5. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการและการเรียนรู้
ไวก๊อตสกีได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการกับการเรียนรู้ใน
2 ประเด็น คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการกับการเรียนรู้ และความสัมพันธ์เฉพาะเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 32; Vygotsky, 1978, p.84)
2 ประเด็น คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการกับการเรียนรู้ และความสัมพันธ์เฉพาะเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 32; Vygotsky, 1978, p.84)
เบอร์กและวินส์เลอร์
(Berk, & Winsler, 1995, pp.100-101)
อธิบายความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวคิดของไวก๊อตสกี้ว่า การเรียนรู้ไม่แยกออกจากพัฒนาการต่ำไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพัฒนาการ
การเรียนรู้มีพัฒนาการเป็นพื้นฐาน
แสดงบทบาทหลักในพัฒนาการและยกระดับพัฒนาการให้สูงขึ้น
ไวก๊อตสกี้ให้แนวคิดว่า
พัฒนาการทางสติปัญญารวมทั้งการเรียนรู้ที่ดูได้จากปัญหาที่สามารถแก้ได้ จะเพิ่มพูนขึ้นในช่วงแห่งประสบการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะเคลื่อนไหว
(dynamic) และตื่นตัว (sensitive) แนวคิดนี้เรียกว่า แนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ (zone of
proximal development หรือ ZPD) (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม,
2542, หน้า 33; Berk, & Winsler, 1995, p.26; Gilbert, & Dabbagh,
2005, p.11) หรือขอบเขตของการเพิ่มพูนพัฒนาการ (zone of next
development) (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33; Gredler, 1997, p.256; Sutton, 1998, p.73)
ไวก๊อตสกี้ได้ให้นิยามของแนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ว่า
หมายถึง ขอบเขตของการเรียนรู้
ซึ่งเป็นช่วงห่างระหว่างระดับพัฒนาการทางสติปัญญาที่เป็นอยู่
หรือความรู้ความสามารถเดิมที่ดูได้จากปัญหาที่แก้ได้ด้วยตนเอง กับระดับศักยภาพของพัฒนาการทางสติปัญญาที่ดูได้จากปัญหาที่แก้ได้ด้วยตนเองไม่ได้แต่อาจแก้ได้ถ้าได้รับคำแนะนำ
(guidance) และการร่วมงาน (collaboration) กับผู้ใหญ่
และเพื่อนวัยเดียวกันที่มีความสามารถมากกว่า
(ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33; Vygotsky, 1978, p.86) ซึ่งจะทำให้พัฒนาการทางสติปัญญาหรือความรู้ความสามารถของเด็กเพิ่มพูนขึ้นและแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตนเองในเวลาต่อไปนี้
(ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33; Vygotsky, 1978, p.86) ซึ่งจะทำให้พัฒนาการทางสติปัญญาหรือความรู้ความสามารถของเด็กเพิ่มพูนขึ้นและแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตนเองในเวลาต่อไปนี้
หรืออาจกล่าวได้ว่าสิ่งใดที่เด็กสามารถทำได้ด้วยความช่วยเหลือในวันนี้
เด็กจะสามารถทำได้ด้วยตนเองในวันหน้า (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33; Vygotsky, 1978, p.87)
ในแดบแบกห์กล่าวว่า ช่วงเวลาระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นไปได้ ดังเช่น
การแก้ปัญหาโดยอิสระคนเดียวของผู้ใหญ่หรือในการเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อนอย่างเหมาะสม หรือทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆ ซึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตัวเองคนเดียว สะพานเชื่อมของแนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ (ZPD) คือ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ร่วมกันได้ ซึ่งไวก๊อตสกี้อ้างว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นในช่วงนั้น (Vygotsky, 1978, unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.12)
การแก้ปัญหาโดยอิสระคนเดียวของผู้ใหญ่หรือในการเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อนอย่างเหมาะสม หรือทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆ ซึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตัวเองคนเดียว สะพานเชื่อมของแนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ (ZPD) คือ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ร่วมกันได้ ซึ่งไวก๊อตสกี้อ้างว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นในช่วงนั้น (Vygotsky, 1978, unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.12)
ดังนั้นไวก๊อตสกี้จะเน้นที่การเชื่อมต่อกันระหว่างผู้คนและสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม
ซึ่งพวกเขากระทำและโต้ตอบกันในการแบ่งประสบการณ์การเรียนรู้ร่วมกัน (Crawford, 1996, unpaged) กล่าวได้ว่า มนุษย์ใช้เครื่องมือซึ่งพัฒนาจากวัฒนธรรม เช่น คำพูด, การเขียน
เพื่อหาทางออกร่วมกันในสภาพแวดล้อมทางสังคม เริ่มแรกที่พัฒนาการของเด็ก เครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้เสมือนหน้าที่ทางสังคมที่จำเป็นต้องสื่อสาร ไวก๊อตสกี้เชื่อว่า การแลกเปลี่ยนระหว่างกันโดยเครื่องมือเหล่านี้นำไปสู่ทักษะการคิดที่สูงขึ้น เมื่อเพียเจท์สังเกตเด็กเล็กๆ ที่สนใจในการพูดคุยกับตัวเองในขั้น เริ่มปฏิบัติการ (preoperational stage) เขาเชื่อว่า มันจะเป็นวลีที่หายไปเมื่อเด็กเข้าสู่ขั้นคิดเป็นรูปธรรม (concrete operations) ในทางกลับกัน ไวก๊อตสกี้แสดงให้เห็นว่าการพูดคุยกับตัวเองเปรียบเสมือนตัวเชื่อมความเปลี่ยนแปลงจากการพูดคุยในสังคมสู่ความคิดอันเป็นสากล (Driscoll, 1994, unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, para.3) ด้วยเหตุนี้ ไวก๊อตสกี้เชื่อว่า ความคิดและภาษาไม่สามารถมีอยู่โดยปราศจากกันและกันได้ (Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.5)
ซึ่งพวกเขากระทำและโต้ตอบกันในการแบ่งประสบการณ์การเรียนรู้ร่วมกัน (Crawford, 1996, unpaged) กล่าวได้ว่า มนุษย์ใช้เครื่องมือซึ่งพัฒนาจากวัฒนธรรม เช่น คำพูด, การเขียน
เพื่อหาทางออกร่วมกันในสภาพแวดล้อมทางสังคม เริ่มแรกที่พัฒนาการของเด็ก เครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้เสมือนหน้าที่ทางสังคมที่จำเป็นต้องสื่อสาร ไวก๊อตสกี้เชื่อว่า การแลกเปลี่ยนระหว่างกันโดยเครื่องมือเหล่านี้นำไปสู่ทักษะการคิดที่สูงขึ้น เมื่อเพียเจท์สังเกตเด็กเล็กๆ ที่สนใจในการพูดคุยกับตัวเองในขั้น เริ่มปฏิบัติการ (preoperational stage) เขาเชื่อว่า มันจะเป็นวลีที่หายไปเมื่อเด็กเข้าสู่ขั้นคิดเป็นรูปธรรม (concrete operations) ในทางกลับกัน ไวก๊อตสกี้แสดงให้เห็นว่าการพูดคุยกับตัวเองเปรียบเสมือนตัวเชื่อมความเปลี่ยนแปลงจากการพูดคุยในสังคมสู่ความคิดอันเป็นสากล (Driscoll, 1994, unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, para.3) ด้วยเหตุนี้ ไวก๊อตสกี้เชื่อว่า ความคิดและภาษาไม่สามารถมีอยู่โดยปราศจากกันและกันได้ (Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.5)
เฮดเดการ์ด (Hedegard, 1996, p.175)
ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด
การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้กับการศึกษาว่า แนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ อาจมองได้ว่า เป็นลักษณะเฉพาะของการกระทำกิจกรรมที่แน่นอนอย่างหนึ่ง ซึ่งสำหรับนักเรียนแล้วกิจกรรมนี้คือการเรียนการสอนนั่นเอง (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33)
การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้กับการศึกษาว่า แนวคิดการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ อาจมองได้ว่า เป็นลักษณะเฉพาะของการกระทำกิจกรรมที่แน่นอนอย่างหนึ่ง ซึ่งสำหรับนักเรียนแล้วกิจกรรมนี้คือการเรียนการสอนนั่นเอง (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542, หน้า 33)
ไวก๊อตสกี้เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการคิดที่เกิดภายใต้ ช่วงเวลาที่สามารถพัฒนาได้
(ZPD) นั้น
การสอนควรออกแบบเพื่อให้เข้าถึงระดับพัฒนาการซึ่งเหนือกว่าระดับพัฒนาการในปัจจุบัน
ไวก๊อตสกี้ยืนยันว่า “การเรียนรู้ที่มีการสอนเพื่อระดับพัฒนาการเฉพาะที่เรียนไปถึงแล้ว
มันไม่มีผลต่อมุมมองของเด็กเพียงหนึ่งคน กล่าวคือ
พัฒนาการทั้งหมดมันไม่ใช่จุดหมายสำหรับกระบวนการพัฒนาขั้นใหม่แต่ช้ากว่ากระบวนการนี้” (Vygotsky, 1978, unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.18)
ความเหมาะสมที่จำเป็นสำหรับพัฒนากระบวนการคิด
ภายในช่วงเวลาที่สามารถพัฒนาได้ (ZPD)
ความสนใจส่วนตัวในการทำงานร่วมกันหรือครูเป็นผู้แนะแนวต้องมองหาจุดร่วมกันเพื่อเข้าถึงจุดที่สามารถพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้
ตามที่ฮาสฟาเธอร์ (Hasfather, 1996, unpaged) กล่าวว่า “ความสนใจร่วมกันแก้ปัญหาจำเป็นต้องสร้างกระบวนการพัฒนาการทางความคิด สังคม
และการแลกเปลี่ยนทางอารมณ์” ดังนั้นมันจำเป็นที่ผู้ร่วมงานจะมีระดับพัฒนาการที่แตกต่างกันและคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าจะหวาดระแวงคนที่ระดับต่ำกว่า
ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นหรือใครคนหนึ่งคนใดทำอยู่คนเดียว
การโต้ตอบกันก็จะประสบผลน้อยลง (Driscoll, 1994, unpaged; Hausfather, 1996,
unpaged; Gilbert, & Dabbagh, 2005, p.12)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น