วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
   
            ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการเปรียบเทียบการสอนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 โดยวิธีการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี
(sociocultural) และทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ (Schema Theory) ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจะดำเนินการตามประเด็น ดังนี้
            1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
            2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
            3. การสร้างและตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
            4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
            5. การวิเคราะห์ข้อมูล
         6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
              1.  ประชากร หรือแหล่งข้อมูลที่จะศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 95 คน
ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 255
4 วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ 2
              2.  กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ได้จากการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ด้วยการจับสลาก 2 กลุ่ม เพื่อกำหนดเป็นกลุ่มทดลองลำดับที่ 1 และ 2 ดังนี้
                2.1  สุ่มห้องเรียนด้วนการสุ่มแบบง่ายได้ 2 ห้องเรียนจาก 5 ห้องเรียน
                2.2  สุ่มนักเรียนจากห้องเรียนที่สุ่มไว้ทั้ง 2 ห้อง
             2.3 สุ่มวิธีสอนให้กับห้องเรียนเพื่อเป็นกลุ่มทดลองลำดับที่ 1 และ 2 ได้
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 เป็นกลุ่มทดลองกลุ่มที่ 1 ได้รับการสอนตามเชิงสังคมและวัฒนธรรมของ
ไวก็อตสกี มีนักเรียนจำนวน 48 คน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 เป็นกลุ่มทดลองกลุ่มที่ 2 ได้รับ
การสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ มีนักเรียนจำนวน
47 คน
            3.  เนื้อหาที่ใช้ทำการสอน คือ เนื้อหาการอ่านจากหนังสือ Super Goal ตั้งแต่บทที่1-12 นอกจากนี้ยังศึกษาและคัดเลือกเนื้อหาการอ่าน จากเนื้อหาจริงที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น ข่าว การสนทนาต่างๆ
            4. ระยะเวลาในการทดลอง ระยะเวลาในการทดลอง ในแต่ละห้องสอน สัปดาห์ละ
2 คาบๆ ละ 50 นาที  4 สัปดาห์ รวม 8 คาบ ทดสอบก่อนเรียน ห้องละ 1 คาบ และทดสอบหลังเรียน ห้องละ 1 คาบ รวม 10 คาบ/ห้อง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
               เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 4 รายการ คือ
            1. แผนจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี     2. แผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
            3. แบบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
            4. แบบสอบถามเจตคติในการอ่านภาษาอังกฤษ

การสร้างและตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
            1. แผนจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี และแผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
                ผู้วิจัยได้ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกี จำนวน 8 แผน และเขียนแผน
การจัดการเรียนรู้ความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
จำนวน
8 แผน โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
                1.1  ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง เลือกมาเฉพาะระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
                1.2  ศึกษาวิธีการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ด้านความสามารถในการอ่านจากหนังสือวิธีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศของ สุมิตรา อังวัฒนกุล (2540) และศึกษาวิธี
การสอนตามทฤษฎีการสอนเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีเพื่อขั้นตอนในการสร้างแผน
การจัดการเรียนรู้
                1.3  ศึกษาและคัดเลือกเนื้อหาการอ่านจากหนังสือ Super Goal ตั้งแต่บทที่ 1-12 นอกจากนี้ยังศึกษาและคัดเลือกเนื้อหาการอ่าน จากเนื้อหาจริงที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น ข่าว
การสนทนาต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการสอน
                1.4  ศึกษารายละเอียดของเนื้อหาที่คัดเลือกมาในแต่ละเรื่องก่อนการสร้างแผน
การจัดการเรียนรู้
                1.5  วิเคราะห์ระดับของจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ เพื่อกำหนดวิธีการวัด
และประเมินผลรวมทั้งประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผล
                1.6  สรุปการวิเคราะห์และการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ มีจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา พฤติกรรมอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน และเกณฑ์ในการวัดและประเมินผล
                1.7  นำข้อมูลที่รวบรวมได้มาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมและตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ประกอบการสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยจำนวน 8 คาบ ๆ ละ 50 นาที ซึ่งประกอบไปด้วย
                      1.7.1  แผนการจัดการเรียนรู้ประจำหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยที่ 1 มี 3 คาบ หน่วยที่ 2 มี 3 คาบ และหน่วยที่ 3 มี 2 คาบ
                              -  ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
                              -  สาระสำคัญ
                              -  จุดประสงค์การเรียนรู้
                              -  กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้และทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
                              -  สื่อ
                              -  การวัดและประเมินผล
                              -  บันทึกผลหลังการสอน                                    
                      1.7.2  แผนการเรียนรู้ประจำคาบเวลาคาบละ 50 นาที ประกอบด้วย
                              -  ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
                              -  สาระสำคัญ
                              -  จุดประสงค์การเรียนรู้
                              -  กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมของไวก็อตสกีและตามทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้
                              -  สื่อ
                              -  การวัดและประเมินผล
                              -  บันทึกผลหลังการสอน                  
                1.8  เมื่อสร้างแผนการสอนแล้ว ผู้วิจัยนำแผนการสอนดังกล่าวไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบในขั้นแรก แล้วจึงนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษและแผน
การสอนจำนวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน  
                1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปหาค่า ตรวจคุณภาพหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้และวิธีการสอนทั้ง 2 วิธี ค่าดัชนีความสอดคล้องต้องมีค่ามากกว่า หรือเท่ากับ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าแผนการจัดการเรียนรู้แผนนั้น นำไปทดลองใช้ได้ ซึ่งได้ค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00
             1.10 เสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
แล้วจัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปทดลองจริงกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 และ 3/4 



            2. แบบวัดความสามารถในการอ่าน
                ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบวัดความสามารถในการอ่าน เป็นแบบปรนัย จำนวน
40 ข้อ มี 4 ตัวเลือก สร้างขึ้นตามหลักการวัดและประเมินผลการอ่าน ประกอบด้วย ความรู้ศัพท์ ความรู้ด้านไวยากรณ์ ความสามารถเรียบเรียงความ ความสามารถอ่านข้อมูลที่เป็นรายละเอียด ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ความสามารถในการวิเคราะห์และการประเมินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเนื้อความ โดยมีขั้นตอนการสร้างดังนี้
                2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ
เทพสตรี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ในด้านสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
                2.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผลความสามารถในการอ่านตามหลักการของ อัจฉรา วงศ์โสธร (2539, หน้า 154-157) รวมทั้งศึกษาหลักการวัดและประเมินผลการศึกษา ของพิชิต ฤทธิ์จรูญ (2547, หน้า 97-136)
                2.3 นำแบบทดสอบที่สร้างเสร็จแล้วไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบและทำการแก้ไขในเบื้องต้น แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษและการวัดผลประเมินผลจำนวน 5 ท่านตรวจคุณภาพหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ว่าข้อสอบแต่ละข้อสามารถวัดได้ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการวัดหรือไม่ ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1.00
             2.4 นำแบบทดสอบที่แก้ไขปรับปรุงเรียบร้อยแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 255
4 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 80 คน เนื่องจากสาเหตุที่ต้องนำไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เนื่องจากว่านักเรียนในระดับนี้ผ่านการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษในระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 3 มาเรียบร้อยแล้ว เมื่อทดสอบแล้วก็นำผลการสอบมาวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ โดยการตรวจให้คะแนนข้อที่ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดหรือไม่ตอบหรือตอบเกินกว่า 1 ข้อให้ 0 คะแนน แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder and Richardson) แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.21 - 0.84 และค่าอำนาจจำแนกที่มีค่าระหว่าง 0.21 – 0.88  เพื่อนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นได้เท่ากับ 0.880
             2.5 นำแบบทดสอบที่คัดเลือกและปรับปรุงแก้ไขแล้วจำนวน 40 ข้อ เสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แล้วจัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์
เพื่อนำไปใช้ในการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มทดลอง              



            3. แบบวัดเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษ
                ในการสร้างแบบวัดเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนในการสร้างและหาคุณภาพ ดังต่อไปนี้
             3.1 สร้างแบบสอบถามวัดเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้มาตราส่วน
ประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert) ข้อความในแบบสอบถามเป็นข้อคำถามที่ถามความรู้สึกชอบหรือพอใจ ความกระตือรือร้น ความพยายามในการเรียน ตลอดจนการเห็นประโยชน์ของ
การอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคำถามในเชิงบวกและเชิงลบ จำนวน
15 ข้อ มีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
                     ถ้าข้อความนั้นแสดงความรู้สึกหรือการปฏิบัติในเชิงบวก (positive) จะให้คะแนน ดังนี้
                     มากที่สุด          ให้    5 คะแนน
                     มาก               ให้    4 คะแนน
                     ปานกลาง         ให้    3 คะแนน
                     น้อย               ให้    2 คะแนน
                     น้อยที่สุด         ให้    1 คะแนน

                     ถ้าข้อความนั้นแสดงความรู้สึกหรือการปฏิบัติในเชิงลบ (negative) จะให้คะแนน ดังนี้
                     มากที่สุด          ให้    1 คะแนน
                     มาก               ให้    2 คะแนน
                     ปานกลาง         ให้    3 คะแนน
                     น้อย               ให้    4 คะแนน
                     น้อยที่สุด         ให้    5 คะแนน

                     โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
                     1.00-1.49        เท่ากับ       เห็นด้วยน้อยที่สุด
                     1.50-2.49        เท่ากับ       เห็นด้วยน้อย
                     2.50-3.49        เท่ากับ       เห็นด้วยปานกลาง
                     3.50-4.49        เท่ากับ       เห็นด้วยมาก
                     4.50-5.00        เท่ากับ       เห็นด้วยมากที่สุด
                3.2 นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบเพื่อทำ
การพิจารณาเรื่องการใช้ภาษาและความเที่ยงตรงของเนื้อหา
(content analysis) โดยหาค่า IOC (item objective congruence) แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ เพื่อให้แบบวัดเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษมีความเหมาะสมถูกต้องยิ่งขึ้น ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00
                3.3 นำแบบวัดเจตคติที่มีต่อการอ่านภาษาอังกฤษที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แล้วจัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์
เพื่อนำไปใช้ในการทดลองจริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จำนวน
95 คน ซึ่งเป็นกลุ่มทดลอง
การเก็บรวบรวมข้อมูล
            การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) โดยใช้รูปแบบวิจัยแบบทดลอง 2 กลุ่ม (two group randomized design) (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550, หน้า 201)
ดังตาราง 9

ตาราง 9  แบบแผนการวิจัยแบบทดลอง 2 กลุ่ม
  
กลุ่ม
สอบก่อน
ทดลอง
สอบหลัง
ER1
T1
x1
T2
ER2
T1
x2
T2
                                                                       
            เมื่อ       ER1       แทน     กลุ่มทดลองที่ 1 (experimental group)
                       ER2       แทน     กลุ่มทดลองที่ 2 (experimental group)
                       T1         แทน     การสอบก่อนที่จะกระทำการทดลอง (pretest)
                       T2         แทน     การสอบหลังจากที่กระทำการทดลอง (posttest)
                       X1         แทน     การสอนด้วยวิธีการสอนภาษาตามทฤษฎีเชิงสังคม
                                                และวัฒนธรรม
                       X2         แทน     การสอนด้วยวิธีการสอนตามทฤษฎีโครงสร้างทาง
                                                ความรู้

            ขั้นตอนในการดำเนินการทดลองและรวบรวมข้อมูล มีดังนี้
            1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (pretest) ทั้งนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วย
แบบวัดความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้สร้างขึ้นเอง ใช้เวลา
1 คาบ
            2. ดำเนินการสอนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้เนื้อหาเดียวกันและระยะเวลาเท่ากัน โดยผู้วิจัยเป็นผู้สอนเองทั้ง 2 กลุ่ม ใช้เวลาสอนสัปดาห์ละ 2 คาบๆ ละ 50 นาที
ทั้ง
2 กลุ่ม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ รวมเวลาทั้งหมดกลุ่มละ 8 คาบ
            3. ทำการสอบหลังเรียน (posttest) ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษซึ่งเป็นฉบับเดียวกับที่ทำการสอบก่อนเรียน ใช้เวลา 1 คาบ
            4. นำผลการทดสอบความสามารถทางการอ่านวิชาภาษาอังกฤษมาตรวจให้คะแนน แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ทำการเปรียบเทียบผลการสอนทั้ง 2 วิธีการ เพื่อทดสอบสมมติฐาน
            5. ให้นักเรียนทำแบบสอบถามเจตคติที่มีต่อการสอนตามเชิงสังคมและวัฒนธรรมของ
ไวก็อตสกีและทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้  จากนั้นนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐาน

การวิเคราะห์ข้อมูล
               1. การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษตามทฤษฎีเชิงสังคม
และวัฒนธรรมก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบที (
dependent sample t –test)
            2. การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษที่ใช้ทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบที(dependent sample t –test)
            3. การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษที่ใช้ทฤษฎีเชิงสังคม
และวัฒนธรรมกับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ โดยใช้สถิติทดสอบที (
independent sample t-test)
            4. เปรียบเทียบเจตคติในการสอนอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ทฤษฎีเชิงสังคมและวัฒนธรรมกับทฤษฎีโครงสร้างทางความรู้ โดยใช้การหาค่าเฉลี่ย (mean)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และสถิติทดสอบที (independent sample t-test)

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
            1. ค่าเฉลี่ย (mean)
                วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบความสามารถด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาหาค่าเฉลี่ย (mean) คำนวณจากสูตร (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 267) มีสูตรดังนี้
                         
                  = 

               เมื่อ          แทน     ค่าเฉลี่ยคะแนนของกลุ่มตัวอย่าง
                           แทน     ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
                         N       แทน     จำนวนนักศึกษาทั้งหมด
                                     
            2. การวิเคราะห์ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
                วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบความสามารถด้วยแบบทดสอบความสามารถก่อนเรียนและหลังเรียนมาหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คำนวณจากสูตร (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 276) มีสูตรดังนี้

                    S.D.   =    
  
      เมื่อ   S.D      แทน    ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
                 แทน    ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
                แทน    ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง
                n      แทน    จำนวนคะแนนในกลุ่ม

               3. ความเที่ยงตรง (validity)
                หาความเที่ยงตรงตามเนื้อหาของแบบทดสอบวัดความสามารถทางการอ่านวิชาภาษาอังกฤษ แบบปรนัย โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้
โดยคำนวณจากสูตร (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 242) มีสูตรดังนี้

               

                เมื่อ    IOC   แทน     ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์
                         แทน     ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
                        N      แทน     จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
           
            4. ค่าความยากง่าย (P) (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 250) มีสูตรดังนี้

                   

                เมื่อ    p       แทน     ดัชนีความยากง่ายของข้อสอบ
                        R      แทน     จำนวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบนั้นได้ถูกต้อง
                        N      แทน     จำนวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบทั้งหมด
               
            5. ค่าอำนาจจำแนกของข้อแบบทดสอบ (ณัฏฐพงษ์ เจริญทิพย์, 2542, หน้า 215)

               

                เมื่อ    r       แทน     ค่าอำนาจจำแนก
                           แทน     จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง
                           แทน     จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน
                        N      แทน     จำนวนนักเรียนในกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน

          6. หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดความสามารถทางการอ่าน ในรายวิชาภาษาอังกฤษ คำนวณจากสูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 247)
มีสูตรดังนี้

                  =   

                เมื่อ          แทน     สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
                        k       แทน     คะแนนเต็ม
                        p       แทน     สัดส่วนของคนทำถูกแต่ละข้อ
                        q       แทน     สัดส่วนของคนทำผิดแต่ละข้อ (q=1-p)
                   
            7. การหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (a Coefficient) ตามวิธีการของครอนบาค (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 248) มีสูตรคำนวณดังนี้

               
                     
                เมื่อ         แทน     สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของเครื่องมือวัด
                        n       แทน     จำนวนข้อคำถาม
                             แทน     ความแปรปรวนของคะแนนเป็นรายข้อ
                              แทน     ความแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบับ
            8. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ที่ได้จากการทดสอบก่อนการเรียนกับการทดสอบหลังเรียน ภายในกลุ่มเดียวกัน คำนวณจากสูตร t-test dependent (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 307) มีสูตรดังนี้

                    ,
                  
                เมื่อ       แทน     ผลบวกของคะแนนความแตกต่างระหว่างก่อนเรียน                                            กับหลังเรียน
                             แทน     ผลบวกของกำลังสองของผลต่างระหว่างก่อนเรียน
                                            กับหลังเรียน
                      แทน     กำลังสองของผลบวกของคะแนนความแตกต่าง                                                      ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
                        n       แทน     จำนวนนักเรียน

            9. เปรียบเทียบความแตกต่างของความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ ระหว่าง
กลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่ม โดยใช้
t-test แบบ independent group (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2547, หน้า 303) มีสูตรดังนี้
                 
                      
               

                เมื่อ       แทน     คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง 1
                           แทน     คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง 2
                                      แทน         ความแปรปรวนของคะแนนกลุ่มทดลอง 1
                             แทน     ความแปรปรวนของคะแนนกลุ่มทดลอง 2
                        n1                 แทน         ขนาดของกลุ่มทดลอง 1

                        n2      แทน     ขนาดของกลุ่มทดลอง 2      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น