7. วิธีการอ่านเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
ในการสอนภาษาอังกฤษเราไม่อาจกล่าวได้ว่าวิธีสอนแบบใดเป็นวิธีสอนที่ดีที่สุด
วิธีสอนแบบต่างๆ ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปแบบการสอนที่แตกต่างกัน โดยมีแนวคิดทางภาษาศาสตร์ ทางจิตวิทยา ทางการศึกษาตลอดจนจุดมุ่งหมายทางการเรียนภาษาที่แตกต่าง ทักษะเหล่านี้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งมีนักการศึกษากล่าวไว้ดังนี้
วิธีสอนแบบต่างๆ ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปแบบการสอนที่แตกต่างกัน โดยมีแนวคิดทางภาษาศาสตร์ ทางจิตวิทยา ทางการศึกษาตลอดจนจุดมุ่งหมายทางการเรียนภาษาที่แตกต่าง ทักษะเหล่านี้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งมีนักการศึกษากล่าวไว้ดังนี้
สุมิตรา
อังวัฒนกุล (2540, หน้า 151 – 152)
ได้เสนอแนะวิธีสอนที่จะช่วยให้เกิดสามารถในการอ่านไว้ ดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมนักเรียนให้มีการเพิ่มพูนคำศัพท์อยู่ตลอดเวลาและฝึกให้นักเรียนได้ลอง
เดาความหมายของคำศัพท์ใหม่
2. ช่วยให้นักเรียนเข้าใจโครงสร้างหรือรูปแบบประโยค
3. ช่วยให้นักเรียนเข้าใจวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
4. ใช้คำถามเป็นเครื่องมือช่วยให้นักเรียนเข้าใจข้อความที่อ่านยิ่งขึ้น
5. ช่วยฝึกให้นักเรียนสามารถอ่านเร็วและรู้จักปรับอัตราความเร็วในการอ่าน
ณิชาภัทร
วัฒนาพาณิช (2543, หน้า 14–16) ได้กล่าวถึงการอ่านเพื่อพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษ
ควรใช้วิธีการดังนี้
1. อ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะอ่านได้
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ วารสาร เรื่องสั้น หนังสือพิมพ์ บทอ่านทุกประเภทที่ผู้อ่านชอบ
เพราะยิ่งอ่านมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้การอ่านดีขึ้นเท่านั้นและควรจัดเวลาสำหรับการอ่านทุกวัน
2. อ่านโดยใช้ทักษะการอ่าน
ดังนี้
2.1 ให้นักเรียนศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทอ่านก่อนการอ่าน
จากนั้นให้นักเรียนคิด เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านซึ่งเมื่อทำการอ่านนักเรียนจะพบว่าตนอ่านได้เร็วขึ้น
และเข้าใจเรื่องมากขึ้น
2.2 ถามคำถามในขณะทำการอ่าน
ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้นักเรียนไม่ละ
ความสนใจไปจากเรื่องที่ที่อ่าน และยังจะช่วยให้จำสิ่งที่อ่านได้ดีขึ้น
ความสนใจไปจากเรื่องที่ที่อ่าน และยังจะช่วยให้จำสิ่งที่อ่านได้ดีขึ้น
2.3 เดาความหมายของคำศัพท์ใหม่
ถ้านักเรียนต้องหาความหมายของศัพท์ใหม่ทุกคนจะทำให้ใช้เวลาในการอ่านและในการหยุดอ่านเพื่อหาคำศัพท์
อาจทำให้ลืมเรื่องที่อ่านได้ ผู้สอนควรแนะนำให้นักเรียนเดาความหมายจากประโยคหรือจากข้อความในย่อหน้านั้นๆ
2.4 หาหัวเรื่องหรือใจความหลักเพราะหัวเรื่องและใจความหลักจะบอกให้รู้ว่า อะไรสำคัญในแต่ละบทอ่าน
ซึ่งในการหาหัวเรื่องและใจความหลักให้ตอบคำถาม 2 ข้อ ที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรและผู้เขียนต้องการจะบอกอะไร
2.5 มีความเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษ
โครงสร้างทางภาษาเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องที่อ่านยิ่งขึ้นและช่วยในการจำ
3. อ่านอย่างเร็ว การอ่านเร็วจะช่วยให้กระบวนการทางสมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เพราะในขณะที่อ่านช้า สมองจะไม่สามารถรับข้อมูลได้ดี การอ่านเร็วจะทำให้เข้าใจ เรื่องที่อ่านได้
4. ฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษในการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษ
นอกจากนักเรียนต้องทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน
นักเรียนต้องทำความเข้าใจภาษาอังกฤษด้วยในขณะที่อ่าน
ครูต้องแนะนำวิธีการหาความหมายของประโยคและหาวิธีการคิดที่จะตามมาจากการอ่านภาษาอังกฤษแต่ละประโยค
5. การอ่านอย่างเฉพาะเจาะจง มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคำตอบเฉพาะ
โดยผู้อ่านมี จุดประสงค์แน่นอน
การอ่านแบบนี้จัดได้ว่าเป็นการอ่านที่เร็วที่สุด เช่น
ในการหารายชื่อจากสมุดโทรศัพท์ การอ่านสารบัญ เป็นต้น
6. การเดาความหมายของคำศัพท์
นักเรียนไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายของคำศัพท์ ทุกคนแต่สามารถเดาควาหมายได้โดยอาศัย
บริบทและประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน
นอกจากนี้เกบฮาร์ด
(Gebhard, 1985, pp.1 –20) ได้เสนอหลักในการสอนอ่านสำหรับผู้สอนที่สอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยให้การเรียนการสอนประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้นได้
ดังนี้
1. การฝึกฝนการอ่านสามารถช่วยให้ผู้เรียน
เรียนรู้ที่จะอ่านได้ เพราะยิ่งผู้เรียนใช้เวลาในการอ่านเท่าไรก็ยิ่งเป็นผู้อ่านที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นผู้สอนต้องพูดให้น้อยลงและให้นักเรียนได้อ่านมากขึ้นในชั่วโมงที่สอน
นอกจากนี้ครูอาจใช้วิธีทำเอกสารประกอบการอ่านเพื่ออธิบายคำศำท์หรือโครงสร้างยากๆ
โดยครูไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย แต่ให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเองจากเอกสาร
2. บทอ่านที่มีความหมายต่อผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอ่านได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งบทอ่านที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียนย่อมมีผลให้การเรียนประสบผลสำเร็จมากกว่า ผู้สอนอาจสอบถามความสนใจจากผู้เรียนแล้วจัดทำเป็นมุมการอ่าน เป็นต้น
ซึ่งบทอ่านที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียนย่อมมีผลให้การเรียนประสบผลสำเร็จมากกว่า ผู้สอนอาจสอบถามความสนใจจากผู้เรียนแล้วจัดทำเป็นมุมการอ่าน เป็นต้น
3. ความซ้ำซ้อนของภาษาช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้การอ่านได้
โดยความซ้ำซ้อนจากการใช้ประโยคหรือคำที่มีความหมายคล้ายกัน
ในข้อความที่อ่าน บางครั้งอาจเป็นคำตรงกันข้ามหรือการใช้เครื่องหมายวรรคตอน
ผู้สอนควรชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนอาจเดาความหมายจากคำหรือประโยคจากตัวแนะต่างๆ
ที่ปรากฏในข้อความ
4. การเสริมข้อมูลเพิ่มเติมช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการอ่านได้
เนื่องจากความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคนต่างกัน
ผู้สอนจึงควรให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
เพื่อให้ผู้เรียนอ่านเรื่องนั้นด้วยความเข้าใจดียิ่งขึ้น
5. การอ่านเป็นกลุ่มคำช่วยให้การจับใจความดีขึ้น
การอ่านเพื่อความเข้าใจไม่ควรเป็นการอ่านแบบคำต่อคำหรือรู้ความหมายทุกคำ
แต่ควรอ่านเป็นกลุ่มคำเพื่อจับใจความได้ดีขึ้น
ผู้สอนอาจช่วยเหลือในตอนแรกโดยการแบ่งคำเป็นกลุ่มๆ ให้อ่าน
ฝึกให้ผู้เรียนแบ่งคำเป็นกลุ่มเองจากกลุ่มคำสั้นๆ
แล้วขยายให้ยาวขึ้นหรืออาจใช้เนื้อเพลงหรือบทละครสั้นๆ ช่วยในการฝึกอ่านจับใจความ
6. สื่อการสอนช่วยเพิ่มความเข้าใจในการอ่านแก่ผู้เรียน การใช้รูปภาพ ของจริง เครื่องมือต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้เรี่ยนเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดีขึ้น
และช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนที่ดี
7. บรรยากาศในการเรียนการสอนควรเป็นไปอย่างสบายไม่เคร่งเครียด
การจัดให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่มและทำความเข้าใจในเรื่องที่อ่านกันเอง
โดยมีผู้สอนคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้เรียนต้องการจะทำให้บรรยากาศในการเรียนไม่เคร่งเครียเ
และเกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น
ไพรซ์ (Price, 1997, pp. 5–11) ได้กล่าวถึงการเดาความหมายจาก
ตัวบ่งชี้ในบริบท
ไว้ดังนี้
ไว้ดังนี้
1. คำจำกัดความ
2. คำตรงกันข้าม
3. ตัวอย่างหรือรายละเอียด
4. ความรู้หรือประสบการณ์
5. ตัวบ่งชี้ในไวยากรณ์
6. เครื่องหมายวรรคตอน
7. พจนานุกรม หรือการแปลเป็นวิธีที่นักเรียนมักจะนำมาใช้เสมอในการอ่านแต่ไม่ใช่วิธีการที่ควรใช้ในการเรียนภาษา
เพราะจะทำให้ลืมเร็วและน่าเบื่อ
8. ใจความสำคัญ ถ้านักเรียนเข้าใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า
จะทำให้อ่านเร็วและเข้าใจเรื่องที่อ่านง่ายขึ้น
9. การหาโครงสร้างของบทอ่าน รูปแบบของโครงสร้างของเนื้อความในแต่ละบท อาจมีความแตกต่างกันไป
ในการอ่านให้พยายามหารูปแบบของแต่ละบทอ่าน
ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องที่อ่านมากขึ้น
ซึ่งบทอ่านภาษาอังกฤษมีโครงสร้างหลายรูปแบบ
10. การใช้คำอ้างอิง บางครั้งผู้เขียนไม่นิยมใช้คำเดิมซ้ำหลายครั้งแต่จะใช้คำอื่น
ที่มีความหมายใกล้เคียงแทนหรืออาจใช้คำสรรพนามแทนคำนาม
เพราะเป็นคำที่สั้นกว่าแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้าใจ ในขณะที่อ่านเรื่อง
ถ้านักเรียนให้ความสนใจกับคำสรรพนามจะทำให้เข้าใจเรื่องที่อ่านมากขึ้น
การสอนอ่านให้มีประสิทธิภาพนอกจากการอ่านเร็วและการเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้แล้ว
บางครั้งผู้เขียนไม่ได้สื่อความหมายออกมาตรงๆ แต่มีความนัยซ่อนอยู่ในข้อเขียน
ผู้สอนควรแนะนำวิธีการเดาความหมายที่ซ่อนอยู่ในตัวบ่งชี้ ที่ปรากฏอยู่ในบริบท
8. เกณฑ์การประเมินความสามารถในการอ่าน
อัจฉรา วงศ์โสธร (2539, หน้า 154-157) กำหนดความสามารถทางการอ่านแบบรวม
ดังนี้
1.
ความสามารถเรียบเรียงความ ได้แก่ การอ่านแล้วเข้าใจความได้ สามารถแสดงความเข้าใจ
โดยการตอบคำถามที่ให้เรียบเรียงถ้อยคำใหม่ โดยให้ได้ใจความเดิม
หรือสามารถตอบคำถามแบบเลือกตอบและแบบเรียงลำดับข้อความเป็น 1, 2, 3 .. ได้
2.
ความสามารถอ่านข้อมูลที่เป็นรายละเอียดสามารถโยงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับใจความสำคัญของเรื่องได้ว่า
เป็นรายละเอียดสนับสนุนหรือเป็นรายละเอียดที่แย้งกัน เพื่อให้ข้อมูลตรงกันข้าม
ตลอดทั้งเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดด้วยกัน
3.
ความสามารถอ่านจับใจความสำคัญ สามารถระบุแก่นเรื่อง หัวเรื่อง
และใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้
4.
ความสามารถวิเคราะห์และประเมินความสัมพันธ์ของเนื้อความและสุนทรียศาสตร์ของการใช้ภาษา
สามารถใช้ความรู้ด้านคำศัพท์ ไวยากรณ์ ความเข้าใจสิ่งที่อ่านและความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ
ภาษาที่ใช้ในบทอ่านที่เป็นตัวกระตุ้น วิเคราะห์ ประเมินและสรุปได้ว่า
สารที่อ่านนั้นเป็นสารประเภทใด ภาษาที่ใช้เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ เจตนา
ทัศนคติของผู้เขียน ที่แฝงอยู่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้น
ต่อมาความมั่นคง น่าเชื่อถือ ของสมมุติฐานที่ผู้เขียนตั้งไว้
ความเป็นไปได้ของข้อสรุป
ตลอดจนสามารถประเมินประสิทธิผลของบทอ่านนั้นได้ว่ามีความชัดเจนเข้าสู่ประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
และใช้ภาษาได้อย่างกระชับ ความสามารถในระดับนี้เป็นระดับสูง
ซึ่งต้องอาศัยความรู้ในระดับต้นๆ เป็นพื้นฐาน
การกำหนดระดับความสามารถข้างต้นเป็นระดับขั้นตอน
ที่ขึ้นต่อกัน การกำหนดความสามารถตามเกณฑ์อาจใช้มาตราส่วนประเมินค่าเป็นระดับ
ดังนี้
ระดับ 1 หมายถึง ไม่มีความสามารถ
ระดับ
2 หมายถึง มีความสามารถน้อย
ระดับ
3 หมายถึง มีความสามารถพอประมาณ
ระดับ 4 หมายถึง มีความสามารถมาก
ระดับ 5 หมายถึง มีความสามารถยอดเยี่ยม เป็นต้น
ในการประเมินผลการอ่านภาษาอังกฤษ
ส่วนมากนิยมใช้แบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ เนื่องจากแบบทดสอบชนิดนี้มีข้อดี
และมีความเหมาะสมในการประเมินผลการอ่านคือ
มีความเป็นปรนัยและสะดวกรวดเร็วในการตรวจให้คะแนน ซึ่งสอดคล้องกับ แมดเซน (Madsen, 1983, pp. 89-97) ได้กล่าวว่าข้อดีของแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบเป็นวิธีการทดสอบแบบบูรณาการ คือมีความเป็นปรนัย และความสะดวกในการตรวจให้คะแนน และสามารถใช้ทดสอบกับผู้เรียนทุกระดับได้อย่างเหมาะสม แต่การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยให้มีคุณภาพนั้นกระทำได้ยาก เนื่องจากในการสร้างแบบทดสอบทั้งคำถามและตัวเลือกต้องใช้เวลามาก ซึ่งแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ มุ่งประเมินความสามารถในด้านต่างๆ ดังนี้
มีความเป็นปรนัยและสะดวกรวดเร็วในการตรวจให้คะแนน ซึ่งสอดคล้องกับ แมดเซน (Madsen, 1983, pp. 89-97) ได้กล่าวว่าข้อดีของแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบเป็นวิธีการทดสอบแบบบูรณาการ คือมีความเป็นปรนัย และความสะดวกในการตรวจให้คะแนน และสามารถใช้ทดสอบกับผู้เรียนทุกระดับได้อย่างเหมาะสม แต่การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยให้มีคุณภาพนั้นกระทำได้ยาก เนื่องจากในการสร้างแบบทดสอบทั้งคำถามและตัวเลือกต้องใช้เวลามาก ซึ่งแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ มุ่งประเมินความสามารถในด้านต่างๆ ดังนี้
1. โครงสร้างประโยค
การประเมินผลในระดับตีความประโยคหรือวลีที่มีโครงสร้างแตกต่างจากประโยคที่กำหนดให้
แต่ยังคงรักษาเนื้อหาและความหมายเดิมไว้
2.
ใจความสำคัญและรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน
3. ใจความของเรื่องที่ปรากฏโดยนัย
กล่าวคือ ไม่ปรากฏโดยตรงในเนื้อเรื่องที่อ่าน
แต่ผู้อ่านจะต้องตีความหมายให้ถูกต้องตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
อรวรรณ น้อยมุข (2544, หน้า
29-30) ได้กล่าวถึงกรประเมินผลการอ่าน โดยกล่าวว่า
ในการสอนอ่านนอกจากผู้สอนจะต้องรู้จักเลือกใช้เทคนิคการสอน
ที่จะช่วยกระตุ้นความสามารถในการอ่านของผู้เรียนแล้วผู้สอนจำเป็นต้องรู้จักเลือกเทคนิคการประเมินผลความสามารถในการอ่านของผู้เรียนด้วย
เพื่อให้การอ่านของผู้เรียนมีประสิทธิภาพ
ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีการวัดผลและประเมินผลความรู้
ความสามารถของเด็กว่ามีความก้าวหน้าในการอ่านเพียงใด และมีการวัดผลอยู่ตลอดเวลา
การวัดและประเมินผลการอ่านจึงมีประโยชน์อย่างมาก เพราะเหตุผลดังนี้
1. จะช่วยให้ผู้เรียนทราบความสามารถในการอ่านของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง
2. ช่วยให้ผู้มีความสนใจใสการอ่านเพิ่มมากขึ้น
3. จะช่วยให้ผู้สอนแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มตามระดับความสามารถได้
4. จะช่วยประเมินผลการสอนของผู้สอนด้วยว่ามีความสามารถในการสอนเพียงใด
5. ช่วยให้สามารถวินิจฉัย
และทำนายผลเกี่ยวกับการสอนได้
การประเมินผลการอ่าน หมายถึง
การพิจารณาตัดสินใจว่าผู้เรียนมีทักษะหรือความสามารถในการอ่านมากน้อยเพียงใด
ในการประเมินผลทักษะการอ่านควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1.
เน้นการประเมินเพื่อปรับปรุงการอ่าน
2.
ประเมินผลการอ่านโดยคำนึงถึงประสบการณ์และลักษณะของผู้เรียน
3.
ประเมินผลการอ่านอย่างเป็นระบบที่ผสมผสานกับการสอน
4.
การประเมินผลการอ่านต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
5.
ประเมินให้รอบด้านทั้งพุทธพิสัย ด้านเจตคติ และด้านทักษะพิสัย
6.
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางในการประเมิน
7.
บอกเกณฑ์การประเมินและแนวทางปฏิบัติ
8.
ควรจะมีการประเมินผลก่อนและหลังการอ่านเพื่อทราบพัฒนาการ
ดังนั้น จากแนวคิดเกี่ยวกับความสามารถการอ่านและองค์ประกอบของความสามารถในการอ่าน
การประเมินการอ่าน จึงพอสรุปว่าความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึง
ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านภาษาอังกฤษจากแบบทดสอบที่มีคุณภาพ โดยประกอบด้วย
ความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูล ความสามารถในด้านจับใจความและรายละเอียดของเรื่องความสามารถในการเรียงลำดับเหตุการณ์
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ข้อความ คือ
ความสามารถในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้
โดยทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
นอกจากนี้ ฟีนอคคิเอโร, และบรัมฟีท
(Finocchiaro, & Brumfit, 1983, pp.
131–135) ได้เสนอแนะว่า
แบบทดสอบที่ใช้ในการประเมินผลการอ่านภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปมี
2 แบบ ดังนี้
2 แบบ ดังนี้
1. แบบทดสอบแบบอัตนัย (subjective
test) ได้แก่ แบบทดสอบความเรียงโดยให้ผู้เรียนตอบคำถามจากเรื่องที่อ่านโดยเขียนคำตอบเป็นประโยคหรือข้อความยาวๆ
2. แบบทดสอบประนัย
(objective test) ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ
แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำ เป็นต้น
แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำ เป็นต้น
เออร์วิน (Irwin, 1991, p.169)
ได้ให้คำแนะนำในการวัดและประเมินผลไว้ว่า
1. คำสั่งและคำถามต้องมีความชัดเจน
2.
ภาระงานที่ใช้ในการวัดผล ต้องตรงกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
สรุป
การประเมินผลความสามารในการอ่าน หมายถึง การพิจารณาตัดสินใจว่า
ผู้เรียนมีทักษะหรือความสามารถในการอ่านมากน้อยเพียงใดซึ่งมีประโยชน์คือ ทำให้ครูผู้สอนได้ทราบความก้าวหน้าในการอ่านของผู้เรียน
และในการประเมินผลการอ่านนั้นสามารถกระทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ข้อทดสอบ
การใช้การสังเกต การซักถาม
หรือสัมภาษณ์และการใช้การบันทึกเพื่อดูความสนใจในการอ่าน เป็นต้น
การประเมินผลการอ่านนั้น ควรจะกระทำทั้งก่อนและหลังการอ่าน
เพื่อทราบถึงพัฒนาการที่แท้จริงของผู้เรียน
ซึ่งจะช่วยให้ครูผู้สอนได้ทราบถึงพัฒนาการทาง
ด้านการอ่านของนักเรียนแต่ละคน และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และ
การประเมินผลครั้งต่อไป
ด้านการอ่านของนักเรียนแต่ละคน และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และ
การประเมินผลครั้งต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น