6.
การสอนอ่าน
ปัจจุบันทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีบทบาทและมีความจำเป็นในชีวิตประจำวันมากเพิ่มมากขึ้น
นักเรียน นักศึกษา จำเป็นต้องใช้ทักษะการอ่าน
เพื่อการศึกษาหาความรู้วิทยาการแขนงต่างๆ
แม้เมื่อจบการศึกษาแล้วการอ่านก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันต่อไป ดังนั้น
การสอนอ่านจึงจำเป็นต้องปูพื้นฐานที่ดีและถูกต้อง เพื่อพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสอนอ่านจึงจำเป็นต้องปูพื้นฐานที่ดีและถูกต้อง เพื่อพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการอ่านที่จะทำให้ได้ผลดีที่สุด
คือ ผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจเรื่องที่อ่านและมีความสามารถในการอ่านเร็ว ดังที่
ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล (2537, หน้า 54) กล่าวไว้ว่า
ผู้อ่านทั้งหลายปรารถนาจะมีความสามารถ ดังนี้
1. อ่านได้เร็ว
2. เข้าใจทุกเรื่องที่อ่าน
3.
ใช้เวลาอ่านน้อยแต่ได้ประโยชน์จากการอ่านมาก
4.
มีเวลามากพอที่จะอ่านได้ตามต้องการ
5. อ่านแล้วจำได้มากที่สุด
6. นำความรู้ความคิดและสาระไปใช้ได้ดีและมากที่สุด
ความสามารถทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
ผู้อ่านแต่ละคนจะมีไม่ครบถ้วนแต่อาจเรียนรู้ได้หากได้รับการฝึกที่ถูกต้องนั่นคือ
ฝึกอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ และเมื่อผู้อ่านสามารถ
จับใจความสำคัญเป็นแล้วต่อไปก็จะสามารถอ่านได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านสิ่งที่ไม่สำคัญหรือส่วนที่ไม่ต้องการในการอ่านอีกต่อไป
จับใจความสำคัญเป็นแล้วต่อไปก็จะสามารถอ่านได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านสิ่งที่ไม่สำคัญหรือส่วนที่ไม่ต้องการในการอ่านอีกต่อไป
สุพิณ
เลิศรัตนการ และคนอื่นๆ (2540, หน้า 193–195)
ได้แนะนำวิธีการอ่านไว้ดังนี้
1.
การฝึกอ่านแบบคร่าวๆ
ในการอ่านแบบคร่าวๆ ผู้เรียนควรอ่านให้เร็วกว่าการอ่านปกติ
2 เท่าและต้องเปลี่ยนวิธีการอ่านกล่าวคือ
แทนที่จะอ่านทุกคำให้อ่านข้ามคำหรือประโยคที่ไม่สำคัญ
อ่านเพียงคำสำคัญที่บอกให้รู้ใจความสำคัญเท่านั้น ผู้เรียนควรปฏิบัติ ดังนี้
1.1 อ่าน 2 – 3 ประโยคแรกและตั้งคำถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร
1.2
อ่านย่อหน้าต่อไปอย่างเร็วเท่าที่จะจับใจความได้
1.3 อ่านเพียง 2 – 3 คำในแต่ละย่อหน้าโดยหาคำที่บอกใจความสำคัญ
ซึ่งโดยปกติจะอยู่ตอนต้นของย่อหน้า แต่บางครั้งอาจอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า
1.4 อ่านอย่างเร็วและจำไว้เสมอว่ารายละเอียดของเรื่องไม่ใช่เรื่องสำคัญ
2. การอ่านเร็ว
เมื่อความเร็วในการอ่านมีความสำคัญดังกล่าว
จึงควรส่งเสริมให้นักเรียนเพิ่มความเร็วในการอ่าน ในการฝึกอ่านเร็วมีวิธีการอ่าน
ดังนี้
2.1
พยายามอ่านเป็นหน่วยความคิดไม่ใช่อ่านทีละคำ
2.2
ฝึกอ่านในใจ
การอ่านออกเสียงจะทำให้การอ่านช้าลง
2.3
การสร้างภาพจากตัวหนังสือให้เป็นรูปธรรมจะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและจำได้
2.4
ควรอ่านข้อความอย่างเร็ว 1 รอบก่อน
อย่าอ่านข้อความกลับไปกลับมาให้อ่านไปเรื่อยๆ อาจจะเข้าใจได้ในที่สุด
2.5
ควรจับสายตาไว้เหนือตัวหนังสือเล็กน้อย
แล้วให้กวาดสายตาอ่านจับข้อความเป็นกลุ่มๆ อ่านจากบนลงล่างๆไม่ใช่จากซ้ายไปขวา
กล่าวคือ ต้องฝึกช่วงสายตาให้กว้างเท่ากับความยาว 1
ช่วงบรรทัดเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการกวาดตา
2.6
ควรอ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้าก่อนเสมอ
2.7 มีสมาธิในการอ่าน
นอกจากนี้ ธวัช วันชูชาติ (2542, หน้า 130–131) ได้กล่าวถึง
การสอนอ่านในขั้นของการจัดกิจกรรมหลังการอ่าน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.
การวาดภาพจากเรื่องที่อ่าน
2. การตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน
3. การย่อความจากเรื่องที่อ่าน
4.
การตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน
วิภาดา ประสานทรัพย์ (2542, หน้า 76) ยังได้กล่าวถึงการสอนอ่านว่า ความสามารถในการอ่านเป็นความสามารถที่ใช้ในการรับสาร
เช่นเดียวกับความสามารถในการฟังและมีความสำคัญมากในยุคนี้เนื่องจากผู้คนเป็นจำนวนมากที่สื่อสารกันด้วยตัวหนังสือ
ในการสอนความสามารถในการอ่านได้ทำการแบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้คือ
1.
กิจกรรมการสอนช่วงก่อนการอ่าน
เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีความสนใจ
หรือเพื่อเป็นการโน้มน้าวให้นักเรียนเข้ามาสู่เรื่องที่จะอ่าน โดยอาศัยกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการคาดการณ์ล่วงหน้านั่นคือ
ก่อนที่นักเรียนจะได้อ่านเรื่องราวของบทเรียนที่ครูได้เตรียมมาสอนก็จะให้นักเรียนลองคาดเดาเรื่องราวนั้นๆ
ก่อน ประกอบกับการใช้ประสบการณ์เดิมเข้าช่วยโดยอาศัยข้อมูลเบื้องต้นเป็นแนวทาง
ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1.1 ใช้ชื่อเรื่อง
รูปภาพประกอบเรื่องที่อ่านและคำถามนำเป็นแนวทางในการโน้มน้าวนักเรียนมาสู่เรื่องที่จะเรียน
1.2 ให้ชื่อเรื่องและรายการคำศัพท์มาจำนวนหนึ่งแล้วให้นักเรียนเดาว่าจะมีคำศัพท์ใดอยู่ในเรื่องที่จะเรียนบ้าง
1.3 ใช้รูปภาพที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนเป็นสื่อให้นักเรียนล่วงหน้าจากเรื่องที่อ่าน
1.4
ใช้รูปภาพของเรื่องที่จะใช้สอนเป็นสื่อในการให้นักเรียนลองแต่งประโยคล่วงหน้าจากคำศัพท์ในเรื่อง
2.
กิจกรรมการสอนระหว่างการอ่าน
เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนได้เข้าใจเรื่องที่จะได้อ่านมากขึ้นโดยจะยึดหลักว่าจุดมุ่งหมายของการอ่านครั้งนี้คืออะไรแล้วพยายามทำกิจกรรมเพื่อให้ได้สิ่งนั้น
ดังตัวอย่างกิจกรรมต่อไปนี้
2.1 การอ่านแบบจิ๊กซอว์ (Jigsaw
reading)
เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อส่วนที่ตนเองจะต้องอ่าน
เพื่อนำมาแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อน เพื่อทำให้งานที่ได้รับมอบหมายจากการอ่านสำเร็จ
2.2
ให้นักเรียนจับคู่รูปภาพและคำบรรยายจากเรื่องที่อ่าน
2.3 ให้นักเรียนเรียงลำดับก่อน – หลังจากการอ่าน
3.
กิจกรรมการสอนหลังการอ่าน
กิจกรรมหลังจากการอ่านจัดได้ว่ามีประโยชน์มาเพราะนอกจากจะเป็นเหมือน
การสรุปเรื่องที่อ่านแล้วยังสามารถใช้เวลานี้ในการรวบรวมความคิดในด้านต่างๆ เช่น เรื่องคำศัพท์ สำนวนจาเรื่องและยังสามารถนำมาบูรณาการกับความสามารถอื่นๆ ได้ ดังตัวอย่าง
การสรุปเรื่องที่อ่านแล้วยังสามารถใช้เวลานี้ในการรวบรวมความคิดในด้านต่างๆ เช่น เรื่องคำศัพท์ สำนวนจาเรื่องและยังสามารถนำมาบูรณาการกับความสามารถอื่นๆ ได้ ดังตัวอย่าง
3.1
ถ่ายโอนความคิดของนักเรียนจากเรื่องที่อ่าน และค้นคว้าเพิ่มเติม
3.2 โครงงานเขียนหลังการอ่าน
สมเกียรติ
กินจำปา (2545, หน้า 25–26)
ได้กล่าวถึงการสอนความสามารถในการอ่านว่า ผู้สอนควรเพ่งเล็งในสิ่งต่อไปนี้
1. ความเข้าใจ คือ ความสามารถที่จะเข้าใจในลายลักษณ์อักษรหรือข้อความที่อ่านอย่างครบถ้วน
คือ อ่านรู้เรื่องนั่นเอง การอ่านนั้นความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ
เป็นอันดับหนึ่งจึงไม่ควรอ่านเร็วเกินไปจนไม่รู้เรื่อง
คนเราจะอ่านหนังสือได้เข้าใจเพียงใดนั้นย่อมแล้วแต่ประสบการณ์และการศึกษาที่ได้รับมา
เมื่อได้เห็นได้อ่านได้ฟังมากขึ้น
ย่อมจะเข้าในโลกดีขึ้นและมีผลให้อ่านหนังสือเข้าใจได้รวดเร็วและลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย
2. ความเร็ว
ความเร็วในการอ่านมีความสำคัญรองลงมาจากความเข้าใจ
ผู้อ่านที่อ่านเร็วและอ่านมากย่อมได้เปรียบทั้งในด้านการเรียน การทำงาน
ผู้เรียนจะอ่านได้เร็วถ้าผู้สอนได้เห็นถึงประโยชน์ของความเร็ว
แนะนำวิธีอ่านที่ถูกต้องให้ และฝึกหัดโดยมีควบคุมบ้างหรือฝึกหัดด้วยตนเอง
รูบิน (Rubin, 1993,
pp. 202-204) ได้เสนอวิธีการสอนอ่านไว้ว่า
1.
กิจกรรมการอ่านโดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง (DRTA : The
directed reading thinking activity)
วิธีการสอนแบบนี้ครูผู้สอนจะเป็นผู้จูงใจกระตุ้นให้นักเรียนคิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับบทอ่าน
และให้นักเรียนหาเหตุผลที่จะพิสูจน์ความคิดของตนเอง
ส่วนนักเรียนจะทำนายหรือคิดตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่านที่ครูกระตุ้น
จากนั้นให้อ่านบทอ่านให้เข้าใจเพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์สิ่งที่ตนเองทำนายไว้
กระบวนการต่างๆ
เหล่านี้ผู้สอนจะคอยเป็นผู้ดูแลช่วยเหลือให้นักเรียนอยู่ในกระบวนการ
ฉะนั้นการสอนแบบนี้ผู้สอนจำเป็นต้องมีความสามารถในการกระตุ้นให้นักเรียนได้ทำนายตั้งคำถามและคิดในระดับที่สูงขึ้น
2.
กลยุทธ์การเป็นแบบอย่างในการแสดงความคิดออกมาเป็นคำพูด (modeling thinking out loud strategy)
วิธีนี้เป็นวิธีที่ครูแสดงความคิดออกมาเป็นคำพูด
เพื่อให้นักเรียนเห็นว่าครูมีกระบวนการหรือวิธีการอย่างไรในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่อ่านจนครูเกิดความเข้าใจขึ้นได้
เพราะนักเรียนบางคนอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนอธิบาย
การที่ผู้สอนพูดสิ่งที่ตนคิดออกมาจะทำให้นักเรียนกลุ่มนี้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
3.
การเชื่อมโยงข้อความเข้ากับชื่อเรื่องและการทำนายเรื่อง (literature webbing with predictable books)
การสอนแบบนี้ผู้สอนจะตัดข้อความมาจากในหนังสือ จากนั้นนำเอาข้อความต่างๆ
เหล่านั้นติดบนกระดานโดยโยงกับชื่อเรื่องบทอ่านที่ครูตัดข้อความเหล่านั้นมา
จากนั้นให้นักเรียนทายเกี่ยวกับเรื่อง
โดยข้อความที่ตัดมาจะต้องมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำให้นักเรียนสามารถทำนายต่อไปได้
สรุปได้ว่า
การสอนอ่านนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน โดยเน้นหลักสำคัญในการสอนอ่านมีอยู่ 3 ส่วน
ด้วยกัน คือ
1. เนื้อเรื่องที่อ่านเหมาะสมกับคุณวุฒิและวัยวุฒิของผู้เรียน
2.
ตัวผู้เรียนเอง มีความรู้ ความสนใจ และสามารถกำกับควบคุมตนเองได้ดี
3.
ผู้สอน
สามารถสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนต้องอ่านและฝึกฝนนักเรียนให้อ่านได้ดีมีประสิทธิภาพ
6.1 หลักการและกระบวนการสอนอ่าน
ในการสอนอ่านนั้นผู้สอนควรจะมีหลักยึด
เพื่อว่าจะได้ดำเนินการสอนได้อย่างถูกต้องตามความมุ่งหมายในการสอนอ่าน
ซึ่งมีผู้เสนอไว้ ดังนี้
ถนอมวงศ์
ล้ำยอดมรรคผล (2537, หน้า 529–532) กล่าวว่า
การอ่านมีกระบวนการ ดังนี้
ขั้นแรก
การรู้จักคำ กระบวนการอ่านเกิดขึ้นเมื่อผู้อ่านรับรู้ความหมายของถ้อยคำ
ภาษาที่เขียนถ่ายทอดด้วยตัวอักษรได้เข้าใจตรงกัน ตามปกติเราไม่ได้อ่านคำๆ
เดียวแต่อ่านเป็นวลี ประโยค ข้อความหรือเรื่องราว
ดังนั้นเมื่ออ่านข้อความที่ยาวขึ้น
หากรู้คำมากเท่าใดก็ยิ่งเข้าใจเรื่องราวมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้จะมีคำบางที่ไม่รู้จักมาก่อน
คำที่รู้จักก็อาจจะช่วยให้เข้าใจความหมายของคำใหม่ได้
ขั้นที่สอง
การเข้าใจความหมายของสาร สาร คือ ความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
ในการอ่านแต่ละคนเข้าใจความหมายไม่ตรงกันทีเดียว
คำเดียวกันอาจมีความหมายเพียงนัยเดียวหรือหลายนัยสำหรับแต่ละคน การเข้าใจสารของแต่ละคนขึ้นอยู่กับการตีความ
ซึ่งแตกต่างหรือคล้ายคลึงกัน แล้วแต่ความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับคำประเภทหรือข้อความนั้นๆ บริบทก็มีส่วนช่วยให้เข้าใจสารได้ตรงหรือใกล้เคียงกับเจตนาของผู้เขียน ผู้อ่านจะต้องฝึกฝนการตีความจนสามารถจับความรู้สึก อารมณ์และความคิด ตลอดจนเจตนาของผู้เขียนได้
ซึ่งแตกต่างหรือคล้ายคลึงกัน แล้วแต่ความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับคำประเภทหรือข้อความนั้นๆ บริบทก็มีส่วนช่วยให้เข้าใจสารได้ตรงหรือใกล้เคียงกับเจตนาของผู้เขียน ผู้อ่านจะต้องฝึกฝนการตีความจนสามารถจับความรู้สึก อารมณ์และความคิด ตลอดจนเจตนาของผู้เขียนได้
ขั้นที่สาม
การมีปฏิกิริยาต่อสาร ตามปกติเมื่อเราอ่านสิ่งใด เราย่อม “คิด”
คล้อยตามหรือคัดค้านแยกแยะข้อมูลและเปรียบเทียบความคิดต่างๆ
ว่าส่วนใดเหมาะสมหรือตรงกับความหมายที่แท้จริงของเรื่องที่อ่าน
ดังนั้นปฏิกิริยาต่อสารจึงมีทั้งอารมณ์และความคิด
ผู้อ่านจะเป็นผู้ใช้วิจารณญาณตัดสินสารนั้นได้
โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตร่วมกับความรู้
ความเข้าใจได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ตัดสินไม่ได้ว่าตอนใดสำคัญ ตอนใดเป็นความจริง ตอนใดเป็นความคิดจึงไม่สามารถสรุปความคิดและแก้ปัญหาใดๆ ได้
ความเข้าใจได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ตัดสินไม่ได้ว่าตอนใดสำคัญ ตอนใดเป็นความจริง ตอนใดเป็นความคิดจึงไม่สามารถสรุปความคิดและแก้ปัญหาใดๆ ได้
ขั้นที่สี่ การรวบรวมความคิด
เมื่อผู้อ่านผ่านกระบวนการคิดจากขั้นแรกถึง
ขั้นที่สามแล้วจนถึงขั้นที่สี่ เป็นขั้นตัดสินใจว่าอ่านแล้วเข้าใจเพียงใด เพราะความเข้าใจจะวัดได้โดยผู้อ่านสามารถสรุปความ รวบรวมความรู้ความคิดจากสิ่งที่อ่านมาประสมประสานกับความรู้เดิมผู้อ่านจะเปรียบเทียบสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่แล้วเลือกรับเฉพาะสิ่งที่ได้ความรู้ความคิดที่ประสานกันขึ้นนี้ จะทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ๆ ขึ้น ทำให้ความรู้ความคิดเดิมได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรืออาจเพิ่มพูน ผู้อ่านจะเริ่มสนใจอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่ถ้ารวบรวมความคิดแล้ว ผู้อ่านยังไม่เข้าใจสิ่งที่อ่านอยู่ ก็แสดงว่าผู้อ่านยังขาดพื้นฐานข้อที่สองและสามอยู่ จำเป็นต้องพัฒนาทักษะพื้นฐานการอ่านให้มีมากขึ้น
ขั้นที่สามแล้วจนถึงขั้นที่สี่ เป็นขั้นตัดสินใจว่าอ่านแล้วเข้าใจเพียงใด เพราะความเข้าใจจะวัดได้โดยผู้อ่านสามารถสรุปความ รวบรวมความรู้ความคิดจากสิ่งที่อ่านมาประสมประสานกับความรู้เดิมผู้อ่านจะเปรียบเทียบสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่แล้วเลือกรับเฉพาะสิ่งที่ได้ความรู้ความคิดที่ประสานกันขึ้นนี้ จะทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ๆ ขึ้น ทำให้ความรู้ความคิดเดิมได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรืออาจเพิ่มพูน ผู้อ่านจะเริ่มสนใจอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่ถ้ารวบรวมความคิดแล้ว ผู้อ่านยังไม่เข้าใจสิ่งที่อ่านอยู่ ก็แสดงว่าผู้อ่านยังขาดพื้นฐานข้อที่สองและสามอยู่ จำเป็นต้องพัฒนาทักษะพื้นฐานการอ่านให้มีมากขึ้น
ทรงพร
อิศโรวุธกุล (2538, หน้า 10–14)
กล่าวถึงหลักในการสอนอ่านที่ควรคำนึงถึง ดังต่อไปนี้
1.
ควรเป็นการอ่านในระดับข้อความ ผู้สอนไม่ควรสอนให้ผู้เรียนศึกษาเฉพาะส่วนย่อยๆ
ของภาษาในบทอ่านและมองว่า คำ วลี ประโยค ในบทอ่านต่างเป็นอิสระต่อกัน
ตนเข้าใจผิดคิดว่าการจะเข้าใจบทอ่านนั้นๆ จะต้องศึกษาหน่วยย่อยๆ
เหล่านั้นอย่างละเอียดแต่ควรสอนให้ผู้เรียนอ่านและเข้าใจความหมายเป็นย่อหน้า
2. ควรเน้นความเข้าใจโดยสรุปก่อนความเข้าใจในรายละเอียด
การสอนอ่านควรเน้นให้ผู้อ่าน
อ่านเพื่อได้ความเข้าใจทั้งหมดของเรื่องที่อ่านเสียก่อน
หลังจากนั้นจึงค่อยลงไปในรายละเอียดของเนื้อหา แบบฝึกหัดที่ให้ทำก็เช่นเดียวกัน
ควรให้ผู้เรียนได้ใช้ความเข้าใจกว้างๆ เช่น จุดมุ่งหมายของบทอ่านเสียก่อนจึงค่อยถามความเข้าใจเกี่ยวกับศัพท์
สำนวนหรือเนื้อหาในรายละเอียด
3.
ควรใช้บทอ่านที่พบในชีวิตจริง
ตำราที่ใช้สอนภาษาอังกฤษโดยทั่วไปมักเลือกใช้ภาษาที่ทำให้ง่าย
การทำเช่นนี้กลับมีข้อเสีย คือ ในชีวิตจริงคนเรามักพูดหรือเขียนซ้ำความหมายเดิม
อ้างถึงสิ่งที่กล่าวมาแล้วหรือมักมีการใช้เครื่องบ่งบอกต่างๆ
การนำข้อเขียนมาทำให้ง่ายกลับทำให้ข้อความนั้นยากแก่การเข้าใจเพราะผู้เรียนขาดเครื่องช่วยในการเดาความหมาย
4. ควรใช้ทักษะสัมพันธ์
ผู้สอนไม่ควรสอนความสามารถในการอ่านโดยแยกออกจากความสามารถอื่นๆ โดยสิ้นเชิง เพราะในชีวิตจริงเมื่อเราได้ฟังหรืออ่านอะไรแล้วเรามักจะนำไปเล่าต่อหรือเขียนให้คนอื่นอ่าน
ดังนั้นกิจกรรมการอ่านควรนำความสามารถอื่นมาเสริมการฝึกสามารถในการอ่านด้วย เช่น
อ่านประกาศรับสมัครงานแล้วเขียนจดหมายไปบอกเพื่อน เป็นต้น
5.
ควรอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนรู้จุดมุ่งหมายก่อนเริ่มการอ่านในแต่ละครั้งเพราะจะเป็นเครื่องกำหนดประเภทของการอ่านและสามารถในการอ่านแบบต่างๆ
6.
ควรเน้นที่กระบวนการค้นคว้าหาคำตอบ
โดยการอ่านเป็นกิจกรรมที่ต้องเป็นไปด้วยการเคลื่อนไหว
เพราะตลอดเวลาผู้อ่านจะต้องเดาความหมาย ทำนาย ตรวจสอบและถาม คำถามตัวเอง
ดังนั้นในการอ่านควรมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาและฝึกฝนความสามารถในทักษะเหล่านี้อย่างเป็นระบบมากกว่าที่จะเน้นที่คำตอบ
7. ผู้เรียนควรอ่านด้วยตนเอง
หลังจากที่สอนคำศัพท์บางคำที่คาดเดาว่าจะมีปัญหา และให้หลักการในการอ่านแล้ว ควรปล่อยให้ผู้เรียนอ่านด้วยตนเอง
เพื่อเขาจะได้ฝึกช่วยตนเองเมื่อพบคำศัพท์ใหม่จะได้รู้จักเดาศัพท์นั้นจากคำข้างเคียงหรือจากรากศัพท์
8.
ส่งเสริมการอ่านนอกเวลาเรียน สามารถในการอ่านจำเป็นต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอจนเกิดความชำนาญ
การอ่านในห้องเรียนจึงไม่พอ ผู้สอนต้องมีส่วนช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้สนใจในการอ่านหนังสือนอกห้องเรียน
กู๊ดแมน (Goodman, 1982, p.13) กล่าวว่า กระบวนการสอนอ่านมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตอนที่สมองระลึกหรือจำตัวอักษรได้ตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
(recognition – initiation) เป็นการมองเห็นคำแล้วจำได้ว่าคำๆ นั้นเขียนแทนคำพูดว่าอะไรและการอ่านก็จะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเป็นการเริ่มอีกแบบหนึ่งหรือการอ่านอาจจะเริ่มต้นด้วยการมองเห็นรูปภาพ รูปภาพนั้นก็เป็นตัวเริ่มต้นในการอ่านได้อีกลักษณะหนึ่ง
(recognition – initiation) เป็นการมองเห็นคำแล้วจำได้ว่าคำๆ นั้นเขียนแทนคำพูดว่าอะไรและการอ่านก็จะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเป็นการเริ่มอีกแบบหนึ่งหรือการอ่านอาจจะเริ่มต้นด้วยการมองเห็นรูปภาพ รูปภาพนั้นก็เป็นตัวเริ่มต้นในการอ่านได้อีกลักษณะหนึ่ง
2. การคาดคะเนหรือคาดการณ์ล่วงหน้า (prediction) เป็นการคาดคะเนหรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเรื่องที่อ่านนั้นเป็นอย่างไร
และจะดำเนินไปในลักษณะใด
3.
การหาข้อมูลยืนยัน (confirmation)
เป็นการหาข้อมูลยืนยันว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้หรือการหาคำยืนยันในความคิดของผู้อื่น
4. การแก้ไขการปรับหรือการจัดกระบวนการคิด
(correction) เป็นการแก้ไข
การปรับหรือการจัดกระบวนการคิดอีกครั้งหนึ่งเมื่อผู้อ่านพบว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้นั้นไม่ถูกต้องเป็นการแก้ความคิดของผู้อ่านให้ถูกต้อง
การปรับหรือการจัดกระบวนการคิดอีกครั้งหนึ่งเมื่อผู้อ่านพบว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้นั้นไม่ถูกต้องเป็นการแก้ความคิดของผู้อ่านให้ถูกต้อง
5. การสิ้นสุดการอ่าน (termination) บุคคลจะยุติการอ่านเมื่อทำกิจกรรมทั้งหมดเรียบร้อยแล้วอาจจะไม่ใช่การอ่านจบ
หรือผู้อ่านเข้าใจความหมายในการอ่านได้น้อยหรือไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
หรือเรื่องนั้นไม่น่าสนใจ
จากหลักการและกระบวนการสอนอ่านนั้นสามารถสรุปได้ว่า
ผู้สอนควรคำนึงถึง กระบวนการอ่านและทำการสอนตามกระบวนการอ่าน
โดยสอนให้สอดคล้องกับชีวิตจริง และเน้นให้ผู้เรียนสามารถอ่านได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น