขาด

          ไซมึ้งจับซาถึงกับไม่เห็นหน้ามัน คิดจะไล่ตามออกไป แต่ลังเลเพียงชั่ววูบสารถีผู้นั้นก็กลับหายไปในวิกาลมืดมิดแล้ว

          หมอกบางเหน็บหนาว ลมคมกริบราวมีดกรีดเฉือน

          มันต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บหลายครั้ง ตกลงใจกลับไปรอเต็งลิ้งในตัวรถก่อนค่อยว่ากล่าว

          ประตูรถถึงกับปิดสนิทอยู่ ใช่ว่ามันเมื่อครู่ออกมาแล้วผลักประตูให้ปิดเองหรือไม่?

          โคมทองเหลืองงามประณีตที่สร้างพิเศษ ฝังอยู่บนเพดานรถนั้น ยังคงส่องแสงสว่างนุ่มนวล ออกมาจากม่านหน้าต่างกำมะหยี่สีม่วง

          ไซมึ้งจับซาสำนึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ความจริงไม่ควรออกจากตัวรถ มันรีบปราดเข้าไปดึงประตูออก

          จากนั้น หัวใจมันต้องวาบหวิวแทบขาดรอน ยืนตะลึงลานอยู่ที่นอกรถ มิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว!

          ในรถถึงกับมีคนเพิ่มอีกผู้หนึ่ง!

          ชายชราหน้าแดงเปล่งปลั่ง ศีรษะล้านเลี่ยน จมูกงองุ้มราวกับปากเหยี่ยว สวมเสื้อแพรยาว นั่งอย่างสง่าอยู่ในที่ซึ่งมันนั่งเมื่อครู่... ถึงกับเป็นอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ย เจ๊ม่วยสองนางยังคงนอนขดอยู่ในมุมตัวรถ หลับสนิทกว่าเดิม

          ตาเป็นประกายแวววาวของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกำลังถลึงจ้องมองมันอย่างดุดันแค่นเสียงเย็นชา

          “ขึ้นมา”

          ไซมึ้งจับซาก้มศีรษะต่ำ ปีนเข้าไปในตัวรถ บังเอิญหางตาเหลือบมองไป เห็นสารถีเมื่อครู่ถึงกับย้อนไปนั่งหลับบนกองฟางอีกครา กระทั่งท่านั่งยังมิเปลี่ยนแปร คล้ายดั่งไม่เคยเคลื่อนไหวมาเลยก็ปาน

          เพดานรถต่ำอย่างยิ่ง มิว่าผู้ใดต่างไม่อาจยืนได้

          แต่ไซมึ้งจับซากลับมิกล้านั่ง จำเป็นต้องยืนก้มศีรษะ งอตัวอยู่ในที่นั้น

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมองมันด้วยความเดือดดาลเป็นครู่หนึ่งจึงถาม

          “สหายรักของเจ้าเล่า?”

          “มันเข้าไปแล้ว”

          “เข้าไปเมื่อใด?”

          ไซมึ้งจับซาก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม มันไม่มีปัญญาตอบและไม่กล้าตอบ เนื่องเพราะมันเมื่อครู่ถึงกับลืมคำนวณเวลา

          เมื่อครู่มันลืมเลือนเรื่องทุกสิ่งไปจริง

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยถลึงจ้องพลางตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

          “หลังจากมันไปแล้ว เจ้าทำเรื่องกระไร?”

          ไซมึ้งจับซายิ่งมิกล้าตอบ

          ตัวมันเองก็ทราบ เรื่องที่มันกระทำออกจะไม่อาจให้ผู้คนเห็นได้ ผู้คนทราบได้

          บุรุษชาติชายชาตรี เล่นสตรีร่านราคะสักหลายนาง มาตรว่าไม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างไร แต่ไปเล่นสตรีของสหายตอนลับหลัง นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแค่นหัวร่อกล่าว

          “ดูท่าเจ้างมงายในราคะจนขวัญเทียมฟ้าแล้ว หรือเจ้าไม่กลัวเต็งลิ้งทราบ?”

          ใบหน้าไซมึ้งจับซาแดงฉาน อ้อมแอ้มเบาๆ

          “พวกเรา... พวกเรา... เป็นสหายรัก...”

          “เพ้ย! ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสหายรัก เจ้าไฉนไปกระทำเรื่องเช่นนี้ต่อสหายรักได้ หากมันชิงสตรีของเจ้าลับหลัง เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”

          ไซมึ้งจับซามิกล้าโต้เถียง

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยคำรามต่อ

          “หากเจ้าเข้าใจเต็งลิ้งไม่ถือสา เจ้าก็ผิดแล้ว เรื่องเช่นนี้ขอเพียงเป็นบุรุษ ต่างต้องถือสาทุกคน”

          ไซมึ้งจับซามีแต่ต้องยอมรับ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกล่าวต่อ

          “อาศัยความสามารถน้อยนิดของเจ้า มันลำพังก็รับมือคนเช่นเจ้าได้ถึงแปดคน เมื่อมันทราบเรื่องนี้แล้วหากจะจัดการกับเจ้า เจ้าเตรียมทำอย่างไร?”

          ในที่สุด ไซมึ้งจับซาปลุกปลอบใจจนเข้มแข็งมาได้ ตะกุกตะกักตอบ

          “ข้าพเจ้าคิดว่า น่ากลัวมันไม่ทราบ”

          “เฮอะ เฮอะ เจ้าคิดว่ามันน่ากลัวไม่ทราบ? เจ้าอาศัยเค้ามูลใดไปคิดเช่นนั้น?”

          “ข้าพเจ้าย่อมไม่ยอมบอกกับมัน...”

          “แม้เจ้าไม่บอก แต่สตรีนางนั้นเล่า?”

          “เป็นนางต้องการเอง นางไหนเลยยอมบอกกับผู้อื่นได้?”

          “เจ้าเข้าใจนางรักเจ้า จึงได้ยั่วยวนเจ้า?”

          มาตรว่าไซมึ้งจับซามิกล้ารับ แต่ก็ไม่ยินยอมปฏิเสธ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกล่าว

          “เราถามเจ้า สตรีสองนางนี้เป็นเจ้าเพิ่งชิงออกมาจากเจี๊ยะแกจึงหรือไม่?”

          ไซมึ้งจับซาผงกศีรษะ อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกล่าว

          “หรือเจ้าเข้าใจ พวกนางยินดีถูกพวกเจ้าฉุดคร่าออกมา?”

          “ในโลกต้องไม่มีผู้ใด ยินดีถูกผู้อื่นฉุดคร่าออกมาในเวลาดึกดื่นค่อนคืนเด็ดขาด”

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแค่นหัวร่อกล่าวต่อ

          “หรือเจ้ายังดูไม่ออก นางแพศยาตัวนี้ยั่วยวนเจ้า เพื่อต้องการให้เจ้ากับเต็งลิ้งหึงหวงจนลงมือกัน พวกนางจึงมีโอกาสแก้แค้นเจ้า”

          ไซมึ้งจับซามีสีหน้าไม่ยินยอมอยู่เล็กน้อย อดมิได้ต้องกล่าว

          “นางอาจบางที...”

          “หยุด! หรือเจ้าเข้าใจนางรักเจ้าจริงๆ? เจ้ามีที่ใดเข้มแข็งกว่าเต็งลิ้ง? และโกวเนี้ยวัยสิบสี่สิบห้าปี แม้นับว่าร่านราคะจนสามานย์ปานใด ก็ต้องไม่กระทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าม่วยม่วยของนางเด็ดขาด

          ไซมึ้งจับซามิกล้าโต้แย้งอีกแล้ว อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยกล่าวต่อ

          “อย่าว่าแต่เมื่อครู่ที่พวกเจ้าก่อกรรมบัดสีกันในรถ เราแม้อยู่ไกลยังได้ยิน ม่วยม่วยของนางมิใช่สุกร พวกเจ้าอยู่ที่ข้างกายนาง หรือนางยังจะหลับใหลไปจริงๆ ได้?”

          สีหน้าไซมึ้งจับซาเปลี่ยนแปรทันที มันตอนนี้จึงนึกได้ เรื่องนี้อาจเป็นสองเจ๊ม่วยตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นพอเต็งลิ้งเพิ่งไป เจ้เจ๊มันก็พลันตื่น ม่วยม่วยยังคงแสร้างหลับอยู่ตลอดเวลา เพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่มันอย่างจงใจ

          มันจึงพบเห็น อย่างไรขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าเสมอ

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแค่นเสียงถามอีก

          “นางแพศยาสองตัวนี้ อยู่ในเจี๊ยะแกจึงหรือไม่?”

          “คล้ายดั่งมิใช่ ก่อนนี้ข้าพเจ้าก็เคยไปเจี๊ยะแกจึง กลับไม่เคยเห็นพวกนาง”

          “เฮอะเฮอะ ไม่ผิดจากที่เราคาดหมายจริงๆ”

          ตาคมวาวราวเหยี่ยวร้ายของมัน กวาดมองไปที่สองเจ๊ม่วยแล้วกล่าวช้าๆ

          “โกวเนี้ยน้อยที่งามสะคราญปานบุปผาแรกแย้มทั้งสองนี้ กระทั่งเราก็ยังแทบไม่อาจหักใจเห็นพวกนางมาตายต่อหน้า”

          เจ๊ม่วยทั้งสองยังคงนอนคลุมโปงขดอยู่ในที่นั้น ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอถึงกับคล้ายหลับสนิทอย่างยิ่ง

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยหันมาถลึงจ้องไซมึ้งจับซาพลางกล่าว

          “ดังนั้น ตอนเจ้าฆ่าพวกนาง เราจะต้องหลับตาไว้”

          ไซมึ้งจับซางุนงงวูบ จึงโพล่งขึ้น

          “ข้าพเจ้า?”

          “ถูกแล้ว เจ้าเอง”

          “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าต้องฆ่าพวกนาง?”

          “เฮอะ หากเจ้าเสียดาย ไม่อาจตัดใจฆ่าพวกนาง เราก็มีแต่ต้องปล่อยพวกนางฆ่าเจ้าแล้ว”

          “ใบหน้าไซมึ้งจับซาเผือดขาวราวซากศพ ร้องเสียงสะท้าน

          “แต่เมื่อเต็งลิ้งกลับมา หากเป็นพวกนางตายไป ไยมิใช่...”

          “มันไม่เห็น”

          “เพราะเหตุใด?”

          “คนตายต่างไม่อาจเห็นกระไรทั้งสิ้น”

          “ไฮ้! เต็งลิ้งก็ตายแล้ว?”

          “มันไม่ตายเจ้าก็ต้องตาย...”

          ไซมึ้งจับซามองมันแน่วนิ่ง ในที่สุดเข้าใจความหมายของมันผู้เป็นอาจารย์แล้ว

          ตอนมันให้เต็งลิ้งมาที่นี้ ก็ไม่มีเจตนาให้เต็งลิ้งรอดชีวิตสืบไป

          มิว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ มิว่าเต็งลิ้งจะสืบร่องรอยน่ำไฮ้เนี่ยจื้อออกจริงหรือไม่ ขอเพียงมันกลับมาก็ต้องตาย ต้องตายแน่นอน

          ดังนั้น อุ้ยเทียนพ้งจึงติดตามมาถึงที่นี้ สารถีย่อมเป็นคนของพวกมัน ปลอมตัวมาเปลี่ยนแทนอยู่แต่แรกแล้ว

          ไซมึ้งจับซามองหน้าที่กระด้างเย็นชา และเหี้ยมอำมหิตของมัน แทบไม่ยอมเชื่อปกติมันเป็นชายชราที่ใจร้อนวู่วามราวเปลวเพลิง ไม่มีเล่ห์อุบายแม้สักน้อยนิด ทั้งหยาบคายทั้งมุทะลุดุดัน

          มันพลันกลับกลายไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง กลับกลายได้ถึงที่สุดยิ่งกว่าเต็งลิ้งเสียอีก

          ไซมึ้งจับซายังพบเห็น คนเราคิดจะทะยานให้โดดเด่นเป็นเอก เหนือผู้อื่นในวงพวกนักเลง คล้ายดั่งควรมีโฉมหน้าที่ผิดแปลกกันสักหลายๆ เค้า กระทั่งคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด ก็ยากจะทราบโฉมหน้าแท้จริงของพวกมันเป็นรูปลักษณะใดกันแน่?

          ตาคมวาวราวเหยี่ยวร้ายของอุ้ยเทียนพ้งยังคงเขม้นมองหน้ามันแน่วนิ่ง พลางกล่าวเสียงราบเรียบ

          “รอตายยังคับแค้นกว่าตายมากนัก หากเจ้ามีใจรักเวทนา ก็ไม่ควรให้พวกนางตายเร็วเกินไป”

          ไซมึ้งจับซาขบกรามแน่น พลันลงมือไปทันที โดยกำหมัดแต่ยื่นนิ้วกลางงอดั่งปากเหยี่ยว ฉกเข้าใส่จุดชีวิตที่ใต้กระดูกสันหลังของม่วยม่วย

          เจ้เจ๊อย่างไรเมื่อครู่ยังมอบความรับอันร้อนแรงปานเปลวเพลิงแก่มัน มันอย่างไรยังมิใช่คนใจดำอำมหิตนัก

          มิคาด ขณะเวลานั้นเอง เจ๊ม่วยสองนางที่หลับสนิทดั่งทารกอยู่ตลอดเวลา พลันพลิกตัวพร้อมกัน ในมือมีดาบงอลักษณะพิกล เป็นประกายเขียวเรืองอยู่นางละคู่

          พวกนางที่ปกตินุ่มนวลว่าง่ายดั่งนกพิราบ แต่ดูในตอนนี้กลับยังอำมหิตกว่าอสรพิษ ดุร้ายยิ่งกว่าเหยี่ยว

          เจ้เจ๊พลิกตัววูบ เตะเข้าใส่ท้องน้อยของมัน ดาบงอในมือแทงสวบเข้าใส่คอหอยอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยปานสายฟ้า

          ไซมึ้งจับซาเจ็บปวดจนน้ำมูกน้ำตาหลั่งไหล กุมท้องน้อยนั่งยองๆ ลงไป ม่วยม่วยก็ฟันฉับเข้าใส่ก้านคอซ้ายของมันด้วยความเร็วมิด้อยกว่าเจ้เจ๊

          ใบหน้าอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยชาด้านไร้ความรู้สึก ถึงกับคล้ายคำนวณได้ว่า พวกนางต้องมีไม้นี้อยู่ก่อนก็ปาน

          ดาบทั้งสี่ของเจ๊ม่วยเพิ่งตวัดจู่โจม พลันมีเสียงติงติงดังสี่ครั้ง ดาบงอทั้งสี่เล่มถูกฟาดหักสะบั้นออกไปทันที

          ในมือ มีกระบองสั้นที่ยาวเพียงหนึ่งเชียะสามนิ้วขึ้นอีกท่อนหนึ่ง

          กระบองสั้นเป็นสีดำ ด้านไม่มีประกาย ดูมิออกว่ามีที่พิเศษพิสดารใด

          แต่ดาบงอที่มีประกายแวววับจับตา แสดงว่าหลอมจากเหล็กกล้าที่ผ่านการถลุงมากครั้ง ถึงกับถูกมันฟาดหักไปอย่างง่ายดาย!

          เจ๊ม่วยทั้งสองจับตามองดาบครึ่งท่อนในมือด้วยความตระหนก แทบมิกล้าเชื่อเป็นเรื่องจริง

          จากนั้นพวกนางจึงรู้สึก สองแขนปวดชา กระทั่งดาบครึ่งท่อนก็ยังไม่อาจกุมมั่น

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยจับตาเย็นชามองพวกนางพลางแค่นเสียง

          “ในตัวพวกเจ้าต่างมีของวิเศษติดมาอยู่สองชนิด ยังมีอีกชนิดหนึ่ง ไฉนมิใช้ออกมาด้วย?”

          เจ้เจ๊พลันถอนใจยาว แย้มยิ้มกล่าว

          “ที่แท้ท่านดูความเป็นมาของพวกเราออกแต่แรกแล้ว?”

          “เฮอะ”

          “พวกผู้เยาว์เป็นศิษย์ของอาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊ (ประมุขนครแซ่อาวเอี๊ยง) แห่งเตียงจูเซี้ย (นครไข่มุก) ในเกาะไขว้จื้อเต้า (ตะเกียบ) ทะเลตังไฮ้ ตั้งใจมากราบคารวะอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยโดยเฉพาะ”

          นางดูไปไม่มีทีท่าแตกตื่นขวัญเสียสักน้อยนิด กลับคล้ายมีความเคารพยำเกรงอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยเป็นอย่างยิ่งก็ปาน

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “พวกเจ้ามากราบคารวะเรา?”

          “อาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊ เลื่อมใสเกียรติภูมิของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมานานแล้ว”

          “เป็นมันเรียกพวกเจ้ามา?”

          “ถูกแล้ว”

          “ที่พวกเจ้าไปซ่อนตัวในเจี๊ยะแกจึง เพื่อต้องการรอได้พบเรา?”

          “คฤหาสน์ของท่านผู้เฒ่า มีการป้องกันเข้มงวดกวดขัน บุคคลเช่นดั่งเราเจ๊ม่วยคิดจะพบท่านผู้เฒ่าย่อมมิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยหัวร่อแค่นๆ กล่าว

          “ดังนั้น พวกเราจึงแสร้งจงใจให้เจ้าเด็กมักมากในกามคุณแต่ขวัญฝ่อเห็นพวกเจ้า พวกเจ้าคำนวณอยู่ก่อนแล้ว มันจะเร็วจะช้าต้องไปหาพวกเจ้าแน่”

          ใบหน้าเจ้เจ๊ถึงกับแดงระเรื่อ ฝืนยิ้มตอบ

          “เรียนกับท่านผู้เฒ่าโดยไม่อำพราง พวกเราเองก็นึกไม่ถึง มันจะไปหาพวกเราในเวลาดึกดื่นค่อนคืน มาตรว่าวิธีที่มันใช้ไม่ประเสริฐนัก แต่มีประสิทธิภาพยิ่ง”

          อุ้ยเทียนพ้งพลันหัวร่อเสียงก้องกล่าว

          “รับฟังมานาน ศิษย์อาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊ล้วนเป็นเจ๊ม่วยที่สวยสะคราญและชาญฉลาด วันนี้ได้เห็นเป็นจริงดั่งกิตติศัพท์มิผิดเพี้ยน”

          มันแหงนหน้าหัวร่อด้วยความสนใจ คล้ายดั่งลืมของวิเศษอีกชนิดหนึ่งของสองเจ๊ม่วยยังมิได้ใช้ออกจัดการมัน

          ขณะเวลานั้นเอง เจ๊ม่วยต่างลงมือพร้อมกัน มีเสียงติงตังดังสนั่น ประกายแวววับหลายสิบจุดพุ่งออกมาจากแขนเสื้อนาง เข้าใส่ทรวงอกอุ้ยเทียนพ้งดั่งสายฟ้าฟาด

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อไม่ขาดเสียง เพียงแต่ว่ากระบองสั้นในมือมัน กรีดเป็นวงอย่างรวดเร็ว

          ประกายแวววับหลายสิบจุดที่คล้ายพายุฝน ถึงกับพลันถูกพลังดูดอันพิสดารดึงดูดเข้าไปในวงกลมนั้น มีเสียงติงติงดังถี่ยิบวูบหนึ่ง แล้วประกายแวววับหลายสิบจุด ถึงกับถูกกระบองสั้นดูดติดไปหมดสิ้น อุปมาดั่งแมลงวันฝูงใหญ่ ถูกกระบองน้ำตาลเหนียวดูดไว้ก็ปาน

          เจ๊ม่วยทั้งสองตะลึงลานอีกครั้ง!

          อุ้ยเทียนพ้งส่งเสียงราบเรียบ

          “เรารู้แต่แรกแล้ว หากพวกเจ้าไม่ใช้ของวิเศษนี้ออกมา ต้องไม่ยอมเลิกล้มความพยายาม”

          ม่วยม่วยก็ถอนใจยาวกล่าวขึ้น

          “ดูท่าพวกมันต่างดูท่านผิดไป”

          “อ้อ?”

          “พวกมันต่างเข้าใจท่านชราแล้ว เข้าใจว่าวงพวกนักเลงยุคสมัยนี้ เป็นแผ่นดินของพวกวัยฉกรรจ์มัน แต่บัดนี้ข้าพเจ้าดูท่านผู้เฒ่า ท่านเพียงลำพัง ถึงกับยังเหนือกว่าพวกมันเป็นจำนวนสิบคนเสียอีก”

          นางก้มศีรษะต่ำ ลอบชายหางตาไปมองอุ้ยเทียนพ้ง ดวงตาถึงกับมีประกายเคารพนบน้อมจนบอกมิถูก

          พวกดรุณีน้อย มีแต่ดูวีรบุรุษที่พวกนางเคารพโดยจริงใจเท่านั้น จึงจะมีสายตาเช่นนี้

          ดูไปอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยก็คล้ายพลันเยาว์วัยอีกมากหลาย ถึงกับแย้มยิ้มกล่าว

          “ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า เป็นวาจาที่พวกวัยฉกรรจ์สมควรสังวรไว้”

          ม่วยม่วยก้มศีรษะตอบ

          “ที่พวกเราลงมือเมื่อครู่ เป็นความจำเป็นจำใจดอก พวกเราเจ๊ม่วยต่างเป็นคนน่าสมเพช ผู้อื่นเรียกพวกเรากระทำอย่างไร พวกเราก็ต้องปฏิบัติตาม ทั้งไม่อาจต่อต้านขัดขืน ทั้งไม่อาจโต้แย้งคัดค้าน”

          นางกล่าวไปกล่าวไป คล้ายจะมีน้ำตาหลั่งไหล

          อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยมีสีหน้าเห็นใจ ถอนใจกล่าว

          “เราไม่ตำหนิพวกเจ้า ฝีมือที่อาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊มีต่อศิษย์และบริวาร ชนชาวนักเลงต่างทราบกระจ่าง”

          เจ้เจ๊กล่าวเสียงเครือขึ้นบ้าง

          “แต่นอกจากท่านผู้เฒ่าแล้ว มีผู้ใดเห็นใจความคับแค้นของพวกเรา?”

          เสียงของอุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยแปรเปลี่ยนเป็นยิ่งนุ่มนวลกว่าเดิม

          “ขอเพียงพวกเจ้าบอกเจตนาการมาโดยสัตย์จริง เราต้องไม่ทำร้ายพวกเจ้าแน่”

          เจ้เจ๊กล่าว

          “อยู่ต่อหน้าพวกท่าน พวกเราก็มิกล้าโป้ปด”

          ม่วยม่วยกล่าว

          “ท่านผู้เฒ่าย่อมทราบ พวกเรามาเพราะเอี๊ยบไคกับเซี่ยงกัวเซี่ยวเซียน”

          อุ้ยเทียนพ้งถาม

          “เพราะเรื่องนี้ เตียงจูเซี้ย (นครไข่มุก) ส่งคนมามากน้อยเท่าใด?”

          “มีเราเจ๊ม่วยสองคนเท่านั้น”

          ม่วยม่วยกล่าวจบคำแล้ว เจ้เจ๊รีบต่อ

          “ความมุ่งหมายของอาวเอี๊ยงเซี้ยจู๊ มิใช่มีความต้องการของเหล่านั้นจริง เพียงแต่ว่าต้องการให้พวกเรามาดู เอี๊ยบไคเป็นคนมีความร้ายกาจถึงระดับใดแน่เท่านั้น”

          อุ้ยเทียนพ้งกล่าว

          “พวกเจ้าจะได้เห็นในเวลาเร็วยิ่ง มันจะมาในเวลาเร็วยิ่งแล้ว”

          “แต่พวกเรา...”

          อุ้ยเทียนพ้งแย้มยิ้มสอดคำเจ้เจ๊

          “พวกเจ้าไปได้แล้ว วันหน้ามีโอกาส พร้อมที่จะไปเยี่ยมเราทุกเวลา ไม่ต้องไปซ่อนอยู่ในเจี๊ยะแกจึงอีก”

          เจ้เจ๊ก็แย้มยิ้มกล่าว

          “โอกาสหน้าพวกเราจะต้องไปกราบคารวะท่านผู้เฒ่าแน่”

          ม่วยม่วยรีบสวนคำทันที

          “พวกเราต้องไปแน่นอน”

          เจ๊ม่วยทั้งสองแย้มยิ้มจนหยาดเยิ้ม หันกายผลักประตูกระโดดออกไปคล้ายดั่งเป็นนกนางแอ่นที่เพิ่งโบยบินออกจากกรง

          ไซมึ้งจับซาที่ก้มศีรษะด้วยความท้อแท้ห่อเหี่ยวอยู่ตลอดเวลา คล้ายดั่งผิดคาดหมายเป็นยิ่งนัก

          มันนึกไม่ถึง อุ้ยโป้ยไท้เอี๊ยะจะยอมปล่อยพวกนางไป แต่ขณะเวลานั้นเอง มันพลันได้ยินเสียงประหลาดพิกลอย่างยิ่ง คล้ายเป็นเสียงสว่านเจาะเข้าไปในเนื้อมนุษย์!

          จากนั้นได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นสองครา!

          มันอดมิได้ต้องเหลียวมองตาม ถึงกับเห็นคนที่สวมเสื้อนวมสีเขียวผู้หนึ่งกำลังยืนใช้ผ้าเข็ดหน้าสีขาวสะอาด เช็ดเลือดอยู่ที่นอกประตูรถ

          เช็ดเลือดบนสว่าน ที่ในมือมันถือ ถึงกับเป็นสว่านเหล็กประกายแวววาว!

          ฮั่นเจ็ง!

          จนบัดนี้ไซมึ้งจับซาจึงทราบ สารถีที่ขับรถพาพวกมันมาที่นี้ ถึงกับเป็นฮั่นเจ็ง

          จมูกของฮั่นเจ็งเบี้ยวออกทางด้านข้าง ดั้งจมูกถูกเต็งลิ้งต่อยแตก ดั้งจมูกที่ยุบจนเอียงเยี่ยงนี้ บันดาลให้ใบหน้าผู้คนมักจะมีความรู้สึกที่พิกลจนสุดพิสดารอยู่เสมอ

          ใบหน้าอุ้ยโป้ไท้เอี๊ยชาด้านไร้ความรู้สึก แต่ถามขึ้น

          “สองคนต่างตายแล้ว?”

          ฮั่นเจ็งผงกศีรษะ อุ้ยโป้ไท้เอี๊ยส่งเสียงราบเรียบ

          “ดูท่าท่านมิใช่เป็นคนรักถนอมบุปผา (สตรี) เลย”

          “ข้าพเจ้ามิใช่”

          ดวงตาอุ้ยโป้ไท้เอี๊ยมีประกายยิ้มแย้ม กล่าวสืบไป

          “หากเต็งลิ้งทราบท่านฆ่าพวกนาง จมูกของท่านยิ่งต้องมีอันตรายกว่านี้แล้ว”

          “มันไม่มีทางทราบได้”

          “อ้อ?”

          “คนตายต่างไม่ทราบเรื่องราวใดได้อีก”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อกล่าว มันพอใจที่ผู้อื่นเลียนการกล่าววาจาเช่นมัน

          ฮั่นเจ็งกล่าวอีก

          “ตอนมันไป เพียงให้พวกเรารอมันชั่วยามหนึ่ง (สองชั่วโมง)”

          อุ้ยเทียนพ้งผงกศีรษะเห็นพ้อง

          “มันย่อมคำนวณเวลาแม่นยำอย่างยิ่ง”

          ฮั่นเจ็งกล่าว

          “มิว่าเรื่องราวใด มันต่างคำนวณแม่นยำยิ่ง”

          “เฮอะ มันนับเป็นคนร้ายกาจยิ่งจริงๆ ข้อบกพร่องเพียบหนึ่งเดียวคือ มีวัยเยาว์เกินไป”

          “มันไม่มีวันไปได้ตลอดกาล”

          “เพราะเหตใด?”

          “คนตายย่อมเดินไปไม่ได้”

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่ออีกครา ฮั่นเจ็งกล่าว

          “ตอนนี้ผ่านหนึ่งชั่วยามไปนานแล้ว มันยังมิได้กลับมา”

          “ดังนั้น มันน่ากลัวไม่อาจกลับมาได้ตลอดกาล”

          ฮั่นเจ็งผงกศีรษะ

          อุ้ยเทียนพ้งหัวร่อแค่นๆ กล่าวช้าๆ สืบไป

          “ดังนั้น น่ำไฮ้เนี่ยจื้อนางนี้ ต้องมิใช่ตัวปลอมเด็ดขาด”

          ฮั่นเจ็งเห็นพ้องโดยกล่าว

          “สามารถรั้งคนเช่นเต็งลิ้งอยู่ได้ มีไม่มากนัก”

          ใบหน้าอุ้ยเทียนพ้งกลายเป็นเคร่งเครียดเย็นชาอีกครั้ง กล่าวช้าๆ

          “เฮ็กแป๊ะแห่งภูเขาแชเซี้ย ผู้แซ่อาวเอี๊ยงแห่งนครเตียงจูเซี้ย บวกกับน่ำไฮ้เนี่ยจื้อ... ความจริงโลกนี้ไม่มีเรื่องราวใดสามารถกระตุ้นใจพวกมันให้หวั่นไหวเลย แต่บัดนี้พวกมันต่างลงมือกันแล้ว”

          “หากเอี๊ยบไคทราบ มันต้องปีติยิ่ง”

          “ปีติ?”

          “สามารถให้คนเหล่านี้ลงมือ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย นอกจากมันแล้ว ในโลกนี้อาจบางทีไม่มีบุคคลที่สอง พอจะล่อให้พวกมันมาในที่นี้ได้

          อุ้ยเทียนพ้งนิ่งอึ้ง ถึงกับยอมรับมิโต้แย้ง

-----------------------------------

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น