หัวข้อวิทยานิพนธ์ การเปรียบเทียบความสามารถและเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคม
และวัฒนธรรมของไวก็อตสกีกับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
และวัฒนธรรมของไวก็อตสกีกับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประทุม ศรีรักษา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร. วิไล ทองแผ่
ชื่อนักศึกษา ปิลันธร มั่นพันธ์พาณิชย์
สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน
ปีการศึกษา 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบ 1) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
ที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคม และวัฒนธรรมของไวก็อตสกี 2) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
3) ความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี กับการสอนโดยใช้ทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ 4) เจตคติที่มีต่อ
การอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอน ตามทฤษฎีเชิงสังคมและ วัฒนธรรมของไวก็อตสกี กับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จำนวน 95 คน ปีการศึกษา 2554 ภาคเรียนที่ 2โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก 2 ห้อง จาก 5 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3/4 จำนวน 48 คน ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี
และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 47 คน ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคม
และวัฒนธรรมของไวก็อตสกี 2) แผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ 3) แบบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ (ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.880)
และ 4) แบบสอบถามเจตคติในการอ่านภาษาอังกฤษ (ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.844) วิเคราะห์ข้อมูล
โดยหาค่าเฉลี่ย (mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และการทดสอบที(t-test)
3) ความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี กับการสอนโดยใช้ทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ 4) เจตคติที่มีต่อ
การอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอน ตามทฤษฎีเชิงสังคมและ วัฒนธรรมของไวก็อตสกี กับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จำนวน 95 คน ปีการศึกษา 2554 ภาคเรียนที่ 2โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก 2 ห้อง จาก 5 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3/4 จำนวน 48 คน ได้รับการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี
และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 47 คน ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคม
และวัฒนธรรมของไวก็อตสกี 2) แผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ 3) แบบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ (ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.880)
และ 4) แบบสอบถามเจตคติในการอ่านภาษาอังกฤษ (ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.844) วิเคราะห์ข้อมูล
โดยหาค่าเฉลี่ย (mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และการทดสอบที(t-test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ได้รับ
การสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
การสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
2.
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับ
การสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
การสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
3. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ที่ได้รับ
การสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและนักเรียนที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ไม่แตกต่างกัน
การสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและนักเรียนที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ไม่แตกต่างกัน
4. เจตคติที่มีต่อการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ที่ได้รับการสอน
ตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและนักเรียนที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ ไม่แตกต่างกัน
ตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและนักเรียนที่ได้รับการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ ไม่แตกต่างกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น